

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเก็บ วิเคราะห์ Data และ Consumer Insight รวมถึงการนำไปใช้ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ นักการตลาดไม่เพียงต้องวิ่งตามเทรนด์ให้ทันแต่ต้องคิดวางแผนล่วงหน้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง
หากคุณยังไม่รู้วิธีหา Marketing และ Consumer Insight หรือมี Data แต่ไม่รู้จะนำไปใช้อย่างไร หลักสูตร "Data and insight driven marketing" คือคำตอบ
หลักสูตรนี้จะช่วยให้คุณได้รู้จัก Data-driven Marketing ซึ่งใช้ข้อมูลเชิงลึกทั้งจากพฤติกรรมผู้บริโภคและธุรกิจมาวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างเต็มที่และตรงเป้ายิ่งขึ้น โดยศึกษาจาก case study และได้ลงมือทำจริงผ่าน Workshop และที่สำคัญ..ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานก็เรียนได้เพราะเราสอนตั้งแต่เริ่มต้น
คุณจะได้เรียนรู้อะไรจากหลักสูตรนี้
● ความแตกต่างระหว่าง Strategy และ Tactics ในการของการทำการตลาด
● วิธีการเก็บ เตรียม วิเคราะห์และแปลข้อมูลเพื่อวางแผนกลยุทธ์และการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตัวชี้วัด
● Data and Insight Driven Marketing Framework ที่สร้าง business impact ให้กับองค์กรได้จริง
และอีกหลากหลายหัวข้อที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้ ?
พบกับ 2 วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ “คุณหนุ่ย ณัฐพล ม่วงทำ” เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน ผู้ที่จะย่อยการวิเคราะห์ข้อมูลยาก ๆ ให้เป็นเรื่องง่าย ๆ และ “คุณเอง คุณบังอร สุวรรณมงคล” CEO &
Founder of Hummingbirds Consulting ที่ปรึกษาด้านการวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์และ Insight and Strategy Expert
ดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ : https://tinyurl.com/3fk9bhxa
วันอบรม
วันที่ : 2-3 เมษายน 2567
เวลา : 9.00 - 16.00 น.
สถานที่ : โรงแรมเอทัส ลุมพินี
. ค่าลงทะเบียนอบรม
- สมาชิกสมาคม ท่านละ 14,900 บาท
- ผู้สนใจทั่วไป ท่านละ 15,900 บาท
สอบถามเพิ่มเติม: 02-679-7360-3 สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย
หรือ Line Official ID: @matsociety
โลกการเงินได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ กับการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกได้ทำการอนุมัติ Spot Bitcoin Exchange Traded Funds (ETFs) เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งรายย่อยและนักลงทุนสถาบันได้ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ผ่านช่องทางการลงทุนแบบดั้งเดิม โดยนักลงทุนจะสามารถลงทุน Spot Bitcoin ETFs ได้โดยตรงผ่านสินทรัพย์อ้างอิงในตลาดหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์ ด้วยราคาที่โปร่งใส ซึ่งจะแตกต่างจากการเทรด Futures ETFs ที่อาศัยสัญญาซื้อ-ขายล่วงหน้าของคริปโตเคอร์เรนซี

ริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance
ริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance กล่าวว่า “การอนุมัติกองทุน Spot Bitcoin ETFs จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างรากฐานด้านความไว้วางใจในตลาดคริปโตให้แก่ผู้คนในวงกว้าง โดย Spot Bitcoin ETFs ถือเป็นใบเบิกทางที่จะนำพาคนให้เข้าสู่ตลาดคริปโตได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังช่วยดึงดูด
นักลงทุน และเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การลงทุนผ่านบิทคอยน์โดยตรง รวมถึงช่องทางการลงทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับกลยุทธ์การลงทุน รูปแบบความเสี่ยง และความต้องการที่หลากหลาย ซึ่งความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ นับเป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงยุคสมัยแห่งการยอมรับและความชอบธรรมของการใช้งานบิทคอยน์ เช่นเดียวกันกับการขยายพื้นที่ของคริปโตเคอร์เรนซีให้มากยิ่งขึ้น”
ลิสต์ของกองทุน Spot Bitcoin ETFs ที่ได้รับการอนุมัติ
ลิสต์ของกองทุน Spot Bitcoin ETFs ที่ได้รับการอนุมัติในเดือนมกราคม 2024 มีดังต่อไปนี้ ARK 21 Shares Bitcoin ETF (NYSE:ARKB) Bitwise Bitcoin ETF (NYSE:BITB) Blackrock’s iShares Bitcoin Trust (NASDAQ:IBIT) Fidelity Wise Origin Bitcoin Trust (NYSE:FBTC) Franklin Bitcoin ETF (NYSE:EZBC) Grayscale Bitcoin Trust (NYSE:GBTC) Hashdex Bitcoin ETF (NYSEARCA:DEFI) Invesco Galaxy Bitcoin ETF (NYSE:BTCO) Valkyrie Bitcoin Fund (NASDAQ:BRRR) VanEck Bitcoin Trust (NYSE:HODL) และ WisdomTree Bitcoin Fund (NYSE:BTCW)
ข้อได้เปรียบสำคัญของ Spot Bitcoin ETFs คือความสามารถในการขยายการเข้าถึงการลงทุนสู่ผู้คนในวงกว้าง พร้อมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องถือครองบิทคอยน์โดยตรง ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนสถาบันอย่างเช่น ผู้จัดการความมั่งคั่ง (Wealth Managers) และผู้ให้บริการสำหรับลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง (Private Banking) ที่ต้องการก้าวเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ที่มีความกระจายความเสี่ยงเหมาะสม (Passive Investment) ทั้งนี้ จากข้อมูลอ้างอิงของสถาบัน Investment Company ที่ชี้ให้เห็นถึงภูมิทัศน์ทางการเงินของตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ในสินทรัพย์ 401(k) การอนุมัติในครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญานที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในด้านกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่ง และการมีส่วนร่วมของสถาบันที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
Spot Bitcoin ETFs ยังได้มอบโอกาสอันน่าสนใจให้กับนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนและป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์อันน้อยนิดระหว่างบิทคอยน์และสินทรัพย์แบบดั้งเดิม อย่างเช่น หุ้นและพันธบัตร จึงทำให้ Spot Bitcoin ETFs สามารถกระจายความเสี่ยงไปพร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตของเหล่านักลงทุนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น การที่นักลงทุนสามารถติดตามราคาบิทคอยน์ได้แบบเรียลไทม์ยังช่วยให้พวกเขาทราบสถานะการลงทุนของตนเองได้อย่างชัดเจนโปร่งใสตลอดช่วงเวลาการซื้อขายส่งผลให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที รวมถึงทยังช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกของตลาด อิทธิพลของสภาพคล่อง การลดความผันผวนของตลาดให้กับเหล่านักลงทุนด้วยเช่นกัน
![]()
การที่ ก.ล.ต. อนุมัติให้มีการซื้อขาย Spot Bitcoin ETFs ในตลาดหุ้นอย่าง the New York Stock Exchange (NYSE) และ Nasdaq ถือเป็นการดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่คุ้นเคยกับการดำเนินงานภายใต้ขอบเขตการกำกับดูแลได้เป็นอย่างดี โดยการอนุมัติครั้งนี้ได้ผสานกฎระเบียบของตลาดการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับโลกแห่งนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งช่วยขยายการมีส่วนร่วมของสถาบันไปยังโลกคริปโตเคอร์เรนซี พร้อมสร้างการเติบโตและความแข็งแกร่งให้กับตลาด
การขยายตัวของ Spot ETFs ไปยังหลากหลายตลาดการเงินหลักได้ส่งเสริมให้ระบบนิเวศน์ทางการเงินระดับโลกมีความครอบคลุม หลากหลาย และแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากเมื่อภูมิทัศน์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโต การมีส่วนร่วมของสถาบันก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องและความลึกของตลาดสูงขึ้น ราคามีความเสถียรมากขึ้น ความผันผวนลดลง จนสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดให้พร้อมดึงดูดเหล่านักลงทุนให้เกิดขึ้นในระยะยาว
การมาถึงของ Spot Bitcoin ETFs ของสหรัฐฯ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะการลงทุนทางการเงินที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมในคริปโตให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่านักลงทุนสถาบัน ผ่านวิธีการที่พวกเขาคุ้นเคย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสู่การพัฒนา ETFs ของสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นในอนาคต รวมถึง Spot ที่มีศักยภาพและ future-based Etheruem ETFs ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่สถาบันการเงินต้องปรับตัวให้เข้ากับไดนามิกของภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วให้ทันต่อไป
1 มีนาคม 2024
“กางเกงช้าง” สินค้าท่องเที่ยวสุดฮิต ต่อยอดไอเดียซอฟต์พาวเวอร์ จากกางเกงช้างสู่ดีไซน์ใหม่ไม่เหมือนใคร ชูอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่หนุนเศรษฐกิจและท่องเที่ยว “กางเกงปลาทูแม่กลอง” ยืนหนึ่งในใจโซเชียลที่มีชาวเน็ตเมนชั่นและมีเอ็นเกจเมนต์มากที่สุด รองลงมา “กางเกงกะปิปลาร้า” น่ารักจนพรีออเดอร์ล้น ส่วน “กางเกงแมว” ยังมาแรงหลังเป็นแฟชั่นไอเทมในเกม Free Fire
"กางเกงช้าง" หนึ่งในสินค้ายอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทย ฮิตจนล่าสุดแม้แต่คนไทยเองก็ซื้อหามาสวมใส่ตามกระแสนิยม ทั้งยังเป็น 1 ในผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ (5F) ที่รัฐบาลและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พยายามผลักดันนโยบาย “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
บริษัท ดาต้าเซ็ต จึงได้นำเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสังคมออนไลน์ (Social Listening) ทำการเก็บข้อมูลที่มีการกล่าวถึง “กางเกงช้าง” ใน Social Media ระหว่างวันที่ 15 มกราคม - 29 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อนำมาวิเคราะห์เจาะตลาดความฮิตของ “กางเกงช้าง” พบว่า มีค่า Buzz ซึ่งเป็นการกล่าวถึง (Mention) รวมกับการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงถึง 846,600 ครั้ง
จาก “กางเกงช้าง” สู่ “กางเกงลายเอกลักษณ์ประจำจังหวัด” ชูอัตลักษณ์ท้องถิ่นไทย

จากกระแสความนิยมของ “กางเกงช้าง” โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมใส่กัน ล่าสุดนักบิดโมโตจีพีคนดังใส่โชว์ในโซเชียลจนเป็นไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ ยิ่งสร้างกระแสให้แก่ “กางเกงช้าง” ทำให้หน่วยงานภาครัฐ การท่องเที่ยวฯ และผู้ประกอบการในพื้นที่แต่ละจังหวัดร่วมกันผลักดันให้กางเกงช้างเป็นซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในชุมชน ต่างผุดไอเดียนำเอกลักษณ์ประจำจังหวัดมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายต่าง ๆ บนกางเกงแทนลายช้าง กลายเป็นกางเกงลายเอกลักษณ์ประจำถิ่น หรือกางเกงลายเอกลักษณ์ประจำจังหวัด บางลวดลายมีกระแสตอบรับดีเยี่ยม อย่างกรณีกางเกงกะปิปลาร้าของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เปิดสั่งจองล็อตแรก (Pre-Order) ยอดจองเต็มภายใน 3 นาที
Top 5 กางเกงลายต่าง ๆ ที่ถูกพูดถึงในโซเชียลฯ มากที่สุด
อันดับ 1 กางเกงปลาทูแม่กลอง มี Mention และ Engagement รวม 72,153 ครั้ง
Plaplatootoo (ปาป้า-ทูทู่) หรือกางเกงปล้าง (ช้าง + ปลา) ของจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นลายที่ผ่านการชนะเลิศการออกแบบคาแรคเตอร์ของคนไทย ภายใต้โครงการ Change by CEA โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เมื่อปี 2564 และมีการออกแบบลักษณะเฉพาะตัวของกางเกงเป็นฟรีไซซ์ ที่ทำจากผ้าไหมอิตาลี คุณภาพสูง ใส่สบาย มีกระเป๋าข้าง เชือกผูกเอว และขาจั๊ม นอกจากนี้ผู้คิดค้นลายยังแสดงออกถึงความมั่นใจว่าไม่กังวลเรื่องของเลียนแบบ และบอกว่าของแท้ต้องผลิตในพื้นที่เท่านั้น
อันดับ 2 กางเกงกะปิปลาร้า มี Mention และ Engagement รวม 55,435 ครั้ง
เรียกว่าเป็นที่ฮือฮากันมาก เมื่อสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จัดทำกางเกงผ้าสุดพิเศษเพื่อฉลองครบรอบ 70 ปีขององค์การสวนสัตว์ โดยได้ออกแบบลวดลายโชว์ความน่ารักของเจ้า "คาปิบารา (Capybara)" หรือที่ชาวโซเชียลคนไทยมักเรียกกันว่า "กะปิปลาร้า" ซึ่งเป็นหนูยักษ์ที่สร้างความฮือฮากันบนโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต่างตกหลุมในความน่ารักกันถ้วนหน้า เห็นได้จากยอดสั่งพรีออเดอร์กางเกง ที่เมื่อเปิดให้จองปุ๊บ เว็บล่มและเต็มทันทีภายใน 3 นาทีแรก
อันดับ 3 กางเกงแมวโคราช มี Mention และ Engagement รวม 51,297 ครั้ง
กลายเป็นสินค้าสุดฮิตสำหรับ "กางเกงแมวโคราชที่เป็นลาย KORAT MONOGRAM" ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศจากประกวดในงาน "มามูย่า" ที่จัดขึ้นโดยหอการค้าร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา โดย "แมวโคราช หรือ แมวมาเลศ" ถือว่าเป็นสัตว์ประจำจังหวัดนครราชสีมา (โคราช) และล่าสุดหลายหน่วยงานได้ร่วมกันผลักดันกางเกงแมวโคราช เป็นแฟชั่นไอเทมในเกม "Free Fire" เกมออนไลน์ชื่อดังและเป็นหนึ่งในเกมสุดฮิตของอีสปอร์ต
อันดับ 4 กางเกงปูก้ามดาบ มี Mention และ Engagement รวม 29,736 ครั้ง
กางเกงปูก้ามดาบ ประจำจังหวัดสมุทรสาคร มีลวดลายกางเกง ประกอบไปด้วย ลายปูก้ามดาบตัวเล็ก ตัวใหญ่, ลายป่าชายเลน, ลายคลื่นน้ำ 3 ระลอก, ลายคลื่นน้ำ 3 เส้น, ลายจักรีประยุกต์ (ลายดอกเดซี่) และเลขมงคล ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงถึงอัตลักษณ์ทางศิลปะ วิถีชีวิตและระบบนิเวศของจังหวัดสมุทรสาคร นอกจากนี้เนื้อผ้าของกางเกงนั้น ได้ใช้ผ้าไหมอิตาลี ซึ่งจะมีความยืดหยุ่น ผิวเรียบเงางาม และมีความทนทานของกางเกงมากกว่าเนื้อผ้าที่ใช้ผลิตกางเกงช้างทั่วไป
อันดับ 5 กางเกงปลาแรด มี Mention และ Engagement รวม 17,038 ครั้ง
กางเกงปลาแรดนั้นได้รับการออกแบบโดยวิศวกรเจ้าของร้านกาแฟ “จงรัก” ในจังหวัดอุทัยธานี โดยมีการใช้อัตลักษณ์ของจังหวัดมาทำเป็นลายของกางเกง มีทั้งปลาแรด และมีคำว่า UTHAI อยู่ในตัวปลา ดอกสุพรรณิการ์ เรือนแพ แม่น้ำสะแกกรัง และบันไดวัดสังกัสรัตนคีรี ความนิยมของกางเกงปลาแรดพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนำมาวางขาย ขายดีจนผลิตไม่ทัน และมียอดการสั่งจองยาวเป็นเดือน
นอกจาก 5 อันดับกางเกงสุดฮิตที่หลายภาคส่วนพยายามผลักดันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) แล้ว ยังมีกางเกงลายเอกลักษณ์ประจำจังหวัดในลวดลายต่าง ๆ อีกมากมาย อาทิ กางเกงวัวลาน จังหวัดเพชรบุรี, กางเกงไดโนเสาร์ จังหวัดขอนแก่น, กางเกงไก่ชน จังหวัดพิษณุโลก, กางเกงนนทบุเรี่ยน จังหวัดนนทบุรี ซึ่งไม่เพียงแต่จังหวัดเท่านั้น ผู้ประกอบธุรกิจหลายรายก็มีการออกแบบลวดลายผลิตกางเกงช้างในลวดลายต่าง ๆ อีกด้วย เช่น กางเกงช้างขายหัวเราะ นับว่าเป็นกางเกงช้างตัวแรกที่มีแก๊กการ์ตูนมาโลดแล่นอยู่บนกางเกง, กางเกงลายเด้อ ที่มีลวดลายกางเกงเป็นการ์ตูนมาสค์ไรเดอร์ไฟซ์ การ์ตูนญี่ปุ่นสุดฮิตของเด็ก ๆ เป็นต้น
และนอกจากเราจะเห็นลายต่าง ๆ ที่หลากหลายบนกางเกงแล้ว ยังมีการพัฒนานำลายช้างไปผลิตเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น โรงงานผลิตเสื้อผ้าในจังหวัดเชียงใหม่อย่าง Chinrada Garment ได้นำลายช้างมาเป็นลายของเสื้อ กระเป๋า และสินค้าอีกหลายอย่างของร้าน
กางเกงช้างไปไกลแค่ไหน
หากใครรู้จักเกม Free Fire เกมภายใต้สังกัดของ Garena ก็น่าจะได้เห็นข่าวกันไปบ้างแล้วเกี่ยวกับกางเกงแมวโคราชที่ถูกซื้อลิขสิทธิ์นำไปเป็นแฟชั่นไอเทมภายในเกม เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นตัวอย่างจากการที่กระแสของกางเกงช้างโด่งดังเป็นอย่างมาก ทำให้พ่อค้าแม่ค้าหลายรายมองเห็นช่องทางการประกอบอาชีพ หรือเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ ในปัจจุบันจึงมีร้านเสื้อผ้าที่ขายกางเกงช้างในราคาและคุณภาพที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง Chanthaburi Original กางเกงลายกระต่ายคู่ทุเรียนที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของ หอการค้าจังหวัดจันทบุรี และ Greyhound Original ที่ยกระดับกางเกงช้างที่มีขายทั่วไปให้มีระดับมากขึ้นทั้งด้านคุณภาพและราคา
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทย อย่างโครงการ Thailand Soft Power X Guinness World Records Challenge โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการนำเสนอ Soft Power 5 F ของไทย และหนึ่งในกิจกรรมของโครงการนี้คือการแข่งใส่กางเกงช้างเยอะที่สุดใน 1 นาที
ฟังเสียงโซเชียลพูดถึงกางเกงช้าง
จากภาพรวมของผู้บริโภคที่มีต่อกางเกงช้างนั้น พบว่าหลายความคิดเห็นกล่าวชื่นชมแนวคิดที่นำสัญลักษณ์หรือเอกลักษณ์เด่น ๆ ของแต่ละจังหวัดนำมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายบนกางเกง บางความคิดเห็นต้องการให้ทุกจังหวัดจัดทำเพื่อให้เป็นกางเกงประจำจังหวัด นอกจากนี้ ผู้บริโภคบางรายมีความเห็นด้านคุณภาพที่ระบุว่าเนื้อผ้าที่บางเกินไปทำให้กางเกงขาดง่ายและเมื่อแสงส่องทำให้สามารถมองทะลุผ่านกางเกงได้
รวมถึงกรณีกระแสกางเกงช้างฟีเวอร์จนเกิด “กางเกงช้าง” ผลิตจากประเทศจีนและส่งเข้ามาตีตลาดจำหน่ายในราคาถูกที่ไทยนั้น สร้างความตื่นตัวให้กับคนไทยและผู้ประกอบการที่ต้องรับมือและปรับปรุงการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และพัฒนาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการยื่นขอลิขสิทธิ์เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องจาก “กางเกงช้าง” ซึ่งมีลวดลายที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของไทย มีการผลิตและจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวเพื่อซื้อเป็นของฝากของที่ระลึกมานานกว่า 10 ปีแล้ว
ปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับนักลงทุนในการประเมินกลยุทธ์การลงทุนของตนเองใหม่ โดยพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เหตุผลหลักสามประการที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกถึงปัจจัยบวก ประการแรกคืออัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ประการที่สองสืบเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่จะลดลง ธนาคารกลางอาจลดอัตราดอกเบี้ยประมาณกลางปี สุดท้ายนี้คือความเป็นไปได้ที่จะไม่มีภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระมัดระวัง อาทิ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอัตราเงินเฟ้อ ข้อกังวลอีกประการหนึ่งคือธนาคารกลางอาจยังคงอัตราดอกเบี้ยที่สูงเอาไว้ เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้อาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกต่อเนื่อง
สำหรับประเทศไทย เศรษฐกิจไทยคาดว่าน่าจะเติบโตร้อยละ 2.8 ในปีนี้ โดยมีแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการท่องเที่ยว รัฐบาลตั้งเป้าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 40 ล้านคน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ 3.5 ล้านล้านบาทภายในปี 2567 แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูง และความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงจากต่างประเทศซึ่งนักลงทุนจะต้องจับตาดูอย่างระมัดระวัง
นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ได้แบ่งปันกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้นักลงทุนรับมือกับปีที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอีกครั้ง “ปี 2567 เป็นปีที่มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยเสี่ยง สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคือต้องคำนึงถึงวงจรของตลาด เหตุการณ์การเมืองและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ยูโอบีแนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นและมองหารายได้ที่มั่นคงด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย” เขากล่าว
หลักการลงทุนโดยคำนึงถึงความเสี่ยงของธนาคารยูโอบี (Risk-First Approach) เน้นการลงทุนพื้นฐานเป็นรากฐานสำหรับการวางแผนความมั่งคั่ง (Core Allocation) กลยุทธ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องความมั่งคั่งของนักลงทุนด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่มีความผันผวนต่ำ และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ตอบสนองความต้องการทางการเงินในระยะยาว ก่อนที่จะเพิ่มพูนความมั่งคั่งผ่าน Tactical Allocation ลงทุนโดยดูภาวะตลาดเพื่อคว้าโอกาสทางการตลาดที่เกิดขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-asset) และตราสารหนี้ระดับลงทุน (Investment grade) เป็นองค์ประกอบสำคัญของ Core Allocation เพราะมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ช่วยลดความเสี่ยง และมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลเป็นประจำทุกเดือน การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายช่วยให้นักลงทุนมั่นใจถึงผลตอบแทนที่สม่ำเสมอตลอดระยะเวลาโดยมีความผันผวนน้อยที่สุด เราแนะนำการลงทุน (tactical call) ในตราสารหนี้ที่มีระยะเวลายาวขึ้น (duration plays) ซึ่งเป็นโอกาสและมีแนวโน้มที่จะทำผลตอบแทนได้ดีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของทิศทางดอกเบี้ย
ตราสารหนี้ระดับลงทุนมีแนวโน้มว่าจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปีนี้จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อชะลอตัว และคาดว่าธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ยูโอบีคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในกลางปี 2567 นอกจากได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่น่าสนใจในปัจจุบัน ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (capital gain) จากการลงทุนในตราสารหนี้ได้ นักลงทุนควรลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลางในช่วงต้นปี ก่อนที่จะเปลี่ยนไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเมื่อตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับการออกตราสารหนี้ลง
สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ การลงทุนใน Tactical Allocation ตามอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น กลุ่มสุขภาพทั่วโลกและภูมิภาคต่างๆ เช่น เอเชียไม่รวมญี่ปุ่น และอาเซียน, หุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลก (Global Healthcare) ที่มีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจต่ำ และโอกาสในการเติบโต บวกกับแรงหนุนจากการเติบโตของรายได้จากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ในระยะยาว ผลประกอบการทางเศรษฐกิจของเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาเซียน ซึ่งคาดว่าจะโดดเด่นกว่าของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ด้วยการจ่ายเงินปันผลและการประเมินมูลค่าหุ้นในอัตราที่น่าดึงดูด
ฟีเจอร์ Wealth ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวใน UOB TMRW จะช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อ-ขาย-สับเปลี่ยนกองทุนรวมได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถจัดการความมั่งคั่งผ่านโทรศัพท์มือถือได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว และตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป นักลงทุนจะสามารถเข้าถึงกองทุนต่างประเทศได้โดยตรง ทำให้สามารถลงทุนโดยตรงในกองทุนรวมที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศจากบริษัทจัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงถึง 14 แห่ง อาทิ Blackrock, PIMCO, JPMorgan และ Fidelity สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อ-ขาย-สับเปลี่ยนกองทุนรวมผ่านแอป UOB TMRW ได้ที่นี่
บทความ นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณธ์ เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในระหว่างที่สภาพเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และเป็นช่วงที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้จ่ายในหลายเทศกาลไตรมาสแรกนี้เคทีซีจึงต้องการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับผู้บริโภค โดยในหมวดของการช้อปออนไลน์ที่มีกลุ่มผู้บริโภคตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆ เราได้เตรียมความคุ้มค่าไว้มอบให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี และสมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ในแคมเปญ 3.3 ลดใหญ่ต้นปี เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำสิทธิพิเศษในหมวดช้อปออนไลน์ ซึ่งมี “ช้อปปี้” (Shopee) เป็นพันธมิตรที่ทำธุรกิจร่วมกันมายาวนาน และเป็นอีคอมเมิร์ซเบอร์ต้นๆ ที่ครองใจนักช้อปชาวไทย โดยในปีที่ผ่านมา 5 หมวดสินค้ายอดนิยมที่มีการใช้จ่ายด้วยบัตรเคทีซีผ่านช้อปปี้ ได้แก่ ของใช้ในบ้าน ความงามและของใช้ส่วนตัว สุขภาพ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์มือถือและแก็ดเจ็ท (Gadget)”
“สำหรับสิทธิพิเศษที่เคทีซีจัดเตรียมให้กับสมาชิกในแคมเปญดังกล่าว คือ 1) แลกรับโค้ด Shopee มูลค่า 333 บาท โดยใช้ 1,699 คะแนน KTC FOREVER แลกรับผ่านแอปพลิเคชัน “KTC Mobile” และนำโค้ดส่วนลดไปกรอกในแอป “ช้อปปี้” ก่อนการชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี ระหว่างวันที่ 3 มีนาคม 2567 – 31 มีนาคม 2567 หรือ 2) รับส่วนลดสูงสุด 500 บาท เมื่อช้อปครบตามเงื่อนไขที่กำหนด สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี และ บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” โดยสมาชิกฯ ยังสามารถรับบริการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน (เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ) ในวันที่ 3 มีนาคม 2567”
“นอกจากนี้ สมาชิกฯ ยังสามารถรับโค้ดส่วนลดอีกมากมายจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 อาทิ ส่วนลดทุกวันพุธเที่ยงวัน / ส่วนลดเฉพาะร้านค้า Shopee Mall / ส่วนลดวันเงินเดือนออก (PAYDAY) และส่วนลดรายเดือน ช้อปคุ้มค่าและครบครันบนช้อปปี้ ผ่านแคมเปญ Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี โดยสามารถค้นหารายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ ktc.promo/shopee”
ผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอกย้ำบทบาทของการเป็นสะพานบุญแห่ง ‘การให้’ สานต่อภารกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลรามาธิบดี เดินหน้าโครงการใหม่ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ บวกความหวัง” ชวนคนไทยร่วมส่งพลังบวก 1 เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับผู้ป่วยและขยายศักยภาพการรักษา พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่จากเรื่องราวของ “ความหวัง” เดินหน้าระดมทุนให้แก่โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี เพื่อเพิ่มพื้นที่และยกระดับศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนชาวไทย พร้อมผลักดันระบบสาธารณสุขไทยให้เท่าทันสภาวการณ์แห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์’ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “เกือบ 60 ปีที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเปิดให้บริการในฐานะโรงพยาบาลที่เปรียบเสมือน ‘ที่พึ่ง’ ของคนไทย พร้อมบทบาทด้านการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เข้าสู่ระบบสาธารณสุข และด้านการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางการแพทย์เพื่อการรักษา โดยครอบคลุมทั้งงานวิจัยขั้นพื้นฐานด้านการหาตัวยาใหม่เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพและเพิ่มการเข้าถึงตัวยาได้มากขึ้น ไปจนถึงการคิดค้นแนวทางการรักษารูปแบบใหม่สู่การเป็นต้นแบบของการรักษาโดยเฉพาะการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ถือเป็นโครงการที่ไม่เพียงเพิ่มพื้นที่ในการรักษาที่รองรับนวัตกรรมทางการแพทย์ล้ำสมัยเท่านั้น แต่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและสนับสนุนพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีอย่างครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อผลักดันระบบการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้าต่อไป”

รศ.นพ.ชูศักดิ์ กิจคุณาเสถียร รองคณบดีฝ่ายนโยบายและแผน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวเสริมว่า “โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี จะเอื้อประโยชน์ต่อการบูรณาการและสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อผลักดันการสร้างสรรค์และต่อยอดนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สามารถเพิ่มศักยภาพทางการรักษาต่อไปในอนาคต โดยจะมีการนำนวัตกรรมทางการแพทย์หลากหลายประเภทเข้ามาให้บริการทางการแพทย์รวมถึงพัฒนาด้านระบบภายในโรงพยาบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการแพทย์ที่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลในการบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยและการจัดการข้อมูลทางการแพทย์ เครื่องมือช่วยในการรักษาทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial intelligence) เช่น การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเพื่อช่วยลดระยะเวลาการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ลงและลดระยะเวลาของการพักฟื้นของผู้ป่วย รวมถึงลดอาการบาดเจ็บและลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัด นอกจากนี้ โรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่ยังให้ความสำคัญกับการลดระยะเวลาในการรอรับบริการของผู้ป่วย เช่น การใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการจ่ายยา”
คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ เดินหน้าผลักดันความก้าวหน้าทางการแพทย์ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง พร้อมเปิดตัวโครงการ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ บวกความหวัง” และภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่จากเรื่องราวของ “ความหวัง” เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการช่วยระดมทุนให้แก่โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญในปีนี้และอย่างน้อยอีก 7 ปีข้างหน้า การสื่อสารภายใต้โครงการ “รามา+1 เพิ่ม
พื้นที่ บวกความหวัง” สะท้อนให้เห็นว่า มูลนิธิรามาธิบดีฯ นั้นตระหนักถึงพลังของการให้ และขอบคุณทุกน้ำใจที่ส่งต่อความช่วยเหลือและสร้างความหวังร่วมกันมาโดยตลอด จึงขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมเป็นพลังบวกหนึ่งในการสร้างโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ซึ่งอาคารแห่งนี้จะดูแลผู้ป่วยที่ใช้สิทธิรักษาเบิกจ่ายประกันสังคม และสิทธิพื้นฐานต่าง ๆ”
ภายในงานแถลงข่าว ฐิสา-วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร ตัวแทนนักแสดงจิตอาสาร่วมแบ่งปันมุมมองในเรื่อง “ความหวัง” พร้อมเชิญชวนแฟนคลับร่วมซื้อเสื้อยืดสุขใจ เพื่อระดมทุนเข้าโครงการฯ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในอนาคตร่วมกัน พร้อมด้วยการเปิดตัวกิจกรรม “#A4SpaceChallenge” ชวนทำคอนเทนต์ที่สะท้อนถึงพื้นที่ที่มีอยู่จำกัดในอาคารเก่าและแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นการก่อสร้างอาคารใหม่ของโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยวิธีการเล่นคือ จับกลุ่ม 4 คนมายืนด้วยกันบนกระดาษ A4 ให้ครบ 10 วินาที และร่วมกันท้าต่อเพื่อน ๆ ให้เล่นชาเลนจ์นี้ต่อ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์เชิญชวนบริจาคเงินให้โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี โดยทุกคนสามารถร่วมทำชาเลนจ์แล้วโพสต์รูปหรือคลิปลงในโซเชียลมีเดียพร้อมแทค #A4SpaceChallenge ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
![]()
โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ออกแบบภายใต้แนวคิด “เข้าใจเขา เข้าใจเรา เข้าใจทุก(ข์)คน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาด้านความแออัดของพื้นที่อาคารเดิม โดยตั้งเป้าหมายการระดมทุนเพิ่มเติมจากการสนับสนุนของภาครัฐบาลรวมจำนวน 9,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ดำเนินการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลและการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2573
มูลนิธิรามาธิบดีฯ ขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นพลังบวกหนึ่งกับโครงการ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ บวกความหวัง” ด้วยการบริจาคเงินสมทบทุนก่อสร้างโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี
Jobsdb by SEEK หนึ่งในบริษัทภายใต้ SEEK แพลตฟอร์มหางานระดับสากลจากประเทศออสเตรเลีย เปิดกลยุทธ์แตกต่างแต่เข้าถึงให้กับผู้ประกอบการและผู้หางาน ผ่าน 3 กลยุทธ์ Better Matches - Better Experience - Better Advice พร้อมปลดล็อกประสบการณ์การสรรหาบุคลากรที่ดีกว่าเคยผ่าน AI ด้วย Unified แพลตฟอร์ม ของ SEEK ที่เชื่อมต่อกับผู้สมัครและผู้ประกอบการหลายล้านทั่วเอเชีย ณ “The Empire Residence” ชั้น 53 ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์
หลังจากที่ Jobsdb by SEEK ได้เข้าร่วมกับ SEEK แพลตฟอร์มหางาน Tech Company ระดับโลกที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2011 และครอบคลุมกว่า 8 ประเทศ ทั่วเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซียและสิงคโปร์ รวมถึงขยายกิจการไปยังแถบลาติน-อเมริกา ได้แก่ บราซิลและเม็กซิโก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับผู้สมัครกว่า 40 ล้านคน และผู้ประกอบการกว่า 2.5 ล้านราย ในเอเชียแปซิฟิก รวมถึงเทคโนโลยีและมาตรฐานการทำงานที่เป็นสากล และเพื่อให้ทันยุคเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน SEEK ได้นำเอา Technology AI เข้ามาช่วยในการจับคู่งานและผู้หางานให้ลงตัวยิ่งขึ้น ภายใต้คำว่า “Better Matches”
ทำให้คนที่หางานได้พบงานที่ใช่ เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการ ส่วนผู้ประกอบการสามารถหาผู้สมัครที่ตรงใจได้เร็วขึ้น
ซึ่งผ่านมากว่า 10 ปี กว่าจะเกิด Unification Program ของ SEEK ทั้งหมดเข้าด้วยกันนี้ นับจากที่ได้รวมเอา Jobsdb และ Jobstreet มาอยู่ภายใต้ SEEK และใช้เวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ กว่า 3 ปี เงินลงทุนกว่า 4,220 ล้านบาท (หรือ 180 ล้าน ดอลล่าร์ออสเตรเลีย)
![]()
Mr. Lewis NG Chief Operating Officer, SEEK Asia (มร. ลูอิส เอิง กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ซีค เอเชีย) เปิดเผยถึง การรวมแพลตฟอร์มนี้ว่า “สำหรับ SEEK ทุกสิ่งที่เราทำล้วนแล้วแต่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกแง่มุม การรวมเป็นแพลตฟอร์มเดียวกันได้ นั่นหมายถึงเราสามารถที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าของเราไปสู่ประชาชนทั่วเอเชียหลายล้านคน ในรูปแบบใหม่ และนั่นจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหางานและบุคลากรที่ตรงใจได้ง่าย สะดวกมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ทำให้ SEEK มีจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมและเรายังได้บรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้คนกว่า 500 ล้านคน ได้พัฒนาเส้นทางอาชีพของตนภายใต้องค์กรกว่า 5 ล้านแห่งในภูมิภาคนี้
![]()
คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK เผยว่า อัตราการจ้างงานในครึ่งแรกของปี 2024 มีโอกาสเติบโตมากขึ้นถึงร้อยละ 54 คาดการณ์จากค่าเฉลี่ยจำนวนของประกาศงานบนเว็บไซต์ Jobsdb ต่อเดือนที่สูงขึ้นร้อยละ 59 และผู้ประกอบการที่มีความต้องการที่จะจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่าอัตราผู้ว่างงานในประเทศไทยต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่ออัตราการซื้อพื้นที่เพื่อลงประกาศงานในแพลตฟอร์มจัดหางานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 โดยผู้ประกอบการต่างมองหาวิธีจ้างงานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ด้านผู้สมัครงานก็มองหาวิธีที่ทำให้ตนเองโดดเด่นขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดแรงงานที่ดุเดือด
Jobsdb by SEEK เล็งเห็นความสำคัญในประเด็นนี้ จึงได้เปิดกลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างแต่เข้าถึงให้กับผู้ประกอบการและผู้หางาน ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.Better Matches ช่วยจับคู่การจ้างงานให้ได้คนที่เหมาะสมอย่างง่ายและรวดเร็วด้วยความฉลาดของ AI ในการค้นหา แนะนำและช่วยการคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสม 2.Better Experience การจ้างงานไร้รอยต่อทั่วเอเชียแปซิฟิก พร้อมเข้าถึงกว่า 40 ล้านคนที่
เป็นบุคลากรระดับเวิร์ลคลาส โดยผู้ประกอบการสามารถเพิ่มโอกาสในการค้นหาผู้หางานได้ทุกประเทศในเครือ SEEK 3.Better Advice กลยุทธ์เชิงรุกที่เพิ่มประสิทธิภาพในการสรรหาบุคลากรด้วยข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ของ SEEK ที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับประกาศงานและค่าใช้จ่าย เข้าใจ Demand และ Supply ของตำแหน่งงาน รวมถึงรายงานจากแบบสำรวจและคำแนะนำในการจ้างงานที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้การสรรหาเป็นเรื่องง่ายและสามารถนำไปปรับให้เข้ากับกลยุทธ์การจ้างงาน
![]()
Mr. Neeraj Goswami Head of Product, SEEK (มร.นีราช กอสวามี ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ระดับภูมิภาค) ซีค เผยว่า SEEK มี เป้าหมายที่จะยกระดับประสบการณ์การสรรหาและจ้างงานบุคลากรที่ต้องการให้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น บนการรวมแพลตฟอร์มในครั้งนี้ด้วยเทคโนโลยี AI จาก SEEK ที่มีฐานข้อมูลครอบคลุมทั้งเอเชียแปซิฟิกตลอดระยะเวลากว่า 25 ปี พร้อมด้วยทีมงานมากกว่า 200 คน ที่ดูแลภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกนี้ จึงนับเป็นประโยชน์ต่อ Jobsdb by SEEK อย่างมากโดยข้อมูลที่นำมาใช้งานยังได้มีการปรับปรุงให้เหมาะกับอินไซด์ของประเทศไทยด้วยเช่นกัน สำหรับ Unification Program ของ SEEK พร้อมแล้วที่จะให้คำแนะนำที่ล้ำกว่าเดิมสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มคุณภาพในการสรรหาบุคลากรและเป็นต่อเหนือคู่แข่ง อาทิ การวิเคราะห์ข้อมูลที่อัปเดตผ่านแดชบอร์ด การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของประกาศงานกับคู่แข่งและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้สมัคร การให้คำแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพของประกาศงาน นอกจากนี้ระบบ Unification ยังได้เปิดให้บริการอีก 3 ส่วน ได้แก่ 1. AI Smarter Search ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมการค้นหาของผู้สมัครในอดีตเพื่อแสดงตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้นให้กับผู้สมัคร ซึ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 โดยการใช้ AI ร่วมกับข้อมูลเชิงลึกของตลาดและข้อมูลของ SEEK 2. ปรับปรุงโปรไฟล์ของผู้สมัครและเสริมเครื่องมือในการแนะนำเพื่อส่งผลลัพธ์ในการจับคู่ผู้สมัครกับงานที่ดีกว่าเดิม และ 3.คำถามสำหรับผู้สมัครงาน แนะนำโดย AI เพื่อคัดกรองผู้สมัครที่ใช่ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
การรวมกันของแพลตฟอร์มจาก SEEK ในครั้งนี้เป็นการช่วยแนะนำผู้สมัครที่ตรงความต้องการของผู้ประกอบการ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยี AI นี้ ยังช่วยให้ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงตามเนื้องานที่มีการเปิดรับอยู่สามารถมองเห็นโอกาสได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการค้นหาโดยใช้ภาษาสนทนาที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ได้อีกด้วย
เคทีซีเดินหน้าทำการตลาดเจาะไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะ รับเทรนด์ท่องเที่ยวแบบครอบครัวมาแรง เดินหน้ามอบสิทธิพิเศษสำหรับกลุ่มสมาชิกดังกล่าวต่อเนื่อง พร้อมต้อนรับหน้าท่องเที่ยวคึกช่วงนักเรียนปิดภาคเรียนด้วยแคมเปญ “Happy Family Fun” กับส่วนลดสูงสุด 40% โดยไม่ต้องใช้คะแนนแลก ณ โรงแรมและรีสอร์ตที่ร่วมรายการกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ หวังมอบความประทับใจและปักหมุดความเป็นผู้นำบัตรเครดิตสำหรับสมาชิกนักท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
นางสาวปริม ปัญญาเสรีพร ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันไลฟ์สไตล์การเดินทางท่องเที่ยวของสมาชิกมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะนิยมเดินทางคนเดียว หรือเป็นกลุ่ม โดยเคทีซีได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำการตลาดเพื่อสมาชิกที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมที่สมาชิกมักวางแผนท่องเที่ยวกับครอบครัว จึงได้เดินหน้ามอบสิทธิพิเศษเพื่อสมาชิกบัตรฯ ด้วยการจัดแคมเปญ “Happy Family Fun” สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีรับส่วนลดสูงสุด 40% โดยไม่ต้องใช้คะแนน KTC FOREVER แลก พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับเด็ก รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ มากมาย ณ โรงแรมและรีสอร์ตกว่า 20 แห่งทั่วประเทศที่ร่วมรายการ อาทิ อมารี พัทยา / โนโวเทล มารินา ศรีราชา แอนด์ เกาะสีชัง / ฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน / เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รี สอร์ท และ ระยอง แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา นอกจากนี้ เมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่า รับเพิ่ม e-Coupon ส่วนลดน้ำมันบางจาก สูงสุด 300 บาทต่อรายการ ลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่เว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/promotion/hotel-resort/domestic-hotel/hotel-family ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2567”
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตาม โปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้แจงเบื้องต้นตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ออกหนังสือฉบับลงวันที่ 12 มีนาคม 2567 ขอให้ชี้แจง กรณียอดเงินสดในบัญชีของบริษัทฯ เปรียบเทียบกับหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในระยะเวลา 1 ปี
นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ฝ่ายบริหารของบริษัทฯได้ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า “ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ตามข้อมูลในรายงานงบการเงินบริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ คิดเป็นร้อยละ 0.58 ซึ่งคำนวณจากราคาสินทรัพย์ประเภทที่ดินของบริษัท ในราคาทุน โดยราคาตลาดของที่ดินมีราคาสูงกว่าราคาทุนมาก อาทิ ที่ดินที่เขาใหญ่ หรือสัตหีบ โดยล่าสุด หุ้นกู้ของบริษัท NUSA242A ซึ่งครบกำหนด วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีการชำระเงินต้นทั้งจำนวนแล้วเสร็จตามกำหนด
ทั้งนี้หุ้นกู้ของบริษัทฯและบริษัทในเครือ เป็นหุ้นกู้มีหลักประกันเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยสูงกว่า 1.2 เท่า ณ ปัจจุบัน โดยบริษัทมีการประมาณการกระแสเงินสดตลอดปี 2567 ที่เพียงพอต่อกำหนดการชำระหนี้ทุกประเภท ” นายวิษณุกล่าว
SAWAD ปิดงบปี 66 ทำกำไรสุทธิรวม 5,254 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อจ่อพุ่งทะยานสู่ 100,000 ล้านบาท หลังควบรวมสินเชื่อเงินสดทันใจ ด้านผู้บริหาร ธิดา แก้วบุตตา ชี้ปี 67 เป็นขาขึ้นเต็มตัว จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงหนุนต้นทุนทางการเงินลด คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น พร้อมเบรกความเสี่ยงผ่านการให้สินเชื่ออย่างมีคุณภาพมากขึ้น เพื่อคุมระดับ NPLs ตามกรอบ 3-4% ตั้งเป้าปีมังกรรุกตลาดอาเซียนและดันพอร์ตสินเชื่อขยายตัวอย่างต่ำ 20% ส่วนบอร์ดอนุมัติปันผลประจำปี 66 เป็นหุ้นด้วยอัตราส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รอผู้ถือหุ้นไฟเขียว พร้อมจ่าย 23 พฤษภาคมนี้
ธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2566 ของบริษัทและบริษัทย่อย (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566) มีกำไรสุทธิรวม 5,254 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยราว 15,743.7 ล้านบาท และรายได้อื่นราว 3,170.8 ล้านบาท รวมรายได้อยู่ที่ 18,914.5 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้การเติบโตในปี 2566 มาจากธุรกิจหลักสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย รวมถึงการควบรวมกิจการของบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ส่งผลให้รับรู้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ผลักดันพอร์ตสินเชื่อทั้งปีขยายตัวสูงที่ระดับ 98,569 ล้านบาท อีกทั้งค่าใช้จ่ายสำรองลดลงเนื่องจากการบันทึกค่าใช้จ่ายสำรองพิเศษเพียงครั้งเดียวในช่วงไตรมาสที่ 2/2566 จึงสนับสนุนให้ทั้งปีมีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่วางไว้
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4/2566 มีรายได้ดอกเบี้ย 4,546 ล้านบาท และรายได้อื่นอยู่ที่ 769 ล้านบาท รวมรายได้อยู่ที่ 5,313 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยขนาดของสินเชื่อคงเหลือที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง
“ปี 66 เป็นปีที่เราได้ปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นกว่าช่วงโควิด อีกทั้งยังได้ซื้อคืนเงินสดทันใจเพื่อมาบริหารธุรกิจต่อ จึงทำให้พอร์ตสินเชื่อรวมของปีนี้โตขึ้นจากปีก่อนเป็นอย่างมาก และในปี 67 เรายังคงเดินหน้าปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นโดยยึดหลักเกณฑ์แบงก์ชาติในการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม ดังนั้นพอร์ตสินเชื่อปีนี้จะอยู่ในอัตราเติบโต 20-30% และคุมเอ็นพีแอลให้อยู่ในช่วง 3-4% ซึ่งเป็นระดับปกติของเครือศรีสวัสดิ์ในช่วงที่มีการปล่อยสินเชื่อเพิ่ม ส่วนปัจจัยหนุนคาดว่าปีนี้จะได้อานิสงส์ที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลด กอร์ปกับคุณภาพหนี้ที่ดีมากยิ่งขึ้นของพอร์ตโดยรวม ขณะเดียวกันมีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยในบางผลิตภัณฑ์และเริ่มกลับมาโฟกัสในการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอาเซียนเพิ่ม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” ธิดา กล่าว
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจัดสรรกำไรประจำปี 2566 ด้วยการจ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล โดยกำหนดเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่อขออนุมัติจากที่ประชุม โดยหากที่ประชุมอนุมัติ บริษัทจะดำเนินการกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พ.ค. 2567 และจ่ายปันผลในวันที่ 23 พ.ค. 2567