December 16, 2025

ผลจากการวิเคราะห์ล่าสุดของดีลอยท์ ประมาณการผลกระทบของเมตาเวิร์ส (Metaverse) ที่มีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ทั่วเอเชียมีแนวโน้มสูงถึง 0.8 ถึง 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปีภายใน พ.ศ. 2578 คิดเป็นประมาณร้อยละ 1.3 ถึง 2.4 ของ GDP

ซึ่งอาจจะเพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะยาว หากมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ยั่งยืนในช่วงห้าถึงสิบปีข้างหน้า ทั้งนี้ ความคืบหน้าและความรวดเร็วในการเข้าใช้งานจะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่เศรษฐกิจพื้นฐานของแต่ละประเทศอาจนำมาใช้เพื่อเร่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก เมตาเวิร์ส

การวิเคราะห์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายงาน “เมตาเวิร์สในเอเชีย – กลยุทธ์เพื่อการเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ” ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดจากเมตาเวิร์สใน 12 ประเทศทั่วเอเชีย (ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น จีนแผ่นดินใหญ่ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม) และเน้นย้ำถึงกลยุทธ์ที่ประเทศต่าง ๆ เลือกใช้เพื่อใช้ประโยชน์จากเมตาเวิร์ส โดยรายงานฉบับนี้จะอธิบายถึงรูปแบบการก้าวเข้าสู่โลกของเมตาเวิร์สที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคนี้เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ผู้คนหลายล้านคนในเอเชียเริ่มมีการใช้งานแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สในระยะแรกแล้ว ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเมตาเวิร์สในภูมิภาคเอเชียอยู่ในระดับที่สูง และมีผู้คนกว่าหลายล้านคนใช้งานแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สในระยะแรกเริ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม พบปะสังสรรค์ สร้างดิจิทัล ทวิน (Digital Twins) ชมคอนเสิร์ต รวมถึงการซื้อสินค้า ตัวอย่างเช่น แอพลิเคชั่น Zepeto ในประเทศเกาหลีใต้มีผู้ลงทะเบียนใช้งานมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เมตาเวิร์สเต็มรูปแบบที่พร้อมแสดงผลแบบเรียลไทม์ให้กับผู้ใช้งานกว่าหลายล้านคนทั่วโลกเข้าใช้งานพร้อมๆกัน ยังต้องอาศัยการพัฒนาอีกยาวนาน

เมตาเวิร์สจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย

แม้ว่าการประมาณการช่วงแรกจะชี้ให้เห็นว่า เมตาเวิร์สจะมีศักยภาพสูงในการเติบโตและสร้างรายได้ทั่วโลก แต่ประเด็นเรื่องเวลาและขนาดผลกระทบทางเศรษฐกิจยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายที่จะคาดการณ์ได้ อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับปัจจัยและตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสังคมที่หลากหลาย

อย่างไรก็ตาม เมตาเวิร์สถูกมองว่าจะทำให้เกิดตลาดใหม่ โอกาสทางธุรกิจและโอกาสในการจ้างงานใหม่ ๆ ตลอดจนปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน การใช้งาน และการทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น หากมีการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อผู้คนกว่า 4 พันล้านคนที่ในภูมิภาคนี้

เอเชียถือเป็นภูมิภาคที่น่าจับตามองในการพัฒนาเมตาเวิร์ส

ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ หน่วยงานกำกับดูแลไปจนถึงผู้ประกอบการ วัฒนธรรมไปจนถึงความสามารถด้านดิจิทัล เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียส่งเสริมเมตาเวิร์สในทุกๆ ด้าน โดยภูมิภาคนี้มีจุดเด่นสำคัญหลายประการ ได้แก่

· เอเชียครองซัพพลายเชนของฮาร์ดแวร์ ในส่วนของวัตถุดิบและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ เซมิคอนดัคเตอร์

· มีผู้เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือในภูมิภาคนี้มากกว่าพันล้านคน ซึ่งนับเป็นแหล่งผู้เล่นเกมบนมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก

· ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศเศรษฐกิจหลักแห่งแรกที่จัดทำแผนพิมพ์เขียว (Blueprint) ที่ครอบคลุมเพื่อ ส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมเมตาเวิร์ส

· ในด้านระเบียบกฎเกณฑ์ สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย และประเทศอื่น ๆ ได้สร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ในเชิงบวกและกำหนดกฎระเบียบในการป้องกันอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งธุรกิจและผู้บริโภคจะสามารถใช้งานเมตาเวิร์สได้อย่างปลอดภัย

· อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนามเดินหน้าสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม รวมถึงสร้างนวัตกรรมใหม่ ผ่านเทคโนโลยี web3 และบล็อกเชน

· ภูมิภาคนี้มีมรดกทางวัฒนธรรมหลากหลายให้เลือกใช้ในการพัฒนาคอนเทนต์และประสบการณ์ให้มีความน่าสนใจ เช่น ญี่ปุ่นใช้ประโยชน์จากการเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมวิดีโอเกม ในการสร้างอุตสาหกรรม เมตาเวิร์สใหม่

· อินเดีย ฟิลิปปินส์ และปากีสถานเป็นประเทศที่มีบุคลากรที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีระดับโลกอยู่จำนวนมาก

“เมตาเวิร์สเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การพัฒนากลุ่มเทคโนโลยี ทรัพยากรบุคคล และหลักเกณฑ์การกำกับ ดูแลให้ศักยภาพของเมตาเวิร์สมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ของเอเชียเป็นไปได้จริง จะเป็นประโยชน์ต่อ อุตสาหกรรม และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกมากมาย” มร. ดุลีชา กุลสุริยา กรรมการผู้จัดการ Center for the Edge Deloitte Southeast Asia กล่าว

อนาคตที่สดใสของเมตาเวิร์ส ไม่เพียงแต่ต้องการการสนับสนุนจากทางรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่มีบทบาท ในระบบนิเวศทั้งหมดด้วย ในขณะที่เมตาเวิร์สยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับธุรกิจและ ผู้เล่นในการทดลอง หาข้อได้เปรียบในเมตาเวิร์ส รวมถึงมองหาโอกาสที่ส่งเสริมข้อได้เปรียบนั้น” มร. ดุลีชา กล่าวเสริม

เมตาเวิร์สในประเทศไทย

จากการวิเคราะห์ของดีลอยท์ ชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจของเมตาเวิร์สที่อาจเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2578 ในประเทศไทยจะอยู่ที่ 11 ถึง 21 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือร้อยละ 1.3 ถึงร้อยละ 2.4 ของ GDP โดยรวม

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่น่าจับตามองเนื่องด้วยโครงการเมตาเวิร์สที่เกิดขึ้นมาใหม่มากมายในภาคธุรกิจ การที่ภาคธุรกิจเต็มใจรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้บริโภคชาวไทยเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอยู่เสมอ โดยได้รับการจัดอันดับเป็นผู้ซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์รายสัปดาห์ ผู้ครอบครองสกุลเงินคริปโต และผู้ใช้แอปพลิเคชันธนาคารบนโทรศัพท์มือถือเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีพื้นฐานทางเทคโนโลยี ที่มีความแข็งแกร่งเป็นทุนเดิม และฟิกซ์บรอดแบนด์ที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย

ปัจจัยที่สำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพสำหรับประเทศไทย ได้แก่ การใช้ประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบการที่ แข็งแกร่ง การส่งเสริมแผนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว และการสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงช่องทางต่าง ๆ ด้วยการปรับปรุงการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่างจังหวัด

ภาคส่วนสำคัญที่น่าจับตามอง ได้แก่

1) การท่องเที่ยว: ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนรายได้ใน GDPคิดเป็น ประมาณร้อยละ 18 ต่อปี การใช้ประโยชน์จากประสบการณ์โลกเสมือนจริงในเมตาเวิร์สเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (The Tourism Authority of Thailand) ได้เริ่มทดลองใช้งาน ด้วยการเปิดตัวโครงการ “Amazing Thailand Metaverse: Amazing Durian” ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวเสมือนจริง

2) บริการเชิงสร้างสรรค์: ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์รายใหญ่ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการพัฒนาอินฟลูเอนเซอร์จากระบบ AI ที่มีความสมจริง ชื่อว่า “AI-Ailynn” เพื่อแสดงศักยภาพทางเทคโนโลยีของประเทศ นอกจากนี้ ไทยยังได้นำ tokenisation มาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อดึงดูดแหล่งเงินทุนใหม่ ๆ สำหรับโครงการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ภาพยนตร์

เมตาเวิร์สนำเสนอแพลตฟอร์มใหม่ในการสร้างมูลค่าจากความร่วมมือของบุคลากรที่มีความสามารถทั้งด้านความสร้างสรรค์ การดำเนินธุรกิจ และด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย ธุรกิจต่างๆ ในไทยควรจะใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีในเมตาเวิร์ส ในการสร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ไม่เหมือนใคร และจะเป็นประโยชน์ให้กับองค์กร เศรษฐกิจ และสังคมโดยรวม” ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าว

 

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ร่วมสร้างรอยยิ้มให้กับเยาวชนในเทศกาลวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 ผ่านกิจกรรม KKP CHRISTMAS TREE โดยตลอดเดือนธันวาคมและต้นมกราคม พนักงานของกลุ่มธุรกิจฯ ร่วมกันจัดหาของขวัญ และนำมาวางไว้กับต้นคริสต์มาสแห่งการแบ่งปันที่ตั้งอยู่กลางสำนักงานใหญ่ จากนั้นจึงได้ประสานกับมูลนิธิกระจกเงาในการส่งต่อของขวัญจำนวนร่วม 500 ชิ้น ให้กับเยาวชนในโรงเรียนวัดเมตารางค์ โรงเรียนวัดบ้านพร้าว โรงเรียนประคองศิลป์ และชุมชนใกล้เคียงในจังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลส่งความสุข ในการนี้ นายวรกฤต จารุวงศ์ภัค รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ประธานสายปฎิบัติการ (ซ้ายสุด) และ นางสาวพัทนัย เหลืองตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสำนักสื่อสารองค์กรและการตลาด (ขวาสุด) เป็นผู้แทนส่งมอบของขวัญให้กับผู้แทนจากมูลนิธิกระจกเงา ณ อาคารเคเคพี ทาวเวอร์ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา

จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ร่วมด้วย สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศ จังหวัดฮอกไกโด (The Hokkaido International Trade & Industry Promotion Association) จัด “งานเจรจาธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารแบบพรีเมียมจากฮอกไกโด” ในวันศุกร์ที่ 27 มกราคม เวลา 11.00 - 15.00 น. ณ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

โดยได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อหรือบายเออร์ (Buyer) ประมาณ 160 ราย และผู้ประกอบการ 17 รายจากฮอกไกโด เพื่อเผยแพร่เสน่ห์และคุณค่าของผลิตภัณฑ์อาหารจากฮอกไกโด ตลอดจนสนับสนุนการทำการตลาดในภูมิภาคอาเซียนให้กว้างขวางและขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารจากฮอกไกโด อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้ซื้อหรือบายเออร์ (Buyer) และกลุ่มร้านอาหารได้เจรจาติดต่อทางการค้าโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพ อร่อยและปลอดภัยจากฮอกไกโด ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา “ฮอกไกโด โดะซังโกะ พลาซา” เป็นร้านค้าที่รวบรวมและช่วยจำหน่ายสินค้ามากมายที่ผลิตได้จากแต่ละท้องถิ่นในฮอกไกโดมารวมไว้เพียงที่เดียวในกรุงเทพฯ ซึ่งในปีนี้ได้มีการเพิ่มเติมสินค้าของฮอกไกโดหลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งมีการขยายพื้นที่ให้ทุกท่านได้เลือกซื้อสินค้าได้อย่างจุใจอีกด้วย

จังหวัดฮอกไกโดจึงมีความภูมิใจและตื่นตัวในการเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดงานครั้งนี้หลังจากที่ไม่ได้จัดมา 3 ปีแล้ว โดยภายในงานมีการออกบูธจัดแสดงผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำและขนมยอดนิยมจากฮอกไกโดมากมาย สาธิตการทำอาหารให้ลิ้มลอง ชิมรสชาติการจับคู่อาหารกับไวน์อย่าง “GI HOKKAIDO” การเจรจาธุรกิจเกี่ยวกับไวน์ เหล้าสาเก ชีส อาหารทะเลแปรรูป ฯลฯ ให้แก่บายเออร์และผู้ประกอบการร้านอาหารต่างๆ เช่น การนำเสนอผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่ออย่างเหล้าสาเกกับอาหาร เพื่อตอบสนองความต้องการในการรับประทานอาหารนอกบ้านซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน อันจะส่งผลนำไปสู่การสร้างแบรนด์และการขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแบบพรีเมียมจากฮอกไกโดของผู้ประกอบการได้ง่ายมากขึ้น

 

มร.สึจิยะ ซุนซุเกะ (Mr. Tsuchiya Shunsuke) รองผู้ว่าจังหวัดฮอกไกโด เปิดเผยว่า “การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เป็นเหตุให้ไม่สามารถจัด “งานเจรจาธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารพรีเมียมจากฮอกไกโด” ได้ใน 3 ปีที่ผ่านมา กระทั่งสถานการณ์โรคระบาดโควิดคลี่คลายลงและหลายประเทศก็เปิดประเทศแล้ว รวมทั้งประเทศญี่ปุ่นของเรา ซึ่งวันนี้เราได้มีโอกาสนำเสนอเรื่องผลิตภัณฑ์อาหารแบบพรีเมียมจากฮอกไกโดเพื่อขยายช่องทางการส่งออกสู่ภูมิภาคอาเซียนที่เราเชื่อมั่นว่าประเทศไทยคือศูนย์กลางการค้าและเศรษฐกิจของอาเซียนที่น่าสนใจและมีแนวโน้มการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจกับมิตรประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคต อีกทั้งประเทศไทยยังมีเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมไทยในหลายมิติที่รุ่มรวย โดยเฉพาะวัฒนธรรมอาหารการกินที่มีมนต์เสน่ห์อย่างยอดเยี่ยมจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก

ขณะเดียวกันพวกเราชาวญี่ปุ่นส่วนมากก็ได้รับรู้มาว่าจังหวัดฮอกไกโดของเรา เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของคนไทยและประเทศไทยโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารพรีเมียมของฮอกไกโดที่มีอย่างหลากหลาย โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไปเยือนฮอกไกโดเป็นจำนวนมาก ผมขอขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างมาก เราจึงจัดงานเจรจาธุรกิจเพื่อเผยแพร่สินค้าผลิตภัณฑ์อาหารพรีเมียมของฮอกไกโดขึ้นในวันนี้ เพื่อเผยแพร่คุณภาพและชื่อเสียงของอาหารจากฮอกไกโดให้มากยิ่งขึ้นอีกระดับ

ผมหวังว่า งานเจรจาธุรกิจในครั้งนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักกับเสน่ห์เฉพาะตัวและคุณค่าของอาหารจากฮอกไกโดได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะกระชับความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนต่างๆ ระหว่างประเทศไทยและจังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ให้เข้มแข็งยั่งยืนต่อไป”

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจอยากเข้าเยี่ยมชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแบบพรีเมียมจากฮออกไกโดได้อย่างหลากหลาย สามารถชม ชิม ช็อป ได้ใน “งานแฟร์ FOODIE ISLAND HOKKAIDO” ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันเสาร์ที่ 28 มกราคม - วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 (รวม 9 วัน) ณ ร้าน โดะซังโกะ พลาซา สาขากรุงเทพฯ บริเวณชั้น G ห้างสรรพสินค้าสยาม ทาคาชิมายะ (ไอคอนสยาม) โดยจะมีกิจกรรมการทุบโมจิในวันที่ 28 มกราคม 2566 เวลา 15.00 น.

“ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ และ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 3 รุ่น อายุ 4 ปี อายุ 7 ปี และอายุ 12 ปี เสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป(ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน) อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง [2.95 – 4.35]% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน คาดว่าจะเสนอขายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566

ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร รวมถึงขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet โดยบริษัทฯ และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A+ แนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566

 

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 3 รุ่น ประกอบด้วย รุ่นอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย [2.95 – 3.10]% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.55 – 3.75]% ต่อปี และรุ่นอายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ย [4.20 – 4.35]% ต่อปี สำหรับหุ้นกู้รุ่นอายุ 12 ปี บริษัทฯ สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้เมื่อหุ้นกู้ครบปีที่ 7 โดยหุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ จะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป คาดว่าจะเสนอภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่งที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) รวมถึงมีการขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์นักลงทุนยุคดิจิทัล อีกด้วย

สำหรับหุ้นกู้ชุดดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 ที่ระดับ A+ แนวโน้ม “คงที่” (Stable) ซึ่งสะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ อาทิ การเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทย อีกทั้งมีการรุกขยายธุรกิจออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คือประเทศกัมพูชา และ สปป.ลาว ลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง มีเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ ได้รับผลตอบรับสูงจากลูกค้า โดยปัจจุบันมีลูกค้าสมาชิก “All Member” อยู่มากกว่า 14 ล้านคน

ทั้งนี้ “ซีพี ออลล์” เป็นผู้ประกอบธุรกิจหลักในการบริหารร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ที่ให้บริการความสะดวกกับชุมชน โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 บริษัทฯ มีสาขา “เซเว่น อีเลฟเว่น” เปิดให้บริการมากกว่า 13,000 สาขา และภายในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 700 สาขา ในรูปแบบ Standalone โดยเน้นร้านขนาดใหญ่ในรูปแบบร้านเดี่ยว (Standalone) ที่มีพื้นที่จอดรถหน้าร้าน ส่วนการขยายสาขาในต่างประเทศ คาดว่าในปี 2566 จะเริ่มเห็นสาขาของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ใน สปป.ลาว ขณะที่ในประเทศกัมพูชามีการเปิดสาขาไปแล้วกว่า 40 สาขา และยังจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจแบบ O2O ที่ผสมผสานช่องทาง Omni-Channel ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงบริการเดลิเวอรี่ของ ‘เซเว่น อีเลฟเว่น’ (7Delivery) ที่จัดส่งสินค้าถึงบ้าน ผ่านทางแอปพลิเคชั่น เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคอีกด้วย

“การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีของผู้ลงทุนที่แสวงหาการลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ และเป็นกิจการที่มีความมั่นคงภายใต้อุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ภายหลังจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ผลการดำเนินงานของซีพี ออลล์ ในไตรมาส 3 ปี 2565 ที่ผ่านมามีการฟื้นตัวและเติบโตอย่างโดดเด่น และยังมีแนวโน้มที่ดีในผลการดำเนินงานสำหรับปี 2565 และต่อเนื่องในปี 2566 จากธุรกิจท่องเที่ยวที่เติบโตสูง อีกทั้งบริษัทฯ ยังเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนระดับโลก โดยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มอุตสาหกรรม Food & Staples Retailing กลุ่มดัชนี DJSI Emeeging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 (2017-2022) และกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (2018-2022) โดย “ซีพี ออลล์” เป็นองค์กรเดียวในประเทศไทยในกลุ่มดัชนี DJSI World ของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยตอกย้ำความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนที่จะเลือกลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันนายเกรียงชัยกล่าว

 

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ บมจ.ซีพี ออลล์ ซึ่งกำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินทั้ง 7 แห่ง

1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking ได้อีก 1 ช่องทาง)

2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน KMA ได้อีก 1 ช่องทาง)

3. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai Next ได้อีก 1 ช่องทาง)

4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 ต่อ 819 (โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา)

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)

6. ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Mobile Application - CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)

7. บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-165-5555

* ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

** ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

 

ทั้งนี้ ผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านทางระบบจองซื้อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ในแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ พร้อมภาพตัวอย่างประกอบโดยสังเขปได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำเรื่องขั้นตอน และวิธีการสมัครจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

KBank Private Banking ผู้ให้บริการที่ปรึกษาการบริหารทรัพย์สินภายในครอบครัวครบวงจรและครอบคลุมทุกมิติได้ถอดบทเรียนจากซีรีส์เกาหลี เผย 4 เทคนิค ยุติศึกชิงธุรกิจครอบครัว “วางแผน-กำหนดกติกา-สร้างการมีส่วนร่วม-บริหารอย่างมืออาชีพ

พร้อมรักษาสายสัมพันธ์ของครอบครัวให้การส่งต่อธุรกิจเป็นไปอย่างยั่งยืน แม้การทำธุรกิจร่วมกับคนในครอบครัวจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็มีหลายครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ สามารถบริหารและส่งต่อธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นได้

นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า สิ่งที่มาควบคู่กับธุรกิจครอบครัว ก็คือความอ่อนไหวและความเคยชินในการเป็นสมาชิกครอบครัว การข้ามผ่านความเป็นครอบครัวไปสู่การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพจึงเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ ครอบครัว แต่ก็ไม่ใช่ว่าการก้าวผ่านความเป็นธุรกิจครอบครัวจะไม่สามารถทำได้ ในประเทศไทยเองก็มีหลายธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จและสามารถส่งต่อธุรกิจกันมาหลายต่อหลายรุ่น\

ล่าสุด เรื่องราวประเด็นปัญหาของการส่งต่อธุรกิจ ได้ถูกนำมาถ่ายทอดเป็นซีรีส์เกาหลีที่ได้รับความนิยม เล่าเรื่องเกี่ยวกับตระกูลมหาเศรษฐีที่บริหารธุรกิจกันโดยสมาชิกในครอบครัว สะท้อนให้เห็นถึงปมปัญหาธุรกิจครอบครัวที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรุ่นพ่อไปสู่รุ่นลูก โดยที่พ่อยังยึดมั่นในธรรมเนียมดั้งเดิมที่ต้องการส่งต่อธุรกิจให้กับลูกชายคนโต เมื่อเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรม พี่น้องจึงพร้อมแย่งชิงธุรกิจและทรัพย์สมบัติกันเองจนแทบไม่เหลือความเป็นครอบครัว

KBank Private Banking ได้ถอดบทเรียนจากซีรีส์เกาหลี สรุปปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การส่งต่อธุรกิจครอบครัวประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 4 ประการได้แก่ “วางแผน-กำหนดกติกา-สร้างการมีส่วนร่วม-บริหารอย่างมืออาชีพ” โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. วางแผน สมาชิกในครอบครัวต้องร่วมกันกำหนดเป้าหมาย และร่วมกันวางแผนเพื่อให้สามารถเดินไปถึงเป้าหมายนั้นได้ ซึ่งนอกจากจะต้องวางแผนในเชิงธุรกิจแล้ว ระบบการจัดการภายในเป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้น ครอบครัวที่ประสบความสำเร็จจึงต้องมีการตั้งเป้าหมาย วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของครอบครัว วางแผน และลงมือปฏิบัติเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ เช่น ตั้งเป้าหมายให้ผลิตภัณฑ์ของครอบครัวเป็นสินค้าระดับโลก ธุรกิจครอบครัวจะต้องมีการปรับตัวอย่างไร สมาชิกต้องมีบทบาทและหน้าที่อะไรบ้าง สิ่งใดเป็นข้อดี สิ่งใดที่ยังขาด จะต้องมีการนำเรื่องเหล่านี้มากำหนดเป็นแผน และทำให้สมาชิกทุกคนเข้าใจตรงกัน เป็นต้น

2. กำหนดกติกา สมาชิกครอบครัวจะต้องมีการกำหนดกติกาต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ลดความขัดแย้ง โดยสมาชิกจะต้องรับรู้ถึงบทบาท สิทธิและหน้าที่ของตนเอง รวมถึงผลประโยชน์ที่สมาชิกครอบครัวแต่ละคนจะได้รับ ซึ่งหากเป็นการตกลงร่วมกัน จะช่วยลดความรู้สึกไม่เป็นธรรม นอกจากกติกาแล้ว การบริหารจัดการยังจะต้องแยกเสาหลักของการจัดการ “ธุรกิจ” และ “ครอบครัว” ออกจากกัน แต่ยังต้องมีความเชื่อมโยงซึ่งประสานประโยชน์ระหว่างสองเรื่องนี้ได้ เช่น การบริหารจัดการธุรกิจอาจทำเป็นระบบเช่นเดียวกับองค์กรธุรกิจทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันการตัดสินใจในฐานะผู้ถือหุ้น การปันผลเพื่อประโยชน์ของสมาชิกในครอบครัว ยังคงเป็นเรื่องภายในครอบครัว เป็นต้น

3. สร้างการมีส่วนร่วม สมาชิกในครอบครัวไม่จำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนในการดำเนินธุรกิจหรือระบบการจัดการภายในครอบครัวทุกคน แต่สิ่งสำคัญคือการยึดถือและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามกติกาที่ครอบครัวได้ตกลงร่วมกันไว้ นอกจากนี้ การสื่อสารภายในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างความเข้าใจ ลดความเคลือบแคลงที่อาจเกิดเป็นปัญหาผิดใจกัน และส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ ในปัจจุบัน หลายๆ ครอบครัวจะมีการจัดกิจกรรมระหว่างสมาชิกครอบครัวในรุ่นต่างๆ เพื่อให้คนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น ลูกพี่ลูกน้อง ป้าหลาน ปู่ย่าตายาย มีความใกล้ชิดกัน ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีในแง่ของความสัมพันธ์ในครอบครัวแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจครอบครัวมีความเข้มแข็งอีกด้วย

4. บริหารอย่างมืออาชีพ หนึ่งในการข้ามผ่านความเป็นธุรกิจครอบครัวคือการบริหารอย่างมืออาชีพ บางครอบครัวอาจมีข้อตกลงร่วมกันที่จะว่าจ้างผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัว เพื่อทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ บางครอบครัวอาจจะยังให้สมาชิกในครอบครัวบริหารเองอยู่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อให้มีความพร้อมในการบริหารมากขึ้น นอกจากตัวบุคคลแล้ว โครงสร้างของธุรกิจครอบครัว จะต้องมีการจัดระบบที่สามารถรองรับการบริหารอย่างมืออาชีพได้แทนการบริหารจัดการธุรกิจแบบครอบครัวอย่างเดิม

สำหรับการส่งมอบบริการบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัว KBank Private Banking นำประสบการณ์และองค์ความรู้กว่า 225 ปีที่ได้รับถ่ายทอดจาก Lombard Odier ซึ่งยังเป็นธุรกิจครอบครัวที่ส่งต่อกันมาถึง 7 รุ่นด้วยกัน ทำให้สามารถส่งมอบบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวได้อย่างครบวงจร เพื่อช่วยให้ทุกครอบครัวสามารถวางแผนและดำเนินการบริหารธุรกิจครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการเติบโตให้สินทรัพย์ครอบครัวงอกเงยอย่างยั่งยืน ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างเป็นระบบได้ และเป็นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยต่อไป” นายพีระพัฒน์ กล่าวปิดท้าย

 

สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ปรับตัว ผ่าน “มาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัว” ภายใต้พ.ร.ก.ฟื้นฟูฯ มุ่งเสริมศักยภาพการแข่งขันผู้ประกอบการ รับ 3 เมกะเทรนด์ธุรกิจโลกยุคใหม่“เทคโนโลยีดิจิทัล ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต” หนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยาวนาน เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดบริบทโลกใหม่ (New Normal) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและทิศทางการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ เพื่อรับกับทิศทางธุรกิจในอนาคต จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนออกมาตรการ“สินเชื่อเพื่อการปรับตัว” ต่อยอดจากสินเชื่อฟื้นฟู ภายใต้ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564 (พ.ร.ก.ฟื้นฟูฯ) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ สำหรับการลงทุนปรับปรุง พัฒนาและเสริมศักยภาพธุรกิจให้สอดรับกับ New Normal ใน 3 รูปแบบ คือ 1.กระแสเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital) 2.การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green) 3.นวัตกรรมแห่งโลกอนาคต (Innovation) ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ธุรกิจของโลก

มาตรการ “สินเชื่อเพื่อการปรับตัว” เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อการลงทุนสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ในช่วงที่เศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวและทิศทางอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยธปท. ได้ปรับหลักเกณฑ์ขยายวงเงินกู้สูงสุด 150 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก ไม่เกิน 2% ต่อปี และเฉลี่ย 5 ปี ไม่เกิน 5% ต่อปี ขณะที่เงื่อนไขการค้ำประกันยืดหยุ่นขึ้น เพื่อเอื้อต่อการเข้าถึงสินเชื่อและส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย สำหรับ SMEs ที่ไม่มีความประสงค์ในการกู้เพื่อลงทุนใหม่ สามารถขอสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อหมุนเวียนทั่วไป ผ่านมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูที่ยังดำเนินการควบคู่กันได้

สมาคมธนาคารไทย และ ธนาคารสมาชิก พร้อมสนับสนุนมาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัวอย่างเต็มกำลัง ปัจจุบันมีสถาบันการเงินที่ได้จัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อการปรับตัวแล้วจำนวน 16 แห่ง โดยผู้ประกอบธุรกิจที่ประสงค์ขอสินเชื่อเพื่อการปรับตัวสามารถติดต่อสถาบันการเงินได้โดยตรง สามารถดูรายชื่อสถาบันการเงินและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ของ ธปท. ได้ที่ มาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัว ภายใต้ พ.ร.ก. ฟื้นฟูฯ (bot.or.th)

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สมาคมธนาคารไทยได้ประสานความร่วมมือกับธปท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการในระยะสั้น โดยสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้ถึง 7.7 หมื่นราย วงเงินรวม 1.4 แสนล้านบาท มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู ให้ความช่วยเหลือ 5.9 หมื่นราย คิดเป็นยอดอนุมัติสินเชื่อกว่า 2.1 แสนล้านบาท มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ ให้ความช่วยเหลือ 413 ราย คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอนราว 5.8 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าแก้ไขปัญหาหนี้ได้ตรงจุด ทันการณ์ และยั่งยืน เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ผ่านวิกฤต มีความพร้อมกลับมาเติบโตได้อย่างยั่งยืน

แอร์บัสจะเปิดรับพนักงานใหม่ในปี 2566 กว่า 13,000 อัตราทั่วโลก

ทั้งนี้ แอร์บัสมุ่งหมายที่จะเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ในปี 2566 จำนวนกว่า 13,000 อัตราทั่วโลก สำหรับทุกหน่วยธุรกิจของแอร์บัส เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของเครื่องบินพาณิชย์ ที่เผชิญกับความท้าทายในภาคอากาศยานเพื่อการป้องกันประเทศและอวกาศ และเฮลิคอปเตอร์  โดยการจ้างงานใหม่ จะเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมและการดำเนินการตามแผนงานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonisation) ของแอร์บัส รวมถึงการเตรียมความพร้อมอนาคตของการบิน

นายเธียรี่ บาริล (Thierry Baril) ประธานเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล และบริหารจัดการสถานที่ทำงานของแอร์บัส กล่าวว่า “ในปี 2565 เราได้เปิดรับพนักงานใหม่กว่า 13,000 คนในทีมแอร์บัสทั่วโลก ภายใต้ สภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนซึ่งทดสอบความยืดหยุ่นและความน่าดึงดูดของเราในฐานะนายจ้างระดับโลก

และเสริมอีกว่า “ภายหลังความสำเร็จของการสรรหาบุคลากรเมื่อปีที่ผ่านมา เราจะเปิดรับพนักงานอีกครั้ง ในปี 2566 จำนวนกว่า 13,000 อัตรา และเราขอเชิญชวนบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจากทั่วทุกมุมโลก มาร่วมกันสร้างความยั่งยืนด้านการบินและอวกาศให้เกิดขึ้นจริง และมาช่วยให้เราได้สร้างสิ่งที่ดีกว่า สร้างการยอมรับในความแตกต่างหลากหลายและการมีส่วนร่วมในองค์กรให้มากขึ้นสำหรับพนักงานของเราทุกคน” การสรรหาบุคลากรครั้งใหม่นี้จะครอบคลุมเครือข่ายแอร์บัสทั่วโลก โดยมุ่งเน้นไปที่โปรไฟล์บุคลากรด้านเทคนิคและการผลิต ตลอดจนการได้มาซึ่งบุคลากรที่มีทักษะใหม่ๆ (new skills) ที่สนับสนุนวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทในด้านต่างๆ เช่น พลังงานใหม่ ,ไซเบอร์และดิจิทัล  ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครงานนี้กว่า 9,000 อัตราจะอยู่ในยุโรป และส่วนที่เหลือจะกระจายไปทั่วเครือข่าย ทั่วโลกของเรา โดยหนึ่งในสามของตำแหน่งที่รับสมัครจะถูกจัดสรรให้กับผู้สำเร็จการศึกษาล่าสุด"

ปัจจุบัน แอร์บัสมีการจ้างงานมากกว่า 130,000 ต าแหน่งในหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ของแอร์บัสทั่วโลก แอร์บัส เพิ่งได้รับการรับรองและมอบรางวัล Top Employers ในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิ ก จาก สถาบันท็อป เอ็มพลอยเยอร์ส (Top Employers Institute) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระระดับโลกที่ยกย่องความ ความเป็นเลิศด้านการบริหารองค์กรและการดูแลพนักงาน

หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับต าแหน่งงานอื่น ๆ ที่แอร์บัสเปิดรับ ผู้สมัครที่มีศักยภาพพร้อมพัฒนา สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแอร์บัสได้ที่  https://www.airbus.com/en/careers

 

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินธุรกิจบริการดิจิทัลในปี 2566 มีมูลค่าถึง 5.6 แสนล้านบาทเติบโตกว่า 20% จากพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปเป็นออนไลน์มากขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 เร่งให้เกิดการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเร็วมากขึ้นและมีการแข่งขันที่สูงขึ้น แนะธุรกิจปรับตัวนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI มาประยุกต์ใช้ และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจการบริการให้ครบวงจร

ปัจจุบันธุรกิจบริการดิจิทัล (Digital Services) เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนและเป็นขั้นตอนกระบวนการสำคัญของภาคธุรกิจมากขึ้นอย่างชัดเจน ไม่เพียงเป็นประโยชน์ในด้านการสื่อสาร แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้เชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก โดยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจบริการดิจิทัลในประเทศมีรายได้เติบโตต่อเนื่อง ผลจากการปรับตัวของผู้ประกอบการเพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันธุรกิจบริการดิจิทัลของไทยในรูปแบบแพลตฟอร์มดิจิทัล รองรับธุรกรรมออนไลน์ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ตั้งแต่การทำธุรกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันผ่านระบบออนไลน์ โดยในปี 2564 มีธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ 1) บริการสื่อบันเทิงออนไลน์ (Online Media) มูลค่าตลาด 1.3 แสนล้านบาท หรือสัดส่วน 38% 2) บริการขนส่ง E-Logistics มูลค่าตลาด 9 หมื่นล้านบาท สัดส่วน 26% 3) บริการซื้อขายสินค้าออนไลน์ (E-Retail หรือที่รู้จักคือ E-Commerce) มีมูลค่าตลาด 5.9 หมื่นล้านบาท สัดส่วนรายได้อยู่ที่ 17% และ 4) บริการอื่น ๆ มีมูลค่า 6.5 หมื่นล้านบาท สัดส่วน 19% เช่น บริการด้านการศึกษาออนไลน์ และบริการด้านสาธารณสุข/สุขภาพออนไลน์ (E-Health)

โดยสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปี 2563-2564 ถือเป็นช่วงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ช่วยผลักดันบริการดิจิทัลในภาพรวมเติบโตกว่า 36% จากการที่ผู้ประกอบการนำกลยุทธ์ Digital Transformation มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจเต็มตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องพึ่งพาการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการปรับตัวและมีความคุ้นเคยกับการใช้บริการธุรกิจบริการดิจิทัลจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2565 คนไทยมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 3.4% ทำให้ปัจจุบันระดับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 78% ของประชากรทั้งหมด อีกทั้งยังมีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันถึงกว่า 9 ชั่วโมง สูงเป็นอันดับ 7 ของโลกที่มีค่าเฉลี่ยราว 7 ชั่วโมงต่อวัน

ปัจจุบันธุรกิจบริการดิจิทัลที่มีรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าเป็นหลัก มีอัตราการเติบโตของรายได้มากกว่ากลุ่มที่ทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มบริการดิจิทัลอื่น ๆ กว่า 2 เท่า โดยพบว่าธุรกิจบริการดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายมีการเติบโตต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจ E-Logistics และ E-Retail ที่เติบโตได้ 58% และ 44% ในปี 2564 ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานมีการซื้อสินค้าและการใช้บริการออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ส่วนธุรกิจบริการดิจิทัลที่มีรายได้มาจากแพลตฟอร์มบริการดิจิทัลอื่น ๆ พบว่ามีอัตราการเติบโตที่แผ่วลง เช่น ธุรกิจ Online Media มีการเติบโตในปี 2564 ราว 28% มีรายได้หลักมาจากสื่อโฆษณาออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เช่น Facebook และ YouTube โดยในปี 2565 สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตของไทยได้สูงถึง 92% และ 79% ตามลำดับ ถือเป็นอัตราการเข้าถึงที่สูง

อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นทิศทางการเติบโตอย่างรวดเร็วในบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ (E-Health) ถึงแม้ปัจจุบัน E-Health จะยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่น้อย แต่มีการเติบโตของรายได้ในปี 2564 ก้าวกระโดดกว่า 50% จากการที่ผู้ให้บริการเริ่มหันมาสนใจให้บริการด้านสุขภาพกันมากขึ้น อาทิ ระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) กอปรกับ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-Aged Society) คือการมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปในสัดส่วนมากกว่า 20% ในอีก 8 ปีข้างหน้า

จากมูลค่าตลาดธุรกิจดิจิทัลในภาพรวมราว 4.5 แสนล้านบาทในปี 2565 ttb analytics คาดว่าในปี 2566 นี้ ธุรกิจบริการดิจิทัลยังมีแนวโน้มเติบโต 24% มูลค่าอยู่ที่ 5.6 แสนล้านบาท จากการที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มพัฒนาเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีด้านดิจิทัลส่งผลกระทบด้านบวกต่อภาคธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้มีการพัฒนาต่อยอดบริการดิจิทัลใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองอุปสงค์ที่เป็นลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลมากขึ้น สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจบริการดิจิทัลทั่วโลกที่มีการเติบโตเฉลี่ยกว่า 34% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ E-Logistics และ E-Retail แม้ว่าจะมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 43% แต่ธุรกิจมีการแข่งขันค่อนข้างสูง และยังมีการทุ่มงบประมาณด้านการตลาดเพื่อรักษาฐานลูกค้า ในขณะที่กลุ่มแพลตฟอร์มบริการดิจิทัลอื่นๆเป็นกลุ่มที่ยังคงมีการเติบโตในระดับสูง

ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจบริการดิจิทัลควรมีการปรับตัว เพื่อเตรียมรองรับการขยายตัวของธุรกิจบริการดิจิทัลและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ภายใต้แรงกดดันด้านกำไรที่ลดน้อยลงตามกระแสธุรกิจโลก โดยนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ เช่น นำระบบ AI มาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูล ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจากคำถามและพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อผู้ใช้บริการได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้บริการ และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เชื่อมการบริการของธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้ครบวงจร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและสร้างความพึงพอใจให้ผู้บริโภค

ปี 2565 เป็นรอยต่อสำคัญจากช่วงโควิดระบาด จนมาถึงช่วงที่ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ในปีที่ผ่านมา foodpanda ได้เห็นพฤติกรรมของลูกค้า ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากหลาย ๆ ปัจจัย อาทิ สภาพสังคม เศรษฐกิจ โซเชียลมีเดียเทรนด์ เทคโนโลยี เป็นต้น

foodpanda จึงรวบรวมสถิติที่น่าสนใจ เพื่อให้เป็นประโยชน์กับลูกค้า พันธมิตรร้านค้า พันธมิตรไรเดอร์ รวมถึงนักการตลาดในวงการอาหารเครื่องดื่มและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาและเตรียมกลยุทธ์ในการทำธุรกิจในปี 2566 นี้

ที่สุดของอาหารของกินของใช้ยอดนิยม แห่งปี 2565!

foodpanda ได้รวบรวมเมนูอาหาร และของกินของใช้ ที่เป็นแชมป์ครองใจลูกค้ามาตลอดปี 2565 เป้าหมายของการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคนอกจากจะทำให้ foodpanda สามารถออกแบบสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าที่สุด ข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจอาหารของกินของใช้ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ให้สามารถคาดการณ์ตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้

· ประเภทอาหารเดลิเวอรี่ ยอดนิยม 10 อันดับแรก

1. อาหารไทย

2. อาหารอเมริกัน

3. อาหารนานาชาติ

4. อาหารญี่ปุ่น

5. อาหารอิตาเลี่ยน

6. อาหารเกาหลี

7. อาหารจีน

8. อาหารอินเดีย

9. อาหารเม็กซิกัน

10. อาหารเวียดนาม

· เมนูอาหารและเครื่องดื่มเดลิเวอรี่ ยอดนิยม 10 อันดับแรก

1. ข้าวกะเพรา

2. กาแฟ

3. ข้าวผัด

4. ข้าวมันไก่

5. ก๋วยเตี๋ยว

6. ชาเขียว

7. ชานมไข่มุก

8. ส้มตำปู

9. ไก่ย่าง

10. ผัดไทย

Fun fact ของการสั่งอาหาร:

1. รู้หรือไม่? ข้าวมันไก่เป็นเมนูที่มักถูกสั่งในช่วงเช้าตั้งแต่ 6.00 - 9.00 น.

2. วันที่ลูกค้าสั่งอาหารมากที่สุดคือวันหยุดสุดสัปดาห์ และวันอังคาร วัน foodpanda

3. บริการรับเองที่ร้าน หรือ Pick-up ของ foodpanda ถูกใช้ในเมนู ‘เครื่องดื่ม’ มากที่สุด

· สินค้าประเภทของกินของใช้เดลิเวอรี่ ยอดนิยม 5 อันดับแรก

1. น้ำดื่มและน้ำอัดลม

2. ขนมขบเคี้ยว

3. ผลิตภัณฑ์นม

4. เครื่องปรุง

5. บะหมีกึ่งสำเร็จรูป และเครื่องดื่มชูกำลัง

Fun Fact ของการสั่งของกินของใช้:

ช่วงเวลาที่ลูกค้ากดสั่งของกินของใช้จากแอปฯ foodpanda มากที่สุดคือตั้งแต่ 8.00 น. - 19.00 น. ในแต่ละวัน

pandamart และ foodpanda shops ช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องละจากงานสำคัญ และยิ่งกว่านั้นไม่ต้องฝ่ารถติดให้หงุดหงิดใจ เฉลี่ยประมาณ 25 นาที ของที่สั่งก็มาส่งถึงที่โดยไรเดอร์ foodpanda

· สถิติอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก foodpanda

o 5,222,897,639 กิโลเมตร (ไปดวงจันทร์ได้ 1,200 ครั้ง) ที่ไรเดอร์ได้ตระเวณส่งความสุข ผ่านทุกบริการของ foodpanda ทั่วประเทศไทย

กลยุทธ์ foodpanda ประเทศไทย

ในคอนเทนต์นี้นอกจาก foodpanda จะแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แล้ว

ศิริภา จึงสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) foodpanda ประเทศไทย ได้เผยถึงกลยุทธ์ในปีนี้ของ foodpanda ประเทศไทยไว้ว่า เป้าหมายระยะยาวของ foodpanda คือการสร้างแบรนด์ที่เป็นมิตร เป็นเพื่อนที่รู้ใจของลูกค้า ซึ่งในยุคที่ Brand Loyalty เป็นเรื่องท้าทายสำหรับทุกองค์กร foodpanda ได้วางกลยุทธ์ที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายระยะยาวได้ ดังนี้;

· มอบบริการที่มีคุณภาพ สะดวกสบาย และเข้าถึงง่าย foodpanda จะเป็นเพื่อนรู้ใจ ที่ทำให้ทุกเรื่องในชีวิตคุณเป็นเรื่องง่าย เพราะมีบริการทั้งของกินของใช้ ที่ครอบคลุมฟู้ดเดลิเวอรรี่, pandamart, foodpanda shops, รับเองที่ร้าน (Pick-up) และ pandago รวมถึง Subcription Program อย่าง pandapro ที่มีสิทธิประโยชน์มากมาย และส่วนลดสำหรับทานที่ร้าน (Dine-in)

· เป็นแพลตฟอร์มส่งอาหารของกินของใช้ ที่ลูกค้าไว้วางใจที่สุด ส่งเร็วภายใน 25 นาที ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยในการคำนวนเวลา โดยเริ่มตั้งแต่ลูกค้ากดสั่ง เวลาในการเตรียมอาหาร และเส้นทางการส่งสินค้า ทำให้ไรเดอร์ส่งอาหารและของกินของใช้ถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

· สร้าง Community ระหว่างแบรนด์และลูกค้าผ่าน Subscription Program ซึ่งก็คือ pandapro มีหัวใจหลักคือการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับธุรกิจ ด้วยการพยายามให้ลูกค้าเดิมยังคงใช้บริการต่อในระยะยาวเพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง สิทธิประโยชน์ของ pandapro มีทั้งจัดส่งฟรี ส่วนลดค่าอาหาร ส่วนลดบริการรับเองที่ร้าน ส่วนลด pandamart และ foodpanda shops รวมถึงส่วนลดสำหรับทานที่ร้าน

· ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ธุรกิจของ foodpanda เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตของพันธมิตรร้านค้า และรายได้ของพันธมิตรไรเดอร์ ซึ่งเป็น Ecosystem สำคัญที่ต้องเติบโตไปด้วยกันกับ foodpanda

นอกจากกลยุทธ์หลักข้างต้น เรายังมี ‘เปาเปา’ แบรนด์แอมบาสเดอร์สุดน่ารักของ foodpanda ที่จะมีเซอร์ไพรส์อีกครั้งในปีนี้แน่นอน ขอให้ทุกคนรอติดตามกันไม่นานเกินรอ ขอฝากเปาเปาและ foodpanda ไว้ในใจ ไว้บนหน้าจอมือถือด้วยนะคะ” ศิริภาทิ้งท้าย

 

 

นับเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมการบิน ที่นักเดินทางจะได้รับคะแนนสะสมก่อนออกเดินทาง โดยสมาชิก กาตาร์ แอร์เวย์ พริวิเลจคลับ (QRPC) จะได้รับ  Avios ของพริวิเลจคลับ สองชั่วโมงก่อนออกเดินทาง ทำให้สมาชิกสามารถสะสมและใช้คะแนนแลกซื้อสินค้าจากแบรนด์ค้าปลีกคุณภาพ รวมถึงร้านอาหารและเครื่องดื่มกว่า 200 แห่งที่ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลก

เริ่มแล้วที่ ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2023 เป็นต้นไป ที่ผู้โดยสารที่เป็นสมาชิก กาตาร์ แอร์เวย์ส พริวิเลจคลับที่เป็นผู้โดยสารขาออก  ที่ออกเดินทางทุกจุดบิน จะสามารถสะสมและใช้คะแนน Avios ได้ที่ร้านค้าเกือบ 200 แห่งในท่าอากาศยานนานาชาติฮามัด (HIA) ด้วยความร่วมมือกับ กาตาร์ ดิวตี้ ฟรี (QDF) เมื่อทำการเช็คอินและคะแนนจะเข้าสะสมในบัญชีไม่เกิน 120 นาทีก่อนออกเดินทาง

นั่นหมายถึงสมาชิก กาตาร์ แอร์เวย์ส พริวิเลจคลับ จะสามารถสะสมและใช้คะแนน Avios ใช้ซื้อสินค้าจากร้านค้าแฟชั่นสุดหรูและร้านอาหารระดับโลกมากมายที่ HIA โดยล่าสุดได้เปิดตัวส่วนต่อขยายขนาดใหญ่ ซึ่งมีศูนย์กลางการช้อปปิ้งสุดหรูภายใต้ชื่อ “ORCHARD” ในสวนเขตร้อนที่มาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษจากแบรนด์ดังมากมาย

นายอัคบาร์ อัล บาเกอร์ ประธานบริหารกลุ่มสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส กล่าวว่า “เราได้ทำการปรับปรุงและอัปเกรดตัวเลือกการแลกรางวัลของเราสำหรับลูกค้าขาประจำของ กาตาร์ แอร์เวยส์ โดยพวกเขาสามารถสัมผัสประสบการณ์การช้อปปิ้งและการรับประทานอาหารภายในท่าอากาศยานที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ซึ่งความคิดริเริ่มนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่แสดงให้เห็นว่า กาตาร์ แอร์เวย์ส มุ่งมั่นที่จะก้าวไปอีกขั้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพการบริการของเราด้วยการมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นให้แก่สมาชิก เราอยากให้ทุกคนที่เดินทางผ่าน HIA ได้มีโอกาสลองสะสมและใช้คะแนน Avios ในรูปแบบที่ง่ายกว่าที่เคยมีมา”

Avios คือคะแนนรางวัลของ กาตาร์ แอร์เวย์ส พริวิเลจคลับ และเป็นสกุลคะแนนของ กาตาร์ แอร์เวยส์ ที่มอบสิทธิประโยชน์มากมายให้กับสมาชิกที่บินกับ กาตาร์ แอร์เวย์ส เป็นประจำ โดยคะแนน Avios สามารถนำมาใช้ร่วมกับเงินสดได้เพื่อชำระค่าใช้จ่ายบางส่วนแทนเงินสดได้ โดยที่สมาชิกจะได้รับคะแนน Avios เมื่อสมาชิกหรือคนในครอบครัวที่ได้รับสิทธิ์ เดินทางกับ กาตาร์ แอร์เวย์ส สายการบินในกลุ่มวันเวิลด์ หรือพันธมิตรสายการบินอื่นๆ นอกจากนี้สมาชิกยังสามารถได้รับคะแนน Avios เมื่อใช้บริการของพันธมิตรที่มีทั่วโลกของ กาตาร์ แอร์เวย์ส ซึ่งมีมากกว่า 100 ราย คะแนน Avios สามารถนำมาใช้จ่ายได้หลายรูปแบบ ซึ่งจากการพัฒนาล่าสุด สมาชิกจะสามารถนำ Avios มาใช้ในการช้อปปิ้งและรับประทานอาหารที่ กาตาร์ ดิวตี้ ฟรี ได้อีกด้วย

X

Right Click

No right click