โดยแบ่งเป็นความเสียหายจาก 2 กรณีหลัก คือ 1) การแอบอ้างชื่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าไปสร้างบัญชี Line การอ้างชื่อเจ้าหน้าที่กรมฯ และนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และ 2) การปลอมเอกสาร/เอกสารราชการ โดยกรมฯ ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และฝากประชาชนให้หนักแน่น ไม่เชื่อคำเชิญชวนของมิจฉาชีพ ประกอบกับต้องรอบคอบตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจหรือร่วมลงทุน
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกรมพัฒนาธุรกิจการค้าขึ้น เพื่อให้ข้อแนะนำและช่วยเหลือในการดำเนินคดีกับ ผู้แอบอ้างดังกล่าว ที่ผ่านมาคณะทำงานฯ ได้รับเบาะแสจากประชาชนที่แจ้งเข้ามาผ่านช่องทางสื่อสารของกรมฯ อย่างต่อเนื่อง และมอบหลักฐานสำคัญ อาทิ หมายเลขโทรศัพท์ ภาพการสนทนาผ่านทางระบบ Line กับมิจฉาชีพซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญต่อการแจ้งความดำเนินคดี โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
1) แอบอ้างชื่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าไปสร้างบัญชี Line และอ้างชื่อเจ้าหน้าที่กรมฯ เพื่อใช้ติดต่อนิติบุคคลให้ยืนยันข้อมูลหรือกรอกข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน หากหลงเชื่อทำตามก็จะถูกเชื่อมโยงข้อมูลส่วนตัวกับแอพพลิเคชันทางการเงินที่ติดตั้งในโทรศัพท์และดูดเงินออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งกรมฯ และเจ้าหน้าที่ที่ถูกแอบอ้างชื่อได้แจ้งความดำเนินคดีแล้ว โดยความผิดเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสร้างความเสียหาย ต่อประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2) การปลอมหนังสือรับรองนิติบุคคล หรือใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเพื่อเอามาใช้หลอกประชาชนให้เชื่อว่ามีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจขึ้นจริง สร้างความมั่นใจจนหลงเชื่อยินยอมทำตามที่มิจฉาชีพบอกหรือเข้าร่วมในธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการปลอมประกาศกรมฯ โดยมีเนื้อหาให้นิติบุคคลยืนยันข้อมูลทางแอพพลิเคชัน MOC ของกระทรวงพาณิชย์ และระบบ e-Registration ของกรมฯ ซึ่งทั้งหมดไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ กรมฯ ได้แจ้งความดำเนินคดีไว้แล้วในท้องที่ ฐานปลอมเอกสาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และฐานปลอมเอกสารราชการ จำคุก 6 เดือน-5 ปี ปรับ 1,000-10,000 บาท รวมถึงมีการนำเอกสารดังกล่าวไปหาประโยชน์และสร้างความเสียหายแก่ประชาชนทำให้ความผิดนี้ มีอายุความ 10 ปี
“จากประเด็นความเสียหายข้างต้นกรมฯ ได้ส่งเรื่องจากผู้เสียหายที่มีหลักฐานครบถ้วนถึงการกระทำผิดที่เกี่ยวกับกรมฯ ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด ทั้งนี้ ขอเตือนภัยไปยังประชาชนและธุรกิจให้ใช้ความระมัดระวัง ไม่ประมาทหลงเชื่อคำเชิญชวนต่างๆ หากพลาดพลั้งไปแล้วขอให้นำหลักฐานไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อช่วยกันหยุดการกระทำของมิจฉาชีพไม่ให้สร้างความเสียหายไปมากกว่านี้ และเมื่อจะทำธุรกรรมใดขอให้ตรวจสอบอย่างรอบคอบ ซึ่งกรมฯ มีบริการตรวจค้นข้อมูลนิติบุคคลผ่านระบบ DataWarehouse+ เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ และการออกประกาศใดๆ ของกรมฯ ก็สามารถเข้าดูได้ที่ www.dbd.go.th อย่างไรก็ดี หากมีข้อสงสัยหรือสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการของกรมฯ สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน 1570” อธิบดี กล่าวในท้ายที่สุด