บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้แจงเบื้องต้นตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ออกหนังสือฉบับลงวันที่ 12 มีนาคม 2567 ขอให้ชี้แจง กรณียอดเงินสดในบัญชีของบริษัทฯ เปรียบเทียบกับหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในระยะเวลา 1 ปี

นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ฝ่ายบริหารของบริษัทฯได้ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า “ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ตามข้อมูลในรายงานงบการเงินบริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ คิดเป็นร้อยละ 0.58 ซึ่งคำนวณจากราคาสินทรัพย์ประเภทที่ดินของบริษัท ในราคาทุน โดยราคาตลาดของที่ดินมีราคาสูงกว่าราคาทุนมาก อาทิ ที่ดินที่เขาใหญ่ หรือสัตหีบ โดยล่าสุด หุ้นกู้ของบริษัท NUSA242A ซึ่งครบกำหนด วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีการชำระเงินต้นทั้งจำนวนแล้วเสร็จตามกำหนด

ทั้งนี้หุ้นกู้ของบริษัทฯและบริษัทในเครือ เป็นหุ้นกู้มีหลักประกันเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยสูงกว่า 1.2 เท่า ณ ปัจจุบัน โดยบริษัทมีการประมาณการกระแสเงินสดตลอดปี 2567 ที่เพียงพอต่อกำหนดการชำระหนี้ทุกประเภท ” นายวิษณุกล่าว

สิงห์ เอสเตท ยื่น filing เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป อายุ 3 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 8 – 9 และ 12 ก.พ. 2567 พร้อมอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้อยู่ที่ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment Grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากการจัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง

หลังจากประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้ในปี 2566 ที่ผ่านมา โดยปิดการขายรวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท ตอกย้ำความมั่นใจและไว้วางใจของผู้ลงทุนต่อการเติบโตของธุรกิจกลุ่ม บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้ยื่นคำขออนุญาตและแบบแสดงรายการข้อมูลตราสารหนี้ (filing) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเป็นหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยคาดว่าจะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ 8-9 และ 12 ก.พ. 2567  โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งสถาบันการเงิน 3 แห่ง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร

โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 ที่ระดับ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment grade) ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) โดยทริสเรทติ้ง ระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแผนการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ที่มองว่าภาระหนี้สินของบริษัทฯ จะอยู่ในทิศทางที่ลดลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อันดับความน่าเชื่อถือยังสะท้อนถึงคุณภาพที่ดีของสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทฯ ตลอดจนแบรนด์ของโครงการที่พักอาศัยที่ได้รับการยอมรับอย่างดี มีผลการดำเนินงานตามแผน และรายได้ประจำจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์อีกด้วย 

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุม ธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน SHR เป็นเจ้าของโรงแรมทั้งสิ้นจำนวน 38 แห่ง ห้องพัก 4,552 ห้อง ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค 5 ประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย บริษัทฯ มีนโยโบายในการพัฒนาทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงหลากหลายรูปแบบโดยมุ่งเน้นที่ Luxury Segment ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ได้แก่ อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในทำเลหลัก ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตและให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานเช่า รวมทั้งการลงทุนในบริษัทร่วมในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 นั้น บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและการบริการจำนวน 10,072 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เติบโตโดดเด่นถึง 34% ด้วยแรงส่งสำคัญจากการเปิดตัว 3 โครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ซึ่งรวมถึงโครงการใหญ่ S’RIN ราชพฤกษ์-สาย 1 ที่มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทและพร้อมเริ่มรับรู้รายได้ทันที  ขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของธุรกิจโรงแรม และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงการปรับปรุงห้องพักโรงแรมสำคัญในไทยและฟิจิในไตรมาส 4 เพื่อเตรียมต้อนรับผู้เข้าพักในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ายังคงมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จากการทยอยรับรู้รายได้ตามการส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารเอส โอเอซิส (S-OASIS) รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ก็ยังมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

รายได้ของสิงห์ เอสเตท ในช่วง 9 เดือนแรกสามารถเติบโตได้ตามแผนการลงทุน ควบคู่กับการคุมต้นทุนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับช่วงการขยายธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ ส่งผลให้เรามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 2,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นตัวพิสูจน์การปรับตัวทางธุรกิจให้สามารถช่วงชิงโอกาสได้ทันกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม และสะท้อนผลสำเร็จจากการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้า ที่สิงห์ เอสเตทได้ทำมาตลอด และเราเชื่อมั่นว่าในไตรมาสที่ 4 เราจะสามารถขับเคลื่อนผลประกอบการที่สูงที่สุดในปีได้ เนื่องจากการรับรู้ยอดโอนของโครงการใหม่ สริน ราชพฤกษ์สาย 1 ที่มีมูลค่า 3,800 ล้านบาทและเปิดตัวในต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจอย่างดีและมียอดจองเป็นไปตามเป้าหมายกว่า 10% รวมถึงพอร์ตโรงแรมของ SHR ซึ่งเป็นผลจากการที่ห้องพักรูปแบบใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว พร้อมเปิดให้บริการลูกค้าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของปี พร้อมทั้งปริมาณความต้องการเดินทางของลูกค้า Long-haul market ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งตามการเปิดเส้นทางบิน

เรามีความมั่นใจที่จะทำตามเป้าหมายในการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อมุ่งเป้าสู่การเติบโตระยะยาว พร้อมด้วยปรัชญาการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยพันธสัญญาต่อลูกค้า คู่ค้า ตลอดจนสังคม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการสนับสนุนการขยายการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง และคงระดับสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนให้เป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการของบริษัท นางฐิติมา กล่าวเสริม

ทั้งนี้ หุ้นกู้ สิงห์ เอสเตท คาดว่าจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนในระหว่างวันที่ 8 – 9 และ 12 ก.พ. 2567 ผ่าน 3 สถาบันการเงินชั้นนำทั่วประเทศ ได้แก่

  • ธนาคารกรุงไทย โทร. 02-111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ได้อีก 1 ช่องทาง)
  • ธนาคารกสิกรไทย (โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) โทร 02-888-8888 กด 819
  • บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร โทร. 02-165-5555 หรือ Application DIME

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากร่างหนังสือชี้ชวน ได้ที่ www.sec.or.th


คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  (“บริษัทฯ” หรือ “LPN”) เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.10% ต่อปี  และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน คาดเสนอขายวันที่ 23 - 25 มกราคมนี้ ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 7 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) 

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เผยว่า LPN กลุ่มบริษัทผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพที่มาพร้อมกับความน่าอยู่ในทุกมิติ เพื่อยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดมานานกว่า 35 ปี พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 2 ชุด โดยเป็นการออก และเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.10% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.40% ต่อปี หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณ 100,000 บาท คาดเสนอขายวันที่ 23 - 25 มกราคม 2567  โดยมีวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำไปชำระคืนหุ้นกู้ และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในกิจการภายในปี 2567

หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ที่ระดับ “BBB” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และมีแนวโน้ม “ลบ” ซึ่งอยู่ในระดับ Investment grade หรือเรียกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้

โดยที่ผ่านมา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการรวมมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งในส่วนของโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมระดับพรีเมียม อาทิ โครงการเรสซิเดนซ์ 168  ราชพฤกษ์, โครงการเมซอง 168 เมืองทอง และบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมในราคาที่จับต้องได้ อาทิ โครงการเวนู 24 คูคต สเตชั่น ,โครงการ เฮ้าส์ 24 เวสต์เกต และอีกหลายหลายโครงการ รวมถึงไปคอนโดมิเนียมคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในวงการอสังหาริมทรัพย์มาตลอด 35 ปี ได้แก่ พาร์ค 168 นพรัตน์ รามอินทรา และแบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา คือ โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. บริเวณนิคมอมตะ จังหวัดชลบุรีเป็นที่แรก สำหรับในส่วนของผลประกอบการ บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 8,000 ล้านบาท ทำให้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 5,562 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 336 ล้านบาท โดยรายได้หลักเกิดการจากการขายโครงการพร้อมอยู่ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และเริ่มทยอยส่งมอบโครงการบ้านพักอาศัยแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังมียอดขายรอโอน (Backlog) อีกกว่า 2,800 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในอนาคตต่อไป

“บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การออกหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน ซึ่งการระดมทุนด้วย การออกหุ้นกู้ของบริษัทฯ ไม่ได้ออกเสนอขายบ่อยนักในแต่ละปี ถือเป็นโอกาสในการลงทุน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ ผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนคงที่ในอัตราที่เหมาะสม ในองค์กรที่มีอันดับ ความน่าเชื่อถือในระดับที่ลงทุนได้ (Investment grade)”

ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ LPN สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.sec.or.th และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
  • บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-009-8351-56
  • บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
  • บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) โทร. 02-625-2422
  • บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675

 

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าเคทีซีได้รับการประเมิน SET ESG Rating ระดับเรตติ้งสูงสุด AAA ในกลุ่มธุรกิจการเงิน และเป็นสมาชิกของดัชนี SETTHSI เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดยเคทีซีจะมุ่งพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี (Environmental, Social and Governance: ESG) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่อไป

ทั้งนี้ ในปี 2566 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ยกระดับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน (SET ESG Ratings) ในรูปแบบของการจัดเรตติ้งโดยแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ AAA, AA, A และ BBB โดยคัดเลือกบริษัทจดทะเบียนที่มีคะแนนจากการตอบแบบประเมินความยั่งยืนผ่าน 50% ในแต่ละมิติ และผ่านเกณฑ์คุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด เช่น มีผลกำไรสุทธิ 3 ใน 5 ปีย้อนหลัง ไม่เป็นบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดจากหน่วยงานทางการ เป็นต้น โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ไปใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกสมาชิกในดัชนี SETESG เพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน และเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุน นักวิเคราะห์การลงทุนและผู้จัดการกองทุน มีข้อมูลใช้ประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ทรู คอร์ปฯ มั่นใจคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำฟ้องกรณีพิพาทระหว่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กับ กสทช. ไม่มีผลต่อการควบรวมของบริษัทที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และถูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการทางกฎหมายเเล้ว

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน (ข้อมูลจาก https://www.trisrating.com/th/) รวมถึงหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("ทรู”) ที่กำลังเสนอขายอยู่ ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ด้วยเหตุที่ว่าคำสั่งศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท และสถานะความเสี่ยงด้านธุรกิจและความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัทยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “คำสั่งศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวเป็นเพียงการสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำฟ้องข้างต้นของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ได้ยื่นฟ้องโดยขาดอายุความไปแล้วเท่านั้น โดยที่ศาลปกครองชั้นต้นยังจะต้องพิจารณาประเด็นของคดีดังกล่าวต่อไปว่ามติรับทราบการควบรวมธุรกิจของ กสทช. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  การฟ้องคดีดังกล่าวเป็นข้อพิพาทระหว่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับ กสทช. และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจใดๆ ของบริษัทฯ การควบรวมของ ทรู (เดิม) และดีแทค ได้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและเหมือนกับกระบวนการควบรวมธุรกิจที่ผ่านมาของบริษัทมหาชนซึ่งประกอบธุรกิจโทรคมนาคม อีกทั้งคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ยื่นฟ้อง กสทช. ดังกล่าวเป็นคดีที่มีประเด็นเดียวกันกับคดีที่ศาลปกครองชั้นต้นได้เคยมีคำสั่งยกคำขอคุ้มครองชั่วคราวโดยศาลเห็นว่า มติรับทราบการควบรวมบริษัทของ กสทช. ได้อาศัยอำนาจตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว จีงไม่มีเหตุรับฟังได้ว่ามติรับทราบการควบรวมธุรกิจของ กสทช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นกำลังเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนจำนวน 5 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.15-4.60% ต่อปี เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำที่มีศักยภาพ และความน่าเชื่อถือระดับ A+ (แนวโน้มอันดับเครดิต คงที่) โดยสามารถจองซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 เท่านั้น โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา ซีไอเอ็มบี ไทย และยูโอบี เป็นผู้จัดจำหน่าย รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

Page 2 of 9
X

Right Click

No right click