

อโกด้า แพลตฟอร์มการเดินทางออนไลน์ นำฐานข้อมูลการค้นหาของลูกค้ามาต่อยอดทางการตลาดเพื่อเปิดช่องทางใหม่ให้โรงแรมและพาร์ทเนอร์ที่พักเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ด้วยการสร้างหน้าเพจพิเศษ (Landing Page) ที่ตอบโจทย์การค้นหาที่พักในธีมที่ได้รับความนิมยมในหมู่นักเดินทาง
อโกด้าใช้ฐานข้อมูลเชิงลึกที่มีสร้างหน้าเพจ “ที่พักที่ใช่ในสไตล์ที่ชอบ” ตอบโจทย์นักเดินทางในประเทศไทย ด้วย 16 ธีมที่จัดมาให้ตรงใจนักเดินทาง โดยธีมเหล่านี้มีตัวเลือกหลากหลายตามงบท่องเที่ยวและความสนใจของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเกาะส่วนตัว วิลลาติดทะเล บังกะโลริมชายหาด ที่พักสำหรับครอบครัวและเป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยง โดยแต่ละหน้าเพจจะมีรายชื่อที่พักที่ทางผู้เชี่ยวชาญของอโกด้าคัดสรรมาอย่างดี ตัวเลือกที่คัดมาให้ตรงกับความสนใจเหล่านี้จะช่วยให้นักเดินทางวางแผนท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น ได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวตรงใจ และพร้อมออกเดินทางเสมอ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสอันดีสำหรับโรงแรมและผู้ให้บริการที่พักในการเข้าถึงลูกค้าที่พร้อมจองได้มากขึ้นด้วย
คุณ Pierre Honne, ผู้อำนวยการอาวุโสของอโกด้าประจำประเทศไทย เผยว่า “นักท่องเที่ยวหลายคนมีเป้าหมายชัดอยู่แล้วว่าวันหยุดอยากไปเที่ยวแบบไหน เราจึงจัดทำหน้าเพจพิเศษนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้นักเดินทางเหล่านี้หาโรงแรมดีๆ โดนใจได้อย่างง่ายดาย โดยเราแบ่งหมวดหมูให้เสร็จสรรพ เช่น ที่พักที่ต้อนรับสัตว์เลี้ยง หรือโรงแรมมีดาดฟ้าในกรุงเทพฯ สำหรับพาร์ทเนอร์ที่พัก การใช้หน้าเพจพิเศษยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่อโกด้าช่วยสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจและขยายฐานลูกค้าให้ที่พัก”
การปล่อยหน้าเพจใหม่ในครั้งนี้ตอกย้ำว่าอโกด้าเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและใช้สิ่งนี้สนับสนุนพาร์ทเนอร์ที่พักเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ โดยรวบรวมข้อมูลเชิงลึกซึ่งอ้างอิงจากรูปแบบการค้นหาที่พักของลูกค้าในปัจจุบัน
“หน้าเพจใหม่นี้ไม่ใช่แค่ตัวช่วยในการค้นหาที่พักแบบเจาะจงตรงใจสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ยังเปิดช่องทางใหม่ให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มองเห็นและเข้าถึงโรงแรมและผู้ให้บริการที่พักเพิ่มขึ้นด้วย หน้าเพจที่จัดทำขึ้นพิเศษตามธีมนี้ ทำหน้าที่เหมือนสะพานเชื่อมที่พักกับผู้บริโภคที่มีเป้าหมายแน่ชัดว่าต้องการอะไรให้มาเจอกัน” คุณ Pierre กล่าวแถมท้ายว่า “ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือวิเคราะห์และเก็บข้อมูลเชิงสถิติของผู้เข้าเว็บไซต์ซึ่งเป็นงานถนัดของอโกด้า โรงแรมและที่พักจึงมีโอกาสที่จะตามเทรนด์การท่องเที่ยวล่าสุดได้สูงและมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
โรงแรมและที่พักสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหน้าเพจพิเศษนี้ได้กับเจ้าหน้าที่ Account Manager ของอโกด้าที่ดูแลที่พักของตน
อโกด้าจะเปิดตัวหน้าเพจที่นำเสนอที่พักตามธีมทางลิงก์เหล่านี้
1. เกาะส่วนตัว - agoda.com/privateislandth
2. วิลลาติดทะเล - agoda.com/seasidevillas
3. บังกะโลริมชายหาด - agoda.com/beachcabanas
4. วิลลาติดทะเลสำหรับครอบครัว - agoda.com/familybeachvillas
5. ที่พักริมทะเลราคาประหยัด - agoda.com/budgetfriendlybeach
6. หมู่บ้านชาวเขา - agoda.com/hilltribevillageth
7. เกสต์เฮาส์แบบดั้งเดิม - agoda.com/traditionalguesthouseth
8. ที่พักในย่านประวัติศาสตร์เชียงใหม่ - agoda.com/historicchiangmai
9. โรงแรมบูติกในกรุงเทพ - agoda.com/boutiquehotelsbangkok
10. เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในกรุงเทพ - agoda.com/servicedapartmentsbangkok
11. โรงแรมมีดาดฟ้าในกรุงเทพ - agoda.com/bangkokrooftophotels
12. ที่พักบรรยากาศโรแมนติก - agoda.com/romanticgetawayth
13. ที่พักต้อนที่ยินดีต้อนรับสัตว์เลี้ยง - agoda.com/petfriendlyth
14. ที่พักเหมาะกับครอบครัว - agoda.com/familyfriendlyth
15. รีสอร์ตวิวภูเขา - agoda.com/mountainviewretreatsth
16. ที่พักมีสไลต์นอกเมืองใหญ่ - agoda.com/uniquethaicountryside
“APO” บมจ. เอเชียนน้ำมันปาล์ม หุ้นน้องใหม่ไฟแรง นำทัพโดย CEO หนุ่มหล่อ สิทธิภาส อุดมผลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APO พร้อมด้วย FA ระดับเทพ สมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แห่ง APM ควง ดร. วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ KFS ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้น เปิดจองซื้อหุ้น IPO 25 - 27 มีนาคมนี้ เตรียมเทรดตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก 2 เม.ย. 67
ชูจุดเด่นความเชี่ยวชาญการสกัดน้ำมันปาล์มดิบกว่า 40 ปี พร้อมด้วยโครงการ Asian Plus+ ให้ความรู้เกษตรกร ตัดผลปาล์มคุณภาพสูง ให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ส่วนฐานะทางการเงินอย่างแจ่ม สภาพคล่องอยู่ในระดับดี D/E Ratio เพียง 0.4 เท่า กำไรสะสมอีก 117 ล้านบาท พร้อมทุกด้านที่จะขยายการเติบโตในอนาคต
ที่สำคัญราคาหุ้นโคตรดี เพียง 0.99 บาทต่อหุ้น P/BV แค่ 1 เท่า ใครได้ไปเท่ากับว่ามีต้นทุนเดียวกับเจ้าของที่ทำมากว่า 40 ปี แถมยังอุ่นใจผู้ถือหุ้นเดิมสมัครใจ Lockup หุ้นเดิม 99.96% เป็นเวลา 6 เดือน ไม่ต้องกลัวการเทขายในวันเทรด นักลงทุนวางใจได้เลย
ก.ล.ต. นับหนึ่งคำขอ เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ “PCE” ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) กลุ่มธุรกิจหลัก คือ อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 750 ล้านหุ้น ระดมทุนเดินหน้าเข้า SET ขึ้นแท่นผู้นำด้านธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบซัพพลายเชนครบวงจร
![]()
นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกการเสนอขายหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ของ PCE เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจน้ำมันปาล์มมากกว่า 40 ปี ทำให้ PCE ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี และด้วยวิสัยทัศน์ของ PCE ที่มุ่งมั่นและต้องการขยายธุรกิจน้ำมันปาล์มและระบบซัพพลายเชนให้ครบวงจร เพื่อรองรับการเติบในอนาคต จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจและอุตสาหกรรม และสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุน

นายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน PCE มีทุนจดทะเบียน 2,750 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 2,000 ล้านบาท โดยเตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 750 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท ซึ่งคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) หมวดธุรกิจการเกษตร (AGRI)
![]()
นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้กับ PCE ในการต่อยอดธุรกิจพร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรในอนาคต
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุน บริษัทจะนำไปลงทุนในกิจการอื่นที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ของบริษัท เช่น โรงสกัดน้ำมันปาล์ม รวมถึงลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และควบคุมต้นทุน อีกทั้งเพื่อต่อยอดหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ส่วนที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ
PCE ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ในธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) โดยแบ่งได้เป็น 1) กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม น้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค ซึ่งรวมถึงการซื้อน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาจำหน่ายต่อให้กับลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 2) กลุ่มธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ 3) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ และ 4) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ
“บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นแบบครบวงจร มีมาตรฐานด้านคุณภาพและบริการเป็นอันดับหนึ่งของประเทศและก้าวสู่ระดับสากล PCE มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งส่งมอบบริการและสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และยกระดับการบริหารจัดการองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม” นายประกิตกล่าวเพิ่มเติม
ปัจจุบันบริษัทย่อยภายในกลุ่ม PCE ประกอบด้วย
· บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค ภายใต้ตราสินค้า “รินทิพย์”
· บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม เมล็ดในปาล์ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปาล์ม โดยจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
· บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ มีพื้นให้บริการกว่า 50,000 ตร.ม. และมีคลังน้ำมันจำนวน 58 แทงค์ที่สามารถรองรับปริมาณการจัดเก็บได้ถึง 240,000 ตัน โดยมีท่าเทียบเรือทั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดฉะเชิงเทรา (อ.บางปะกง)
· บริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกภายในประเทศซึ่งมีรถให้บริการมากกว่า 150 คัน เพื่อขนส่งน้ำมันปาล์ม รวมถึงสินค้าแห้งและอื่นๆ
· บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีขนาดเรือ 1,800 – 3,100 ตัน ซึ่งสามารถขนส่งได้ทั้งของแห้งและของเหลว รวม 13 ลำ
แกร็บ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จในปี 2566 ตอกย้ำความเป็นผู้นำซูเปอร์แอปในตลาดเรียกรถผ่านแอปและเดลิเวอรี เร่งเครื่องรุกธุรกิจเต็มสูบโดยชูไฮไลท์ “4A” มุ่งรักษาฐานลูกค้าหลัก (Active Users) ผุดบริการใหม่ที่เน้นความคุ้มค่า (Affordability) ใช้เทคโนโลยีเอไอเสริมแกร่ง (AI Technology) โหมธุรกิจโฆษณา-บริการใหม่ (Ads & New Services) พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนโดยมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและผลักดันโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมการใช้รถ EV การชดเชยคาร์บอน และการพัฒนาศักยภาพ-เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้หญิง
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “ปี 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งปีทองของ แกร็บ ประเทศไทย ภายหลังจากที่เราได้ประกาศนโยบายขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยผลประกอบการทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และความสำเร็จ จากการเปิดตัวบริการใหม่ๆ ตลอดจนโครงการความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการเดินทางที่เติบโตขึ้นอย่างมากภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ด้วยอานิสงส์ของนโยบายการเปิดประเทศและการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ทำให้ใน ปีที่ผ่านมายอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน Grab ในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตขึ้นถึง 139%1 ขณะที่ธุรกิจเดลิเวอรีของเรา ก็ยังคงแข็งแกร่ง โดยบริการ GrabFood และ GrabMart ยังคงครองใจผู้ใช้บริการยุคใหม่ที่มองหาความสะดวกสบายและบริการ ที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันเราก็ได้พัฒนาฟีเจอร์และบริการใหม่ๆ ออกมาเพื่อตอบสนองพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างบริการรับเองที่ร้าน
(Pickup) บริการสั่งอาหารแบบกลุ่ม (Group Order) หรือแม้แต่บริการกินที่ร้าน (Dine-in) ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนของธุรกิจทางการเงิน เราได้เพิ่มช่องทางการชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยร่วมมือกับ Alipay และ Kakao Pay พร้อมขยาย ฐานผู้ใช้บริการในต่างจังหวัดผ่านการผนึกพันธมิตรกับธนาคารกรุงไทยโดยได้เชื่อมต่อระบบชำระเงินของแกร็บเพย์ วอลเล็ต (GrabPay Wallet) เข้ากับแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT”
“แกร็บมองเห็นสัญญาณเชิงบวกและเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของทั้งภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย ยังคงมีแนวโน้ม การเติบโตที่ดี โดยปัจจุบันประเทศไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลสูงถึง 3.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ2 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเรียกรถผ่านแอปและฟู้ดเดลิเวอรี ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 15%3 ภายในปี 2568 โดยในปีนี้ แกร็บ ประเทศไทย เตรียมเดินหน้ารุกธุรกิจเต็มสูบเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยมุ่งเน้นไป ที่ 4 ประเด็นหลัก (หรือ 4A) ควบคู่ไปกับการสานต่อโครงการต่างๆ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน และสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นกับทุกคนในอีโคซิสเต็มของเรา” นายวรฉัตร กล่าวเสริม
สำหรับในปีนี้ แกร็บ ประเทศไทย มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจโดยเน้นไปที่ 4 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย
· Active Users: แกร็บให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าหลักโดยมุ่งรักษาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการโดยเฉพาะ 3 กลุ่มหลัก คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สมาชิกแพ็กเกจ GrabUnlimited และลูกค้าคุณภาพ ที่ใช้บริการเป็นประจำ (Quality User) ผ่านการผนึกความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตร อาทิ การร่วมมือกับการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทยและ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว การพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าการ ให้ส่วนลดสำหรับสมาชิก GrabUnlimited รวมถึงการเปิดตัวแพ็กเกจสมาชิกแบบรายปีเพื่อรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว ตลอดจนการพัฒนาสองแฟล็กชิพแบรนด์ของบริการ GrabFood อย่าง #GrabThumbsUp และ Only at Grab เพื่อรักษามาตรฐานและประสบการณ์ความอร่อยให้กับผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
· Affordability: เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการและขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แกร็บได้นำเสนอบริการใหม่โดยชูจุดเด่นใน เรื่องความคุ้มค่าเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้บริการที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคาเป็นหลัก โดยแกร็บได้เปิดตัวบริการ “GrabCar SAVER” สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ขนาดเล็กในราคาประหยัดลงสูงสุดถึง 15% (เมื่อเทียบกับบริการ GrabCar) ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทดลองให้บริการแล้วใน 20 จังหวัด และบริการ “GrabBike SAVER” สำหรับการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ ในระยะทางไม่เกิน 4 กิโลเมตรในราคาเริ่มต้นเพียง 26 บาท ในส่วนของธุรกิจเดลิเวอรี นอกจากการเพิ่มทางเลือกในการจัดส่งอาหารแบบประหยัดหรือ “SAVER Delivery” แล้ว ล่าสุด แกร็บได้เปิดตัวซับแบรนด์ใหม่ “Hot Deals” เป็นเครื่องหมายการันตีความคุ้ม เอาใจสายประหยัดด้วยการนำเสนอเมนูเด็ดที่ลดราคาเป็นพิเศษจากหลากหลายร้านอาหาร มาพร้อมส่วนลดออนท็อป ในทุกช่วงเวลาให้ได้อิ่มคุ้มทั้งวัน
![]()
· AI Technology: ในปีที่ผ่านมาแกร็บได้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) และแมชชีนเลิร์นนิง (ML: Machine Learning) มากกว่า 1,000 โมเดลเพื่อพัฒนาบริการและเสริมประสิทธิภาพ ในการดำเนินธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาค สำหรับในปีนี้ แกร็บ ประเทศไทย ยังคงนำเทคโนโลยีที่พัฒนาเองเหล่านี้ มาใช้ต่อยอดเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้แพลตฟอร์มให้กับผู้ใช้บริการ รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้า อาทิ การนำ AI และ ML มาใช้ปรับปรุงและพัฒนาระบบพิจารณาเครดิตสำหรับการให้สินเชื่อกับพาร์ทเนอร์ หรือการพัฒนา GrabGPT เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำคอนเทนต์หรืองานออกแบบภายในองค์กร เป็นต้น
· Ads & New Services: แกร็บเตรียมขยายบริการ GrabAds เต็มสูบเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโฆษณา โดยนอกจากการ เจาะตลาดลูกค้าองค์กร โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว สินค้าสุขภาพ-ความงาม และสินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว ในปีนี้แกร็บ ยังเตรียมผลักดัน “Self-serve Ads” เครื่องมือในการโฆษณาสำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้า ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลาง และเล็กสามารถเพิ่มยอดขายจากการทำโฆษณาและแนะนำโปรโมชันกับลูกค้าได้ด้วยตัวเอง โดยมีผลตอบแทนจากการโฆษณา (Return on Ad Spend) เฉลี่ยสูงถึง 6 เท่า4 นอกจากนี้ แกร็บยังวางแผนที่จะพัฒนาและปรับปรุงบริการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เรียกรถและเดลิเวอรี อาทิ บริการจองการเดินทางล่วงหน้า (Advance Booking) และกินที่ร้าน (Dine-in) ให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ผู้ใช้บริการยิ่งขึ้น
“นอกจากการพัฒนาในด้านธุรกิจแล้ว แกร็บ ประเทศไทย ยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้คน ในสังคมควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยในปีนี้เรายังเดินหน้าสานต่อโครงการสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการ GrabEV เพื่อผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับให้ได้ 10% ภายในปี 2569 โครงการ Carbon Offset ที่ยังคงร่วมปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอนจากการใช้บริการ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง เพื่อเป้าหมายในการสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้คนไทย” นายวรฉัตร กล่าวทิ้งท้าย
JFIN Chain จับมือ 360Connect เปิดตัว “360Connect : Connect The Future” หลักสูตรการเรียนรู้รูปแบบใหม่มุ่งเน้นการศึกษาที่ไม่หยุดนิ่งแค่ในห้องเรียนโดยผู้เรียน สามารถเรียนไปด้วยสร้างรายได้ ไปด้วยบนแพลตฟอร์ม ภายใต้แนวคิด “Learn more, Contribute more, Earn more - ยิ่งเรียน ยิ่งทำ ยิ่งได้!”
โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก คุณพงศ์พิศิชญ์ ประทีปะวณิช นายกสมาคม NFT และ Web3 แห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงาน 360Connect : Connect The Future แพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ สู่โลกอนาคต
![]()
นายกิตติพล ลีปิพัฒนวิทย์ ผู้บริหารบริษัท KMARS STUDIO และ นายโฆษิต ขุมทรัพย์ ผู้บริหารโปรเจกต์ Tripster ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม 360Connect ได้ร่วมให้ข้อมูลแนวทาง, เป้าหมาย, วิสัยทัศน์ ของการสร้างห้องเรียน Learn2Earn ว่า “เรานำปัญหาด้านการศึกษามาปรับเปลี่ยนให้อยู่ในระบบนิเวศของเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อให้เกิด แรงจูงใจต่อผู้เรียนมากยิ่งขึ้น 360 Connect เป็นแพลตฟอร์มที่ทุกคนได้เรียนรู้ด้านการลงทุนและการหารายได้ ในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเรียน ทำกิจกรรม และรับรางวัล ไปพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีประสบการณ์ หลากหลายท่าน ตั้งแต่อาจารย์ระดับท็อปในวงการคริปโต ไปจนถึง CEO เจ้าของธุรกิจ Start-Up ที่จะมาแชร์ความรู้และประสบการณ์ให้ผู้เรียน”
ด้าน นายธนวินท์ รัฐเมธา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “JFIN Chain มุ่งมั่นที่จะเป็น Blockchain for Business เรามีเครื่องมือพร้อมใช้ (Ready to use tools) สำหรับธุรกิจให้เริ่มต้นในการ นำไปเชื่อมต่อสู่โลกบล็อกเชน โดยเฉพาะการสร้าง Join Application บล็อกเชนแอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่หลักเป็นกระเป๋า ในการเก็บเหรียญและ NFT ซึ่งออกแบบมาให้ ผู้ใช้งานเข้าถึงได้อย่าง seamless โดยที่ไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยี เชิงลึกแต่อย่างไร การจับมือกับ 360Connect ในครั้งนี้ เป็นอีกโปรเจกต์ที่ต้องการสร้างให้เกิดการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มธุรกิจองค์กร และผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่ง JFIN Chain เองให้การสนับสนุนให้เข้าถึงได้ง่าย ด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับ Join Application ในการสร้าง Account รวมถึงจัดเก็บทั้งโทเค็นรางวัล และ NFT ที่ได้จากการเข้าเรียนด้วย
![]()
โดยภายในงานได้วิทยากร 5 ท่าน ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สอนคอร์สเรียนบนแพลตฟอร์ม 360Connect มาพูดคุย และให้ความรู้เกี่ยวกับห้องเรียนดิจิทัล อาทิ คุณมิกซ์ กฤษหรัญย์ เทศทอง จากเพจ MIXER การลงทุนแห่งอนาคต ได้มาแชร์ประสบการณ์ว่าทำไมถึงได้เปิดใจให้กับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้เวลาอยู่กับการลงทุนหุ้น มาอย่างยาวนาน ทางด้าน คุณบอย วรพจน์ ธารา-ศิริสกุล Co-Founder หุ้นปันผล ผู้ให้ความรู้ด้าน Hybrid Investment ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการที่จะเผยแพร่เรื่องราวการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบเบื้องต้น ให้กับกลุ่มคนที่ลงทุนในกองทุน และตลาดหุ้น เพื่อให้พวกเขาได้ต่อยอดมายังโลกแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล ในส่วนของ คุณบอส จิรายุ ระเริง Co-Founder of Great Dream Guild ได้มาเปิดโลกแห่งการเล่นเกมเพื่อสร้างรายได้ให้กับทุกคน ซึ่งจากการเล่นเกมสามารถพามาสู่ธุรกิจที่มีระบบนิเวศอยู่ในเทคโนโลยีบล็อกเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง คุณฟ้า กัญญารัตน์ แสงสว่าง Country Head (Thailand) at The Sandbox เตรียมตัวสำหรับการพาทุกคนเข้าสู่การ สร้างรายได้ในโลก Metaverse ชื่อดังอย่าง The Sandbox ที่จะให้ทุกคนเป็นได้ทั้ง ผู้เล่น และเจ้าของพื้นที่เสมือน
เพื่อพัฒนาการสร้างรายได้อย่างสมจริง และ คุณพลอย อิสรียาห์ ประดับเวทย์ Influencer และ NFT Creator แห่งวงการ NFT พร้อมที่จะมาแนะนำแนวทางในการสร้างตัวตนบนโลกดิจิทัลเพื่อให้เกิดประโยชน์ และสามารถ ต่อยอดเป็นแนวทางในการทำงานร่วมกันกับโปรเจกต์ WEB3 ต่างๆ ได้ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก โดยวิทยากรทั้ง 5 ท่าน จะมีหลักสูตรร่วมกับทางแพลตฟอร์ม 360Connect ที่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนรู้ ไปกับพวกเขาได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้สร้างรายได้ในยุคดิจิทัลนี้
นอกจากนี้แล้ว ยังมีส่วนร่วมกับพาร์ทเนอร์ทางด้านการศึกษาโดยตรง อย่าง ‘MeLearn’ อีกโปรเจกต์เพื่อการศึกษา ให้น้องๆ นิสิตและชั้นมัธยมบนโลกบล็อกเชน เพื่อให้น้องๆ เรียนรู้และเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างง่ายมากขึ้น พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในอนาคต และผู้ให้บริการด้าน Web3 Wallet อย่าง Velo โดยมี คุณอินทกานต์ ณ ตะกั่วทุ่ง ได้ขึ้นแนะนำฟีเจอร์การใช้งานในส่วนระบบของ Velo ที่จะสามารถเชื่อมโลก WEB3 มายัง WEB2 และสามารถนำมา ใช้งานจริงได้ ซึ่งตอนนี้กำลังร่วมมือพัฒนากับ Vending Machine เจ้าหนึ่งอยู่ พร้อมเปิดตัวให้พวกเราได้ใช้งานกันในเร็วๆ นี้ รวมถึงกิจกรรมสุดพิเศษจาก Maxbit นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลน้องใหม่ที่มาร่วมจัดกิจกรรมภายในงาน ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกเพื่อรับของที่ระลึกไปกันแบบฟรีๆ
และรวมถึงเหล่าพันธมิตรที่มาร่วมให้การสนับสนุนในงานเปิดตัวแพลตฟอร์ม 360Connect ครั้งนี้ ได้แก่ สมาคม NFT และ WEB3 แห่งประเทศไทย, JFIN Chain, ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน, SCBX Next Tech, MeLearn, มหาวิทยาลัยมหิดล, iNT สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล, Orbit, Tripster, SmyleLand, MIXER การลงทุนแห่งโลกอนาคต, The Sandbox, Maxbit นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, บริษัท หุ้นปันผล จำกัด, Tokenine, และ Great Dream Guild
แพลตฟอร์ม 360Connect ยินดีต้อนรับผู้เรียนทุกรูปแบบ ตั้งแต่มือใหม่ ไปจนถึงผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการ WEB3 แล้ว โดยคอร์สเรียนทั้งหมดจะครอบคลุมทุกเนื้อหาที่เกี่ยวกับโลกเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล, คริปโตเคอร์เรนซี่, การเงินดิจิทัล, Metaverse, โทเคนดิจิทัล, และ AIRDROP, รวมถึง Future Tech ที่ให้ทุกคนได้เตรียมพร้อมกับการเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ 360Connect หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์มนี้ จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาในโลกดิจิทัลได้ง่ายยิ่งขึ้นและไม่ใช่แค่โอกาสในการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นการเปิดทางสู่โอกาสในการ สร้างรายได้ให้กับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อใช้งานแพลตฟอร์ม 360Connect และชมสาธิตวิธีการใช้งานได้ทาง LINE Official Account : @360Connect หรือ https://lin.ee/Ena7WmQ โดยสามารถแจ้งปัญหาการใช้งาน ทำกิจกรรม และเลือกดูคอร์สเรียนได้ผ่านช่องทาง LINE มาเชื่อมต่อสู่โลกบล็อกเชนที่จะทำให้ธุรกิจ ไลฟ์สไตล์ ความรู้ และการสร้างรายได้ เป็นไปได้แบบไร้ขีดจำกัดกับ 360Connect
SCB WEALTH เผยตั้งแต่ต้นปี 2566 เงินลงทุนทั่วโลกไหลเข้าตลาดเงิน (money market) สกุลดอลลาร์สหรัฐสูงที่สุด ตามด้วย ตราสารหนี้ภาคเอกชน พันธบัตรรัฐบาล และหุ้น โดย money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ 5 ปีที่ผ่านมา เงินไหลเข้าประมาณ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากเฟดลดดอกเบี้ย เม็ดเงินใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐจะเคลื่อนย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แนะนักลงทุนหาจังหวะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 1-3 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีและอาจได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาอีกด้วย ส่วนตลาดหุ้นแนะหาจังหวะช่วงปรับฐานทยอยสะสมหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ด้านตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปสามารถลงทุนต่อได้แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงเหมือนปีที่ผ่านมา
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงช้ากว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อยู่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อติดต่อกัน 6 เดือน คาดว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะค่อยๆ ลดลงและเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มั่นใจว่าสามารถควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2%ได้ หลังจากนั้น Fed จะกลับมาให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ซึ่งตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. 2567 และรวมทั้งปีนี้ คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยประมาณ 3-4 ครั้ง โดยในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มลดลง จะทำให้ผลตอบแทนของการถือครองเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับลดลง และผลตอบแทนไม่ได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น
“ในปี 2566 ที่ผ่านมา การถือเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนประมาณ 5.1% ดีกว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ แต่อาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ขณะที่ จากสถิติย้อนหลัง 30 ปี พบว่า เงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่นในปีที่เกิดวิกฤต แต่ในจังหวะที่เงินเฟ้อทรงตัว อัตราดอกเบี้ยมีทิศทางเป็นขาลง เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ สินทรัพย์เสี่ยงจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก ส่วนเงินสดในสกุลดอลลาร์สหรัฐจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ดังนั้น เราจึงควรหาแนวทางไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นก่อนจะตกรถ” นายศรชัย กล่าว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงต้นเดือน มี.ค. 2567 เงินลงทุนทั่วโลกยังคงไหลเข้าไปในตลาดเงิน (money market) สกุลดอลลาร์สหรัฐสูงที่สุด ตามด้วย ตราสารหนี้ภาคเอกชน พันธบัตรรัฐบาล และหุ้น โดยในส่วนของ money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ หากนับรวมตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีเงินไหลเข้ามารวม 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว หมายความว่า เมื่อถึงช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลง เม็ดเงินใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนี้มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
สำหรับผู้ลงทุนที่นำเงินส่วนใหญ่พักไว้ใน money market สกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมองว่าการลงทุนในตราสารการเงิน ซึ่งมีระยะเวลาสั้นๆ ยังให้ผลตอบแทนได้ดี ทำให้ไม่เคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ใดนั้น ในอนาคตผลตอบแทนระยะสั้นมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สินทรัพย์อื่นเริ่มปรับตัวดีขึ้นไปก่อนแล้ว ดังนั้น เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ผู้ลงทุนควรมองหาช่องทางไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ตราสารหนี้อายุประมาณ 1-3 ปี รวมถึงการเพิ่มโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ทั้งนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ มองว่า ตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 1-3 ปีข้างหน้า ยังให้ผลตอบแทนสูง เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ และอาจได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับลดลงในช่วง ไตรมาส 2-3 นี้ด้วย ส่วนการลงทุนในหุ้น พบว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ล้วนมีผลการดำเนินงานที่ดี ด้วยอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักในดัชนีค่อนข้างมาก เช่น ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปี 2567 ( YTD) ปรับขึ้นมาประมาณ 7-8% ผลตอบแทนที่มาจากหุ้นขนาดใหญ่กลุ่ม 7 นางฟ้า ประมาณ 6% ส่วนที่เหลือไม่เกิน 2% เป็นผลตอบแทนของหุ้นอื่นๆ ในตลาด สะท้อนถึงการกระจุกตัวของผลตอบแทนที่มาจากหุ้นขนาดใหญ่ค่อนข้างชัดเจน ส่วนตลาดหุ้นยุโรป เมื่อดูจากดัชนี STOXX 600 พบว่า นับแต่ต้นปี 2567 (YTD) ปรับเพิ่มขึ้น 4.5% โดยเป็นผลการดำเนินงานจากหุ้นขนาดใหญ่ 7 ตัว เกือบ 4% มีเพียงส่วนน้อยที่เหลือที่มาจากหุ้นขนาดเล็ก
นายศรชัย กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาตลาดคาดหวังกับผลตอบแทนของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วค่อนข้างมาก และให้ผลตอบแทนเป็นไปตามที่เป้าหมาย ซึ่งหุ้นเหล่านี้อาจมีการปรับฐาน จากการขายทำกำไร ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนให้เติบโตได้อีก และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ แม้นักลงทุนจะรับรู้ปัจจัยการลดดอกเบี้ยไปในราคาหุ้นแล้วก็ตาม ดังนั้น แนวโน้มในอนาคตอาจจะปรับขึ้นไม่มากอย่างที่ผ่านมา ทำให้มองว่า นักลงทุนสามารถถือลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วต่อไปได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่สูงเช่นเดิม
สำหรับตลาดหุ้นในเอเชีย มองว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ น่าสนใจ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น นับแต่ต้นปี 2567 (YTD) ให้ผลตอบแทน 15-16% แต่ผลตอบแทนกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และเทคโนโลยีเป็นหลัก ในส่วนของดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่น แม้จะปรับตัวขึ้นมามาก แต่เมื่อเทียบกับการปรับขึ้นในรอบก่อนที่เคยทำสถิติสูงสุด พบว่า ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) มีความแตกต่างกัน โดยในครั้งนี้มีระดับ P/E ที่ต่ำกว่า ขณะที่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีมาตรการในการปฏิรูปธรรมาภิบาล ส่งเสริมให้บริษัทนำเงินสดที่เก็บไว้จำนวนมากในงบดุล ออกไปซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะช่วยให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้ EPS สูงขึ้น และสามารถจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้สูงขึ้น ก็จะช่วยให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นได้ เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ที่มี ROE มากกว่า 20% ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่น เงินเฟ้อเริ่มปรับเพิ่มขึ้น การจ้างงานดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการ ส่วนค่าแรงปรับตัวขึ้นตามเงินเฟ้อ ซึ่งช่วยให้การบริโภคในญี่ปุ่นดีขึ้น และจะส่งผลให้เกิดการลงทุนที่มาจากนักลงทุนญี่ปุ่นมากขึ้นตาม ดังนั้น เราจึงมองว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจในระยะกลางถึงยาว เพียงแต่ในระยะสั้น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้นมามาก อาจจะมีการปรับฐานบ้าง นักลงทุนอาจรอจังหวะที่ตลาดปรับฐานเพื่อกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง
ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปัจจุบันยังมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ต่ำมากเกือบทุกกลุ่มธุรกิจและมีเงินสดมากในงบดุล ซึ่งตลาดหุ้นเกาหลีใต้กำลังพยายามผลักดันการเพิ่มมูลค่าบริษัทคล้ายกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น ผ่านการซื้อหุ้นคืน และการจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุน นอกจากนี้ ROE ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับวัฏจักรของการส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น การส่งออกเกาหลีใต้ก็น่าจะฟื้นตัว ทำให้ ROE ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ดีขึ้น ส่วนกำไรต่อหุ้นก็
น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นตามการส่งออก นอกจากนี้ ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ก็ยังถูกอยู่ โดย P/E ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 10.6 เท่า หรือ -0.3 S.D. ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนใน Opportunistic Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนส่วนเสริม สำหรับเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน ในไตรมาสที่ 2 นี้
ปิดม่านการแสดงอย่างสมเกียรติ สำหรับการแสดงโขนประกอบแสงสีครั้งประวัติศาสตร์ เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สัจจะพาลี” ณ วัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา โดย สำนักการสังคีต กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ มูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา จัดแสดงเมื่อวันที่ 9-10 มีนาคม 2567 โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเกือบ 15,000 รายจากทุกสารทิศ รวมถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เดินทางเข้าชมการแสดงสุดยิ่งใหญ่นี้พร้อมได้รับประสบการณ์สุดประทับใจที่ยากจะหาชมได้ทั่วไป ซึ่งนับว่าบรรลุวัตถุประสงค์การจัดงานเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า “ในนามของหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโครงการ “ราตรีนี้ที่วัดไชยวัฒนาราม” ที่ประสบผลสำเร็จและต่อเนื่องมาถึงการจัดแสดงโขนประกอบแสงสี เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สัจจะพาลี” นี้ การได้เห็นประชาชนหลายพันคนให้ความสนใจและมาร่วมชมการแสดง เป็นมากกว่าความปลื้มปีติ เพราะไม่ใช่แค่ความสำเร็จของการจัดงาน แต่ยังแสดงให้เห็นว่าทุกท่านเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญในการสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยกันเป็นอย่างดี และเราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากประชาชน นักท่องเที่ยว รวมทั้งหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน ได้ร่วมกันทำงานที่สร้างสรรค์เช่นนี้ในโอกาสต่อ ๆ ไป”
![]()
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร
การแสดงโขน ชุด “สัจจะพาลี” ครั้งนี้ ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างท่วมท้น รวมถึงได้รับเกียรติจาก มร. โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าชมการแสดงในวันแรกอีกด้วย การแสดงสุดประทับใจนี้จัดขึ้นสองวันและมีผู้เข้าชมเกือบ 15,000 คนเดินทางไปยังวัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา และต่างได้รับความประทับใจและชื่นชมกับการแสดงที่จัดเตรียมมาอย่างวิจิตรไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน ทีมนักแสดงที่แสดงได้อย่างงดงาม รวมถึงฉากและเทคนิคแสง สี เสียง สุดตระการตา ที่เรียกเสียงปรบมือกึกก้องตลอดการแสดง โดยมีเนื้อหากล่าวถึงพระอิศวรมอบบำเหน็จความชอบแก่พญากากาศที่ชะลอเขาพระสุเมรุที่เอนทรุดให้ตั้งตรงได้ โดยประทานนามให้ว่า “พญาพาลีธิราช” และประทานตรีเพชรสุรกานต์ให้เป็นอาวุธประจำกายแล้วประทานพรว่า เมื่อต่อสู้ให้ได้กำลังศัตรูแบ่งมาสมทบครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงออกพระโอษฐ์ฝากผอบบรรจุนางเทพดาราไปประทานแก่สุครีพน้องชาย แต่พระนารายณ์ซึ่งเฝ้าอยู่ด้วยทูลทัดทานว่าไม่ควรฝากสตรีงามไปกับบุรุษ เกรงจะไม่ถึงมือสุครีพ เมื่อพาลีได้ยินจึงกล่าวถวายสัตย์สาบาน ว่าหากตนคิดทรยศน้องชายขอให้ตายด้วยศรพระนารายณ์แล้วนำผอบเหาะกลับไปเมืองขีดขิน เมื่อมาถึงพาลีเฝ้าแต่ครุ่นคิดด้วยความสงสัยว่านางในผอบจะงดงามเพียงใดจึงเปิดออกดูเห็นความงามของนางเทพดารา บันดาลให้ลืมคำสัตย์สาบานต่อพระ
นารายณ์ เข้าเล้าโลมเกี้ยวพานจนได้นางเทพดาราเป็นชายา จนพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระรามและได้ทวงสัตย์สาบานที่พาลีให้ไว้
![]()
นายลสิต อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักการสังคีต กล่าวว่า “การแสดงโขนประกอบแสงสี เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สัจจะพาลี” ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่สำนักการสังคีตภาคภูมิใจ พวกเราทั้งหมดรวมถึงผู้เกี่ยวข้อง และทีมนักแสดงกว่า 300 ชีวิตล้วนตั้งใจและประณีตในการเตรียมงานเพื่อถ่ายทอดความพิเศษของการแสดงครั้งนี้ เพื่อให้ผู้ชมทุกท่านที่ตั้งใจเดินทางมาได้รับชมกันอย่างสนุกสนานและรับรู้ถึงความงดงามของศิลปะไทย ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เรายกโรงโขนมาแสดงที่วัดไชยวัฒนาราม ซึ่งถือเป็นโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่และมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม เพราะเป็นการผสานสองมรดกที่ขึ้นทะเบียนรับรองโดยองค์การยูเนสโก คือ “โขน - มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” และ “วัดไชยวัฒนาราม – โบราณสถานที่ตั้งอยู่ในเขตมรดกโลก และตนในนามสำนักการสังคีตรู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจและมาชมกันอย่างมากมาย เราหวังว่าทุกท่านจะได้รับความสุขและให้การสนับสนุนศิลปะอันงดงามของไทยเราในโอกาสต่อ ๆ ไปครับ ขอบคุณครับ”
![]()
นายสมคิด รุจีปกรณ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา กล่าวว่า “ในนามมูลนิธิฯ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดการแสดงอันทรงคุณค่าในครั้งนี้ และเป็นความปลื้มใจที่ได้เห็นประชาชนมากมายหลายพันคนทั้งชาวไทย และต่างชาติให้ความสนใจมาร่วมชมการแสดงครั้งประวัติศาสตร์ที่วัดไชยวัฒนารามกันอย่างเนืองแน่น ความสำเร็จจากการจัดงานครั้งนี้เป็นเสมือนกำลังใจให้มูลนิธิฯ ได้มุ่งมั่นทำงานเพื่อการอนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยต่อไป ตามเป้าหมายของเราที่พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์กรและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มรดกของชาติอันล้ำค่าเหล่านี้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน”การแสดงโขนประกอบแสงสี เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สัจจะพาลี” ณ วัดไชยวัฒนาราม เป็นกิจกรรมที่สืบเนื่องจากนโยบายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและศิลปวัฒนธรรมของกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ที่ได้ดำเนินโครงการ "ราตรีนี้ที่วัดไชยวัฒนาราม" ตั้งแต่พฤศจิกายน 2566 และขยายเวลาโครงการไปถึงเดือนเมษายน 2567 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และยังเป็นการสืบสานและเชิดชูวัฒนธรรมไทยอันทรงคุณค่าอีกด้วย
แกร็บฟู้ด แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรียอดนิยม เผยรายชื่อ 60 “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ที่ได้รับรางวัล #GrabThumbsUp Awards ประจำปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Journey of Passion” เพื่อยกย่องและการันตีสุดยอดร้านอาหารอร่อยยกนิ้วที่เต็มเปี่ยมด้วย Passion ในการรังสรรค์เมนูและประสบการณ์ความอร่อยเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า คัดสรรโดยแกร็บและผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ระดับประเทศ นำโดย หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ “เชฟต้น” ธิติฏฐ์ เจ้าของร้านอาหารระดับมิชลินและเจ้าของรางวัลอันดับ 1 Asia's 50 Best Restaurants “คัตโตะ” ยูทูปเบอร์แถวหน้าสายกิน และภัทรศยา เชาว์รัศมีกุล บรรณาธิการ THE STANDARD LIFE พร้อมเปิดตัวสาขารางวัลใหม่ที่สะท้อนเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน อาทิ สุดยอดร้านรัก(ษ์)โลกและสิ่งแวดล้อมแห่งปีอย่าง theCOMMONS สุดยอดร้าน Celebrity แห่งปีกับร้านมาการองสุดฮอตอย่าง SOURI โดยวิน-เมธวิน สุดยอดเมนูใหม่ขวัญใจมหาชนกับ “ชาองุ่น” จากร้าน BEARHOUSE รวมถึงรางวัลพิเศษที่มอบให้กับผู้ทรงอิทธิพลในวงการอาหารนำโดย มาวิน ทวีผล จากเพจ Mawinfinferrr
![]()
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “นับเป็นปีที่สามแล้วที่แกร็บฟู้ดได้จัดงาน #GrabThumbsUp Awards เพื่อยกย่องสุดยอดร้านอาหารอร่อยยกนิ้วที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจากหลายแสนร้านอาหารทั่วประเทศที่อยู่บนแพลตฟอร์มของเรา ตั้งแต่ร้านสตรีตฟู้ด คาเฟ่ ไปจนถึงระดับไฟน์ไดนิ่ง สำหรับในปีนี้งานประกาศรางวัลของเราจัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Journey of Passion’ เพื่อยกย่องสุดยอดร้านอาหารจากทั่วประเทศที่มี
ความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาคุณภาพและรสชาติของอาหารให้ยอดเยี่ยมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค โดยเรายังคงความเข้มข้นของการคัดเลือกผ่านเกณฑ์การตัดสินในด้านต่างๆ ทั้งรสชาติอาหาร ชื่อเสียง และความนิยมของร้านซึ่งสะท้อนผ่านยอดขายและการรีวิว โดยต้องได้รับคะแนนจากผู้ใช้บริการไม่ต่ำกว่า 4.5 (จากคะแนนเต็ม 5) และได้รับการรีวิวเชิงบวกไม่ต่ำกว่า 100 เสียง ที่สำคัญในปีนี้เรายังได้เพิ่มเกณฑ์ตัดสินใหม่ โดยพิจารณาจากแนวคิดในการดำเนินธุรกิจและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของร้าน ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึง Passion ของร้านอาหารต่างๆ ที่พยายามยกระดับคุณภาพและมาตรฐานเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ”
![]()
สำหรับในปีนี้ รางวัล #GrabThumbsUp Awards 2024 ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารระดับประเทศมาร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินเพื่อคัดเลือก “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” อันได้แก่ หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ หรือ “คุณอิ๊งค์” กูรูด้านอาหารและนักชิมแถวหน้าของเมืองไทย กรรมการรายการแข่งขันทำอาหารยอดฮิตอย่าง MasterChef Thailand และ IRON CHEF Thailand ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร หรือ “เชฟต้น” เชฟและเจ้าของร้าน Le Du ระดับมิชลิน 1 ดาว และรางวัลอันดับ 1 จาก Asia's 50 Best Restaurants ปี 2023 อารมณ์ โพธิ์หาญรัตนกุล หรือ “คัตโตะ” ยูทูปเบอร์สายอาหารเจ้าของเพจ “เสือร้องไห้” และภัทรศยา เชาว์รัศมีกุล บรรณาธิการ THE STANDARD LIFE สำหรับในปีนี้มี 488 ร้านอาหารจากทั่วประเทศที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยยกนิ้วจาก #GrabThumbsUp โดยมี 60 ร้านที่คว้ารางวัล “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ในสาขาต่าง ๆ ไปครอง โดยมีสาขารางวัลใหม่ที่สะท้อนพฤติกรรมและเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน อาทิ
· สุดยอดร้านรัก(ษ์)โลกและสิ่งแวดล้อมแห่งปี ซึ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและมุ่งสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนผ่านแคมเปญรณรงค์ในด้านต่าง ๆ โดยรางวัลนี้เป็นของ “theCOMMONS” ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ที่มีความตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งดีดีกลับสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม
· สุดยอดเมนูใหม่ขวัญใจมหาชน กับเมนู “ชาองุ่น” จากร้าน “BEARHOUSE” ที่สร้างกระแสให้คนพูดถึงกันอย่างต่อเนื่องในโลกออนไลน์และยืนยันด้วยยอดขายถล่มทลาย
· สุดยอดร้าน Celebrity แห่งปี กับร้าน “SOURI” ร้านมาการองสุดฮอตของหนุ่มวิน เมธวิน กับคอนเซ็ปต์พาสเทลสีสันสดใส โดดเด่นด้วยไส้หนาแบบสไตล์เกาหลี ขายดีจน Sold Out แทบทุกวันและกลายเป็นกระแสไวรัล
· สุดยอดร้านระบบการจัดการยอดเยี่ยม คือ “Lucky’s Hungry” และ “ข้าวหมูย่างคุณหญิง” ที่ไม่เพียงมียอดขายสูง แต่ยังมีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการจัดการคำสั่งซื้อ การเตรียมอาหาร รวมถึงการส่งมอบอาหารให้กับไรเดอร์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าได้รับอาหารที่สดใหม่ ไม่ต้องรอนาน
· รางวัลพิเศษที่มอบให้กับ “ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปีในวงการอาหาร” นำโดย มาวิน ทวีผล ตัวพ่อสายรีวิวจากเพจ Mawinfinferrr จูน-สาวิตรี โรจนพฤกษ์ พิธีกรตัวแม่ที่หันมาเอามาดีกับการรีวิวร้านอาหารที่เจ้าตัวชื่นชอบผ่าน Instagram Junesawitri และปรางแก้ว บัณฑรรุ่งโรจน์ ยูทูปเบอร์จากช่องรีวิวอาหารสุดฮอตอย่าง Bim กินแหลกล้างโลก
“เราหวังว่ารางวัล #GrabThumbsUp Awards จะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจสำคัญให้กับพาร์ทเนอร์ร้านอาหารที่ได้ทุ่มเทพัฒนาคุณภาพอาหารและมาตรฐานการให้บริการตลอดทั้งปีที่ผ่านมา และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง Passion ให้ผู้ประกอบการร้านอาหารอื่นๆ ที่อยู่บนแพลตฟอร์มในการส่งมอบประสบการณ์ความอร่อยให้กับผู้ใช้บริการในอนาตต ทั้งนี้ แกร็บฟู้ดจะยังคงพัฒนาบริการของเราอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริการเดลิเวอรี และจะยังคงเดินหน้าส่งเสริมพาร์ทเนอร์ร้านอาหารของเราเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจต่อไป” นายวรฉัตร กล่าวเสริม
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ #GrabThumbsUp Awards 2024 ได้ทางเว็บไซต์ https://www.grab.com/th/blog/grabthumbsup-awards-2024/
อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน ProPak Asia 2024 งานแสดงเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต การแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ชั้นนำระดับเอเชีย โหมโรงก่อนการจัดงานฯ ด้วยการเปิดพื้นที่ 8 โซนกิจกรรมพิเศษ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เครื่องดื่มและบรรจุภัณฑ์ โดยร่วมมือกับพันธมิตรหน่วยงานภาครัฐ องค์กรธุรกิจและภาคเอกชน อาทิ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), ศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภายใต้การดำเนินงานกระทรวงอุตสาหกรรม, World Packaging Organization, Asian Packaging Federation, INNOLAB, Prompt Design, TasteBud ฯลฯ พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ อัพเดทแนวโน้มทิศทางอุตสาหกรรม เรียนรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งเปิดพื้นที่ในการให้คำปรึกษาแนะนำการแก้ปัญหาทางธุรกิจ การลดต้นทุน จนถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยทั้ง 8 โซนกิจกรรมพิเศษประกอบด้วย
1. ProPak Gourmet เวิร์คช็อปและการสาธิตการใช้เทคโนโลยีเพื่อการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อค้นหาวิธียืดระยะเวลาความสดและเพิ่มมูลค่าของวัตถุดิบประเภทเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก สัตว์น้ำและอาหารทะเล
2. Lab & Test Teather ความร่วมมือกับ INNOLAB พบการควบคุมและการประกันคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพ กุญแจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน อัพเดทข้อกำหนดล่าสุดด้านความปลอดภัย เทคโนโลยีตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานการแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม ยา สินค้าอุโภคบริโภคและบรรจุภัณฑ์สินค้า
3. ProPak Bar รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อสร้างโอกาสและเครือข่ายธุรกิจในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม
4. Future Food Corner พบไอเดีย ร่วมเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์ใหม่ไปกับอาหารแห่งอนาคต โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์
5. I-Stage เวทีรวบรวม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการลงทุน สำหรับโซลูชั่นทางธุรกิจในระบบห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มและธุรกิจ FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) ของสินค้าอุปโภค บริโภค พบกับเซเลป กูรู ในวงการที่จะมาแบ่งปันประสบการณ์แก่ผู้ประกอบการ SME (Small and Medium-sized Enterprises) ให้ได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับนวัตกรรมแห่งความยั่งยืนในกระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมรับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเกี่ยวกับด้านการลงทุนและการขยายกลุ่มธุรกิจ
6. WorldStar, AsiaStar & ThaiStar Packaging Awards Display พบตัวอย่างเพื่อสร้างแรงบันดาลใจจากนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ชนะรางวัลในเวทีการประกวด ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับประเทศและเวทีการประกวดระดับโลก
7. Design Box พื้นที่จัดแสดงผลงานการออกแบบบรรจุภัณฑ์ จากคุณสมชนะ กังวารจิตต์ นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ไทยที่ดังไกลระดับโลก กับผลงานที่ตราตรึงและโดดเด่นไม่เหมือนใครจนชนะใจผู้บริโภคมากมาย
8. Packaging Design Clinic ไขทุกปัญหาบรรจุภัณฑ์ที่ซับซ้อน ด้วยไอเดียสร้างสรรค์และการวิเคราะห์ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการเลือกใช้วัสดุ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จนถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ ที่คอยให้คำปรึกษาในทุกประเด็นสำคัญ ทั้งการลดต้นทุน การปฏิบัติตามหลักความยั่งยืนและร่วมแบ่งปันประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งานจริง
ProPak Asia 2024 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยมีความยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งการจัดแสดงพาวิลเลียนนานาชาติถึง 14 กลุ่มประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย บาวาเรีย ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกาเหนือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของแต่ละประเทศในการเข้าร่วมงานฯ เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาจัดแสดง
นอกจากนั้นยังได้รับการยืนยันเข้าร่วมจัดแสดงงานจากบริษัทชั้นนำของโลกกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 45 ประเทศ โดยใช้พื้นที่จัดงานฯ เต็มพื้นที่ของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เพื่อช่วยสร้างและเติมเต็มระบบนิเวศทางธุรกิจและอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคให้เติบโต โดยยังคงความเป็นงานแสดงเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต การแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ชั้นนำระดับเอเชีย ที่ตอบโจทย์ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของเทคโนโลยีกระบวนการแปรรูปอาหาร บรรจุภัณฑ์ การจัดเก็บและการขนส่ง ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ สำหรับผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็น Start Up, SME, ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่
สำหรับผู้สนใจรายละเอียดและต้องการเข้าร่วมกิจกรรม 8 โซนกิจกรรมพิเศษ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ www.propakasia.com
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวไทยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเวลาเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ผลการสำรวจ Eco Deals ของอโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว พบว่า 84% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยใส่ใจกับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงิน จำนวนแพ็คเกจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่มีให้เลือกมากขึ้น และแนวทางวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ชัดเจนมากขึ้น สามารถช่วยกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อไปท่องเที่ยวครั้งต่อไปได้
การสำรวจครั้งนี้มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามบนแพลตฟอร์มของอโกด้า ทั้งหมดกว่า 10,000 คน จาก 10 ประเทศ ทั่วทวีปเอเชีย โดยนักท่องเที่ยวเกือบ 8 ใน 10 คน ระบุว่าเต็มใจที่จะเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อไปท่องเที่ยว โดย 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าทุกครั้งพวกเขาจะพยายามท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้นอยู่เสมอ ในทางกลับกัน 22% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าแทบไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืนเวลาวางแผนท่องเที่ยวเลย โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นถึง 45% และเป็นนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์เพียง 8%
สิ่งจูงใจทางการเงินอาจมาเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การสำรวจ Eco Deals 2024 ของอโกด้า มีคำถามเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้ตอบแบบสอบถามตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกประเทศระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงิน เช่น ส่วนลด คือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 เฉลี่ยแล้วคิดเป็น 45% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด โดยนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ (58%) ไต้หวัน (54%) และอินโดนีเซีย (47%) เป็น 3 ชาติแรก ที่ระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงินคือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 มากที่สุด ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยมี 43% ที่ระบุเช่นเดียวกัน
ปัจจัยสำคัญอันดับ 2 คือจำนวนแพ็คเกจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่มีให้เลือกมากขึ้น เช่น แพ็คเกจที่เตรียมทริป หรือกิจกรรมไว้ให้แล้ว อย่างการเดินป่าเชิงอนุรักษ์แบบมีผู้นำทาง และการส่งเสริมโครงการริเริ่มในท้องถิ่น ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์ 28% เวียดนาม 24% และไทย 23% ส่วนปัจจัยสำคัญอันดับต่อมานั้น คือ แนวทางวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ชัดเจน (#3) การให้ความรู้ และส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (#4) และนโยบายเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เกี่ยวข้องรัฐบาลในประเทศ (#5)
คุณเอนริก คาซาลส์, Associate Vice President Southeast Asia, อโกด้า กล่าวว่า “เราเห็นได้ชัดจากผลการสำรวจว่านักท่องเที่ยวต้องการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โปรแกรม Eco Deals ของอโกด้ามีข้อเสนอสุดคุ้มมากมายให้นักท่องเที่ยวที่เลือกจองที่พักที่เข้าร่วมโปรแกรม และสำหรับทุกรายการจองของทุกที่พัก Eco Deals อโกด้าก็จะบริจาคเงินจำนวน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการอนุรักษ์ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ใน 8 ประเทศ ในทวีปเอเชีย โดยเราตั้งใจที่จะบริจาคเงินให้ได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อโกด้ามุ่งมั่นช่วยให้ทุกคนออกไปท่องโลกทั้งใบได้ในราคาถูกลง และโปรแกรม Eco Deals ของเราช่วยให้นักท่องเที่ยว ‘ตอบแทน’ เมืองและสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปได้พร้อมกัน”
เมื่อถามเรื่องวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอะไรที่ให้ความสำคัญมากที่สุดเวลาท่องเที่ยว ซึ่ง 36% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยระบุว่าให้ความสำคัญกับการส่งเสริมชุมชน และโครงการอนุรักษ์ในท้องถิ่นมากที่สุด ส่วนทั่วทั้งทวีปเอเชีย ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 1 ใน 4 (26%) เลือกส่งเสริมชุมชนในท้องถิ่นด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในท้องถิ่น หรือมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มของชุมชน
วิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เวลาท่องเที่ยว คือการรีไซเคิลและการลดของเสีย (20%) เช่น การใช้ผ้าเช็ดตัว และผ้าปูที่นอนซ้ำ อันดับ 3 คือการเข้าร่วมกิจกรรม และทัวร์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ (17%) ส่วนอันดับ 4 และ 5 คือการเลือกจองที่มีการรับรองศักยภาพด้านความยั่งยืน และการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเวลาเดินทาง ตามลำดับ
นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันสัตว์ป่าโลก นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกคนสามารถจองที่พัก Eco Deals บนอโกด้าได้ สำหรับทุกรายการจองของทุกที่พัก Eco Deals อโกด้าจะบริจาคเงินจำนวน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการอนุรักษ์ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ที่มุ่งมั่นปกป้องสัตว์ป่า และอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์ป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่จองจะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 15% อีกด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.agoda.com/ecodeals