

ทีเอ็มบี ยกระดับประสบการณ์ด้านดิจิทัล แบงก์กิ้ง ตอกย้ำแนวคิดดิจิทัล แบงก์กิ้ง ต้องเป็นมากกว่าแอป มุ่งเน้นใช้ดิจิทัลเป็นตัวเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ตอบสนองความต้องการ การใช้บริการทางธนาคารเพิ่มมากขึ้น เปิดตัว “TMB WOW ยิ่งใช้ ยิ่งว้าว” ให้คะแนนสะสมจากการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านวิธีการสะสมคะแนนด้วยรูปแบบ Gamification ตอกย้ำความเป็นดิจิทัล แบงก์กิ้ง ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าภายใต้แนวคิดตรงใจ ง่าย และสะดวกสำหรับลูกค้า (Need-Based and Simple & Easy) ตามแผน 5 ปี ที่มุ่งขึ้นชั้น ”แบงก์ที่ลูกค้าชื่นชอบและแนะนำมากที่สุดในไทย”
นายรูว์ ไฮซแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้ารายย่อย ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “ทีเอ็มบี เรามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น เพื่อประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก “เพราะเราเชื่อว่า ดิจิทัล แบงก์กิ้ง จะไม่ใช่เพียงแค่การมีแอปพลิเคชันบนมือถือสำหรับการทำธุรกรรมทั่วไป แต่ต้องมีบทบาทมากกว่านั้น คือต้องทำหน้าที่สร้างประสบการณ์ด้านดิจิทัล แบงก์กิ้ง จากการใช้สินค้าและบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ผ่านการใช้งานที่ง่ายและสะดวกสบาย สามารถใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้เต็มที่ ในทุกช่องทางการบริการของทีเอ็มบี (Omni-channels) ที่ลูกค้าติดต่อเพื่อรับบริการ”

“สำหรับ TMB WOW คือ อีกหนึ่งบริการที่ทีเอ็มบี ได้พัฒนาขึ้นสำหรับลูกค้าในยุคดิจิทัล ภายใต้แนวคิด Need-Based และ Simple & Easy เป็นลอยัลตี้โปรแกรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและคุณสมบัติพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อลูกค้าของทีเอ็มบีที่ใช้ TMB TOUCH โดยลูกค้าจะได้รับคะแนนสะสม ที่เรียกว่า “WOW” เมื่อทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ รูปแบบการสะสมคะแนนแบบ Gamification ที่มีลำดับชั้นการสะสมพร้อมคะแนนพิเศษ เพิ่มสีสันให้การทำธุรกรรมต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป โดยคะแนนที่ได้รับก็สามารถนำไปแลกรับของรางวัลต่างๆ ได้หลากหลายไม่จำกัด นับตั้งแต่หมวดอาหารและเครื่องดื่มทั่วไป จนกระทั่งแลกตั๋วเครื่องบินเดินทาง นับเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการอีกขั้นสำหรับลูกค้าธนาคารที่จะได้รับคะแนนสะสมเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มเติม นับเป็นครั้งแรกของวงการธนาคารไทยที่ได้เปิดกว้างด้านสิทธิประโยชน์เพื่อประโยชน์ที่แท้จริงของลูกค้า”
“TMB WOW เป็นกิจกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทีเอ็มบี ในการส่งมอบประสบการณ์ด้านดิจิทัล แบงก์กิ้ง ที่เป็นมากกว่าแอปเพื่อลูกค้า โดยเรามีเป้าหมายที่จะเป็น “ธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบและแนะนำมากที่สุดในประเทศไทย” (The Most Advocated Bank in Thailand) ภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากนี้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทีเอ็มบี เราได้เตรียมความพร้อมองค์กรเพื่อเข้าสู่ดิจิทัล แบงก์กิ้ง อย่างเข้มข้นในทุกด้านโดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงิน ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงภายใต้แนวทาง “Need-Based” กับ “Simple & Easy” ตอบสนองอย่างตรงจุด ใช้งานง่ายและสะดวก โดยการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น TMB TOUCH ที่มียอดดาวน์โหลดแล้วกว่า 1.2 ล้านครั้ง โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการที่เติบโตขึ้นในระยะ 3 ปี นับตั้งแต่เปิดตัว เพิ่มขึ้นถึง 30% , TMB ADVISORY บริการที่ปรึกษาด้านการลงทุนผ่านเทคโนโลยี Conference call ซึ่งบริการนี้เปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ด้วยเวลาเพียง 3 เดือน จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญพิเศษผ่านบริการ TMB Advisory ดังกล่าว ได้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่า 30% นอกจากนี้ ยังให้บริการ Digital Branch Banking หรือสาขาแบบดิจิทัล ณ ปิ่นเกล้า ที่เพิ่งเปิดตัวไป ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับรูปแบบการให้บริการผ่านช่องทางสาขา เพื่อสร้างประสบการณ์ทางธนาคารที่ดีให้เกิดขึ้นกับกลุ่มลูกค้า ซึ่งเราจะขยายจำนวนสาขาดิจิทัลเพิ่มขึ้นต่อไปด้วย”

ด้าน นางสาวมิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบี กล่าวเสริมว่า “TMB WOW นับเป็นอีกหนึ่งก้าวหนึ่งที่สำคัญของทีเอ็มบี ที่จะยกระดับการใช้ดิจิทัล เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือในการสร้างประสบการณ์ใหม่ด้านดิจิทัลผ่านรูปแบบการใช้งานที่สนุกสนาน แถมยังได้รับสิทธิประโยชน์จากการทำธุรกรรมต่างๆ จากการใช้งานปกติ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกของวงการธนาคาร และเพื่อตอกย้ำว่าดิจิทัล แบงก์กิ้งต้องเป็นมากกว่าแอปที่โอน จ่าย เติมเงิน และชำระบิลทั่วไป เราจึงได้ออกแบบ TMB WOW นี้อย่างใส่ใจเพื่อที่จะสร้างความแตกต่าง ไม่ให้การทำธุรกรรมเป็นเรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป TMB WOW ได้มีรูปแบบการใช้งานแบบ Gamification เพื่อตอกย้ำแนวความคิดของทีเอ็มบี ที่เชื่อว่าดิจิทัลแบงก์กิ้ง ต้องเป็นมากกว่าแอปพลิเคชัน”
ก้าวที่เดินหน้าของประเทศไทย ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ Thailand 4.0 หรือ “ประเทศไทย 4.0” มีเป้าหมายสำคัญ คือการยกระดับเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะหรือ Smart Metro
การจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR ในรูปของการให้ความช่วยเหลือพัฒนาชุมชน/สังคมที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการทางธุรกิจ จำพวก CSR-after-process สามารถพบเห็นได้ในทุกกิจการ และเป็นเรื่องที่องค์กรจำต้องดำเนินการไม่มากก็น้อย ภายใต้บทบาทของความเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมในฐานะนิติบุคคลหนึ่งๆ
แต่บทบาทดังกล่าว องค์กรต้องมีการดำเนินการภายใต้เงื่อนไขของงบประมาณและทรัพยากรที่มิได้มีอย่างไร้ขีดจำกัด การพิจารณาและประเมินแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม CSR ที่ดำเนินอยู่ และที่วางแผนจะดำเนินการในอนาคต มีความจำเป็นต่อองค์กร เพื่อสร้างให้เกิดผลกระทบสูงในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด
ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง คือ ความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียและสังคมโดยรวม มีการเปลี่ยนแปลงไปตามภาวการณ์ การที่องค์กรยังคงดำเนินการตามแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม CSR เดิม เพียงเพราะเหตุผลว่า ได้ทำต่อเนื่องมานานแล้ว หรือเพราะมีความเกรงใจเจ้าของงานเดิม จนไม่กล้ายกเลิก หรือไม่ทบทวนให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาพการณ์ตามความเป็นจริงในปัจจุบัน จึงไม่มีความสมเหตุสมผล และไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อองค์กรในทิศทางที่ตอบสนองต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
องค์กร จึงควรต้องมีการประเมินโครงการ/แผนงาน/กิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สร้างผลกระทบสูง เพื่อช่วยให้กิจการสามารถเห็นแนวทางที่จะลด/เลิก หรือ ยุบ/ควบรวม แผนงาน/โครงการ/กิจกรรม CSR ที่มีอยู่ ให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และเกิดประสิทธิผลต่อการใช้ทรัพยากรและงบประมาณ ก่อนที่จะริเริ่มหรือจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม CSR ใหม่ๆ โดยที่ยังมิได้แก้ไขหรือปรับรื้อทบทวนสิ่งที่มีอยู่เดิม เพื่อให้เกิดเป็นผลิตภาพ (Productivity) ที่องค์กรควรจะได้รับ ด้วยการประหยัดงบประมาณเดิม แทนการจัดสรรงบประมาณใหม่ วิธีการประเมินโครงการ/แผนงาน/กิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ในรูปของการให้ความช่วยเหลือพัฒนาชุมชน/สังคมที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการทางธุรกิจ จำพวก CSR-after-process ด้วยเครื่องมือ Greater Impact Assessment (GIA) ประกอบด้วยกระบวนการใน 4 ขั้นตอน ได้แก่ การทบทวนรูปแบบการให้ความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ (Review Existing Corporate Philanthropy) การประมวลแผนงานความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ (Compile an Existing Grant Portfolio) การคัดกรองโครงการ/แผนงาน/กิจกรรมที่สร้างผลกระทบสูง (Narrow Portfolio for Greater Impact) และการรวบรวมจัดทำแผนงานความช่วยเหลือใหม่ (Aggregate a New Grant Portfolio) ซึ่งแสดงได้ ดังแผนภาพ

ในขั้นตอนที่หนึ่ง การทบทวนรูปแบบการให้ความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ มีรายละเอียดงานประกอบด้วย การสัมภาษณ์เจ้าของแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน การประเมินการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน เท่าที่สามารถรวบรวมข้อมูลได้ โดยพิจารณาจากผลกระทบที่ได้รับ การประมวลและหารือถึงข้อค้นพบจากการประเมิน ร่วมกับคณะทำงานขององค์กร
ในขั้นตอนที่สอง การประมวลแผนงานความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ มีรายละเอียดงาน ประกอบด้วยการหารือกับผู้บริหารระดับสูงเพื่อรับทราบถึงมุมมองและทิศทางความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน กับมุมมองและทิศทางความช่วยเหลือตามที่ได้รับข้อมูลจากการหารือกับผู้บริหารระดับสูง และการจัดทำเป็นแผนงานความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
ในขั้นตอนที่สาม การคัดกรองโครงการ/แผนงาน/กิจกรรมที่สร้างผลกระทบสูง มีรายละเอียดงาน ประกอบด้วย การนำรายการโครงการ/แผนงาน/กิจกรรมในแผนงานความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน มาพิจารณาโดยใช้เกณฑ์คัดกรองหลัก และการใช้เกณฑ์คัดกรองเสริมเพื่อระบุโครงการ/แผนงาน/กิจกรรมที่สร้างผลกระทบสูงเพิ่มเติม (ถ้าจำเป็น)
ในขั้นตอนที่สี่ การรวบรวมจัดทำแผนงานความช่วยเหลือใหม่ มีรายละเอียดงาน ประกอบด้วยการจัดทำแผนงานความช่วยเหลือใหม่ ที่ประกอบด้วยโครงการ/แผนงาน/กิจกรรม CSR ที่สร้างผลกระทบสูง การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสนอแนะแนวทางการลด/เลิก หรือ ยุบ/ควบรวม และเพื่อทวนสอบแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม CSR ที่สร้างผลกระทบสูง
ผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินกระบวนการข้างต้น คือ แนวทางในการลด/เลิก/ยุบ/ควบรวม แผนงาน/โครงการ/กิจกรรม CSR ปัจจุบัน และชุดโครงการ/แผนงาน/กิจกรรม CSR ที่ปรับปรุงใหม่ ให้มีผลกระทบสูง
เครื่องมือ GIA นี้ ได้ถูกนำไปใช้ในรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเผยให้เห็นว่ามีโครงการ/กิจกรรมที่สามารถยุบ/ควบ/รวมกันได้มูลค่ากว่า 260 ล้านบาท และสามารถระบุโครงการ/กิจกรรม CSR ที่สร้างผลกระทบสูงได้จำนวน 5 โครงการ/กิจกรรม จากแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม CSR ที่นำมาพิจารณาทั้งหมด 41 โครงการ/กิจกรรม

เธียร ทองลอย ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาโท สาขาระบบสารสนเทศ ชั้นปีที่ 2 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (RMUTT) อีกหนึ่งศิษย์กับความภาคภูมิใจในสถาบันที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานนาม และในความหมายของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลคือ เป็นมหาวิทยาลัยของพระราชา
เธียรเล่าถึงชีวิตหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับ ป.ตรี สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จากมทร.ธัญบุรี แล้วคิดว่าจะเรียนสาขาไหนต่อในระดับป.โท ที่ผ่านมาช่วงเรียน ป.ตรี ได้รับรู้และสัมผัสว่าคณาจารย์ให้ความใส่ใจกับนักศึกษามาก ด้วยเหตุผลนี้ทำให้เขาเลือกเรียนต่อ MBA ที่ มทร.ธัญบุรี และ เมื่อเวลาผ่านไป ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่า การเรียนการสอนของอาจารย์ที่ มทร.ธัญบุรี ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด โดยเฉพาะอาจารย์ที่สาขาสารสนเทศมีความรู้ความสามารถมาก ทำให้การถ่ายทอดให้เข้าใจกระบวนการจัดการข้อมูลนั้นเป็นไปได้อย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นหลักสูตรการเรียนการสอนของคณะบริหารธุรกิจ ยังตอบสนองและสอดคล้องกับการทำงานในปัจจุบัน ซึ่งตนทำงานในสายงานด้านประกันสังคม ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน สังกัดสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ที่รับผิดชอบในส่วนของข้อมูล (Data) ซึ่งการเรียนการสอนของระบบสารสนเทศจะมุ่งเน้นไปที่ Data เป็นสำคัญ ทั้งการจัดการข้อมูล และการบริหารฐานข้อมูล ดังนั้นความรู้ที่ได้จากการเรียนจึงสามารถนำไปใช้ต่อยอดในหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนการสอนของสถาบันฯ มีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งเน้นในภาคปฏิบัติค่อนข้างมาก ทั้งการทำโครงงาน การทำแล็บ การทำชิ้นงานส่ง จึงเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการฝึกฝน ที่นี่มีระบบอินเทอร์เน็ตและอินฟราสตรัคเจอร์ที่พร้อมและสมบูรณ์มาก
สำหรับข้อแนะนำของ “เธียร” ที่ฝากข้อคิดสำหรับน้องๆ ที่กำลังจะเข้ามาเรียนที่ มทร.ธัญบุรีคือ “บางคนอาจจะเลือกมหาวิทยาลัยตามเพื่อน ตามความต้องการของพ่อแม่หรือตามเทรนด์ จริงๆ แล้วอยากให้น้องๆ ย้อนมองดูตัวเองว่าเราชอบอะไร หากเรียนในระดับ ป.ตรี 4 ปีเรียนอยู่สาขานี้ แต่ถ้าหากเรียนไปแล้วไม่มีความสุข เราก็จะทำงานอย่างไม่มีความสุขดังนั้นหากเรารู้ว่าตัวเองชอบเรียนสาขาไหน แล้วเลือกเรียนสาขานั้น น้องจะอยู่กับการเรียนนั้นได้อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้นลองถามตัวเองว่า ชอบอะไรแล้วเรียนตามความชอบนั้นจะดีกว่า”
นอกจากนี้ ยังอยากฝากถึงน้องคนพิการว่า ในส่วนของตัวเธียรเองได้รับโอกาสจากทางมหาวิทยาลัยให้ได้มาศึกษาในระดับ ป.ตรีด้วยทุนของคนพิการ เช่นเดียวกันในส่วนของน้องๆคนพิการอื่นก็สามารถเรียนในระดับ ป.ตรีได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าเรียน เป็นสวัสดิการของรัฐที่จัดให้กับคนพิการอยู่แล้ว ฉะนั้นอยากให้คนพิการเข้ามาเรียนในสถาบันการศึกษาที่เปิดโอกาสให้คนพิการได้รับการศึกษา จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เพราะอีกประเด็นคือ ปัจจุบันนี้กฎหมายเปิดโอกาสให้สถานประกอบการรับคนพิการเข้าทำงาน เมื่อโอกาสมาแล้ว การศึกษาของเราก็ต้องพร้อม เราต้องสร้างการศึกษาของเราให้ดี ขอฝากไว้กับพี่ๆน้องๆว่าสถาบันการศึกษานี้ อ้าแขนต้อนรับเรา อาคารเรียนที่นี่รองรับนักศึกษาคนพิการได้เป็นอย่างดี สามารถขึ้นลงอาคารเรียนได้อย่างสะดวก ดังนั้น ขึ้นอยู่ที่ตัวเราว่าจะเข้ามารับโอกาสนี้หรือไม่
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
หลายคนคงไม่คาดคิดว่า App MEB สำหรับอ่านอีบุ๊ค ที่รู้จักกันดีในตลาดหนังสือออนไลน์นั้น มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มคนที่มีใจรักการอ่าน พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลว่า วงการหนังสือไทย ต้องเตรียมรับมือกับการเข้ามาของดิจิทัล เช่นเดียวกับหลายอุตสาหกรรม ที่พยายามทางออกกับการเปลี่ยนแปลงนี้
ซึ่งดูเหมือนว่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง ที่มีเส้นทางจากบริษัท IT Start Up กระทั่งปัจจุบันที่ได้การตอบรับจากนักอ่านเป็นอย่างดี จนผลงานเข้าตาร้านขายหนังสือและเครื่องเขียน B2S ของกลุ่มเซ็นทรัล ส่งผลทำให้ บ.เมพคอร์ปอเรชั่น ได้พันธมิตรที่สำคัญเข้าร่วมลงทุนเข้าซื้อหุ้น MEB ถึงจำนวน 75%
ผู้บริหารบริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น “รวิวร มะหะสิทธิ์” เปิดใจกับนิตยสาร MBA ว่า MEB เริ่มมาจาก Engineer ซึ่งตนเป็น Engineer ที่รักในหนังสือ และการเป็นคนในวงการไอที ที่เรียนจบมาทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งมีช่วงหนึ่งได้เป็นเบื้องหลังของการพัฒนาระบบนั้น ส่วนหนึ่งจึงเป็นความได้เปรียบที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องอาศัยความสนใจส่วนตัว เพราะไม่ได้หมายความว่าคนที่จบ Engineer ทุกคนจะมาทำอีบุ๊คได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจในธุรกิจหนังสือ แต่เป็นความลงตัวของ Engineer ที่รักหนังสือ จึงทำสิ่งนี้ออกมาได้ และเมื่อมาถึงปัจจุบัน MEB ก็เข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว ช่วงหนึ่งในชีวิต เราเคยมีโอกาสทำสำนักพิมพ์มาด้วยซ้ำ เป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ ในเวลานั้น เราได้เห็นข้อจำกัดของคนที่พิมพ์หนังสือหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร้านหนังสือ การจัดส่งหนังสือ สายส่ง กระบวนการทั้งหมดนี้ ทำให้เราเห็นปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อมาถึงจุดที่คิดจะทำร้านอีบุ๊คของตัวเองขึ้นมา จึงต้องคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่เคยเจอ
ซึ่งปัญหาทั้งหลายที่กล่าวมานั้น เมื่อเป็นร้านอีบุ๊คจะสามารถตัดปัญหาทั้งหมดที่ร้านหนังสือมี นับตั้งแต่ไม่มีต้นทุนค่าวางจำหน่าย นักเขียน ได้รับส่วนแบ่งรายได้ที่เหมาะสม ไม่มีการรับหนังสือที่กว้าง ไม่จำกัดแนว นอกจากนี้ ในอดีตที่ขายหนังสือ จะมีปัญหาเรื่องการรู้ยอดขายช้า บางครั้งใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะรู้ว่าขายได้จำนวนกี่เล่ม ซึ่งเป็นข้อจำกัดทำให้การวางแผนธุรกิจทำได้ยาก ในขณะที่ระบบของอีบุ๊ค จะทำให้เจ้าของผลงานสามารถเช็คยอดขายได้ทันทีที่หนังสือวางขาย หรือในมิติของการเงิน ก็จะมีอัตราการรีเทิร์นที่เร็วมาก เพราะในอัตราขั้นต่ำเพียง 100 บาทก็มีการจ่ายค่าเรื่องให้นักเขียนแล้ว นั่นหมายความว่า เป็นการเปิดช่องให้นักเขียนรายย่อย มีผลงานสามารถทำเงินสร้างรายได้ ไม่ต้องระดับเงินหมื่นเงินแสนถึงจะวางบิล เงินจะโอนเข้าบัญชีให้โดยอัตโนมัติ
“สิ่งเหล่านี้ คือการตอบโจทย์ธุรกิจ ตอบโจทย์คนทำหนังสือโดยตรง” และไม่เพียง MEB เท่านั้นที่โต ยังทำให้ตลาดอีบุ๊คเติบโตไปด้วย เพราะเป็นคนที่ทำหนังสือมาก่อน ทุกอย่างทำไปบนพื้นฐานของความเข้าใจ คนที่เข้ามาร่วมงานด้วยรู้ว่า เราเข้ามาในธุรกิจนี้เพราะเรารักหนังสือ และอยากให้คนที่ทำหนังสือมีโอกาส มีทางออก รุ่งเรืองขึ้น ดีขึ้น”

Pixipe ครีเอทีฟมาร์เก็ตเพลสออนดีมานด์
รวิวร เล่าต่อว่า ทุกวันนี้ MEB เป็นอีบุ๊คมาร์เก็ต เพลส ที่ได้รับการตอบรับเป็นผู้นำอันดับต้นๆ ของตลาด e-Book Reader เป็นที่มาของการขยายมาสู่การสร้างมาร์เก็ตเพลส ในหลักการของการนำ Content อีกแบบหนึ่ง ซึ่งอยู่บนพื้นฐานและแนวคิดที่ว่า จะสามารถสร้างมาร์เก็ตเพลส จาก Content อื่นได้หรือไม่ และรูปแบบไหนที่ยังไม่มีใครเข้ามา แต่มีตลาดรองรับอยู่ เช่น “เพลง” ที่ไม่ทำเพราะมีผู้เล่นรายอื่นทำแล้ว และตลาดมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง หรือ “หนัง” มีแต่จะล้มหายตายจาก ไม่ค่อยมีตลาด” ส่วน Rising Star คือ ทุกวันนี้ที่เราเล่นโซเชียลฯ กัน จะเห็นว่ามี Creator หน้าใหม่เกิดขึ้นในวงการอย่างมากมาย ทั้งคนที่วาดรูป คนสร้างสรรค์ต่างๆ จะเห็นว่ามี Content ดีๆ จำนวนมหาศาล จึงเป็นที่มาของการนำ Content ของ Creator มาทำ Pixipe ซึ่งเป็นมาร์เก็ตเพลส และที่สำคัญคือไม่ใช่เป็นเพียงแค่ ครีเอทีฟมาร์เก็ตเพลสทั่วไป แต่เป็นครีเอทีฟมาร์เก็ตเพลส ออนดีมานด์ โดยปกติแล้ว รูปแบบของรีเทล จะต้องมีการผลิตสินค้า รวมถึงมีสต๊อกสินค้ามารอไว้ ทำให้สินค้าที่วางขายไม่มีความหลากหลาย เพราะติดเรื่องของการสต๊อก แต่หากเป็น Pixipe เราผลิตสินค้าให้ลูกค้าตามออร์เดอร์ ทำให้มีคอลเลกชั่นเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้ามาก ไม่ได้มีเฉพาะของที่ขายได้ แต่มีทั้งของที่ขายได้ ของที่ได้รับความสนใจ ของที่มาเป็นกระแส ของที่มีการเคลื่อนไหว สิ่งเหล่านี้จะมีพื้นที่บน Pixipe ทุกวัน
มองโอกาสใหม่ที่มากับดิจิทัลในอนาคต
ธุรกิจในวันนี้ยังคงโฟกัสที่ MEB และโฟกัสไปที่ Pixipe เพราะเป็นมาร์เก็ตเพลสเปิดใหม่ของเรา ที่เชื่อมั่นว่ามีศักยภาพเต็มเปี่ยม เพราะถ้าจะเปรียบเทียบจากมูลค่าตลาดหนังสือที่ประมาณ 1 – 1.2 พันล้านบาท แต่ธุรกิจแฟชั่นรีเทลนั้นมีมูลค่าตลาดสูงถึงหลักแสนล้านบาท นั่นหมายถึงเรากำลังรุกคืบไปสู่ตลาดซึ่งแชร์มากกว่า และมีมาร์เก็ตไซซ์ที่ใหญ่กว่า

MEB เป็น Cash Cow ที่มั่นคงและเรายังไม่เปิดมุมใหม่ในวันนี้ ถึงแม้ว่าบางคนอาจนิยามว่า เราไม่ใช่สตาร์ทอัพ เพราะเรารุ่งไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้ยึดติดว่าจะไม่ทำอะไรอื่นต่อไปอีก เราเลือกที่จะถอยกลับมาเป็นสตาร์ทอัพเพื่อที่จะแข่งขัน การนับหนึ่งใหม่ในโปรเจค Pixipe ถือว่ามีความท้าทายใหม่ โอกาสใหม่ มีความยากแบบใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่กลัว ตรงนี้เองที่จะนิยามได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสตาร์ทอัพตัวจริง
เรื่องและภาพ : กองบรรณาธิการ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือสถาบันการศึกษาที่มีความเป็นมา ยาวนานของประเทศไทย สั่งสมองค์ความรู้ในศาสตร์ต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในงานทอล์กของ ปี 2017 ที่ยอมรับว่า โดน ได้ และใช่ ทั้งในมิติของประเด็นและเงื่อนของเวลา งานหนึ่งคือ งาน Shift Happens ที่จัดโดยดีแทค เมื่อปลายไตรมาส 3 ที่ผ่านมานัยว่ามีเป้าหมายที่หวังกระตุ้นการตื่นรู้ของภาคสังคมและธุรกิจ ให้เตรียมตั้งรับกับกระแสของการเปลี่ยนแปลงจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนผ่านในโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่จะไม่เหมือนเดิม เช่นนั้นแล้วต่อไปในอนาคต วิธีคิดและวิถีทางในการทำธุรกิจในอนาคตจำต้องถึงเวลาที่ต้องพลิกใหม่
ด้วย 4 วิทยากร ที่รายเรียงกันขึ้นทอล์กบนเวที Shift Happens บน 4 ประเด็นของการพลิกใหญ่ได้
พลิกแรกเพื่อความเท่าทันต่ออนาคต
อเล็ก รอสส์ (Alec J Ross) ผู้ที่ได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นหนึ่งในร้อยผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า ”ทรงอิทธิพล” ต่อความคิดในสังคมอเมริกันอย่างมากในปัจจุบัน จากผลงานการเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้านนวัตกรรมให้แก่ฮิลลารี คลินตัน สมัยดำรงตำแหน่งเป็น รมว. ว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และยังเคยเป็นหนึ่งในคณะทำงานด้านการสื่อสารแคมเปญการเลือกตั้งของอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา และเขาเป็นเจ้าของหนังสือขายดีที่ชื่อว่า The Industries of the Future ซึ่งเขาได้นำมากล่าวถึงในการทอล์กบนเวที Shift Happens ในครั้งนี้ โดยอเล็ก รอสส์ ได้ให้ทรรศนะของ 5 อุตสาหกรรมที่จะอนาคตและความเติบโต โดยอเล็กมองว่า 5 เทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมโครงสร้างอุตสาหกรรม เศรษฐกิจและสังคมโลก คือ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotic) อุตสาหกรรมชีวภาพ (Genome) อุตสาหกรรมข้อมูล (Big Data) อุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเงิน (Fin-Tech)
เทคโนโลยีอันล้ำสมัย จะนำมาซึ่งอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต มิเพียงตอบสนองความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมและทั่วถึงได้มากขึ้น จะนำมาซึ่งนิเวศน์ใหม่ของอุตสาหกรรมที่คาดการณ์กันว่า จะทำให้เกิดราคาที่ถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเข้าถึงสินค้าได้ เป็นโครงสร้างเศรษฐกิจบนพืนฐานของเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation)
เศรษฐกิจนวัตกรรมเกิดได้ด้วยการแข่งขันเสรีและมีธรรมาภิบาล
อเล็ก รอสส์ แสดงความเห็นต่อทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคตที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีเทคโนโลยีและ นวัตกรรม ต้องการเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมของสังคมเศรษฐกิจแบบเปิด (Openness) หรืออีกนัยคือการมีธรรมาภิบาลที่ดี มีการแข่งขันเสรีที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ไร้การคอร์รัปชัน
อเล็ก รอสส์ มองว่า ภายใต้เงื่อนไขสังคมแบบปิด (Closed) และไร้ซึ่งธรรมาภิบาล ไร้ความโปร่งใส กฎกติกาไม่เป็นธรรม คอร์รัปชันสูง สื่อถูกควบคุมจนไม่สามารถตรวจสอบได้ สามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ในอุตสาหกรรมใหม่ที่ต้องพึ่งพิงความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี สังคมเศรษฐกิจแบบปิดจะไม่สามารถทำงานได้เลย และประเทศจะติดหล่มในที่สุด

พลิกสอง พลิกพฤติกรรม
จั่วหัวมาในหัวข้อ ทำไมคนเราถึงโกง? (Why Do We Corrupt?: Understanding Corruption through Behavioral Economics) โดย ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ เปิดประเด็น ว่า “ที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามแก้ปัญหาการติดกับประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ด้วยความพยายามที่จะยกระดับเทคโนโลยี การค้า และการลงทุน แต่กลับละเลยการยกระดับคุณภาพสังคม พูดให้ถึงที่สุดคือ ประเทศไทยจะไม่สามารถก้าวไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูงได้เลย ตราบใดที่คนในสังคมยังมีความ ‘ขี้โกง’ และปัญหาคอร์รัปชันยังคงฝังรากลึกอยู่เช่นปัจจุบัน”
“ทำไมคนเราถึงโกง”: คำตอบจากมุมมองเศรษฐศาสตร์สถาบันและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
ดร.ธานีอธิบายพฤติกรรมการโกงของคนในสังคมว่าแท้จริงแล้วเป็นผลมาจาก ‘คุณค่า’ ภายในของสังคมเอง เช่น การนิยาม ‘คนดี’ แบบไทยๆ มีความเป็น ‘Familism’ หรือ ‘ความเป็นครอบครัวสูง’ ดังนั้น คนดีในสายตาคนไทย คือ คนที่ช่วยเหลือคนในครอบครัว คนใกล้ชิด กลุ่มเพื่อน รวมไปถึงผู้ที่เรานับถือและมีบุญคุณต่อเรา วัฒนธรรมนี้นำมาสู่ระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้เรามีแนวโน้มที่จะเอาเปรียบและโกง ‘คนนอก’ ครอบครัวของเรา และเป็นเนื้อดินอันอุดมของพฤติกรรมการโกงและคอร์รัปชัน วัฒนธรรมที่เอื้อให้คนโกงเช่นนี้ถูกหล่อหลอมด้วยสถาบันใกล้ตัวเรา เช่น ใน ‘บ้าน’ และ ‘โรงเรียน’ ที่มักสอนและให้คุณค่าที่มีความเป็นครอบครัวสูงเหนือกว่าคุณค่าแบบอื่น ในขณะที่สถาบันทางศีลธรรมหลักอย่าง ‘วัด’ ก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า การทำความดีสามารถชดเชยการทำเลวได้ ทั้งที่เป็นคนละเรื่องกัน
แก้โกงด้วยเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
ข้อสรุปสำคัญจากมุมมองเศรษฐศาสตร์สถาบันและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมคือ การจะลดพฤติกรรมการโกงในสังคมลงได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
-ปลูกชุดคุณธรรมสาธารณะขึ้นมาควบคู่กับชุดคุณธรรม ที่เน้นความเป็นครอบครัวสูง เช่น การเคารพสิทธิสาธารณะ การรับฟังความเห็นผู้อื่นด้วย เป็นต้น
-คุณธรรมที่เน้นความเป็นครอบครัว เช่น ความกตัญญู การตอบแทนบุญคุณ ไม่ใช่สิ่งผิด แต่ควรใช้เมื่ออยู่ในบ้านเมื่อก้าวออกมาในที่สาธารณะ การเคารพสาธารณะย่อมมีความสำคัญกว่า
-สถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน โรงเรียน วัด และสังคมเองก็ปรับชุดคุณค่าเพื่อเอื้อต่อการทำความดีและไม่โกงได้อย่างแท้จริง

พลิกสาม พลิกโจทย์ธุรกิจ
“ดีพอ” ไม่พอ ถ้าแค่ดี (“Good Enough” Is Not Good Enough) โดย ลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค บริษัทที่ดีเกี่ยวข้องอะไรกับผลประโยชน์ของผู้บริโภคลาร์ส นอร์ลิ่ง ได้กล่าวชวนให้ผู้คนลองตั้งคำถามว่า คำว่าองค์กรธุรกิจที่ดีของคุณคืออะไร และที่คนทั่วไปคิดว่าดีนั้น “ดีพอแล้วหรือยัง?” นี่คือคำถามที่เป็นจุดเริ่มต้นในการพลิกโจทย์ธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและสังคมของดีแทค
ดีแทคได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคและพบว่าเมื่อพูดถึงองค์กรธุรกิจที่ดี ผู้บริโภคโดยทั่วไปมักจะนึกถึงบริษัทที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดีและราคาถูก และมักมองข้ามการเป็นองค์กรธุรกิจที่ดี ในแง่มุมของการมีบรรษัทภิบาลที่ดี แข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือแม้แต่กระทั่งปลอดการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรโดยตรงกับพวกเขา แต่ดีแทคได้ ‘พลิกมุมมอง’ ให้เห็นว่า ที่จริงแล้ว องค์กรที่มีบรรษัทภิบาลที่ดี การแข่งขันอย่างเป็นธรรม และการปลอดการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นเรื่องเดียวกับ ‘คุณภาพ’ และ ‘ราคา’ เพราะองค์ประกอบมีส่วนช่วยสนับสนุนให้องค์กรธุรกิจสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพดีและราคาถูกได้ และไม่ใช่แค่ผู้บริโภคเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ แต่สังคมโดยรวมยังดีขึ้นด้วย
มายาคติของผู้บริโภค?
สาเหตุที่ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องมาตรฐานจริยธรรมที่สูงขึ้นจากองค์กรธุรกิจเป็นเพราะความเข้าใจผิด 3 ประการสำคัญคือ
ประการแรก เข้าใจผิดว่าการแข่งขันที่เป็นธรรมเกิดขึ้นได้เองโดยธรรมชาติและการผูกขาดการค้าไม่ได้ส่งผลเสียต่อธุรกิจ (Fair Competition Just Happens)
ประการที่สอง เข้าใจผิดว่าองค์กรธุรกิจที่ดีคือองค์กรที่ทำ CSR คืนให้กับสังคมเพียงเท่านั้น (Good Companies Plant Trees) ทั้งที่ในความเป็นจริงการทำธุรกิจอย่างมีบรรษัทภิบาลคือการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมในระยะยาว
ประการที่สาม เข้าใจผิดว่าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ดีขึ้นเกิดขึ้นได้จากภาครัฐหรือผู้มีอำนาจเท่านั้น (Change Can Only Come from the Top) แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงจำนวนมากเกิดขึ้นจากพลังของผู้คนธรรมดา โดยเฉพาะพลังของผู้บริโภค
“ดีพอ” ไม่พอ ถ้าแค่ดี : พลังของผู้บริโภคเปลี่ยนสังคมได้จริง
ลาร์ส นอร์ลิ่ง ต้องการจะสื่อว่า เสียงของผู้บริโภคเป็นเสียงที่ ‘ทรงพลัง’ อย่างยิ่งต่อโลกธุรกิจทุกวันนี้ เพียงแค่ผู้บริโภคตระหนักถึงพลังของตัวเอง ลุกขึ้นมาตั้งคำถาม และเรียกร้องให้องค์กรธุรกิจต้องแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมเพื่อยกระดับให้คุณภาพดีขึ้น ราคาถูกลง มีบรรษัทภิบาลและมาตรฐานทางจริยธรรม สุดท้าย ผู้บริโภคจะเป็นผู้ที่ชนะในที่สุดและนี่คือความหมายของคำว่า “ดีพอ” ไม่พอ ถ้าแค่ดี (Good Enough” Is Not Good Enough)

พลิกสี่ พลิกสังคม
ด้วยหัวข้อ แก้เกมโกง (Shifting from the Sh*t: Lessons from Corruption Battles Around the World) โดย ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยดิเรกชัยนามและอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงทรรศนะให้เห็นว่า คอร์รัปชันไม่ใช่คำสาปที่ไม่อาจไถ่ถอนได้ การตัวอย่างการต่อสู้กับคอร์รัปชันทั่วโลกแสดงให้เราเห็นว่าปัญหาคอร์รัปชันแก้ได้ และพลังจากประชาชนคือหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหา
กรณีตัวอย่างประเทศอิตาลี: การปฏิวัติของผู้บริโภคและผู้ประกอบการในสังคมมาเฟีย
ในประเทศอิตาลี ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ในเมือง ปาแลร์โม (Palermo) แคว้นซิซิลี (Sicily) ลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบบมาเฟีย โดยการปฏิเสธการจ่ายค่าคุ้มครอง และได้รับการสนับสนุนจากผู้บริโภคในการบอยคอตธุรกิจที่สนับสนุนมาเฟีย เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง มีธุรกิจเข้าร่วมการรณรงค์นี้กว่า 1,000 กิจการ ทรัพย์สินต่างๆ ถูกยึดคืนจากกลุ่มมาเฟียและนำกลับมาให้กลุ่มประชาสังคมใช้ประโยชน์ทางสังคม เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติของผู้บริโภคและสังคมอย่างแท้จริง
กรณีตัวอย่างประเทศอินเดีย: พลังของเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาคอร์รัปชัน
ในประเทศอินเดีย การจ่ายสินบนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนอินเดียตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะเป็นวิธีการเดียวที่จะสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้ จนกระทั่งในปี 2554 ภาคประชาสังคมลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านแคมเปญ “ฉันจ่ายสินบน” (I Paid a Bribe - IPAB) ด้วยการใช้พลังแห่งข้อมูลข่าวสารผ่านทางช่องทางออนไลน์ ให้ประชาชนเข้ามารายงานการจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ วิธีการนี้เปลี่ยนประชาชนจากการที่เคยเป็นเหยื่อของการคอร์รัปชัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา ซึ่งนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างมีพลัง ที่สำคัญ แคมเปญ “ฉันจ่ายสินบน” กลายเป็นบทเรียนและแรงบันดาลใจให้กับการเคลื่อนไหวต่อต้านคอร์รัปชันในหลายประเทศนำไปใช้ต่อยอด
กรณีอินประเทศอินโดนีเซีย: 4 พลังประสานต้านคอร์รัปชัน
อีกกรณีตัวอย่างคือประเทศอินโดนีเซีย จากประเทศที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกในช่วงการปกครองกว่า 32 ปีของอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต อินโดนีเซียเคยอยู่อันดับรั้งท้ายในดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index) ในช่วงปี 2538-2542 จนล่าสุดในปี 2559 อยู่อันดับที่ 90 แซงหน้าประเทศไทยซึ่งอยู่ในอันดับ 101
การล้มลงของระบบซูฮาร์โตในปี 2541 เปิดโอกาสใหม่ให้อินโดนีเซียขับเคลื่อนประชาธิปไตยไปพร้อมกับการต่อสู้คอร์รัปชัน ความสำเร็จในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันของอินโดนีเซียเกิดจากความเข้มแข็งและการทำงานร่วมกันของพลัง 4 ส่วน ได้แก่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ภาคธุรกิจ สื่อ และภาคประชาสังคม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครจินตนาการถึงว่าจะเกิดขึ้นได้ ผู้มีอำนาจที่ทำผิดก็สามารถถูกลงโทษได้ ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย
Shifting from the Sh*t : อย่าหมดหวังกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน
บทเรียนจากประเทศต่างๆ บอกเราว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชันไม่มีคำว่าสายเกินไปและปัญหานี้ไม่สามารถแก้ได้จบภายในวันเดียว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้เราติดกับดักคอร์รัปชันคือ ‘ความเฉยเมยและความกลัว’ ของประชาชน ที่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ ว่าทำไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ “โลกไม่เคยเปลี่ยน เพราะคนส่วนใหญ่มองโลกตามความเป็นจริง แต่โลกเปลี่ยนเพราะคนกลุ่มเล็กๆ ที่มองโลกด้วยอุดมคติเสมอ” ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณจะลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม“
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
รศ.ดร.สิริวุฒิ บูรณพิร คณบดี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เคยเขียนบนความ “Learning Platform หนึ่งเดียวในโลกที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ลงในนิตยสาร MBA”
ฉบับเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม 2560 http://news.mbamagazine.net/index.php/people/intelligent-network/item/270-learning-platform บอกเล่าวิธีจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก ความต้องการของผู้เรียนรวมถึงตลาดแรงงาน
เพราะเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้จัดการเรียนการสอนในการพัฒนาทักษะและความรู้สำหรับคนยุคใหม่ จากบทความสรุปทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21 เริ่มจากความสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง และการพัฒนาคุณลักษณะ ต่อด้วยความกว้างในสหวิชาและความลึกในความรู้แห่งวิชาชีพ ต่อยอดด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติ และเข้าสู่โลกแห่งการทำงานจริงเป็นขั้นตอนสุดท้าย
เรามีโอกาสไปพูดคุยกับ รศ.ดร.สิริวุฒิ เกี่ยวกับการเรียนการสอนยุคใหม่ จึงอยากจะหยิบยกตัวอย่างการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ ที่นำมาใช้ในหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตทั้ง MBA และ Executive MBA ของคณะ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร (Learner-friendly Environment) โดยเริ่มจากจุดเริ่มต้นว่า
“ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) มาเยี่ยมพร้อมจัด Workshop ให้กับคณะเรา โดยตั้งคำถามน่าคิดมากว่า จำเป็นไหมที่เราต้องวัดผลการเรียนด้วยการสอบ ท่านถามแบบนี้ ผมก็นำมาลองปรับใช้กับนักศึกษา MBA และ Ex-MBA โดยล่าสุดผมก็ทำโพลถามนักศึกษาว่า ข้อไหนเป็นจริงที่สุดสำหรับตัวนักศึกษาคือ หนึ่ง การเรียนโดยไม่ต้องมีการสอบ แต่มีสื่อการสอนให้ทบทวนเองพร้อมกับมีการติดตามผลการเรียนแบบไม่กดดันอย่างที่ทำอยู่นี้ดีกว่ามีการสอบ สอง ถ้าเรียนโดยไม่มาสอบ นักศึกษาก็ไม่ถูกบังคับก็จะไม่ตั้งใจเรียนทำให้ได้ความรู้ไม่เต็มที่ มีนักศึกษาแค่ 6 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบข้อสอง ซึ่งคิดว่าตัวเองจะบังคับตัวเองไม่ได้”
เทอมนี้เป็นครั้งแรกที่มีการทดลองเรียนโดยไม่มีการสอบปลายภาค เพื่อให้การเรียนอยู่ภายใต้บรรยากาศที่เป็นมิตร แต่มีการสอบย่อย (Quiz) ซึ่งมุ่งไปที่การให้ Feedback กับนักศึกษาว่าเก็บเกี่ยวบทเรียนเชิงทฤษฎีได้มากน้อยเพียงใดไม่ใช่ในฐานะเครื่องมือการสะสมคะแนนเพื่อตัดเกรด แต่ใช้การวัดผลจาก Action Learning ซึ่งจากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักศึกษา รศ.ดร.สิริวุฒิ เห็นร่องรอยของผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ดีขึ้น
“เมื่อก่อนเราเชื่อกันว่า ถ้าไม่สอบเด็กจะไม่ตั้งใจเรียน เอาเข้าจริงๆ พบว่าเมื่อก่อนนักศึกษาจะเกาะเกี่ยวกับการเรียนเฉพาะในห้องเรียนกับก่อนสอบ และเป็นความรู้แบบเร่งรัดอัดเอาใส่ตัวเพื่อให้สอบผ่าน ซึ่งแป๊บเดียวก็ลืม แต่วิธีการใหม่นี้กลับกลายเป็นว่าเขามีปฏิสัมพันธ์กับการเรียนรู้มากกว่าเดิม ตั้งแต่การท้าทายก่อนเรียน ระหว่างเรียน เมื่อจบแต่ละตอนของเนื้อหา ก็จะมีสรุปสาระสำคัญประมาณ 15-20 นาทีที่นักศึกษาสามารถทบทวนด้วยตนเองในเวลาที่สะดวก ตามด้วยการทดสอบย่อยๆ ที่มาพร้อมเฉลย ทำไปทำมากลายเป็นว่าเขาอยู่กับการเรียนรู้บ่อยขึ้น ค่อยๆ ซึมซับองค์ความรู้ และย้ำทวนความรู้บ่อยกว่าสมัยก่อนคือ ไม่ต่ำกว่า 5 รอบ จนทำให้มั่นใจได้ว่าการวัดผลด้วยข้อสอบไม่จำเป็น”
รูปแบบการเรียนการสอน แม้จะไม่มีการสอบปลายภาคแต่มีการสอบย่อยซึ่งคะแนนไม่ได้มากจากการตอบถูก แต่มาจากการมีส่วนร่วมในการทำข้อสอบ รศ.ดร.สิริวุฒิอธิบายว่า “คณะเรามี แอปพลิเคชัน ชื่อ AccBA Gamification ที่ใช้เล่นเกมกับนักศึกษา เมื่อนักศึกษา Login ก็รู้เลยว่าคำตอบนี้เป็นของนักศึกษาคนไหน เป็นแอปพลิเคชัน ในมือถือที่ผมใช้สอบย่อยบ้างถามคำถามบ้าง คำถามที่ขึ้นมาในมือถือของเขา อาจเป็นแบบเลือกตอบ พิมพ์เป็นตัวเลขหรือเป็นคำ แล้วเซิร์ฟเวอร์ตรวจบอกให้เลยตอนนั้นว่าตอบถูกหรือผิด”

การสอบย่อยผ่านแอปพลิเคชันเป็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เพราะเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถทดสอบวัด Feedback ให้กับตัวเองแม้ในวันที่จำเป็นต้องขาดเรียน เพราะทำจากที่ใดก็ได้ โดยผลคำตอบที่ได้เป็นสิ่งที่สะท้อนความเข้าใจเนื้อหาวิชาที่ได้เรียนไปและเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถทบทวนเนื้อหานั้นได้อย่างทันท่วงที
รศ.ดร.สิริวุฒิยังมีตัวช่วยให้นักศึกษาเพิ่มเติมด้วยการทำพาวเวอร์พอยต์สรุปเนื้อหาสำคัญที่ได้เรียนไปประกอบกับเสียงบรรยาย เพื่อให้นักศึกษาสามารถเปิดทบทวนได้ตามที่ต้องการ “เขาได้เรียนกับผมครั้งหนึ่งแล้ว และเขามีคลิปที่ทบทวน Concept หลักๆ และเข้ามา Quiz ในห้องซึ่ง ตอน Quiz เสร็จผมก็โพสต์คำถามและคำตอบให้ดูเลยว่า ถ้าเขาตอบไม่ถูกเพราะอะไร ข้อใดที่มีคนตอบผิดมากๆ ระบบก็แสดงเป็นกราฟให้เห็นทันที ผมก็จะย้ำเฉลยอย่างละเอียด พร้อมกับเป็นข้อมูลปรับปรุงการบรรยายของผมเอง เพราะการที่สอนแล้วแต่เมื่อวัดผล คนส่วนใหญ่ตอบผิดอาจเป็นเพราะตัวเราเองอธิบายไม่ชัดหรือย้ำไม่มากพอ เป็นต้น บางทีออกข้อสอบย่อยแบบ True/False ก็มีเทคนิคส่วนตัวผมคือ Concept ไหนที่สำคัญผมจะเขียนประโยคนั้นให้ False เพื่อที่ เวลาทำเฉลยจะได้ถือโอกาสบอกย้ำอีกทีว่าประโยคที่ว่าถ้าจะเขียนให้เป็น True ที่ตรงกับคอนเซ็ปที่ถูกต้องต้องเป็นอย่างไร กุศโลบายนี้ก็ทำให้นักศึกษาได้ย้ำทวนบทเรียนอีกรอบ กระบวนการสุดท้ายก็คือการทำ Action Learning Project ที่นักศึกษาต้องเอาความรู้ที่เขาได้จากการเรียนรู้โดยไม่กดดันเหล่านั้นไปใช้ตอบโจทย์จริงจากภาคเอกชน ตัวผมและนักศึกษาก็เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับผู้ประกอบการ ซึ่งก็วัดผลจากการนำเสนอ และการสะท้อนความคิดถอดบทเรียนหรือ Reflection ที่เขาเรียนรู้ Learning Outcome ดีกว่ามานั่งสอบ”
“เราไม่ได้อยากให้นักศึกษาได้สอบคะแนนดีๆ เราอยากให้เด็กมีความรู้ มีทักษะต่างๆ เราจะทำอย่างไรให้การสอนเป็นการเรียนรู้ภายใต้ Non Pressure Condition เราก็รู้อยู่แล้วคนเราทำอะไรภายใต้แรงกดดันทำได้ไม่ค่อยดี คนบางคนเรียนดีรู้เรื่องแต่ไม่ชอบทำข้อสอบ ทำข้อสอบไม่เป็น ฉะนั้นคะแนนก็ไม่เคยได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ฉลาดไม่รู้เรื่องไม่ได้เรียนรู้ อาจจะวิธีการวัดผลไม่แฟร์กับเขา ผมก็ลองเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นว่าก็ไม่ได้ทำให้เขาตั้งใจเรียนในห้องน้อยลง ไม่สอบเลยไม่ตั้งใจเรียนอะไรอย่างนี้ แต่ผมคิดว่า เพราะเขาเรียนรู้มากขึ้นและถูกกุศโลบายของเราให้ทบทวนบ่อยขึ้น พอความรู้ใหม่มาอันเก่าก็ยังไม่ลืม เขาเรียนสนุกขึ้นและเราผูกพันกับเขา และดึงให้เขาอยู่กับการเรียนรู้ตลอดเวลา ผมว่าบรรยากาศเป็นอีกแบบหนึ่ง ทำให้เขาเรียนรู้ได้ดีขึ้น ซึ่งผมก็รอดูผลในระยะยาวด้วยเหมือนกันว่าถ้าทำอย่างนี้ไปหลายๆ เทอมจะเป็นอย่างไร”
เมื่อจบจากการสัมภาษณ์ นิตยสาร MBA เดินออกจากห้องทำงานของ รศ.ดร. สิริวุฒิ คณบดี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมกับเห็นภาพอย่างแจ่มชัดว่า การเรียนการสอนรูปแบบที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้สร้างอุปนิสัยใฝ่รู้ผ่านกระบวนการพันผูกระหว่างศิษย์กับครู ผ่านการทบทวนความรู้อย่างต่อเนื่องโดยสมัครใจ และได้ฝึกฝนจากกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับสามารถติดตามวัดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนไปแล้วโดยไม่กดดัน จึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ที่น่าสนใจสำหรับ MBA ยุคปัจจุบัน
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : นรินท์ เหล่ารุจิรากุล
การปลูกฝังวินัยการออมให้แก่เยาวชนในโลกไร้เสียง ด้วยการตั้งธนาคารโรงเรียนอย่างเป็นระบบ ช่วยเปิดโอกาสเยาวชนพิเศษได้เรียนรู้ เข้าใจทฤษฎี เข้าถึงการปฏิบัติและก้าวข้ามพรมแดนของคนพิการ ด้วยเหตุนี้ อาสาสมัครทีเอ็มบี ได้เข้าไปช่วยวางระบบ “ธนาคารโรงเรียนเพื่อเด็กพิเศษ” ที่โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จ.เชียงใหม่ เพื่อเสริมสร้างความรู้ในด้านการออม ส่งต่อความเข้าใจในการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ให้เด็กหูหนวกสามารถเข้าถึงบริการธนาคารได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังจัดทำคู่มือภาษามือสำหรับพนักงานทีเอ็มบี เพื่อใช้ในการสื่อสารกับผู้พิการทางการได้ยิน โดยธนาคารทีเอ็มบี รวม 14 แห่ง จ.เชียงใหม่ สามารถบริการคนหูหนวก โดยไม่ผ่านล่ามภาษามือ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการทางการได้ยินซึ่งเป็น 1 ใน 37 กิจกรรมเปลี่ยนชุมชนเพื่อความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด TMB Make THE Difference
นายเวธน์วิภพ ภาสพสิษฐ์ ผู้จัดการภาคธุรกิจสาขา ทีเอ็มบี เผยว่า “โครงการธนาคารโรงเรียนเพื่อ เด็กพิเศษ เป็นการเสริมสร้างวินัยการออมให้นักเรียน รู้จักการออมบนพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง นอกจากนี้ อาสาสมัครและพนักงานทีเอ็มบี รวม 14 สาขา ยังได้เรียนและจัดทำคู่มือภาษามือ สำหรับใช้ ในการสื่อสารและส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ผู้พิการทางการได้ยิน ภายใต้แนวคิด TMB Make THE Difference”
นางยุพิน คำปัน ผู้อำนวยการโรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จ.เชียงใหม่ เผยว่า “เราเป็นโรงเรียนประจำ ผู้ปกครองจะให้เงินสำหรับการใช้จ่ายทั้งเทอมบ้าง รายเดือนบ้าง เด็กๆ ไม่รู้จักการแบ่ง การออม มีเยอะ ก็ใช้เยอะ ไม่กี่วันก็หมดแล้ว ดังนั้นการเปิดธนาคารโรงเรียนมีประโยชน์กับทุกฝ่าย สำหรับนักเรียน ก็คือ เด็กรู้จักการออม ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ดี รู้จักการวางแผนการใช้เงิน ปลูกฝังเรื่องความพอเพียง เพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดีของสังคม กับคุณครูเองก็มีแหล่งเรียนรู้ ที่จะสอนนักเรียนให้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง เรียนอย่างเป็นระบบจากธนาคารจำลองสภาพเหมือนจริง สำหรับโรงเรียน ก็ลดปัญหาภายใน เพราะเด็กๆ มีพอใช้ พอซื้อขนม คาดว่าโครงการนี้ ได้ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้อาสาสมัครทีเอ็มบี ในเรื่องการเรียนรู้บุคคลที่ต่างจากเรา การเรียนรู้บุคคลที่แตกต่างจากเรา จะนำไปสู่ความเข้าใจ รวมถึงการมอบโอกาสแก่ผู้อื่น ซึ่งจะเป็นการพัฒนาสังคม ที่ยั่งยืนต่อไป”

นายเจษฎา บุญมี อาสาสมัครทีเอ็มบี หัวหน้าโครงการธนาคารโรงเรียนเพื่อเด็กพิเศษฯ เผยว่า “โครงการธนาคารโรงเรียนเพื่อเด็กพิเศษ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมสองโลกเข้าด้วยกัน เป็นความร่วมมือของคนหูดีและคนหูหนวก ช่วยส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมไทย อาสาสมัครทีเอ็มบีก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ที่ท้าทายความสามารถ ได้เข้าไปในอีกโลกที่ไม่เคยเจอ น้องๆ ผู้พิการทางการได้ยิน สามารถทำธุรกรรมที่แบงก์ด้วยตนเอง และพนักงานสามารถสื่อสารภาษามือได้”
ส่วน นางสาวสายสุนีย์ คำมูล อาสาสมัครทีเอ็มบี เผยว่า “ในระหว่าง 3 เดือน เราแบ่งการสอนออกเป็น 2 ส่วน สอนนักเรียนเกี่ยวกับหลักการออม ทำสมุดรายรับรายจ่าย โดยมีครูภาษามือช่วย และสอนคุณครูเกี่ยวกับโปรแกรมธนาคาร ระบบฝาก-ถอนด้วยคอมพิวเตอร์ คีย์ข้อมูลรายชื่อนักเรียน เปิดบัญชี พิมพ์หน้าสมุดและเรียงเก็บไว้ ธนาคารโรงเรียน เปิด 2 วัน วันพุธเป็นวันถอน ส่วนวันจันทร์คือวันฝากเงิน สำหรับการเรียนภาษามือ มีตื่นเต้น ทำผิดบ้าง ถูกบ้างช่วงแรก แต่พอเราเริ่มสื่อสาร ส่งสัญญาณมือที่คุยกับน้องๆ ได้ เรารู้สึก ดีใจมาก เราเริ่มเรียนรู้ เพื่อให้สื่อสารได้ อย่าง ฝากเงิน ถอนเงิน โอนเงิน บัญชี ชื่อ เซ็นชื่อ ฯลฯ
สายน้ำผึ้ง ลุงทูน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จ.เชียงใหม่ เผยว่า “สนุกและได้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรื่องเงิน และยังได้ฝึกความรับผิดชอบ เกี่ยวกับการให้บริการ วันนี้ได้ช่วยคุณครูเรื่องการพิมพ์บัญชีออมเงิน ธนาคารโรงเรียนเปิดวันจันทร์ และวันพุธ ระหว่าง 15:30 น. -17:00 น.ค่ะ”

หนึ่งในโครงการแข่งขันทักษะ และความสร้างสรรค์ทางการตลาดที่มีชื่อเสียงระดับโลกในกลุ่มนักศึกษาก็คือ ‘ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม’ จากลอรีอัล กรุ๊ป ภายใต้แนวคิด ‘Play, Experiment, Innovate’
โดยจัดแข่งขันใน 60 ประเทศทั่วโลก มาแล้ว 25 ปี สำหรับในประเทศไทยปี 2017 นี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 14 มีนักศึกษาเข้าร่วม 237 คน จากมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ที่เปิดสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษ ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเอแบค และมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็น Project & Talent Incubator สนับสนุนโครงงานและนักศึกษาที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมเข้าสู่ตลาด และเปิดกว้างใหักับนักศึกษาได้เรียนรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสู่โลกการทำงานจริง และนับเป็นความสำเร็จครั้งย่ิงใหญ่ที่สุด เมื่อทีม Chemerical มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ทีมชนะเลิศจากประเทศไทย สามารถนำเสนอการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างสรรค์แบรนด์ และกลยุทธ์การตลาดภายใต้คอนเซ็ปต์ The Ultimate Refreshing Bullet ไปคว้ารางวัลชนะเลิศระดับโลก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ทีมจากประเทศไทยคว้ารางวัลนี้ได้
ธนยศ ครุฑระเบียบ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ให้รายละเอียดกับ MBA Magazine ว่า “สำหรับการประกวดลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม ปีนี้เด็กไทยมีโอกาสลุ้นในหลายๆ ปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ค่อนข้างชัดเจน เนื่องจากอาจารย์ที่เป็นโค้ชก็ให้ความสำคัญและใส่ใจในการเมนเทอร์เด็กตั้งแต่รอบแรกอย่างใกล้ชิด” สำหรับรูปแบบการแข่งขันของลอรีอัล แบรนด์สตอรมนั้น ในแต่ละปีจะหยิบยก 1 ใน 34 แบรนด์ของลอรีอัล มาเป็นกรณีศึกษา ปี 2017 นี้ มีนักศึกษาสมัครร่วมโครงการนี้ทั่วโลกกว่า 25,000 คน ซึ่งแต่ละทีมจะประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน ร่วมกันไขโจทย์และวางแผนปั้นแบรนด์ ตลอดจนสร้างสรรค์กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อแจ้งเกิดผลิตภัณฑ์นั้นๆ ให้ได้
โดยโจทย์สำหรับปี 2018 คือ นักศึกษาจะต้องสร้างสรรค์ประสบการณ์ผู้บริโภค (Customer Experience) สำหรับร้านทำผมระดับมืออาชีพในอนาคต (Invent The Professional Salon Experience of The Future) เป็นผลิตภัณฑ์ในแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ โดยประสบการณ์นั้นจำเป็นจะต้องดึงดูดและสร้างความผูกพันกับกลุ่มมิลเลนเนี่ยล รวมถึงการเพิ่มความจงรักภักดีที่มีต่อแบรนด์ในกลุ่มแฮร์สไตล์ลิสต์ด้วย โดยคณะกรรมการต้องการเห็นโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมทางดิจิทัล เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี และมีแนวคิดที่ริเริ่มที่ยั่งยืน ผู้เข้าร่วมแข่งขันมีสิทธิ์ลุ้นคว้า 3 รางวัล ได้แก่ แบรนด์,เทคโนโลยี และซีเอสอาร์
“สำหรับการแข่งขันลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม 2018 จะเข้มข้นมากขึ้น ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมจะต้องหาแนวทางเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจยุคใหม่ให้ได้ จากก่อนหน้าที่เน้นถึงแนวทางการปั้นผลิตภัณฑ์ลงสู่ตลาด ทำเหมือนว่าเป็น Business Pitching เรียนรู้รอบด้านมากขึ้น เพื่อให้ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม เป็น Business Based Innovation Competition อย่างแท้จริง”
นอกจากนี้ธนยศได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ระหว่างการแข่งขันหรือร่วมโครงการนี้ สิ่งที่นักศึกษาจะได้รับคือ การเข้าถึงคลังข้อมูลต่างๆ ผ่านระบบอี-เลิร์นนิ่ง ที่จะช่วยเสริมและเพิ่มเติมทักษะใหม่ๆ ให้กับผู้เข้าแข่งขันได้ และนั่นหมายความว่าลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่นั่นเอง ทั้งนี้ตลอดการแข่งขันทีมงานลอรีอัลจะเฝ้าจับตาดูว่านักศึกษาแต่ละคนทำผลงานเป็นอย่างไร มีพัฒนาการแค่ไหน และพร้อมที่จะหยิบยื่นโอกาสในการทำงานภายใต้รั้วลอรีอัล ประเทศไทย ให้กับผู้ร่วมแข่งขัน โดยจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ นอกเหนือจากการเรียนรู้ที่ฝึกฝนทักษะด้านกลยุทธ์การตลาด ครอบคลุมทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีศิษย์เก่าลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม หลายคนที่กลายมาเป็นพนักงานลอรีอัล หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว พร้อมกับมีโอกาสที่เปิดกว้างมาก ในการเติบโตทางหน้าที่การงานภายในบริษัท
ธนยศบอกถึงก้าวสำคัญของลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม 2018 ที่น่าจับตาว่า “จะมีผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากขึ้น จากทั้งจำนวนมหาลัยที่เป็นพาร์ทเนอร์ และก็จะเพิ่มความร่วมมือจากเดิมจะโฟกัสเฉพาะคณะที่เปิดการเรียนการสอนด้านการตลาดก็จะเริ่มขยายไปทางวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เพราะลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม จะมีโจทย์เน้นการสร้างสรรค์ทางนวัตกรรมที่น่าสนใจและท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อถามถึงคุณประโยชน์ของลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม ธนยศตอบอย่างชัดเจนว่า ถือเป็น Win-Win Situation สำหรับทุกฝ่าย โดย ลอรีอัล ประเทศไทย จะได้ไอเดียที่สดใหม่ และนวัตกรรมที่หลากหลาย มีโอกาสเลือกสรรพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงและมีคุณภาพ ส่วนนักศึกษาก็ได้รับโอกาสในการเติมเต็มสิ่งที่ตัวเองยังขาดอยู่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตัวเอง เนื่องจากระหว่างแข่งขันจะมี อี-เลิร์นนิ่ง แพลตฟอร์ม ให้เรียนรู้อย่างจุใจมากกว่า 70 คอร์ส ทั้งยังได้ฝึกฝนและใช้ทักษะภาษาอังกฤษในการสื่อสารและพรีเซนต์ผลงาน ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยที่เป็นพาร์ทเนอร์แต่ละแห่งก็จะมีโอกาสในการพัฒนา โดยเฉพาะในแง่ของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างบุคคลากรที่มีคุณภาพให้กับประเทศชาติ รวมถึงการช่วยพัฒนาให้อุตสาหกรรม ความงาม และ FMCG เติบโตขึ้นด้วย
สำหรับปีหน้า 2018 ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม ได้เปิดรับสมัครเรียบร้อยแล้ว สำหรับน้องๆ ที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่สนใจโครงการนี้ สามารถร่วมประชันไอเดียเพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแข่งขันกับนักศึกษาทั่วโลกได้แล้ววันนีี้ ติดตามรายละเอียดและสมัครได้ที่ www.brandstorm.loreal.com ส่วนขั้นตอนการสมัครก็สะดวก ง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องใช้ CV ใดๆ แค่ตอบคำถามบางคำถามบนเว็บไซต์เท่านั้น หรือถ้าหากไม่มีเพื่อนครบทีม ก็สามารถมาฟอร์มทีมร่วมกันกับเพื่อนคนอื่นๆ ได้ โดยมีข้อแม้เดียวคือ ต้องศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ถ้าไอเดียเด็ด โดนใจคณะกรรมการ น้องๆ ก็จะได้รับการตัดสินให้เป็นผู้ชนะ และมีสิทธิ์เดินทางไปแข่งรอบชิงชนะเลิศระดับโลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2018 และสำหรับผู้ที่พลาดหวัง ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า เพราะความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับ จะทำให้น้องๆ เพิ่มพูนศักยภาพของตัวเองให้เก่งขึ้นได้อย่างแน่นอน โอกาสดีๆ จากบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกแบบนี้ มีเพียงปีละครั้งเท่านั้น อย่ารอช้า มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขุนพลลอรีอัล แบรนด์สตอร์มเมอร์กันได้แล้ว เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2560 - วันที่ 15 มกราคม 2561
เรื่องและภาพ : กองบรรณาธิการ