

สิงห์ เอสเตท รายงานรายได้รวมจากการขายและการบริการสำหรับปี 2566 จำนวน 14,675 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เติบโตเด่นถึง 42% ด้วยแรงส่งสำคัญจากการเปิดตัว 5 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท มั่นใจปี 2567 โตแรงจากสินค้าพร้อมขายในระดับสูง ขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 11% จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เติบโต ซึ่งส่งผลให้ระดับรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ของโรงแรมในปี 2566 เพิ่มขึ้นถึง 23% แรงส่งสำคัญคือการปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่โดดเด่นจากการปรับปรุงโรงแรมตามแผนและความสามารถในการดึงดูดลูกค้าตลาดใหม่
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกาศรายได้รวมเติบโตขึ้น 17% สู่จำนวน 14,675 ล้านบาท และกำไรสำหรับปี 2566 จำนวน 240 ล้านบาท พร้อมเตรียมจ่ายปันผลสำหรับผลดำเนินงานประจำปี 2566 จำนวน 0.015 บาท ต่อหุ้น ซึ่งจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่12 มีนาคม 2567 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผล ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566
สำหรับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ จำนวน 3,638 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึง 42% ซึ่งประกอบด้วย (1) ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยจำนวน 3,416 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการการรับรู้รายได้เต็มสัดส่วน จำนวน 919 ล้านบาท จากโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ภายหลังสิงห์ เอสเตท เข้าถือหุ้น 100% เพื่อรองรับโอกาสการฟื้นตัวของดีมานด์กลุ่มคอนโดมิเนียม และการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ โดยเฉพาะโครงการพร้อมโอน “ลาซัวว์ เดอ เอส” โครงการ Flagship Cluster Home ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ และ “โครงการสริน ราชพฤกษ์ สาย 1” บ้านแนวราบระดับลักชัวรี่ ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีจำนวนรวมประมาณ 900 ล้านบาท และ (2) การรับรู้ค่าเช่าของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ตามสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวจำนวน 175 ล้านบาท
ในขณะที่รายได้จากการให้บริการของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11% มีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% สู่จำนวน 9,701 ล้านบาท หนุนจากทั้งอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมซึ่งคำนวณเฉพาะห้องพักที่เปิดให้บริการของบริษัท อยู่ที่ 68% ปรับเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า ด้วยการปรับแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิผล มุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของโรงแรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะความสำเร็จสำคัญจากการปรับปรุงโรงแรมตามแผน ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ที่ระดับ 5,675 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน สำหรับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์จำนวน 1,060 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% จากการทยอยรับรู้รายได้ตามการส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารเอส โอเอซิส (S-OASIS)
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า “จากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เป็นเลิศ ความสำเร็จของการพัฒนาโครงการอสังหาฯ และการปรับปรุงประสิทธิภาพของ Portfolio อย่างเข้มข้นในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทฯ บันทึกรายได้ในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ควบคู่กับการคุมต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับช่วงการขยายธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ ส่งผลให้เรามีผลกำไรสุทธิในปี จำนวน 240 ล้านบาท ด้วยความพร้อมทางการเงินและประสบการณ์ที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและให้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ รวมถึงการเดินหน้าสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยในปีนี้ เราประกาศจ่ายปันผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จจากการปรับตัวทางธุรกิจ ทำให้เราสามารถช่วงชิงโอกาสได้ทันกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม ทั้งนี้ บริษัทฯ เห็นสัญญาณการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงต้นปีนี้ เราจึงเชื่อมั่นว่าแรงส่งจากการตอบรับที่ดีของตลาดต่อผลิตภัณฑ์ของสิงห์ เอสเตท ผนวกกับพัฒนาการสำคัญต่างๆ ที่เราได้สร้างไว้ในปี 2566 นี้ จะเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับผลประกอบการในปี 2567 โดยอธิบายได้ตามหมวดธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจที่พักอาศัย: เราเห็นกิจกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี ที่จำนวน 1,734 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นกว่า 50% ของยอดโอนทั้งปีมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการรับรู้ Backlog ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส และการรับรู้ยอดโอนของโครงการใหม่ สริน ราชพฤกษ์สาย 1 ที่มีมูลค่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งพึ่งเปิดตัวในต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมมียอดโอนกรรมสิทธิ์ทันทีกว่า 12% ของมูลค่าโครงการซึ่งเราเชื่อว่ายอดโอนของทั้งสองโครงการนี้ในปี 2567 จะสามารถปิดได้ตามเป้าหมายของเราที่ 2,000 ล้านบาท หนุนด้วยโครงการใหม่ SHAWN ทั้งสองทำเล ปัญญาอินทรา และวงแหวนจตุโชติ มีมูลค่าโครงการรวมกันราว 4,600 ล้านบาท ที่เปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการไปในช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งได้ความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี เสริมด้วยการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์โครงการ The Extro พญาไทรางน้ำ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป และ ณ ปัจจุบัน มียอดขายรอรับรู้รายได้ของโครงการแล้วกว่า 1,200 ล้านบาท
ธุรกิจโรงแรม: เราเห็นสัญญานบวกที่แข็งแกร่งในปี 2567 จากจำนวนนักท่องเที่ยว และความเต็มใจในการใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อาทิเช่น (1) โรงแรมในประเทศไทย ได้รับแรงสนับสนุนจากการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักภายหลังการปรับปรุงตามแผน ทำให้ตอบโจทย์กับกระแสนิยมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี สะท้อนอัตราการเข้าพักในเดือนมกราคมในปี 2567 ของโรงแรมทั้ง 4 แห่งในประเทศไทยสูงถึงกว่า 90% ประกอบกับแผนการปรับปรุงห้องพักทั้งหมดที่เราเตรียมทำเพิ่มในช่วง 2 ปีข้างหน้า จะสามารถผลักดันผลการดำเนินงานของโรงแรมในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด (2) สัญญานการตอบรับอย่างดีของโรงแรม SO/ Maldives จากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง อาทิ ชาวรัสเซีย สหราชอาณาจักร และตะวันออกกลาง รวมถึงยอดจองห้องพักล่วงหน้าที่แข็งแกร่งตลอดช่วง High Season ของปี 2567 ของโรงแรม SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และ โรงแรม Hard Rock Hotel Maldives และ (3) ความต้องการท่องเที่ยวในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นตลาดหลัก รวมถึงศักยภาพในการเพิ่มอัตราค่าห้องพักภายหลังการปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ไปในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในเดือนมกราคมปี 2567 นี้ เราสามารถบริหารอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 70% และมีระดับ RevPAR ในเดือนมกราคม เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 43% เป็นต้น
ธุรกิจอาคารสำนักงาน: บริษัทฯ มีแนวทางในการบริหารอาคารสำนักงานทุกแห่งเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถรักษาอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) ได้เป็นอย่างดีท่ามกลางภาวะการณ์ต่างๆ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราการเช่าพื้นที่ของอาคาร S-OASIS ในปี 2567 นี้จะขับเคลื่อนผลประกอบการของธุรกิจอาคารสำนักงานได้อย่างมั่นคง
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม: บริษัทคาดว่ารายได้จากธุรกิจนี้จะเติบโตโดดเด่นในปี 2567 จากกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน สอดคล้องกับความสำเร็จในการพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภค หนุนด้วยความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ นอกจากนี้ การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าทั้งสามแห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 400 เมกะวัตต์ และจะทำให้บริษัทมีรายได้ประจำจากการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวม 270 เมกะวัตต์
![]()
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดรากฐานทางธุรกิจอันมั่นคงที่ได้สร้างไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ จะเดินหน้ามุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไรในปี 2567 ผ่านการขยายพอร์ตโฟลิโอ และยกประสิทธิภาพในการทำกำไร ได้แก่ (1) การเปิดตัวโครงการอสังหาฯ เพื่อการพักอาศัยต่อเนื่องที่ระดับ 10,000 ล้านบาท การเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ รวมถึงการช่วงชิงโอกาสจากเรียลดีมานด์ที่เติบโตผ่านการพัฒนาโครงการเอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ ซึ่งเป็นโครงการระดับบน จำนวนยูนิตไม่มากอยู่โซนพื้นที่ใกล้เมืองและพื้นที่เมืองชั้นใน และการเปิดโอกาสเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเร่งการเติบโต (2) การมุ่งเน้นการลงทุนในโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์คุณภาพ และการยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านทางการบริการที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น (personalized experiences) รวมถึงนำเสนอ Brand Concept ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์การท่องเที่ยวในระดับสากล (3) การมองหาโอกาสในการเข้าซื้อและควบรวมกิจการเพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และ (4) การปรับแผนการตลาดเชิงรุก เน้นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และใช้ช่องทางการขายที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมให้เติบโตต่อเนื่องได้
“เรามีความมั่นใจที่จะทำตามเป้าหมายในการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องอีกครั้งนึง ผนวกกับการควบคุมค่าใช้จ่าย พร้อมผลักดันอัตราการทำกำไรให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น และส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนและรับผิดชอบให้กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพันธสัญญาที่จะพัฒนาสินค้าและบริการอันเป็นเลิศ เพื่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้า ดั่งที่ สิงห์ เอสเตท ได้ทำมาด้วยดีแล้วตลอด ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการสนับสนุนการขยายการเติบโตและการทำกำไรให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง” นางฐิติมา กล่าวเสริม
การจ้างบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI นั้นเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับนายจ้างชาวไทยกว่า 9 ใน 10 ราย แต่ 64% กลับประสบปัญหาในการสรรหาบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI ที่เพียงพอ สื่อให้เห็นถึงปัญหาการขาดแคลนทักษะด้าน AI ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย
อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ได้เผยแพร่การศึกษาล่าสุด ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ถูกนำมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ บุคลากรไทยที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้าน AI มีโอกาสเห็นการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างมากกว่า 41% โดยสองหมวดที่มีโอกาสเพิ่มรายได้สูงที่สุดคือพนักงานด้าน IT (54%) และด้านการดำเนินธุรกิจ (51%)
AWS ได้ร่วมมือกับบริษัท Access Partnership เพื่อทำการศึกษาในระดับภูมิภาคหัวข้อ “การยกระดับทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI): การเตรียมความพร้อมบุคลากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสู่งานแห่งอนาคต” เพื่อให้เข้าใจถึงแนวโน้มการใช้งาน AI ที่กำลังเกิดขึ้นและทักษะที่เป็นที่ต้องการในองค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาค APAC ได้ดียิ่งขึ้น โดยได้มีการสำรวจพนักงานกว่า 1,600 คนและนายจ้าง 500 รายในประเทศไทย
นอกจากโอกาสในการเพิ่มค่าจ้าง บุคลากรในประเทศไทยอีก 98% คาดว่าการเพิ่มทักษะด้าน AI จะส่งผลให้พวกเขามีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การเพิ่มความมั่นคงในอาชีพ และส่งเสริมความใฝ่รู้ให้แก่พวกเขา บุคลากรในประเทศไทย 95% ระบุถึงความสนใจในการพัฒนาทักษะ AI เพื่อโอกาสในการก้าวหน้าในสายงานอาชีพไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอายุรุ่นไหน ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าบุคลากร 93% ในกลุ่ม Gen Z 95% ในกลุ่ม Gen Y และอีก 95% ในกลุ่ม Gen X รายงานถึงความต้องการเรียนรู้ทักษะด้าน AI ในขณะที่ 97% ในกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มักอยู่ในช่วงเกษียณอายุแล้ว กลับรายงานว่าพวกเขาสนใจจะลงทะเบียนในหลักสูตรเพื่อยกระดับทักษะด้าน AI หากได้รับโอกาส
ผลการศึกษายังพบว่าประสิทธิผลที่ได้รับจากบุคลากรไทยที่มีความพร้อมด้านทักษะ AI นั้นอาจมีมากอย่างมหาศาล ผลสำรวจจากนายจ้างคาดว่าประสิทธิภาพขององค์กรจะเพิ่มขึ้น 58% เนื่องจากเทคโนโลยี AI สามารถพัฒนาการสื่อสารได้ถึง 66% ปรับงานซ้ำซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ 65% และส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ถึง 60% นอกจากนี้ จากผลสำรวจบุคลากรเชื่อว่า AI สามารถยกระดับประสิทธิผลในการทำงานของตนเองได้มากถึง 56% อีกด้วย
องค์กรในประเทศไทยเดินหน้าเต็มที่กับ AI
พัฒนาการของ AI ในประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 98% ของนายจ้างมองว่าบริษัทของตนจะปรับเปลี่ยนสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในปี 2571 ในขณะที่นายจ้างส่วนใหญ่ (97%) เชื่อว่าแผนก IT จะได้รับประโยชน์มากที่สุด พวกเขายังมองว่าแผนกอื่น ๆ นั้นสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงฝ่ายวิจัยและพัฒนา (95%) ฝ่ายการเงิน (95%) ฝ่ายการดำเนินธุรกิจ (94%) ฝ่ายขายและการตลาด (93%) ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (91%) และฝ่ายกฎหมาย (90%)
อภินิต คาอุล ผู้อำนวยการบริษัท Access Partnership กล่าวว่า “คลื่นยุคใหม่แห่ง AI กำลังขยายตัวทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมไปถึงประเทศไทย และกำลังเปลี่ยนวิธีดำเนินธุรกิจและวิธีการทำงานในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ผลการศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าสังคมโดยรวมจะได้รับผลประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับบุคลากรในไทยที่มีทักษะ และด้วยจำนวนองค์กรที่คาดว่าจะใช้โซลูชันและเครื่องมือ AI เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับการพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้นายจ้างและภาครัฐต้องให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ พร้อมรับมือกับความก้าวหน้าของ AI ทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
Generative AI เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาและไอเดียใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนา นิยาย รูปภาพ วิดีโอ เพลง และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้เป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยเทคโนโลยีนี้ได้พลิกโฉมการทำงานขององค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 98% ของนายจ้างและลูกจ้างในผลสำรวจคาดว่าจะมีการนำเครื่องมือด้าน Generative AI มาใช้ในที่ทำงานภายในห้าปีข้างหน้า โดยมีนายจ้างจำนวน 74% มองว่าการ ‘เพิ่มนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์’ จะเป็นประโยชน์อันดับแรกที่องค์กรจะได้รับ ตามด้วยการปรับงานซ้ำซ้อนให้เป็นระบบอัตโนมัติอีก 66% และการสนับสนุนการเรียนรู้อีก 62%
วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ประจำ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า “Generative AI มอบโอกาสพลิกโฉมธุรกิจในประเทศไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และผลการศึกษาในครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในอนาคตด้านทักษะ AI สำหรับพนักงานอย่างชัดเจน อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ปรับตัวใช้ AI อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่บริการทางการเงินไปจนถึงการก่อสร้าง การค้าปลีก หรือแม้แต่ภาครัฐที่มุ่งเน้นพัฒนานโยบายด้านการส่งเสริม AI จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานที่มีทักษะด้าน AI ถึงมีความสำคัญในการเสริมสร้างวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานในประเทศไทย ที่ AWS เราได้ช่วยองค์กรต่าง ๆ เช่น DailiTech ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทย ในการฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากร เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตแห่งยุค Generative AI”
ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล กรรมการผู้จัดการบริษัท DailiTech กล่าวว่า "การฝึกอบรมบุคลากรของเราให้มีความพร้อมด้านทักษะ AI และ Generative AI เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้มาใช้ในธุรกิจของเราให้เกิด transformation อย่างแท้จริง ที่ DailiTech เราได้พัฒนา framework ในการนำ Generative AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยลูกค้าของเรา launch นวัตกรรมใหม่ ๆ สู่ตลาดได้เร็วยิ่งขึ้น"
ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนด้านทักษะ AI ในประเทศไทย
ผลการศึกษานี้เปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาขาดแคลนทักษะด้าน AI ในบุคลากรไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อปลดล็อกศักยภาพและประโยชน์ของ AI ได้อย่างเต็มรูปแบบ การจ้างบุคลากรที่มีความพร้อมในทักษะ AI ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ในกลุ่มนายจ้างไทยเก้าในสิบราย (94%) โดย 64% ในนี้ระบุว่าไม่สามารถหาบุคลากรที่มีทักษะ AI ตามที่พวกเขาต้องการได้ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังเผยให้เห็นถึงช่องว่างด้านการฝึกอบรม โดย 89% ของนายจ้างระบุว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการดำเนินโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้าน AI และพนักงานอีก 81% กล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าทักษะด้าน AI จะเป็นประโยชน์แก่สายอาชีพใดได้บ้าง
ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ องค์กรอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงผู้ให้บริการทางการศึกษา เพื่อช่วยให้นายจ้างไทยสามารถดำเนินโครงการฝึกอบรม AI และแนะแนวทางให้แก่พนักงานของตนได้ เพื่อจับคู่ทักษะและความสามารถด้าน AI ของบุคลากรกับตำแหน่งที่เหมาะสมภายในองค์กรได้
เจฟฟ์ เพย์น กรรมการผู้จัดการ Asia Internet Coalition กล่าวว่า “ผลรายงานนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ ยังคงนำพลังแห่งเทคโนโลยี AI มาปรับใช้อยู่เรื่อย ๆ ในการพลิกโฉมวิธีการทำงานและดัดแปลงให้เข้ากับชีวิตประจำวัน ภาครัฐเองก็มีโอกาสในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าผ่านนโยบายที่จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในอนาคต”
ดร. รูพา ชาญดา ผู้อำนวยการกองการค้า การลงทุน และนวัตกรรม คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) กล่าวว่า “ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การฝึกอบรมบุคลากรในด้าน AI ที่ตั้งอยู่บนกรอบและหลักการที่มีจรรยาบรรณไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกเชิงกลยุทธ์ แต่เป็นภารกิจสำคัญสำหรับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิก รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมบุคลากรให้มีความพร้อมด้านทักษะ AI เพื่อรองรับงานในอนาคตที่มีความท้าทายใหม่ ๆ รวมไปถึงความพร้อมเปิดรับโอกาสในการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเสมอภาค ตลอดจนนวัตกรรมที่ครอบคลุม”
เร่งการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลในประเทศไทย
AWS ได้ฝึกอบรมผู้คนมาแล้วกว่า 50,000 คนในประเทศไทย ในทักษะด้านคลาวด์นับตั้งแต่ปี 2560 แต่ด้วยการนำเทคโนโลยีที่พึ่งพาระบบคลาวด์ในการใช้งานเช่น AI มาใช้อย่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะบุคลากรในวงกว้าง เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและเติบโตได้ในอนาคตแห่งยุค AI
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 บริษัท Amazon ได้เปิดตัวโครงการ ‘AI Ready’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มี ในการฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ให้กับผู้คนจำนวน 29 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2568 แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย โครงการ ‘AI Ready’ มอบหลักสูตรฝึกอบรมด้าน AI และ Generative AI แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่เหมาะกับผู้เรียนไม่ว่าจะต้องการเน้นทักษะเทคนิคเฉพาะทางหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเสริมสร้างทักษะด้าน AI ในแบบที่ต้องการ โครงการนี้ยังไม่รวมหลักสูตรอบรมและเนื้อหาการเรียนการสอนด้าน AI แมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning : ML) และ Generative AI อีกกว่า 100 รายการที่ AWS มอบให้ผ่านช่องทาง AWS Skills Builder และ AWS Educate ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้บนระบบดิจิทัลของเรา เหมาะสำหรับการเรียนรู้ในทุกระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูง ล่าสุด AWS ได้มีการประกาศนวัตกรรม Generative AI ใหม่ ภายในงาน AWS re:Invent 2023 อย่าง Amazon Q ซึ่งเป็นผู้ช่วยรูปแบบ Generative AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละธุรกิจได้อย่างง่ายดาย
เคทีซีจัดแคมเปญร่วมฉลองครบรอบ 12 ปี ลาซาด้า ในประเทศไทย มอบความคุ้มค่าให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี-มาสเตอร์การ์ด และบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด” รับส่วนลด 1,000 บาท เมื่อใช้จ่าย 9,999 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 24-27 มีนาคม 2567 โดยไม่ต้องใช้คะแนนและไม่ต้องลงทะเบียน
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในปี 2566 สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีมีการใช้จ่ายผ่านลาซาด้า (Lazada) มากขึ้น จากช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยยอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 17% และมีจำนวนครั้งในการใช้จ่ายผ่านบัตรที่มากขึ้นถึงเกือบ 20% และในโอกาสที่ “ลาซาด้า” ครบรอบ 12 ปี เคทีซีจึงได้ร่วมกับมาสเตอร์การ์ดจัดแคมเปญ “LAZADA 12th Birthday Sale” เพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จในการทำธุรกิจของลาซาด้าในประเทศไทย ให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี-มาสเตอร์การ์ด และยังได้ขยายสิทธิพิเศษนี้ไปยังกลุ่มสมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด” เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของสมาชิกที่ชื่นชอบการช้อปออนไลน์ โดยสามารถใช้บัตร กดเงินสด “เคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด” ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษรูด-โอน-กด-ผ่อน ในการช้อปและชำระออนไลน์ได้อีกด้วย โดยจะมอบส่วนลด 1,000 บาท เมื่อมียอดซื้อสินค้าตั้งแต่ 9,999 บาทขึ้นไป ผ่าน www.lazada.co.th และ แอปพลิเคชัน “Lazada” สำหรับบัตรเครดิตเคทีซี และบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ทุกประเภท รับส่วนลด 300 บาท เมื่อมียอดซื้อสินค้าตั้งแต่ 1,999 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 24-27 มีนาคม 2567 โดยเริ่มตั้งแต่ 20.00 น. ของวันที่ 24 มีนาคม 2567 สมาชิกบัตรฯ สามารถเก็บคูปองส่วนลดผ่านแอปฯ Lazada และเลือกบัตรเคทีซีทุกประเภทที่ร่วมรายการ ก่อนทำการชำระเงินเท่านั้น โดยไม่ต้องลงทะเบียน ดูรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/lazada-all "
ผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
บริษัท คาสิโอ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดการประกวดเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะควบคู่กับการใช้เครื่องคำนวณวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) ในการใช้เทคโนโลยีด้านการศึกษา พร้อมเผย 5 โรงเรียน เข้าชิง และประกาศผู้ได้รับรางวัล
![]()
คุณโยชิโนริ นาคาจิม่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาสิโอ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดการประกวดเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะควบคู่กับการใช้เครื่องคำนวณวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2566 หรือ Lesson Plan Creation Contest 2023 เพื่อให้ครูที่อยู่ในโครงการโรงเรียนนำร่อง (DSP) ซึ่งเป็นโครงการที่ทางบริษัทคาสิโอฯ ร่วมกับ สพฐ. และ สพม. ได้นำเสนอการออกแบบการจัดการเรียนสอนรายวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายควบคู่กับการใช้เครื่องคำนวณวิทยาศาสตร์ ในการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ (Inquiry-based learning) ทั้งเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) ในการใช้เทคโนโลยีด้านการศึกษา (EdTech) อีกด้วย
การประกวดเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะควบคู่กับการใช้เครื่องคำนวณวิทยาศาสตร์ นับว่า จัดขึ้นเป็นที่แรกของประเทศไทย โดยได้รับความร่วมมือและให้เกียรติในการร่วมงานจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำนักงานเขตพื้นที่การมัธยมศึกษาทั้ง 4 เขต (สพม.กท 1 สพม.กท2 สพม.ขอนแก่น และ สพม.พังงา ภูเก็ต ระนอง) และสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
“คาสิโอ ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมกับการประกวดฯครั้งนี้ และเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาของไทย และถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของคาสิโอ ที่จัดการประกวดในลักษณะนี้เราคาดหวังว่าคุณครูทุกท่านจะได้รับแรงบรรดาลใจในการออกแบบแผนจัดการเรียนรู้ ด้วยเครื่องคำนวณวิทยาศาสตร์ และได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการประกวดในครั้งนี้” คุณโยชิโนริ กล่าว

ด้านอาจารย์เอกสิทธิ์ ปิยะแสงทอง ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า
“การแข่งขันครั้งนี้ เปรียบเสมือนเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ในการพัฒนาเด็กไทยให้ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป คณิตศาสตร์ถือเป็นรากฐานสำคัญในการเรียนทุกวิชา และอุปกรณ์เป็นสื่อที่ช่วยในการเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้คณิตศาสตร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ผศ. ดร. จิรดาวรรณ หันตุลา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กรรมการตัดสินการแข่งขันในครั้งนี้ กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการก้าวข้ามจากการเรียนการสอนแบบเน้นเนื้อหา (content-based) เพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคต สิ่งที่สำคัญก็คือ ชั้นเรียนต้องเปลี่ยนรูปแบบ สอนแบบเดิมไม่ได้ โดยเฉพาะ คณิตศาสตร์เป็นฐานของทุกวิชา เราต้องปรับเปลี่ยนรูปให้นักเรียนสนใจคณิตศาสตร์ รู้สึกยินดีที่ทางคาสิโอมีส่วนเสริมรูปแบบการสืบเสาะในชั้นเรียน และทุกท่านที่ช่วยผลักดันให้เกิดโครงการนี้”
ด้าน ดร. อลงกรณ์ ตั้งสงวนธรรม ผู้เชี่ยวชาญสาขาคณิตศาสตร์มัธยมศึกษา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งเป็นกรรมการตัดสินอีกท่าน กล่าวว่า “ถือว่า เป็นก้าวแรกที่สำคัญ การเรียนการสอนแบบสืบเสาะ และแอคทีฟ เลิร์นนิ่ง (Active learning) เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ให้มีสีสันมากขึ้น และเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน”
สำหรับการประกวดฯครั้งนี้เริ่มปลายปี 2566 โดยมีครูคณิตศาสตร์ที่อยู่ในโครงการโรงเรียนนำร่อง (DSP) เข้าร่วมประกวด และมี 5 ทีมผ่านการคัดเลือกและเข้ารอบตัดสินในวันที่ 18 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ได้แก่ โรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม โรงเรียนทวีธาภิเศก โรงเรียนศึกษานารี โรงเรียนเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต และโรงเรียนม่วงหวานพัฒนศึกษา จังหวัดขอนแก่น
ทั้ง 5 ทีมได้นำเสนอแผนงานได้อย่างน่าสนใจ โดยนำเสนอกระบวนการคิดคณิตศาสตร์ ให้ผสมผสานกับเรื่องใกล้ตัว ซึ่งเน้นการเรียนรู้แบบสืบเสาะ ทำให้การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อหรือยากอีกต่อไป พร้อมทั้งมีการนำเครื่องคำนวณวิทยาสาตร์คาสิโอ รุ่น CLASSWIZ fx-991CW เป็นเครื่องมือในการประกอบการเรียนการสอน ทำให้คณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
ผลการประกวดฯ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีมจากโรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม กรุงเทพฯ นำเสนอในหัวข้อ การคูณเมทริกซ์ด้วยเมททริกซ์ รองอันดับ 1 ได้แก่ โรงเรียนทวีธาภิเศก กรุงเทพฯ นำเสนอในหัวข้อ ช่วยคิดหน่อยและยิงให้โดน (กฎของโคไซน์และไซน์) รองอันดับ 2 ได้แก่ โรงเรียนม่วงหวานพัฒนาศึกษา จังหวัดขอนแก่น นำเสนอในหัวข้อ ช้างเอราวัณสุดฉงน (หลักการนับเบื้องต้น) และรางวัลชมเชยได้แก่ โรงเรียนศึกษานารี กรุงเทพฯ นำเสนอในหัวข้อ เบาหวานเบาใจ (การแจกแจงทวินาม) และโรงเรียนเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต นำเสนอในหัวข้อ ฟังชันกำลังสอง
คุณครูศศิธร หลาบนารินทร์ โรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม ตัวแทนทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ นำเสนอแผนในหัวข้อ การคูณเมทริกซ์ด้วยเมทริกซ์ ได้กล่าวว่า “ เราได้ออกแบบนำเรื่องที่ใกล้ตัวให้นักเรียนนำการแข่งขันกีฬาสีที่ได้เหรียญมาในแต่ละปีมาประเมินความสามารถ โดยใช้เครื่องคำนวณวิทยาศาสตร์มาช่วยหาคำตอบว่าถูกต้อง ทำให้เกิดการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนจากเรื่องที่ใกล้ตัว และเราคาดหวังว่าจะนำแนวทางนี้ไปขยายกับนักเรียนกลุ่มอื่นๆ ต่อไป”
![]()
สำหรับ โรงเรียนทวีธาภิเศก รองอันดับ 1 นำเสนอในหัวข้อ ช่วยคิดหน่อยและยิงให้โดน (กฎของโคไซน์และไซน์) โดยคุณครูอนุชิต โฉมศรี ได้กล่าวว่า “เราใช้สถานการณ์สมมติและสถานการณ์จริง เรื่องการเปิดกีฬาสีเป็นเรื่องใกล้ตัว ทำให้นักเรียนสนใจแล้วเข้ามาสืบเสาะโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจุบัน และสานต่อเพื่อนำไปใช้ได้จริงและออกแบบแผนอื่นๆต่อไป”
สำหรับรองอันดับ 2 ได้แก่ โรงเรียนม่วงหวานพัฒนาศึกษา จังหวัดขอนแก่น นำเสนอในหัวข้อ เรื่อง ช้างเอราวัณสุดฉงน (หลักการนับเบื้องต้น) โดยคุณครูพงศธร พันธ์บุปผา ผู้นำเสนอแผนงาน ได้กล่าวว่า “การบวกการคูณโดยใช้เครื่องคิดเลขและใช้ช้างเอราวัณที่ทางนักเรียนคุ้นเคยกันดี เป็นการสร้างความสนใจให้กับนักเรียน นักเรียนมีความกระตื้อร้นในการเรียนรู้มากขึ้น ถือได้ว่าเป็นแนวทางใหม่การเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์”
คุณโยชิโนริ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เป้าหมายสูงสุดของคาสิโออยากได้มุมมองของคุณครู และเห็นรูปแบบการเรียนการสอนที่นำไปประยุกต์ เพื่อใช้งานได้จริง และนำไปออกแบบเป็นของตัวเอง ไม่ใช่อยู่ในกรอบของคาสิโอ ถ้าการจัดการประกวดในครั้งนี้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่คาดหวังได้ โดยเฉพาะกับครูและ
นักเรียน ทางบริษัทฯ ก็ยินดีจัดขึ้นอีกครั้งในปีการศึกษาถัดไป พร้อมทั้งอาจจะมีกิจกรรมใหม่ๆ เพิ่มเติมในอนาคต เพื่อตอบโจทย์กับการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาไทยต่อไป”
Lord David Cameron อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 53 แห่งสหราชอาณาจักร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักร พร้อมด้วย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาระดับอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าเยี่ยมชมห้องแล็บวิจัยด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพและชีววิทยาสังเคราะห์ ณ บริษัท ไบโอม จำกัด อาคารมหาวชิรุณหิศ (ชั้น11) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. อลิสา วังใน Chief Technology Officer ของบริษัท ไบโอม จำกัด ให้การต้อนรับ ซึ่งบริษัทไบโอม เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างจุฬาฯ และบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI) ที่ได้วิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีชีวภาพแห่งแรก
ด้าน นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BBGI กล่าวว่า พร้อมผนึกความแข็งแกร่ง ร่วมต่อยอดสร้างมูลค่างานวิจัยกับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อเสริมฐานผู้นำอุตสาหกรรมกลุ่มผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงในภูมิภาคเอเชีย ในการวางเป้าหมายใช้ไทยเป็นฐานในการส่งต่องานวิจัยผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ไปยังตลาดโลก
นอกจากนี้ BBGI ยังได้รุกธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (CDMO) ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก ภายใต้บริษัทร่วมทุน BBFB (BBGI Fermbox Bio) ซึ่งเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (Precision Fermentation) เชิงพาณิชย์แห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย คาดโรงงานแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2568 นับเป็นการตอกย้ำ BBGI แข็งแกร่งเตรียมพร้อมสู่โอกาสในอนาคต
LINE TODAY จัดงาน LINE TODAY BUSINESS & PARTNERS 2024 ประกาศทิศทางธุรกิจภายใต้แนวคิด “EXPLORE THE UNEXPECTED” เผยแนวทางความร่วมมือและศักยภาพในการผลักดันพันธมิตรในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ของเมืองไทย ชูจุดเด่นการเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างด้านความร่วมมือด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยขยายฐานกลุ่มเป้าหมายและสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ นำทีมโดยคุณสิริกาญจน์ สมนึก ผู้อำนวยการธุรกิจ LINE TODAY (LINE ประเทศไทย) ซึ่งภายในงานได้รับเกียรติจากเหล่านานาพันธมิตรร่วมรับฟังข้อมูล ณ สำนักงาน LINE ประเทศไทย เมื่อวันก่อน
บุคคลในภาพจากภาพซ้ายไปขวา
แถวหน้า:
1. คุณณัฐวุฒิ เปรมปราชญ์ หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรธุรกิจคอนเทนต์ LINE TODAY (LINE ประเทศไทย)
2. คุณวสันต์ จิรเจริญกุล ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายบริหารโครงการและกลยุทธ์ LINE ประเทศไทย
3. คุณสิริกาญจน์ สมนึก ผู้อำนวยการธุรกิจ LINE TODAY (LINE ประเทศไทย)
4. คุณเอก ปัญญาสีห์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดธุรกิจคอนเทนต์ LINE ประเทศไทย
5. คุณนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป
6. คุณโปรดปราน หมื่นสุกแสง เจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัด (ไทยรัฐออนไลน์)
แถวหลัง:
1. คุณพิพัฒน์ ด่านกลาง ผู้จัดการเทโรดิจิทัล บริษัท เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
2. คุณปรีชา คุณธรรมสถิต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายดิจิตอลและคอนเทนท์ บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จํากัด (Amarin TV)
3. คุณพิมพ์พญา เจริญทวีทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายบริหารและสร้างสรรค์เนื้อหา LINE TODAY
4. คุณอดิศักดิ์ คันธโรรส ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จํากัด (Amarin TV)
5. คุณณฤทธิ์ พรับจุ้ย ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจเพลง บริษัท มิวสิคมูฟ จำกัด
เกี่ยวกับ LINE TODAY
เปิดบริการในปี 2016 LINE TODAY คือบริการ Content Portal อันดับหนึ่งของไทย เข้าใช้ผ่านแท็บ 4 บนแอป LINE ปัจจุบัน LINE TODAY มียอดชมคอนเทนต์มากกว่า 1.4 พันล้านเพจวิวและผู้ใช้กว่า 40 ล้านคนต่อเดือน เป็นแหล่งรวมคอนเทนต์หลากหลาย ตั้งแต่ข่าวสาร บันเทิง สาระ ไลฟ์สไตล์ กีฬา และคอนเทนต์ยอดนิยมอย่างดูดวงและผลสลากกินแบ่งฯ ซึ่งคอนเทนต์มีทั้งรูปแบบบทความ และ วิดีโอ ปัจจุบัน LINE TODAY มีพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เป็นทั้งสำนักข่าวและครีเอเตอร์ รวมกว่า 300 ราย ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่เชื่อถือได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการเติบโตของ LINE TODAY เป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดีถึงกลยุทธ์ในการพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการคอนเทนต์ของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี
เดอะ ปาร์ค (The PARQ) โครงการไลฟ์สไตล์มิกซ์ยูสที่มุ่งพัฒนาออฟฟิศและรีเทลอัจฉริยะภายใต้แนวคิด “Life Well Balanced” เดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียม ฉลองความสำเร็จของผู้หญิงในทุก ๆ ด้าน จัดกิจกรรม SHE RISES: Brew Yoga & Swing dance party เติมเต็มความสนุกผ่านกิจกรรมรูปแบบใหม่ อัพเกรดดีกรีความแข็งแกร่ง และส่งมอบแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา
เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันสตรีสากล 2024 เดอะ ปาร์ค เนรมิตพื้นที่ Rooftop ของ Q Garden ภายในเดอะ ปาร์ค ไลฟ์ ให้เป็นคอมมูนิตี้ของเหล่าผู้หญิงที่มีสไตล์ เข้าใจถึงคุณค่าจากภายใน ได้มาร่วมกันดูแลตัวเอง และแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการพัฒนาตัวเอง เสริมความแข็งแกร่งทั้งร่างกาย และจิตใจ ให้ภายในงานอบอวลไปด้วยข้อความให้กำลังใจ และพลังงานเชิงบวก ที่เริ่มต้นมาจาก mindset อันแข็งแกร่งของทุกคน เชียร์อัพกันให้สุด ปลุกอะดรีนาลีนในตัวเอง แล้วก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยกิจกรรมออกกำลังกายสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมายกระดับความสนุกสุดสวิง แล้วมูฟออนจากทุกข้อจำกัดในสังคม เพื่อเป็นตัวเองได้อย่างภูมิใจ
![]()
เริ่มต้นกันที่กิจกรรมโยคะที่เก๋ที่สุดในเมืองไทย กับ Brew yoga โดย Brew Yoga Thailand ครั้งแรกที่ ทุกคนได้สัมผัสความสมดุล และความยืดหยุ่นจากโยคะ ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศ Sunset Golden Hour บนสวนลอยฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ Q Garden รับพลังแห่งศาสตร์การออกกำลังกายแบบประยุกต์ที่ช่วยสร้างสมดุลทั้งกาย-ใจ ได้อย่างน่าอัศจรรย
คุณหวาน-เจสสิก้า จาก Brew Yoga Thailand เผยว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมดี ๆ ที่ทางเดอะ ปาร์ค จัดขึ้นในครั้งนี้ นอกจากทางทีม Brew Yoga Thailand จะได้ร่วมสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศที่เราเองก็ให้ความสำคัญมาเสมอแล้วนั้น เรายังรู้สึกประทับใจกับแนวคิดของโครงการเรื่อง “Life Well Balanced” ที่มีจุดประสงค์ในการสร้างความสมดุลให้ชีวิตเช่นเดียวกับแนวคิดของ เรา ที่ว่า การมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข ควรเกิดจากการใช้ชีวิตในทุกวันของเรา ให้สนุกและสร้างสรรค์กับทุก ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องงาน เรื่องสังคม ตลอดไปจนถึงเรื่องการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกายเป็นประจำ การที่เรามีกลุ่ม Like-minded Community ที่คอยให้พลังงานบวก คอยซับพอร์ตกัน มาร่วมทำกิจกรรมใหม่ ๆ ร่วมกันอยู่เสมอ มีพื้นที่ให้เราได้พักกาย พักใจ จากโลกวุ่นวาย ได้มาใช้เวลากับพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติ เหมือนพื้นที่ในโครงการของ The PARQ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นแนวคิดของผู้หญิงยุคใหม่ที่เราสนับสนุนให้ทุกคนนั้นมีความสุขและสนุกกับการใช้ชีวิตให้สมดุลในแบบของตัวเอง”
ต่อด้วยความสนุกของโชว์พิเศษจาก Jelly Roll Dance Club ที่มาเซอร์ไพรส์ สร้างสีสันภายในงานให้ทุกคนที่มาร่วมงานให้ตื่นตัวยิ่งขึ้น ก่อนจะปลดปล่อยเอนเนอร์จีกับกิจกรรมเต้นสวิงในสวนลอยฟ้าอย่าง Swing dance party พร้อมกับวง Lit it up วงดนตรีแนว Swing และ R&B ที่จะมาบรรเลงดนตรีสดเพิ่มความสนุกสนานในทุกจังหวะการเต้นที่ไร้ข้อบังคับ เรียกความมั่นใจ ให้ผู้หญิงทุกคนได้กล้าเผยตัวตนที่แท้จริงอย่างมั่นใจอีกครั้ง
![]()
สุ-สุไลมาน สวาเลห์ จาก Jelly Roll Dance Club กล่าวว่า “จุดเด่นของการเต้นสวิง คือไม่มีถูกไม่มีผิด แค่เอ็นจอยไปกับเสียงเพลง ขยับร่างกายไปอย่างอิสระปราศจากกฏเกณฑ์ หรือข้อกำหนดใด ๆ แม้จะต่างเชื้อชาติ อาชีพ และอายุ เพียงมีใจรัก และมีความสุขจากการได้เป็นตัวของตัวเองบวกกับจังหวะสนุกสนานของเสียงเพลงก็สามารถเข้าถึงการเต้นสวิงได้แล้ว ซึ่งการเต้นรูปแบบนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียมในสังคมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบนฟลอร์ Swing Dance ทุกคนเท่าเทียมกันเสมอ”
เอาใจสายช้อปกับโซน Flea Market รวมร้านดังเพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งสินค้าชุดออกกำลังกายและอาหารเพื่อสุขภาพมาให้เลือกกันแบบจุใจ อาทิ Birtive, Peaches Active, Plantogenic, Furi Collagen bar, Fit with Plant, Do it her, Cheat day by Modish, Yogurt Culture, Le Glow และ Jetts Fitness แต่งแต้มความสดใสให้การดูแลตัวเองของทุกคน
ต่อเนื่องความมันส์ด้วย After party บน Rooftop Bar และเสียงเพลงจากดีเจนานาที่จะมาจัดเต็มทั้งแสง สี เสียง ให้ทุกคนได้มีช่วงเวลาแห่งความสนุก เสริมความแกร่ง mindset หญิงแกร่ง และส่งต่อพลังงานดี ๆ ให้แก่กันได้อย่างเต็มที่ตลอดค่ำคืน เพราะเราเชื่อว่าการเฉลิมฉลองความสำเร็จมีได้ทุกวัน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) นำเสนอโอกาสลงทุนในหุ้นคุณค่าทั่วโลก ภายใต้เป้าหมายเติบโตในระยะยาว เปิดเสนอขาย 2 กองทุนใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิดเคเคพี GLOBAL VALUE – UNHEDGED (KKP GVALUE-UH) และกองทุนเปิดเคเคพี GLOBAL VALUE – HEDGED (KKP GVALUE-H) โดยมีกลยุทธ์การบริหารการลงทุนแบบเชิงรุก (Active Management) ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลัก MFS Meridian Funds - Contrarian Value Fund โดยกองทุนหลักมีเป้าหมายการลงทุนในบริษัทที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) และแบ่งเป็นประเภทไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (UNHEDGED) และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด (HEDGED) กำหนดการเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 22 – 27 มีนาคม 2567 ด้วยมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเพียง 1,000 บาท
นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งและคาดว่าจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ธนาคารกลางสำคัญของโลกเริ่มมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และตัวเลขประมาณการกำไรสุทธิปี 2024 ของหุ้นโลกยังคงมีการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าการปรับลดลง ทำให้การลงทุนในหุ้นโลกยังคงมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น Global Value ที่มีระดับ P/E 15.5 เท่าในปัจจุบัน ซึ่งยังคงถูกกว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวม (P/E 18.05 เท่า) และต่ำกว่าของหุ้น Global Growth (P/E 32.6 เท่า) ถึง 50% นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่ม Global Value มีหุ้นวัฎจักรที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในสัดส่วนที่มากกว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวม ทำให้การเพิ่มการลงทุนในหุ้น Global Value ในพอร์ตหุ้นโลกสามารถสร้างโอกาสเพิ่มอัตราผลตอบแทนได้ ด้วยเหตุนี้ ทางบลจ.เกียรตินาคินภัทร จึงได้คัดเลือกกองทุน KKP GVALUE-UH และ KKP GVALUE-H ที่กองทุนหลักมีสไตล์การลงทุนแบบ Contrarian Value เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เพื่อนำเสนอเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนไทย
สำหรับ กองทุน KKP GVALUE-UH และ KKP GVALUE-H ระดับความเสี่ยง 6 เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก MFS Meridian Funds - Contrarian Value Fund ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนอย่างน้อยร้อยละ 70 ในตราสารทุน โดยเฉพาะในตลาดที่พัฒนาแล้ว และอาจลงทุนในตราสารทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกองทุนหลักจะลงทุนในประมาณ 50 บริษัทหรือน้อยกว่า ที่ผู้จัดการกองทุนเชื่อว่ามีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value)
กองทุน KKP GVALUE-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ส่วนกองทุน KKP GVALUE-H จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 90% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 305 9559 หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือ https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง
ข้อมูลกองทุน KKP GVALUE-UH และ KKP GVALUE-H :
· เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 22 – 27 มีนาคม 2567
· มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท
คำเตือน
· ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
· กองทุน KKP GVALUE-H จะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด (ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ) กองทุนจึงอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนในส่วนที่ไม่ได้ทำการป้องกันความเสี่ยงไว้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· กองทุน KKP GVALUE-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดังนั้น กองทุนจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นและข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ของไทยในระยะต่อไปจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และจะส่งผลให้ส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ทยอยลดลงจาก 77.9% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2566 เหลือเพียง 57.9% ภายในปี 2573 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยรุนแรงขึ้น เนื่องจากโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไทยปรับตัวได้ช้า อีกทั้งไทยยังเสียเปรียบต้นทุนการผลิตรถในประเทศ ขณะที่การตั้งเป้าให้ไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ BEV ของอาเซียนอาจยังทำได้ไม่เต็มที่และเจอคู่แข่งจากประเทศเพื่อนบ้าน ยิ่งกว่านั้น บทบาทในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีแบตเตอรี่ไฟฟ้าของไทยค่อนข้างน้อยจากข้อจำกัดรอบด้าน
ตัวเลขยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ส่งสัญญาณหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สองจากหลายปัจจัยลบรุมเร้า โดยหลัก ๆ มาจากกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอลงตามภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ช้าและหนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรัง ภาคธุรกิจยังคงชะลอซื้อรถยนต์ใหม่เพื่อรอความชัดเจนจากมาตรการรัฐ รวมทั้งแนวทางการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อของสถาบันการเงินที่ยังคงมีความเข้มงวดสูง ยิ่งกว่านั้น ราคาขายต่อรถยนต์มือสองที่ปรับลดลงมากกว่า 10-30% เมื่อเทียบกับราคาตั้งขายเฉลี่ยในอดีต จากผลของหนี้เสียที่เร่งสูงขึ้นในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีรถเป็นหลักประกัน เป็นปัจจัยลบที่ฉุดรั้งยอดขายรถยนต์ใหม่ในปี 2567 นี้ โดยเฉพาะรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ผลพวงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้ายังกระทบต่อยอดขายกลุ่มรถยนต์นั่งราคาประหยัด ซึ่งเป็นกลุ่มค่อนข้างใหญ่ในตลาดรถยนต์นั่ง เนื่องจากผู้ซื้อรถกลุ่มนี้ค่อนข้างอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น ขณะที่บางส่วนหันไปซื้อรถมือสองที่ราคาปรับลดลงมาก เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถป้ายแดงรถยนต์ส่วนบุคคล (รย.1) ในปี 2566 ในกลุ่มที่มีราคาขายไม่เกิน 7 แสนบาท หดตัวถึง 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สวนทางกับยอดจดทะเบียนป้ายแดงกลุ่มรถยนต์นั่งที่มีราคาตั้งแต่ 7 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท ขยายตัว 8.4%YoY ขณะที่รถยนต์นั่งราคา 1.5 ล้านบาท ถึง 2 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 56.8%YoY
ทั้งนี้ ttb analytics ประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2567 อยู่ที่ 771,780 คัน หรือหดตัว 0.5%YoY โดยยอดขายรถกระบะคาดว่าจะมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนรถกระบะในปีนี้ทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 48% ของยอดขายรถยนต์รวมในประเทศจากที่เคยสูงถึงเกือบ 60% ในปี 2564 สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) จะยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยประเมินว่ายอดขายรถยนต์ BEV ในปี 2567 จะอยู่ที่ 103,182 คัน หรือขยายตัว 36.3%YoY ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ BEV เพิ่มสูงขึ้นเป็น 13.4% ของยอดขายรถยนต์
ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 9.8% ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) จะลดลงเหลือ 72.9% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปี 2567
อย่างไรก็ดี ttb analytics มองว่า ในระยะต่อไป ส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในประเทศที่เป็นเครื่องยนต์ ICE จะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 77.9% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศทั้งหมดในปี 2566 เหลือเพียง 57.9% ภายในปี 2573 ซึ่งมาจากการเติบโตของยอดขายรถยนต์ BEV ในไทยที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 25.5% สอดคล้องเทรนด์ตลาดโลกที่ชี้ว่าสัดส่วนยอดขายรถยนต์ BEV ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 13% ในปี 2565 ไปแตะที่ 35% หรือประมาณ 40 ล้านคันภายในปี 2573 (ประมาณการโดย International Energy Agency) ซึ่งเหล่านี้จะสร้างแรงกระเพื่อมมายังไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียนรุนแรงขึ้นในอนาคต เนื่องจาก
1) ไทยมีข้อจำกัดในการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง โดยภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอยู่ในภาวะซบเซาเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2566 ตามทิศทางตลาดในประเทศที่ชะลอตัวลง เห็นได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) ในหมวดการผลิตรถที่มีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีสินค้าคงคลังของรถที่ผลิตแล้วเสร็จ (Finished Goods Inventory Index) กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต้องระบายสต็อกผ่านการส่งออกไปยังต่างประเทศมากขึ้น สวนทางกับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่มีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งมีไทยเป็นฐานการผลิตหลักปรับตัวได้ช้า จากแผนการผลิตและการทำตลาดรถยนต์ BEV ของค่ายผู้ผลิตญี่ปุ่นที่ยังน้อยกว่าค่ายผู้ผลิตจีน สหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่งยุโรปค่อนข้างมาก ทำให้ไทยซึ่งทำหน้าที่เพียงผู้รับจ้างผลิต (OEM) ของผู้ผลิตญี่ปุ่นซึ่งยังคงเน้นการผลิตรถยนต์กลุ่มเครื่องยนต์ ICE และไฮบริด (HEV) เป็นกลุ่มที่เปราะบางและได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความเสี่ยงต่อการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีหากปรับตัวไม่ทันตามความต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่เน้นทำตลาดรถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์ ICE รวมถึงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง (Powertrain) หรือเครื่องยนต์ (Engine) ที่กำลังจะถูกทดแทนอย่างสมบูรณ์ด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะกระทบทั้งบริษัทผู้ผลิต Tier 1 ตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการ รวมถึงผู้ผลิต Tier 2 และ Tier 3 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการไทยขนาดกลางและเล็กที่มีผลิตภาพแรงงานต่ำและฐานะทางการเงินเปราะบาง
2. การผลิตรถยนต์ของไทยเกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ได้ยากขึ้นในระยะยาว โดยปัจจุบัน ไทยผลิตรถยนต์เฉลี่ยปีละ 2 ล้านคัน ซึ่ง 91.4% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด (รถยนต์นั่งและรถกระบะ) เป็นการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์ ICE รองลงมา 8.6% เป็นการผลิตรถยนต์ประเภท
เครื่องยนต์ประเภทไฮบริด (HEV) และไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) ส่วนที่เหลืออีก 0.01% เป็นการผลิตรถยนต์ BEV ทั้งนี้ แม้ว่าในระยะอันใกล้จะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งภาคส่วนมากนัก เนื่องจาก 60% เป็นการผลิตรถกระบะซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์ ICE แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า คาดว่าบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่จะเร่งพัฒนารถกระบะ BEV ไปจนถึงระดับที่เหมาะสมต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้ความต้องการทั้งรถยนต์นั่งและรถกระบะเครื่องยนต์ ICE มีแนวโน้มลดลงทั่วโลก
นอกจากนี้ การมีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศจีน ทำให้ไทยสามารถนำเข้ารถยนต์ BEV จากจีนในราคาที่ถูกกว่าการผลิตเองในประเทศ เนื่องจากปริมาณการผลิตรถยนต์ BEV ในจีนมีขนาดใหญ่กว่าไทยมาก โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา จีนสามารถผลิตรถยนต์ BEV ได้มากกว่า 5 ล้านคัน เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตรถยนต์ BEV ที่ภาครัฐตั้งเป้าไว้ที่ 7.25 แสนคันภายในปี 2573 ผ่านนโยบาย 30@30 ทว่าเม็ดเงินที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อผลิตรถยนต์ BEV แบตเตอรี่ไฟฟ้า และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่ปี 2564-2566 ยังค่อนข้างน้อยเพียง 1 แสนล้านบาท หรือ 5% ของมูลค่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเท่านั้น ซึ่งนอกจากแผนการผลิตรถยนต์ BEV อาจไม่สามารถชดเชยจำนวนรถยนต์ ICE ที่กำลังจะหายไปจากสายพานการผลิตแล้ว แนวโน้มต้นทุนการผลิตรถยนต์ BEV ในไทยยังคงแพงกว่าเมื่อเทียบกับจีนอย่างมีนัย
3. บทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถไฟฟ้าค่อนข้างน้อย เนื่องจากไทยยังไม่มีแหล่งผลิตแร่ลิเธียมและนิกเกิล อันเป็นส่วนประกอบสำคัญต่อการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในระดับต้นน้ำ (Upstream) จึงเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียที่มีแหล่งแร่นิกเกิลสูงถึง 30% ของทั้งโลก อีกทั้งต้นทุนด้านแรงงานยังถูกกว่าไทย จึงกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ไทยอาจเสียส่วนแบ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้กับประเทศรอบข้างมากขึ้นในอนาคต ยิ่งกว่านั้น ผู้ผลิตจีนเองก็เริ่มหันมาตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนแบตเตอรี่ไฟฟ้าเอง เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) จึงทำให้การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากบริษัทต่างชาติค่อนข้างจำกัด ขณะที่การวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตในประเทศยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีกำลังการผลิตน้อย
ไม่เพียงแต่เทรนด์ผู้บริโภคปรับเข้าสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้าชัดเจนและเร็วขึ้นทุกขณะ แต่เริ่มเห็นการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานขั้นปลายน้ำ (Downstream) ตลอดจนการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รองรับยุคของยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ฉะนั้นแล้ว ผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นจะต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตของยานยนต์ไฟฟ้าเข้มข้นขึ้นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงการยกระดับทักษะของแรงงานทั้ง Soft Skill และ Hard
Skill เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่รุนแรงที่สุดที่ยากจะหลีกเลี่ยงครั้งนี้
บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX ดิสทริบิวเตอร์ผู้นำด้านไอทีอีโคซิสเต็ม เดินหน้าสร้างการเติบโตด้วยสินค้าและบริการครบวงจร ชูการบริหารจัดการ Product Mix ปรับสัดส่วนพอร์ตสินค้าที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ด้านผลงานปี 66 มีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่เกือบ 36,554 ล้านบาท กำไร 513 ล้านบาท ซึ่งเติบโตในกลุ่มสินค้าคอมเมอร์เชียล มือถือ และเกมมิ่ง ขณะที่กลุ่มคอนซูเมอร์ได้รับผลกระทบจากปัจจัยสภาวะตลาด แต่เชื่อมั่นว่าปีนี้จะกลับมาดีขึ้น ด้านบอร์ดไฟเขียว อนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.26 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 8 พ.ค.นี้ หนุนทั้งปี 66 จ่ายเงินปันผลรวมในอัตราหุ้นละ 0.36 บาท ตอบแทนผู้ถือหุ้นที่เชื่อมั่น
นางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2566 ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี บริษัทเน้นบริหารจัดการกลุ่มสินค้าให้มีประสิทธิภาพ โดยโฟกัสสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียลที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมีสัดส่วนรายได้เป็น 22% จาก 20% ในปี 2565 และกลุ่มอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อสารที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากปีก่อนอยู่ที่ 36% ขณะที่ สินค้ากลุ่มคอนซูเมอร์คาดสัดส่วนรายได้จะปรับลดลงอยู่ที่ 37% จากเดิม 42% เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงกลุ่มสินค้าคอนซูเมอร์ที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง
สำหรับภาพรวมปี 2566 ซินเน็คฯ รายงานผลการดำเนินงาน มีรายได้จากการขายและให้บริการ 36,553.57 ล้านบาท ลดลง 6.47% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสามารถรักษาการเติบโตที่ดีของสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อสารที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากยอดขายสินค้าแบรนด์ Apple และการเติบโตอย่างมากของสมาร์ทโฟนแบรนด์ HONOR ที่บริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว ที่มียอดขายมากกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียล ยังเติบโตจากกลุ่มสินค้าเน็ตเวิร์ค ทั้ง CISCO และ HUAWEI รวมถึงอุปกรณ์ IoT ในกลุ่มกล้องวงจรปิดทั้งในแบรนด์ HIKVISION และ DAHUA อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้รับปัจจัยกระทบจากสภาวะโดยรวมของตลาดที่ส่งผลถึงกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าคอนซูเมอร์ ประเภทคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ประเภทอุปกรณ์ชิ้นส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เป็นผลให้รายได้สินค้ากลุ่มนี้ลดลง 16.29% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ด้านกำไรขั้นต้น อยู่ที่ 1,470.20 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 4.02% ลดลงจากปีก่อน 4.60% ซึ่งสาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงในเกือบทุกกลุ่มสินค้า ทำให้ผู้จัดจำหน่ายมีข้อจำกัดในการกำหนดราคาขายของสินค้า อย่างไรก็ดีบริษัท ได้ปรับแผนกลยุทธ์ในการมุ่งเน้นและเพิ่มกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น เช่น สินค้ากลุ่มเกมมิ่ง เป็นต้น เพื่อให้สามารถดำรงอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและแข่งขันได้
สำหรับกำไรสุทธิ อยู่ที่ 513.3 ล้านบาท ลดลง 302.77 ล้านบาท หรือ 37.10% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุจาก ยอดขายและกำไรที่ลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย เนื่องจากการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นตามไปด้วย รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงจากความผันผวนอย่างมากของค่าเงินบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังคงประเมินความเสี่ยงและติดตามสถานการณ์ดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด และใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆในการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน
อย่างไรก็ดี ทิศทางภาพรวมกลุ่มสมาร์ทโฟนยังคงเติบโตเป็นไฮไลท์ที่น่าจับตามอง หลังจากในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 แบรนด์ชั้นนำต่างๆ มีการเปิดตัวสินค้ารุ่นเรือธงที่นำมาซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ และเทรนด์ AI Phone ที่เขย่าตลาดสมาร์ทโฟนได้อย่างน่าสนใจ และกลุ่มสินค้าคอมเมอร์เชียล (Commercial) ที่มองว่า จะยังรักษาการเติบโตที่ดี ส่วนสินค้ากลุ่มคอนซูเมอร์ (Consumer) แม้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในปี 2566 กำลังซื้อลดลง แต่มองว่า ยังคงเป็นสินค้าจำเป็นและมีความต้องการเข้ามาตามยุคสมัยและความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จึงมองว่า ในปี 2567 สินค้ากลุ่มนี้มีโอกาสที่จะกลับมาฟื้นตัว โดยโค้งแรกของปีได้รับอานิสงส์จากโครงการกระตุ้นของภาครัฐต่างๆ อาทิ โครงการลดหย่อนภาษี (Easy E-receipt) ในไตรมาส 1/2567 และโครงการอื่นๆในอนาคตที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคให้เติบโตได้ และด้วยรากฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งของซินเน็คฯ และความเชื่อมั่นภายใต้ตราสัญลักษณ์ “Trusted By Synnex” ที่รับประกันสินค้าไอทีกว่า 70 แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยศูนย์บริการทั่วประเทศที่ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า เมื่อซื้อสินค้าของซินเน็คฯ จะอุ่นใจได้ตลอดการใช้งานอย่างแน่นอน
“ในปี 2567 นี้ ซินเน็คฯ มองว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายในการบริหารงานในช่วงการฟื้นตัวของเศษฐกิจและภาพรวมของอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้าไอที แต่เราก็คาดว่าน่าจะเห็นทิศทางที่ดีขึ้น จากการปรับกลยุทธ์การบริหาร Product Mix เพื่อปิดความเสี่ยง อีกทั้งการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไอทีของผู้บริโภคตามอายุการใช้งานตั้งแต่ช่วงของโควิด-19 และอัพเดตสินค้าตามเทรนด์ต่างๆ ซึ่งเราพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าของเรา และนำมาซึ่งการเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้” นางสาวสุธิดา กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.36 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 305.05 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ไปแล้วเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.1 บาท โดยจะจ่ายปันผลส่วนที่เหลือ ในอัตราหุ้นละ 0.26 บาท ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 20 มีนาคม 2567 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 19 มีนาคม 2567 และจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 23 เมษายน 2567