December 16, 2025

 วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก และพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการชำระเงินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก เกมส์ ต้อนรับ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เข้าสู่ทีมวีซ่า โดย วิว กุลวุฒิ เป็นแชมป์โลกแบดมินตันชายเดี่ยวคนแรกของประเทศไทยในรายการแข่งขันแบดมินตันชิงแชมป์โลก บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพส์ 2023 (BWF World Championships 2023) และเป็นผู้เล่นชายเดี่ยวคนแรกที่คว้าแชมป์เยาวชนโลก (World Junior Championships) ถึงสามสมัยด้วยชัยชนะเกือบ 300 ครั้งทั่วโลก1 ปัจจุบัน วิว กุลวุฒิ อยู่อันดับที่เจ็ดในการจัดอันดับโลกสำหรับนักแบดมินตันชายเดี่ยว และได้ขึ้นสู่อันดับสามของโลกมาแล้วในปี 2566 อีกทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่มีชื่อเสียงและน่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของประเทศ

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “วีซ่า ในฐานะผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เข้าสู่ทีมวีซ่า เรามองว่า วิว กุลวุฒิเป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงดีเอ็นเอของแบรนด์วีซ่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดในทุก ๆ วัน ความมุ่งมั่น และการเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นด้วยพรสวรรค์ที่เปี่ยมล้น เราจะให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ และร่วมกับแฟนกีฬาชาวไทยส่งกำลังใจให้เขาในช่วงระหว่างการเตรียมพร้อม และตลอดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ที่จะถึงนี้ "

โครงการ ทีมวีซ่า ได้ถือกำเนิดขึ้นในพ.ศ. 2543 เพื่อต่อยอดความมุ่งมั่นของวีซ่า ในการสนับสนุนและมอบความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งอุปกรณ์ ทรัพยากร ตลอดจนคำแนะนำให้แก่เหล่านักกีฬาที่ต้องการสานฝันให้เป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ในสนามหรือนอกสนามก็ตาม นอกจากนี้ วีซ่า ยังเป็นผู้สนับสนุนหลักมานานกว่า 30 ปีในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและมากกว่า 20 ปี สำหรับพาราลิมปิกเกมส์ โดยยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการรวมความหลากหลายและความแตกต่างของแต่ละบุคคลในวงการของกีฬาต่อไป

สำหรับโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ทีมวีซ่าร่วมสนับสนุนนักกีฬาจำนวน 117 คน จากมากกว่า 60 ประเทศ ในกีฬากว่า 40 ชนิด ซึ่งนับเป็นการสนับสนุนนักกีฬาจำนวนมากที่สุดและหลากหลายประเภทกีฬาที่สุดในประวัติศาสตร์ของโครงการนี้

ความมุ่งมั่นของวีซ่าคือการเพิ่มขีดความสามารถให้กับนักกีฬา และสร้างเครือข่ายเพื่อขยายโอกาสต่อยอดความสำเร็จในระดับโลกซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ วิว กุลวุฒิ ที่ทำให้เขาเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งของทีมวีซ่าในการสร้างประวัติศาสตร์การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ที่จะถึงนี้” ปุณณมาศ กล่าวสรุป

 ดีลอยท์ ประเทศไทย ผนึก SME D BANK และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านบริการจาก LiVE Platform จัดโครงการ ‘Incubation Program – Road to LiVE’ หลักสูตรเสริมแกร่งสำหรับ SMEs และ Startups เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่ตลาดทุนและสร้างโอกาสในการเติบโต พร้อมโอกาสรับเงินทุนสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) สูงสุด 50,000 บาท

นายวัลลภ วิไลวรวิทย์ Audit & Assurance Partner ดีลอยท์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับเกียรติร่วมเป็นที่ปรึกษาโครงการ Incubation Program - Road to LiVE หรือเส้นทางเตรียมความพร้อมสู่ตลาดทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D BANK) จัดขึ้นเพื่อเสริมความพร้อมที่สำคัญให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม (SMEs) และสตาร์ตอัพไทย (Startups) ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแผนจะเข้าระดมทุนผ่านตลาดทุน ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจ

ความร่วมมือครั้งนี้ ดีลอยท์ ได้ส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญร่วมให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางให้ SMEs และ Startups ที่เข้าร่วมโครงการ สามารถพัฒนาเรียนรู้การสร้างเส้นทางธุรกิจ และสามารถเตรียมความพร้อมในการระดมทุนผ่านกลไกตลาดทุนได้ตามวัตถุประสงค์ หลักสูตรดังกล่าวจัดขึ้นในวันที่ 26 - 27 มีนาคม 2567 "ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ “Incubation Program - Road to LiVE” ได้เรียนรู้ 4 เรื่องสำคัญคือ การบ่มเพาะเส้นทางธุรกิจ (Incubation) เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง (Driving Change), การสำรวจและวางแผนระบบงาน (Explore) และการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อต่อยอดธุรกิจ (Aspiration) จากผู้เชี่ยวชาญ หลักสูตรการอบรมครอบคลุมตั้งแต่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจสู่ธุรกิจมหาชน การทำแผนธุรกิจ การกำหนดการควบคุมภายใน รวมถึงการดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนอีกด้วย” นายวัลลภ กล่าว

นายโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D BANK) กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า SME D Bank ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างดีลอยท์ มาอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ให้เตรียมความพร้อมในการเพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดทุน ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าเป็นสมาชิก DX by SME D Bank สามารถเข้าถึงห้องเรียนผู้ประกอบการออนไลน์ ซึ่งจะให้ความรู้โดย Exclusive Coach และได้รับสิทธิเข้าร่วมกิจกรรม “โอกาสธุรกิจสู่ Global Market” พร้อมสิทธิประโยชน์อื่นอีกมากมาย นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับเงินทุนสนับสนุนการดำเนินโครงการ จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาทอีกด้วย นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และ Startups เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ผ่านบริการจาก LiVE Platform แพลตฟอร์มที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจ พัฒนาธุรกิจให้เติบโต เตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุน และโครงการ Incubation Program – Road to LiVE เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ (LiVE Academy) โดยหวังว่าบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้เรียนรู้กลไกการระดมทุน และการเตรียมพร้อมระบบงานที่สำคัญเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้ธุรกิจ และเข้าร่วมเป็นสมาชิกในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพในตลาดหลักทรัพย์ LiVEx – mai - SET ได้ต่อไป

LINE WEBTOON จับมือ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมความรู้แก่นักศึกษาเยาวชนรุ่นใหม่ ในด้านการออกแบบผลงานการ์ตูนดิจิทัล โอกาสต่อยอดสู่เส้นทางสายอาชีพ โดยมี นายชเวจุนยอง ผู้บริหาร LINE WEBTOON ประจำภูมิภาคจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ NAVER WEBTOON LIMITED (ท่านที่ 2 จากซ้าย) และ ผศ.ดร.อรรยา สิงห์สงบ รองอธิการบดีสายวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (ท่านที่ 3 จากซ้าย) เป็นผู้ลงนามความร่วมมือ พร้อมด้วย นายคิมโดยอง ผู้บริหาร LINE WEBTOON ประจำประเทศไทย NAVER WEBTOON LIMITED (ท่านที่ 1 จากซ้าย) และ รศ.ดร.ศุภเจตน์ จันทร์สาส์น ผู้ช่วยอธิการบดีสายวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (ท่านที่ 4 จากซ้าย) ให้เกียรติเข้าร่วมในพิธี ณ สำนักงาน LINE ประเทศไทย

โดยความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ในขั้นตอน กระบวนการออกแบบผลงานการ์ตูนดิจิทัลของนักศึกษา ให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อเพิ่มทักษะ ต่อยอดศักยภาพการผลิตผลงานการ์ตูนดิจิทัลของนักศึกษา ให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในเส้นทางสายอาชีพ ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการบรรยายพิเศษ กิจกรรมเวิร์คช้อปต่างๆ และโครงการสมทบอีกมากมาย

โดยมีทั้งครีเอเตอร์ โปรดิวเซอร์ในแวดวงการ์ตูนดิจิทัล และทีมงานผู้เชี่ยวชาญจาก LINE WEBTOON มาร่วมเป็นผู้ให้ความรู้ คำแนะนำตลอดกิจกรรมสำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อเป้าหมายในการผลักดันศักยภาพบุคลากรรุ่นใหม่ในวงการครีเอเตอร์ไทย พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการ์ตูนดิจิทัลในประเทศไทย ให้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นในระดับสากล

บรรจุภัณฑ์หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์และธุรกิจ การติดตามแนวโน้ม ทิศทางและนวัตกรรมของบรรจุภัณฑ์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องติดตาม เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุนการผลิตและความยั่งยืน

ด้วยเหตุนี้ องค์การบรรจุภัณฑ์โลก (World Packaging Organisation : WPO) บริษัท เด็นโซ่ อินโนเวทีฟ แมนูแฟคเจอริ่ง โซลูชั่น เอเชีย จำกัด และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน ProPak Asia 2024 จึงได้ร่วมมือกันจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ผ่านโปรแกรมซูม (Zoom) ขึ้น ในหัวข้อ การสร้างสรรค์โอกาสแห่งอนาคตด้วยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ (Forming Tomorrow’s Opportunities with Packaging Innovation) ในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2567 เวลา 14.00 – 15.30 น. (ดำเนินการสัมมนาเป็นภาษาอังกฤษ) เพื่อให้ความรู้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ก่อนงาน ProPak Asia 2024 โดยในการสัมมนาจะเป็นการสำรวจแนวโน้มและนวัตกรรมล่าสุดที่กำลังเปลี่ยนแปลงวงการบรรจุภัณฑ์ระดับโลก ตั้งแต่แนวโน้มในการบรรจุภัณฑ์ไปจนถึงวิธีการยั่งยืน กฎหมาย การปรับปรุงข้อกำหนดและการออกแบบระบบอัตโนมัติ ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก

· คุณโซฮา อัตอัลล่า รองประธานสำหรับการตลาด องค์การบรรจุภัณฑ์โลก  หัวข้อ แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ของโลก

· คุณเนรีดา เคลตัน รองประธานสำหรับความยั่งยืน องค์การบรรจุภัณฑ์โลก  หัวข้อ: มุมมองด้านความยั่งยืนระดับโลก ผ่านความคิดของ WPO รวมถึงตัวอย่างแนวทางปฏิบัติ หลักการออกแบบและแนวปฏิบัติ

· คุณชาร์ล็อต เวอร์เนอร์ หัวหน้าทีม Circular Analytics และสมาชิก WPO ประเทศออสเตรีย  หัวข้อ: PPWR และ กฎหมายใหม่ว่าด้วยการอ้างสิทธิ์สีเขียว

· คุณวิวัฒน์ พันธ์สระ รองประธาน - วิศวกรรมโรงงาน (DIMA) บริษัท เด็นโซ่ อินโนเวทีฟ แมนูแฟคเจอริ่ง โซลูชั่น เอเชีย จำกัด  หัวข้อ: การออกแบบระบบอัตโนมัติสำหรับการบรรจุภัณฑ์โดยใช้ Lean Automation

โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับประกาศนียบัตรจากการสัมมนาครั้งนี้อีกด้วย ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถลงทะเบียนได้แล้วที่ https://zoom.us/webinar/register/WN_46KQ6asvRNiDyb_NfNI14g หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสัมมนาฯ ติดต่อ คุณพุทธพร พุดมะลัง เบอร์ 020360500 ต่อ 263 Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าพิสูจน์เครือข่ายที่ดีที่สุดทั่วไทยรับเทรนด์ท่องเที่ยว พร้อมนำศักยภาพเครือข่าย 5G และเทคโนโลยีดิจิทัล เสริมแกร่งชุมชนทั่วไทย และภาคใต้ พร้อมชวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติร่วมสัมผัสธรรมชาติและวิถีชุมชนดั้งเดิม เพิ่มเสาสัญญาณใช้พลังงานหมุนเวียน ด้วยการติดตั้งและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทุกภาคทั่วไทยและจังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกทั้งเอาใจสายท่องเที่ยวต่างประเทศ ชู GO Beyond Roaming มาพร้อมประสบการณ์ In-Flight Roaming เปิด โรมมิ่งบนเครื่องบิน เชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างไร้ขีดจำกัด และ On Cruise Roaming ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อได้ตลอดเวลาแม้ท่องมหาสมุทร กับ Cruise Line ชั้นนำระดับโลก

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทั่วไทยทั้งเรื่องเครือข่ายที่ดีที่สุด และ การให้บริการเหนือระดับแบบไร้รอยต่อ โดยได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัลให้ทันสมัยและมีคุณภาพสูง รวมถึงการยกระดับประสบการณ์การใช้งาน 5G ด้วยการอัปเกรดเทคโนโลยีเครือข่ายอย่างต่อเนื่องสู่มาตรฐานระดับโลก พร้อมทั้งพัฒนาเครือข่ายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย”

การใช้งานดาต้าจังหวัดภาคใต้พุ่งติดเทรนด์เติบโตแถวหน้า

ทรู คอร์ปอเรชั่นนำศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย AI อัจฉริยะ BNIC (Business Network Intelligence Center) วิเคราะห์พฤติกรรม แนวโน้มการใช้งานดาต้าทุกจังหวัดทั่วประเทศ พบว่าจังหวัดภาคใต้มีการใช้งานเติบโตสูงติดเทรนด์ โดยมีจังหวัดภูเก็ตเป็นอันดับ 1 เติบโตประมาณ 29%, อันดับ 2 ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี เติบโตประมาณ 22% และ อันดับ 3 คือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เติบโตประมาณ 20% ซึ่งรับกับกระแสท่องเที่ยวภาคใต้ที่เติบโตมากขึ้น

ทั้งนี้ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังมีเกาะลับที่ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวให้ความนิยมเพิ่มขึ้นคือ “เกาะนกเภา” ซึ่งทรูได้เป็นผู้ให้บริการติดตั้งเสาสัญญาณรายแรก เพิ่มโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ตให้กับคนในชุมชนและโรงเรียน โดยเสาสัญญาณดังกล่าวเป็นเสาที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ด้วยการติดตั้งและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทำให้ชุมชนในเกาะใช้งานมือถือและเน็ตได้อย่างมีคุณภาพ สามารถออนไลน์โปรโมตโฮมสเตย์ให้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งทรูยังได้ขยายสัญญาณให้ครอบคลุมทั่วทั้งบนฝั่ง บนเกาะ กลางทะเล เติมเต็มไลฟ์สไตล์ แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทรูพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

Net Zero เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างยั่งยืน สุราษฎร์ใช้เสาโซล่าเซลล์ 6%

ทรู คอร์ปอเรชั่น ผลักดันเส้นทางสู่ Net Zero อย่างเข้มข้น ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชันการเชื่อมต่อให้ทันสมัย รวมถึงการอัปเกรดเสาสัญญาณสู่การใช้งาน 5G และ 4G ได้อย่างเต็มที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยปี 2566 สามารถลดการใช้พลังงานได้กว่า 10,000 เมกะวัตต์ชั่วโมงและลดก๊าซเรือนกระจกได้ 4,400 ตัน การใช้ AI และ Machine Learning เพื่อตรวจจับและแก้ไขปัญหาเครือข่ายอย่างรวดเร็ว นับเป็นกุญแจสำคัญในการลดการใช้พลังงานและก๊าซเรือนกระจก สำหรับปีที่ผ่านมา ทรูได้ติดตั้งแผงโซล่า  เซลล์ที่เสาสัญญาณกว่า 7,800 แห่งและดาต้าเซ็นเตอร์ 1 แห่ง ทำให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 45,000 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี โดยในปี 2567 มีแผนที่จะติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ที่เสาสัญญาณรวมเป็น 11,200 แห่ง และดาต้า เซ็นเตอร์อีก 6 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 64,000 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี และสามารถหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 28,800 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ สุราษฎร์ธานีได้ติดตั้งใช้เสาสัญญาณโซล่าเซลล์ จำนวน 6% ของเสาทั้งหมด

นอกจากนี้ ทรูยังนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน อาทิ ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ผ่านแอปพลิเคชัน หมอดี (MorDee) ที่เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับหมอออนไลน์ได้ทุกที่ทั่วไทย ซึ่งมีหมอมากกว่า 500 ท่าน 20 กว่าสาขา ผู้ป่วยสามารถพบแพทย์ผ่านวิดีโอคอล โทร หรือแชท กับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ จากสถาบันชั้นนำแบบเป็นส่วนตัว ด้วยการออนไลน์ผ่านแอปจากที่ไหนก็ได้ ในเวลาที่สะดวก ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องรอนานอีกด้วย

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับประโยชน์จากโครงข่ายดิจิทัลและการพัฒนา 5G เพื่อที่จะทำให้การท่องเที่ยวมีความสนุกสนาน เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งทรูได้ออกแบบเครือข่ายให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในภาคใต้ ซึ่งเทคโนโลยี 5G จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเปิดประตูสู่การให้บริการใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มคุณภาพและประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างยั่งยืน เราวางแผนปรับปรุงเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ทั่วประเทศและรวมถึงภาคใต้ นอกจากนี้ ทรูยังมีแผนในการรวมโครงข่ายเป็นหนึ่งเดียว (One Integrated Network) และใช้ประโยชน์คลื่นความถี่ทุกย่านอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานบนเครือข่ายที่ครอบคลุมและเร็วยิ่งขึ้น

จากดาต้าการใช้งานที่แหล่งท่องเที่ยวภาคใต้ของทรู คอร์ปอเรชั่น พบว่าจุดหมายท่องเที่ยวภาคใต้ 5 อันดับแรกที่มีปริมาณดาต้าสูงสุด ประจำมีนาคม 2567 ซึ่งสอดคล้องกับแผนการพัฒนาสัญญาณเพื่อนักท่องเที่ยว ดังนี้

1. เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

2. เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี

3. เกาะพีพี จ.กระบี่

4. อ่าวนาง จ.กระบี่

5. เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล

นายชารัด กล่าวเสริมว่า “ทรูและดีแทคให้ความสำคัญกับการออกแบบแพ็กเกจและสิทธิประโยชน์ที่ตรงความต้องการนักท่องเที่ยว รวมถึงนำจุดเด่นของการตลาดแต่ละพื้นที่มาใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรองรับการเดินทางท่องเที่ยวไทย ขณะเดียวกัน มุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทรูและดีแทค ทั้งการท่องเที่ยวต่างประเทศและในประเทศ

สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ แบรนด์ทรูและดีแทคพร้อมมอบสิทธิพิเศษมากมายสำหรับทุกการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยเครื่องบินหรือรถยนต์ รวมถึงการพักผ่อนในโรงแรมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ทั้งยังมั่นใจได้ด้วยประกันอุบัติเหตุและการเดินทางที่ครอบคลุมเพื่อความมั่นใจให้ลูกค้า

เดินทางด้วยเครื่องบิน

· ลูกค้าสามารถแลกเงินอัตราพิเศษกับ Twelve Victory ใช้บริการรถรับส่งไปสนามบินผ่านแอป Maxim หรือ The Black Tie Limousine

· เสิร์ฟสุขสุดพิเศษ ก่อนเดินทาง ทุกเที่ยวบินสามารถอิ่มอร่อยได้ที่ 9 สนามบินภายในประเทศ พร้อมสิทธิพิเศษในการช็อป duty free และรถกอล์ฟรับส่งจากเครื่องบินสู่จุดตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สำหรับลูกค้าทรูแบล็คการ์ด

เดินทางด้วยรถยนต์

· มีบริการเช็กอัปสุขภาพรถที่ Cockpit, Autobac และชาร์จรถที่ EA anywhere

· บริการรถเช่าจาก TrueLeasing, DriveHub และอีกมากมาย รวมถึงสถานีบริการน้ำมันชั้นนำอย่าง PT, Susco

· Cafehopping ไม่พลาดสำหรับคอกาแฟตลอดเส้นทาง ทั้ง Cafe Amazon, D'Oro และร้านกาแฟสุดฮิป

โรงแรมที่พักตอบโจทย์ลูกค้า

· บริการจองห้องพักทั้งจาก Ascend Travel, Agoda และจองผ่าน Personal Assistance สำหรับลูกค้าทรูแบล็ค/ดีแทคแพลทินัมบลู พร้อมสิทธิพิเศษจากเครือโรงแรมชั้นนำ

ปลอดภัยทุกการเดินทาง

· ได้รับความคุ้มครองจากประกันอุบัติเหตุ/การเดินทางจาก AIA, FWD ทิพยประกันภัย และไทยวิวัฒน์

ทั้งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศ ทรู คอร์ปอเรชั่นได้เปิดตัว "GO Travel" แพ็คเกจเน็ตและซิมต่างประเทศ ซึ่งเป็นครั้งแรกของบริการใหม่ระดับพรีเมียมสำหรับการท่องเที่ยวเหนือกว่าการโรมมิ่งทั่วไป เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวระดับเวิลด์คลาสให้แก่ลูกค้าทั้งทรูและดีแทค ทำให้สามารถสื่อสารได้อย่างราบรื่นทั่วโลกผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรมากกว่า 700 รายทั่วโลก

 

บูทซีเอ็ดภายในงานสัปดาห์หนังสือฯ ครั้งนี้ เชิญชวนทุกคนร่วมเปิดประตูสู่โลกภายใต้ปกหนังสือ "The Hidden World Behind The Book เรื่องราวมากมายภายใต้ปกหนังสือ" ค้นพบจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และเรื่องราวมากมายรอให้คุณค้นพบ เมื่อเราเปิดอ่านหนังสือ หน้ากระดาษก็กลายเป็นประตูสู่มิติใหม่ พาเราท่องไปในดินแดนที่ไม่เคยเห็น ตัวละครที่ไม่เคยพบเจอ และเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง หนังสือแต่ละเล่มเปรียบเสมือนกุญแจไขประตูสู่โลกที่แตกต่างกันออกไป ทุกตัวหนังสือ ทุกบรรทัดที่คัดรวมเป็นหนังสือ ได้ถูกกลั่นจากความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการ ที่ ผู้เขียน ตั้งใจส่งต่อ แบ่งปันให้เราก้าวผ่านทุกยุค ทุกสมัย

 

คุณรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น กล่าวถึงที่มาของบูทซีเอ็ดในครั้งนี้

“บูทซีเอ็ดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งนี้ ซีเอ็ดมากับแนวคิด "The Hidden World Behind the Book เรื่องราวมากมายภายใต้ปกหนังสือ” เราอยากนำเสนอคุณค่าของหนังสือ กว่าจะได้ผลิตหนังสือออกมาแต่ละเล่ม ตั้งแต่นักเขียน บรรณาธิการ ทีมออกแบบ ทุกทีมงานล้วนมีคุณค่า ในขณะเดียวกันในมุมของหนังสือจะมีวิวัฒนาการแต่ละยุค แต่ละช่วงสมัย เราอยากให้นักอ่านทุกท่านได้เห็นถึงวิวัฒนาการหลายสิบปีที่ผ่านมา ในวงการหนังสือได้ผ่านอะไรมาบ้าง หนังสือเล่มใดบ้างที่ได้รับความนิยมในแต่ละช่วงสมัย นักเขียนที่ทรงคุณค่าในสังคมมีท่านใดบ้าง เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้จะถูกถ่ายทอดที่บูทของซีเอ็ด

ผมอยากจะฝากถึงนักอ่านทุกท่าน อยากให้ทุกคนมีความเป็นตัวของตัวเอง มองหาสิ่งที่สนใจและหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านในแนวที่ชอบ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสาระหรือความบันเทิงก็ตาม ผมเชื่อว่าเราทุกคนจะดีขึ้นในแบบที่ตัวเองต้องการ"

อะไรคือเรื่องราวภายใต้ปกหนังสือที่คุณกำลังตามหา? สามารถค้นพบได้จากมุมต่างๆ ภายในบูธซีเอ็ด อาทิ 100 ปกหนังสือที่ควรอ่าน, หนังสือใหม่ หนังสือขายดี หมวดพัฒนาตนเอง บริหารการเงิน วรรณกรรม การศึกษา หนังสือสำหรับเด็ก การ์ตูนมังงะ ฯลฯ ที่มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ซื้อ 1-3 เล่มลด

15% หรือ ซื้อ 4 เล่มขึ้นไปลดมากถึง 20% พร้อมรับเพิ่มสินค้าพรีเมียม “You Are What You Read อ่านแบบไหนที่ใช่คุณ” และ SESAME STREET ลิขสิทธิ์แท้ 100% เมื่อซื้อครบตามเงื่อนไขที่กำหนด

ภายในงานคุณจะได้พบกับการเปิดตัวหนังสือการ์ตูนมังงะ “ปรมาจารย์ลัทธิมาร” (ฉบับการ์ตูนภาษาไทย) การ์ตูนมังงะจากซีรีส์และหนังสือชื่อดังที่จะชวนคุณหวนคืนสู่กูซูอีกครั้ง และเปิดตัว “สำนักพิมพ์ MONEY FITNESS” สำนักพิมพ์ใหม่ในเครือซีเอ็ดที่ได้ร่วมมือกับ “โค้ชหนุ่ม-จักรพงษ์ เมษพันธุ์” ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จัดพิมพ์หนังสือการวางแผนการเงินสไตล์โค้ชหนุ่ม ทั้งการใช้จ่าย การใช้หนี้ การออม และการลงทุน เพื่อให้คุณเกษียณเร็ว เกษียณรวย ทำเรื่องการเงินให้ฟิตปั๋ง แล้วชีวิตคุณจะไปต่อได้แบบราบรื่น ไม่มีสะดุด กับหนังสือ 2 เล่มใหม่ “ปิดประตูเจ๊งให้ธุรกิจเฮงๆ” และ “หมอเงินถาม หมอความตอบ” พร้อมกับนักเขียนร่วม “ทนายแก้ว - ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล” และ “TaxBugnoms - คุณถนอม เกตุเอม” นอกจากนี้ นักอ่านยังเต็มอิ่มใจฟูกับกิจกรรม Meet&Read นักเขียนพบนักอ่านแบบใกล้ชิดที่บูธซีเอ็ด

ติดตามรายละเอียดโปรโมชั่นและตารางกิจกรรม Meet & Read ได้ที่ Facebook Page : SE-ED Book Center แล้วมาพบกันที่บูทซีเอ็ด L47 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 วันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2567 เวลา 10.00 น. – 21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7

สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBA) เปิดประสบการณ์สุดพิเศษให้คุณดื่มด่ำไปกับความตื่นเต้นการแข่งขันบาสเกตบอลระดับโลก ผ่าน “NBA 360” บริการถ่ายทอดสดที่สามารถรับชมได้ฟรี! พิเศษสุดบนแอป NBA สำหรับผู้ใช้งานในประเทศไทยตั้งแต่วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม - วันเสาร์ที่ 6 เมษายน เวลา 18.30 น. – 09.30 น.

NBA 360 นำเสนอการออกอากาศหลากหลายมุมมอง พร้อมการรายงานความเคลื่อนไหวถ่ายทอดสดที่รวมถึง ไฮไลท์การแข่งขัน กราฟิกทันสมัย ข้อมูลสถิติ อันดับ และการสัมภาษณ์ผู้เล่น มอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในการชมเกม จับตาดูเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและช่วงเวลาที่ดีที่สุดจากทั่วทั้งลีก

ในวันเสาร์ที่ 30 มีนาคม แฟน ๆ สามารถเข้าชมการแข่งขันทั้งหมด 12 เกมได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอป NBA

สามารถเยี่ยมชม www.nba.com 

SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในปี 2567 ตามการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว ซึ่งจะสนับสนุนให้อุปสงค์ในประเทศปรับดีขึ้นผ่านการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน ในระยะปานกลางเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของธุรกิจข้ามชาติออกไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตามยุทธศาสตร์ “China +1” เพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในระยะต่อไป ในปีนี้ SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัวต่อเนื่อง 6.0% (จาก 5.6% ในปี 2566) สปป.ลาว 4.7% (จาก 4.5%) เมียนมา 3.0% (จาก 2.5%) และเวียดนาม 6.3% (จาก 5.1%)

 

อัตราการขยายตัวของแต่ละประเทศใน CLMV ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อน COVID-19 จากปัจจัยกดดันต่าง ๆ อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเศรษฐกิจภูมิภาค CLMV มีความสัมพันธ์สูงทั้งด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกัน บางประเทศ เช่น กัมพูชาและเวียดนามมีอัตราส่วนหนี้เสีย (Non-performing loans ratio) สูงขึ้นหลังมาตรการช่วยเหลือในช่วง COVID-19 สิ้นสุดลง ประกอบกับภาวะการเงินในประเทศที่ตึงตัวขึ้น อาจกระทบการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและการเข้าถึงสภาพคล่องของธุรกิจได้ นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยที่ต้องจับตาต่อเนื่อง ในระยะสั้นการค้าโลกอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการขนส่งบริเวณทะเลแดงและคลองปานามาที่แห้งแล้งและอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าส่งออกของภูมิภาค CLMV ได้ ในระยะยาวเศรษฐกิจ CLMV จะต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับโลกที่มีแนวโน้มจะกีดกันการค้าและตั้งกำแพงภาษีมากขึ้น

ความเร็วในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ CLMV แตกต่างกัน ขึ้นกับปัจจัยเฉพาะประเทศ โดยเฉพาะในสปป.ลาวที่เผชิญความเสี่ยงจากระดับหนี้สาธารณะซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงเทียบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ ท่ามกลางภาวะการเงินโลกตึงตัว ทำให้เงินกีบอ่อนค่ารวดเร็ว ซ้ำเติมภาระการชำระหนี้ต่างประเทศ และทำให้เงินเฟ้อในประเทศพุ่งสูงขึ้นมากและปรับตัวลดลงได้ช้าในปีนี้ ปัจจัยเหล่านี้กดดันศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะปานกลาง โดยสปป.ลาวกำลังดำเนินการรัดเข็มขัดทางการคลัง ควบคู่กับการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้และการหาแหล่งระดมทุนใหม่เพื่อรักษาเสถียรภาพการคลังไว้ ขณะที่เมียนมาเป็นอีกประเทศที่กำลังเผชิญปัจจัยกดดันเชิงโครงสร้าง ซึ่งได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่ปี 2564 และทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายปี 2566 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ในประเทศซบเซา ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกมีส่วนทำให้อุปสงค์ต่างประเทศอ่อนแอลงมาก ประกอบกับปัญหาอื่น ๆ เช่น การขาดแคลนเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เงินจัตอ่อนค่าและเงินเฟ้อเร่งตัว ตลอดจนปัญหาระบบขนส่งและโครงข่ายไฟฟ้าหยุดชะงัก การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังดูเป็นไปได้ยากในระยะสั้น เนื่องจากจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยทางการเมืองที่มีเสถียรภาพ

 

ค่าเงินของกลุ่มประเทศ CLMV จะเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าลดลง ตามธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีแนวโน้มเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่กลางปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้าประเทศกำลังพัฒนา รวมถึง CLMV มากขึ้น และจะกระตุ้นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศตามต้นทุนการระดมทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเฉพาะประเทศยังคงเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อแนวโน้มค่าเงิน ส่งผลให้ค่าเงินบางประเทศอาจยังอ่อนค่าต่อ

การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับ CLMV มีแนวโน้มดีขึ้นในปีนี้ หลังจากค่อนข้างซบเซาในปี 2566 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการค้าโลกที่ปรับดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิต และเศรษฐกิจประเทศในภูมิภาคที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ ภาวะการเงินโลกและไทยที่คาดว่าจะผ่อนคลายลงบ้างในปีนี้จะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนให้บริษัทไทยลงทุนใน CLMV ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามเสถียรภาพเศรษฐกิจของ CLMV บางประเทศที่ยังไม่เอื้อต่อการลงทุนมากนัก ทั้งนี้ในระยะยาว SCB EIC ยังมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจ CLMV และคาดว่าจะเป็นหนึ่งในภูมิภาคของโลกที่เติบโตสูง และยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ จากปัจจัยประชากรที่มีอายุเฉลี่ยน้อย การมีข้อตกลงสนธิสัญญาการค้าเสรีต่าง ๆ และแหล่งที่ตั้งที่มีความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ ติดตลาดใหญ่ เช่น จีนและอินเดีย

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดธุรกิจร้านอาหารในปี 2567 จะมีมูลค่าราว 6.69 แสนล้านบาท บนสถานการณ์ของภาคธุรกิจที่มีทั้งปัจจัยบวกซึ่งส่งผลต่อการประกอบธุรกิจที่สามารถได้พื้นที่ตลาดเร็วขึ้นผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ตัดสินใจตามอินฟูลเอนเซอร์ รวมถึงสัดส่วนกำไรที่คาดเพิ่มสูงขึ้น พร้อมเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการที่มีพื้นที่บริการทับซ้อนกันมากยิ่งขึ้น

ธุรกิจร้านอาหารในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานับเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนสูง เริ่มจากมาตรการล็อกดาวน์ การปิดห้างร้านชั่วคราว และการไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารในร้าน เนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 และ ถึงแม้ในปี 2564 มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเริ่มมีการผ่อนคลายลง แต่ด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่กลับมา และความกังวลจากภาคประชาชนในการรับประทานอาหารในพื้นที่สาธารณะ ส่งผลให้รายได้ธุรกิจร้านอาหารหดตัว 5.6% ต่อจากปี 2563 ที่ลดลงไปถึง 15.0% อย่างไรก็ตาม ในระหว่าง 2 ปีแห่งความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางมาตรการควบคุมโรคระบาดในแต่ละช่วงเวลา แพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเป็นข้อต่อสำคัญที่ช่วยให้กิจกรรมร้านอาหารยังสามารถไปต่อได้ท่ามกลางวิกฤต ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนให้ต่างไปจากเดิม ทำให้ธุรกิจร้านอาหารสามารถขยายพื้นที่บริการได้โดยอาศัยแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหาร

ทั้งนี้ในปี 2565 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่คลี่คลายลงและวิถีชีวิตของผู้คนเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ธุรกิจร้านอาหารสามารถกลับมาฟื้นตัวสมบูรณ์เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่อย่างไรก็ดีในปี 2565 ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญความท้าทายเรื่องภาวะต้นทุนอาหารที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งลดทอนกำไรของผู้ประกอบการลง โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรกของปีส่งผลให้มีการขยับราคาอาหารเพิ่มเพื่อรักษาพื้นที่กำไร แต่จากการที่ราคาอาหารเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย (Final Product) มักมีความหนืด (Price Rigidity) โดยเฉพาะการลดราคาเนื่องจากราคาที่ส่งผ่านไปยังผู้บริโภคจากภาวะต้นทุนเพิ่มในช่วงที่ผ่านมาไม่ปรับลดลงแม้ต้นทุนกลับสู่ปกติ รวมถึงอิทธิพลจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เลือกร้านอาหารผ่านการรีวิวในช่องทางโซเชียลมีเดีย ช่วยทำให้ร้านอาหาร SMEs สามารถสร้างฐานลูกค้าได้ในระยะเวลาอันสั้นต่างจากในอดีตที่ต้องสั่งสมฐานลูกค้าเป็นช่วงเวลานานนับปี กอปรกับกระแสสตรีทฟู้ด (Street Foods) ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มกลับมาในปี 2566 กว่า 28.1 ล้านคน ส่งผลให้ปี 2566 ธุรกิจร้านอาหารคาดว่าจะมีมูลค่าแตะ 6.48 แสนล้านบาท ต่อเนื่องถึงปี 2567 ที่ ttb analytics คาดธุรกิจร้านอาหารยังสามารถเติบโตด้วยอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่มูลค่า 6.69 แสนล้านบาท จากผลของราคาที่ทรงตัวจากการปรับเพิ่มในช่วง 2 ปีก่อนหน้า และโมเมนตัมของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในอัตราลดลงจากฐานทสูงของปีก่อนหน้า บนปัจจัยบวกและความท้าทายที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2567

 ปัจจัยบวกในการประกอบธุรกิจร้านอาหารปี 2567 ประกอบด้วย 1) พื้นที่ในการทำการตลาดที่ขยายกว้างขึ้นกว่าเดิมผ่านแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหาร ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถขยายพื้นที่บริการโดยไม่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ (Physical Asset) และช่วยลดความจำเป็นในการเลือกทำเลที่ตั้งที่มีค่าเช่าพื้นที่สูง 2) กระแสพฤติกรรมการเลือกซื้ออาหารตามการรีวิวของอินฟูลเอนเซอร์ (Influencer) ที่ส่งผลให้ร้านอาหารสร้างฐานลูกค้าใหม่ได้ในเวลาอันสั้น รวมถึงลดความสำคัญของการพึ่งพิงทำเลที่ตั้งที่ส่งผลต่อต้นทุนค่าเช่าที่สูง 3) แนวโน้มพื้นที่กำไรที่เพิ่มสูงขึ้นจากทางอ้อมของแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารที่ส่งผลให้ราคาสุทธิที่มีผู้ซื้อเพิ่มสูงขึ้นราว 30-35% เมื่อมีส่วนของค่าบริการที่ร้านอาหารต้องจ่ายให้แพลตฟอร์ม (GP) รวมเข้าไปด้วย ทำให้ในมุมของผู้บริโภครู้สึกว่าราคาอาหารที่รวมค่าบริการผ่านแพลตฟอร์ม กลายเป็นราคาจ่ายปกติต่อมื้อมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันหลายร้านเริ่มตั้งราคาเดียวไม่ว่าจะเป็นในส่วนของราคาหน้าร้านและผ่านแพลตฟอร์ม เพื่อให้ได้รับพื้นที่กำไรส่วนเพิ่มจากลูกค้าหน้าร้าน รวมถึงในปี 2567 ราคาต้นทุนอาหารหลายรายการเริ่มปรับลดลงโดยเฉพาะกลุ่มเนื้อสัตว์ แต่ราคาอาหารที่เป็นสินค้าขั้นสุดท้ายมักไม่ได้ปรับตามต้นทุนในช่วงขาลง ส่งผลให้ปี 2567 สัดส่วนกำไรของผู้ประกอบการคาดว่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ในส่วนของความท้าทายของการประกอบธุรกิจของปี 2567 ประกอบด้วย 1) กระแสที่มาเร็วแต่อาจจะหายไปเร็ว ส่งผลต่อการวางแผนในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบันกระแสต่าง ๆ ช่วยสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว (Viral Marketing) ส่งผลให้ธุรกิจอาจได้รับผลของความนิยมแบบชั่วคราวแต่อาจหายไปอย่างรวดเร็ว (Fad) รวมถึงข้อมูลที่ส่งต่อกันอย่างรวดเร็ว ทำให้เทรนด์หรือกระแสที่จะคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งถูกลดความนิยมไปได้ในระยะเวลาที่สั้นลงเมื่อมีเทรนด์ใหม่เข้ามาแทนที่ 2) ภาวะการณ์แข่งขันที่รุนแรงขึ้น จากบทบาทของแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารที่เป็นเสมือนช่องทางจำหน่ายอีกช่องทางหนึ่ง มีการขยายพื้นที่บริการที่ทับซ้อนกันมากขึ้น รวมถึงธุรกิจร้านอาหารที่เป็นกิจการที่ไม่มีข้อจำกัดในการเข้ามาทำธุรกิจของรายใหม่ (No Barrier to Entry) ส่งผลให้ในช่วงปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการตั้งราคาสินค้าปรับเพิ่มสูงจากราคาปกติในฝั่งผู้บริโภคที่เคยจ่ายในราคาที่รวมค่าบริการแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหาร ส่งผลให้ราคาอาหารที่มีการขยับเพิ่มขึ้นส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนกำไร ย่อมดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาประกอบธุรกิจเพิ่มมากขึ้น กอปรกับบนบริบทของผู้คนยังรับประทานอาหารวันละ 3 มื้อเท่าเดิม การเพิ่มขึ้นของฝั่งอุปสงค์ย่อมช้ากว่าฝั่งอุปทานซึ่งส่งผลต่อการทำการตลาดที่ต้องแย่งพื้นที่ตลาดกันรุนแรงขึ้น 3) ทำเลศักยภาพในการประกอบการที่แต่เดิมกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ เริ่มมีแนวโน้มกระจุกตัวเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ทำเลเดิมที่เคยมีศักยภาพถูกลดทอนลงอย่างรวดเร็วและอาจกระทบต่อยอดขายโดยเฉพาะในส่วนของยอดขายหน้าร้าน

กล่าวโดยสรุป ธุรกิจร้านอาหารในไทยคาดยังขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร SMEs ที่ได้เปรียบจากพฤติกรรมการเลือกรับประทานอาหารของคนในยุคปัจจุบันที่เลือกบริโภคตามกระแสนิยม รวมถึงในปี 2567 คาดธุรกิจร้านอาหารยังได้รับอานิสงส์จากระดับราคาที่มีการขยับเพิ่มสูงขึ้นใน 2-3 ปีที่ผ่านมา และความสามารถในการตั้งราคาที่สูงขึ้นจากความเคยชินของผู้คนที่เคยจับจ่ายราคาอาหารบวกค่าบริการแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ บนราคาต้นทุนที่มีทิศทางที่ปรับลดลง ส่งผลต่อพื้นที่กำไรที่คาดว่าจะมากกว่าเดิม อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญในการแข่งขันธุรกิจที่รุนแรงจากอุปสงค์ที่จำกัดตามจำนวนประชากรอีกด้วย

สองผู้นำด้านเทคโนโลยี ได้แก่ ทีซีซี เทคโนโลยี (TCCtech) และเดลล์ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) (Dell Technologies) ร่วมกันจัดเวทีให้ความรู้ ภายใต้หัวข้อ “Navigating AI Frontier” โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบัน IMC ผู้บริหารของ TCCtech และ เดลล์ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) เข้าร่วมแบ่งปันประสบการณ์การนำ AI ไปใช้งานในหลายอุตสาหกรรม อัพเดทผลิตภัณฑ์และบริการด้านเทคโนโลยีรวมถึงแนะนำโซลูชันที่ตอบโจทย์เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพของการบริหารจัดการธุรกิจ OPEN-TEC ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Knowledge Sharing Platform) ภายใต้การดูแลของ TCC TECHNOLOGY GROUP

ขอนำเสนอประสบการณ์และผลลัพธ์จริงจากทีมงาน TCCtech ซึ่งนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและความสามารถของ AI มาประยุกต์ใช้กับโครงการต่าง ๆ ของลูกค้าให้สามารถบริหารอาคารได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จัดการภาคอุตสาหกรรมได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น ด้วย AI

ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโซลูชันภายในโครงการอสังหาริมทรัพย์ เช่น การใช้ Video Analytics วิเคราะห์ภาพใบหน้า เครื่องแบบ เพื่อคัดแยกกลุ่มแรงงานที่เข้ามาทำงานในพื้นที่แต่ละจุด สามารถจำแนกเพศ สังกัด แม้กระทั่งพฤติกรรมของแรงงานที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ในพื้นที่ควบคุม ด้วยการสร้างเงื่อนไขให้ AI เรียนรู้ คาดการณ์ และวิเคราะห์จากลักษณะที่ปรากฎ ซึ่งมีความแม่นยำสูง ละเอียดถึงระดับดวงตา สามารถค้นหาบุคคลหรือยานพาหนะในพื้นที่ภายในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีการใช้งาน AI เพื่อบริหารจัดการสภาพการจราจร และสนับสนุนงานอาชีวะอนามัย เป็นต้น ตัวอย่างถัดมา เป็นการบริหารจัดการพลังงาน ซึ่งโครงการขนาดใหญ่จะมีการใช้พลังงานจำนวนมาก ข้อมูลการใช้พลังงานจากระบบเซนเซอร์ต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ น้ำเย็น แสงสว่าง และความเร็วลม ซึ่งมีปริมาณมหาศาลจะถูกบันทึกไว้บน Data Server เพื่อรองรับการทำงานของซอฟต์แวร์เพื่อประมวลผล ระบบปรับอากาศจะทำงานอัตโนมัติโดยเปรียบเทียบข้อมูลต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิภายในและภายนอกอาคาร ปริมาณน้ำฝน ภาพจากกล้องวงจรปิด และความหนาแน่นของ Heat Map เพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำเย็นและความเร็วลมให้เหมาะสม

 สำหรับการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง TCCtech ได้พัฒนาโซลูชัน AI ให้ครอบคลุมทุกแง่มุมของธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ดังนี้

· Rule-Based: การกำหนดกฎเกณฑ์ให้ AI ทำงานตาม

· Optimization: กระบวนการค้นหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่

· Statistics: โดยการผสมผสานหลากหลายเทคนิควิธีเข้าด้วยกันมาเป็นผลวิเคราะห์และตัวตัดสินใจ

· Machine Learning: การให้แมชชีนเรียนรู้จากข้อมูล

· Deep Learning: การให้แมชชีนเรียนรู้ข้อมูลเชิงลึกด้วยการเลียนแบบการทำงานของโครงข่ายประสาทมนุษย์

ตัวอย่างการใช้งาน AI จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ในภาคอุตสาหกรรม

· Production Planning: การวางแผนการผลิตสินค้า โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความต้องการของตลาด กำลังการผลิต และวัตถุดิบ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ และลดเวลาการทำงาน

· Inventory Planning: วางแผนการจัดการสินค้าคงคลัง โดยใช้ Route Optimization มาช่วยให้ Operation ที่เคยทำงานแยกกัน ให้สามารถมองเห็นข้อมูลทั้งระบบและลดระยะทางการจัดส่งสินค้า และเวลาในการทำงาน

· Vehicle Routing Problem: ช่วยแก้ปัญหาการวางแผนเส้นทางขนส่งสินค้า ช่วยให้ประหยัดค่าขนส่งสินค้า และเวลาวางแผนขนส่งได้

· Demand Forecasting: การพยากรณ์ความต้องการสินค้าของผู้บริโภค

· Retail Outlet: การประเมินคุณภาพร้านค้า โดยใช้ ML วิเคราะห์ข้อมูล Actual Transaction ด้วยเทคนิค Local Outlier Factor ช่วยในการตรวจสอบและระบุ Indicator ที่ส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการของร้านค้า

· Bottle Recycle Classification: การคัดแยกขวดรีไซเคิล ไปจัดการในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพจากกล้อง

ความท้าทาย และอนาคตของ AI

การนำ AI ไปใช้ในบางกรณี ยังมีข้อจำกัด เช่น เทคโนโลยี Deep Learning ที่แม้จะทำงานได้อย่างแม่นยำ แต่อาจยังไม่สามารถทำงานได้ทันเวลาในบางสถานการณ์ อย่างเช่น การวิเคราะห์ภาพขวดรีไซเคิลบนสายพานลำเลียงความเร็วสูง หรือข้อมูลที่เก็บมาบางประเภท ไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพต่อการนำไปสอน AI อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเทคโนโลยี AI จะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ Gen AI ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและสร้างประสิทธิภาพให้กับธุรกิจมากขึ้น

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ OPEN-TEC ได้รวบรวมไว้จากงานสัมมนา “Navigating AI Frontier” ที่จัดขึ้นโดย ทีซีซี เทคโนโลยี และเดลล์ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย)

 บทความโดย OPEN-TEC

X

Right Click

No right click