การขับเคลื่อนด้านวิชาการและงานวิจัย ถือเป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ในสังคม นำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้เรียนก้าวเท่าทันกับโลกที่มีการ เปลี่ยนผ่านแทบทุกวินาที ผศ.ดร. สิงหะ ฉวีสุข รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย คณะการบริหารและจัดการ หรือ FAM สถาบัน เทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้เกิด การค้นคว้าและประยุกต์สิ่งใหม่ๆ เข้ากับการเรียน ในทุกระดับของหลักสูตรบริหารธุรกิจใน ทศวรรษหน้า
ในส่วนงานวิชาการ หน้าที่หลักคือดูแล การเรียนการสอนของทุกหลักสูตร ทุกระดับ ของคณะ ตั้งแต่ปริญญาตรี โทและเอก รวมถึง หลักสูตรภาษาไทยและนานาชาติ เพื่อให้ได้ บัณฑิตที่มีคุณภาพ มีความสามารถทาง ปัญญาและพฤติกรรม นำไปสู่การพัฒนา วิชาชีพและสร้างความสำเร็จในอนาคตได้
นอกจากภาระหน้าที่หลักในการดูแลทุกกระบวนการจัดการเรียน การสอนของทุกหลักสูตรที่สังกัดในคณะการบริหารและจัดการแล้ว ยังทำงานร่วมกับส่วนงานวิเทศสัมพันธ์ เพื่อทำความร่วมมือทาง วิชาการกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ตาม ยุทธศาสตร์ด้านวิชาการของคณะฯ ซึ่งส่วนงานวิชาการจะนำ ข้อตกลงความร่วมมือต่างๆ มาวิเคราะห์เพื่อนำจุดแข็งของความ ร่วมมือเหล่านั้นประยุกต์เข้ากับหลักสูตรต่างๆ ของคณะ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับของข้อตกลงความร่วมมือว่าเป็นลักษณะใด เช่น ต้องการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยหรือระหว่างหลักสูตร เราก็จะหาจุดแข็งและจุดอ่อนของทั้งสองฝ่าย เพื่อนำมาเสริมสร้าง และพัฒนาให้เกิดการปรับปรุงหลักสูตรและงานวิจัยควบคู่กันไป เป็นต้น ซึ่งคุณประโยชน์หลักที่ได้จากการทำความร่วมมือกับ สถาบันการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ คือนักศึกษา จะได้เรียนรู้ศาสตร์ที่แตกต่างกันมากขึ้น ได้มีโอกาสเรียนรู้และ มองเห็นศาสตร์ใหม่ๆ ในระดับโลก ก่อให้เกิดการเรียนการสอน และการวิจัยร่วมกัน ซึ่งจะตอบโจทย์ความต้องการด้านการ บูรณาการศาสตร์ต่างๆ เข้ากับศาสตร์การบริหารและจัดการ เชิงธุรกิจ เพื่อนำไปสู่ความอยู่รอดทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบการดำเนินงานของ ภาคธุรกิจ ผู้บริหารหรือผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีความ พร้อมในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ด้วยข้อมูลที่ ครอบคลุมและทันสมัย ผนวกเข้าศาสตร์การบริหารธุรกิจในแขนง ต่างๆ ซึ่งการเรียนการสอนในหลักสูตรต่างๆ ของคณะ จะเข้ามา ช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและสร้างความได้เปรียบ ในการแข่งขันให้แก่ทุกกระบวนการของธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับ นโยบายของรัฐบาล เช่น Thailand 4.0 ++ การยกระดับ ความสามารถให้แก่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นต้น ทั้งนี้หากการ พัฒนาหลักสูตรยังไม่สอดรับต่อการเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน คณะจึงสร้างหลักสูตรสายพันธุ์ใหม่ ขึ้นมา ได้แก่
ส่วนการส่งเสริมด้านงานวิจัย ผศ.ดร.สิงหะ อธิบายว่าการ วิจัย เป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญของอาจารย์ไม่น้อยกว่าการสอน เนื่องจากองค์ความรู้ต่างๆ มักจะเกิดขึ้นจากกระบวนการทำวิจัย หากไม่มีงานวิจัย ทฤษฎี แบบจำลอง องค์ความรู้ต่างๆ ก็จะ ไม่ทันสมัย เพราะฉะนั้นการค้นคว้าและนำองค์ความรู้ใหม่เหล่า นี้มาใช้ จึงเป็นการสร้างความทันสมัยให้แก่การถ่ายทอดความรู้ จากอาจารย์ไปสู่ผู้เรียน ดังนั้นการนำการวิจัยที่ทันสมัยมา ประกอบและเสริมการเรียนการสอน จะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ที่ แข็งแรง เห็นภาพว่าสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร จึงเป็น สาเหตุเพราะเหตุใดอาจารย์จึงต้องมีการทำวิจัยควบคู่กับการ จัดการเรียนการสอนอย่างสม่ำเสมอ
“การทำวิจัยจะทำให้เราได้เรียนรู้กระบวนการแก้ปัญหา ที่ถูกต้อง สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ของการวิจัยที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะถ้าแก้ปัญหาผิดวิธี ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ผิดพลาดไปด้วย” การศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาจะมีหลักสูตรที่พูดถึงการทำ วิทยานิพนธ์ ซึ่งคือการทำวิจัยอย่างหนึ่งที่ต้องมีหัวข้อชัดเจน ผลลัพธ์ที่ได้มาจะนำไปใช้เป็นองค์ความรู้ใหม่หรือการประยุกต์ ได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น การส่งเสริมงานวิจัยของคณะจึงมี 2 มิติ คือ 1. เพื่อสนับสนุนให้นักศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ตามหลักสูตรบัณฑิตศึกษาโดยให้สามารถเผยแพร่งานวิจัยในระดับนานาชาติ ที่อยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้น 2. เพื่อสนับสนุน คณาจารย์ของคณะ ให้ได้มีโอกาสนำเสนอผลงานวิจัยในเวที ระดับนานาชาติ ทั้งนี้ประโยชน์เสริมคืออาจารย์จะได้นำเอา ทักษะการทำวิจัยและนำผลลัพธ์จากการวิจัยไปเป็นเครื่องมือ สนับสนุนการสอนนักศึกษา โดยเฉพาะนักศึกษาระดับปริญญาเอก ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าหาองค์ความรู้ใหม่ หมายความว่า ผู้เรียนจะต้องทำการศึกษาเพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการ แก้ปัญหาอย่างถูกต้อง เช่น หากกล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีใน ธุรกิจ เป้าหมายโดยทั่วไปคือการทุ่นแรงและสร้างความแม่นยำ ในการวิเคราะห์ข้อมูล แต่โจทย์ใหม่ คือพฤติกรรมของผู้บริโภค ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้หากประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีต่างๆ ได้ตรงกับสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันได้ อย่างเชี่ยวชาญ ธุรกิจก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูงยิ่งขึ้น
ซึ่งการนำเอางานวิจัยมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงนั้น จำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ยกตัวอย่าง หาก ประเทศไทยเป็นหน่วยที่ใช้ศึกษา การดำเนินการวิจัยจำเป็นต้อง มีขั้นตอนและกระบวนการที่ชัดเจน เพื่อค้นคว้าและพิสูจน์ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยมีปัญหาใดบ้าง จากนั้นจึงศึกษาผลงานวิจัยในอดีตที่ผ่านมา ว่าสามารถนำไปสู่การ แก้ปัญหาในรูปแบบใดได้บ้าง ยังคงเหลือปัญหาหรือจุดอ่อนใด ที่ยังไม่ถูกนำมาแก้ไข ซึ่งปัญหาของประเทศไทยเปรียบเสมือน เป็นกล่องใบหนึ่งที่มีหลายด้าน อาจมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น ที่ได้รับการแก้ไขไปแล้ว ยังคงเหลืออีกหลายด้านที่รอการแก้ไข ดังนั้นกระบวนการค้นคว้าวิจัยจะทำให้ภาพรวมของกล่องใบดังกล่าว มีภาพลักษณ์และคุณสมบัติที่ดีขึ้นกว่าเดิม
อีกแง่หนึ่งในการกลั่นกรองปัญหาเพื่อทำงานวิจัย อาจพิจารณา จากนโยบายระดับโลก ระดับชาติ หรือระดับหน่วยงานเพิ่มเติมได ้ อาทิ หากมองประเด็นของ Thailand 4.0 จะทำให้เห็นภาพว่า ต้องมีการขับเคลื่อนในส่วนใดบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น และเมื่อมาผนวกกับความเชี่ยวชาญของคณะในฐานะหน่วยงาน การศึกษา จึงตั้งเป้าเป็น Education 4.0 ที่เน้นการพัฒนาบุคลากร ในประเทศชาติให้มีศักยภาพและอยู่รอดในโลกปัจจุบันให้ได้ มากยิ่งขึ้น จึงส่งผ่านมาที่ Curriculum 4.0 เพื่อสร้างหลักสูตรที่ เสริมสร้างความสามารถของบุคลากรในชาติได้ หากขณะนี้เรา อยู่ที่ 3.0 แล้ว จึงพิจารณาต่อว่ามีประเด็นใดบ้างที่จะนำเราไปถึง 4.0 ได้ นี่คือความสำคัญของงานวิจัยที่จะเกิดขึ้นเพื่อสร้างและ นำไปใช้แก้ไขให้ตรงตามเป้าหมาย ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้อง อาศัยความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรมและส่วนงานต่างๆ พร้อมกับการนำองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปเสริมสร้างความ สามารถในการแข่งขันต่อไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นคณะยังมีเป้าหมาย บูรณาการการวิจัยและการเรียนการสอน เพื่อเตรียมความพร้อม ในการเข้าสู่ยุค Society 5.0 อีกด้วย
คุณลักษณะหลักของการวิจัยด้านการบริหารและจัดการ ซึ่งถือเป็นการวิจัยในมิติของสังคมศาสตร์ คือการนำเอาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพื่อให้ได้ ผลลัพธ์ที่นำไปสู่การพัฒนาและตอบสนองความต้องการของ สังคมได้อย่างเหมาะสม จึงเป็นเหตุให้คณะมีนโยบายส่งเสริม การทำวิจัยอย่างเข้มข้น เช่น การสนับสนุนคณาจารย์ให้มีโอกาส พัฒนาตนเอง การสนับสนุนทุนวิจัย ซึ่งจัดแบ่งเงื่อนไขเป็นกรณีไป กล่าวคือหากเป็นอาจารย์ที่มีประสบการณ์ทำวิจัย คณะมีการสนับสนุนทุนวิจัยที่ค่อนข้างสูง ซึ่งแน่นอนว่าคณะก็คาดหวัง ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงเช่นกัน ส่วนคณาจารย์ใหม่ คณะมีนโยบาย สนับสนุนการวิจัยแบบเป็นขั้นบันไดอย่างเหมาะสม รวมถึงมี อาจารย์พี่เลี้ยงเพื่อช่วยให้คำแนะนำและเพิ่มมุมมองอย่างรอบด้าน นำไปสู่การดำเนินงานวิจัยที่รวดเร็วและราบรื่นได้ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยัง ผลักดันให้คณาจารย์ของคณะ ขอรับทุนวิจัยจากหน่วยงานภายนอก โดยการสนับสนุนของคณะจะเกิดขึ้นในทุกกระบวนการภายใต้ ชื่อ สจล. อย่างเต็มภาคภูมิ รวมถึงมีการบูรณาการร่วมกับ หน่วยงานต่างๆ เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร คณะอุตสาหกรรมเกษตร และ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่ผลงานวิจัย รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายให้ครอบคลุม บริบทของภาคธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนเหล่าน้ี เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสถาบัน นอกจากนี้ ผศ.ดร.สิงหะ ยังมี แนวทางในการผลักดันเพื่อนำเอางานวิจัยที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไปสู่ ระดับสากล (World Ranking) ตามนโยบายของสถาบันและ คณะอีกด้วย
ขณะนี้สถาบันมีเป้าหมายในการเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก หมายความว่าคนทั่วโลกต้องมองเห็นผลงานของเรามากยิ่งขึ้น แนวทางในการสนับสนุนของคณะ คือการจัดหาเวทีที่เหมาะสม เพื่อใช้เผยแพร่ผลงานวิชาการของทั้งคณาจารย์และนักศึกษา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการเผยแพร่จะเกิดขึ้นในสองมิติ คือ การได้มี โอกาสนำเสนอและเผยแพร่ผลงานเหล่านั้นให้แก่บุคคลภายนอก ได้รับทราบ นำมาซึ่งการได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากมุมมองของ ผู้อื่น เพื่อให้นักวิจัยได้นำคำแนะนำเหล่านั้นไปปรับปรุงพัฒนา แก้ไขให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น แน่นอน ว่าการดำเนินการเช่นนี้ จะเสมือนเป็นการสร้างผลงานวิจัยขึ้นมา อีกหนึ่งชิ้น ซึ่งสามารถนำไปเผยแพร่ได้ต่อไปอีกด้วย นอกจากนั้น ยังก่อให้เกิดกระบวนการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น นำไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งส่วนการพัฒนางานวิจัย และการจัดการเรียนการสอนตามมาได้อีกด้วย
“อีกแนวทางหนึ่ง คือการเผยแพร่ผลงานวิจัยในวารสารซึ่ง อยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เมื่อผู้อ่าน ได้พบเห็นผลงานวิจัย จะทราบว่าเราเป็นใคร พัฒนาผลงานวิจัย ในรูปแบบใดบ้าง รวมถึงหากเป็นลักษณะงานวิจัยที่เกี่ยวเนื่องกัน ผู้อ่านสามารถนำไปอ้างอิงหรือพัฒนาต่อยอดได้ การดำเนินงาน เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกัน เปิดโอกาส ให้คนทั่วโลกพูดถึงคณะ (FAM) และสถาบัน (KMITL) ของเรา มากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวสู่มหาวิทยาลัยระดับโลกได้ การดำเนินงานลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนตาม นโยบายของท่านคณบดี คือ FAM to FAMOUS ที่ต้องการนำผลงานวิจัยไปใช้สร้างประโยชน์หรือสร้างชิ้นงานใหม่ให้แก่ธุรกิจได (Innovation and Licensing) ไม่เป็นเพียง Invention Ideas ยิ่งกว่านั้น หากนำกระบวนการวิจัยและผลงานวิจัยประยุกต์เข้ากับการ ดำเนินงานในภาคธุรกิจแล้ว จะยิ่งก่อให้เกิดองค์ความรู้ เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่สนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจ รวมถึงสามารถยกระดับและพัฒนาสังคมได้อย่างยั่งยืนต่อไป”
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : ฐิติชญาน์ แปลงกูล
ในฐานะ รองคณบดี ฝ่ายบริหารวิชาการและต่างประเทศ ผศ.ดร.สุทธิ สูอำพัน คือ ผู้ที่มาให้คำอธิบายเรื่องการใช้เครือข่าย ต่างประเทศที่คณะการบริหารและจัดการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง มีอยู่เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้กับคณะนี้
ผศ.ดร.สุทธิ เล่าถึงกิจการวิเทศสัมพันธ์ ของคณะว่าสามารถแบ่งได้เป็น 2 ด้าน คือ ขาเข้า (Inbound) และขาออก (Outbound) โดยวิวัฒนาการของกิจกรรมด้านนี้ในยุคแรก จะเริ่มจากขาออก คือการเตรียมนักศึกษา ให้พร้อมสำหรับการไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ด้วยการเสริมความรู้ด้านภาษาอังกฤษให้กับ นักศึกษา และเริ่มส่งนักศึกษาไปแลกเปลี่ยน เยี่ยมเยียนสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ ที่คณะมีสายสัมพันธ์อยู่ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ ก็ยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
แต่ความท้าทายของ FAM คือการทำให้ขาเข้าเพิ่มปริมาณขึ้น จะทำอย่างไรให้นักศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาเรียนเพิ่มขึ้น จะทำอย่างไรให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันมากขึ้น เหล่านี้ คือโจทย์สำคัญสำหรับงานนี้ เพราะการมีนักศึกษาและ อาจารย์จากต่างประเทศเข้ามาจะช่วยให้นักศึกษาไทยได้มี โอกาสฝึกฝนความเป็นเจ้าบ้านที่ดี นอกเหนือจากเรื่องความรู้ และทักษะทางด้านวิชาการและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็น ของคนที่มาจากต่างวัฒนธรรมกัน
ผศ.ดร.สุทธิ มองว่าเป้าหมายของงานนี้ไม่ใช่แค่ปริมาณ แต่ยังต้องการความหลากหลายของเชื้อชาติที่จะเข้ามา จากเดิม ที่นักศึกษาแลกเปลี่ยนของคณะจะมาจากยุโรปและญี่ปุ่นที่ ส่วนใหญ่เข้ามาเรียนครั้งละ 1 เทอม ก็อยากจะเพิ่มสัดส่วน ของนักศึกษาจากประเทศในอาเซียนที่อาจจะเลือกมาเรียนที่ FAM ตลอดทั้งหลักสูตร 4 ปีให้มีจำนวนมากขึ้น
ที่ผ่านมาเริ่มมีคณะจากต่างประเทศที่เข้ามาเยี่ยม FAM อยู่เป็นระยะ เป็นจุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน รองคณบดีฝ่ายบริหารวิชาการและต่างประเทศเล่าตัวอย่างว่า มหาวิทยาลัยเทมาเสกโพลิเทคนิคของสิงคโปร์ มาเยี่ยมคณะเมื่อ เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเป็นคณะนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน 30 คน พร้อมอาจารย์ 3 คน ที่ขอมาเรียนบทเรียน ในประเทศไทย เพื่อเปิดโลกทัศน์และมองหาโอกาสใหม่ๆ
“ผมจัดเป็นเลคเชอร์ชื่อว่า “Technological Development and Thailand 4.0” บอกว่า เทคโนโลยีคือส่วนของคุณ คุณเก่งอยู่แล้ว แต่ไทยแลนด์ 4.0 คือ เทคโนโลยีของคุณแต่โอกาสของเรา สรุปงานเลคเชอร์ครั้งนั้นเราชี้ให้เห็นว่า เราเป็นประเทศที่มิกซ์ทุกอย่าง 1.0 2.0 เราก็มีเรามีหมดเลย แต่ส่วนที่เราอยากเติมและเป็นโอกาสให้เขาคือ ส่วนของ 4.0 สุดท้ายผมก็บอกเขาว่าให้กลับไปทำการบ้านว่า โอกาสที่จะเกิดขึ้นในไทยแลนด์ 4.0 จะมีอะไรบ้าง และโอกาสที่เขาสามารถเข้ามามีบทบาทคืออะไรบ้าง ให้ไปสรุปกับอาจารย์ของเขา”
ตามตารางที่เตรียมไว้ยังมีมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ อีกหลายแห่งที่ขอเข้ามาเยี่ยมชมคณะการบริหารและจัดการ ทั้งเพื่อมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมีบางส่วนก็กำลังมองหาสถานที่ สำหรับเรียนต่อ อาทิ จากประเทศจีน เมียนมา ซึ่งจะมีส่วนช่วย ให้ขาเข้าด้านความรู้ของ FAM มีความคึกคักมากขึ้น
อีกทางหนึ่ง ในระดับผู้สอนอาจารย์จากต่างประเทศก็มี เข้ามาที่คณะทั้งเพื่อทำงานวิจัยและมาร่วมบรรยาย อีกทั้ง สจล. ยังมีกองทุน Academic Melting Pot ซึ่งเป็นทุนที่ให้กับอาจารย์ จากภายนอกให้เข้ามาหลอมรวมกับอาจารย์ภายในสถาบันก็จะ มีส่วนช่วยทำให้งานด้านนี้พัฒนาได้เร็วขึ้น
งานสำคัญอีกงานหนึ่งที่จะช่วยให้งานด้านต่างประเทศ เดินหน้า คือการนำคณะเข้าสู่การจัดอันดับ โดย ผศ.ดร.สุทธิ มองว่าหากได้รับการจัดอันดับที่น่าเชื่อถือก็จะช่วยเพิ่มการรับรู้ ในระดับนานาชาติให้กับ FAM โดยได้เลือกจะเข้าร่วมการ จัดอันดับของ Eduniversal ที่รวบรวมโรงเรียนธุรกิจที่มีมาตรฐาน ทั่วโลกกว่า 154 ประเทศ มาจัดอันดับ 1-1,000
ในนั้นยังมีการแบ่งใครคือ Top 200 Top 400 Top 600 Top 800 จนถึง Top1,000 ก็เป็นความตั้งใจให้เรามีชื่อในนั้น ถ้าเราทำได้ ผมคิดว่าจะเป็นการสร้างที่ยืนให้เรา จากผลงานในอดีตหรือศักยภาพนอนาคต เพียงพอที่จะบอกว่าเราคือใคร
อีกภารกิจด้านต่างประเทศที่สำคัญ คือการจัดการประชุม วิชาการนานาชาติ เพื่อสร้างความคึกคักให้กับงานวิชาการ ของคณะ จากเดิมที่สถานที่คับแคบไม่เหมาะกับการจัดงานใหญ่ เช่นนี้ เมื่อคณะกำลังจะมีตึกใหม่ ที่มีห้องประชุมและสถานที่ และบรรยากาศที่เหมาะกับการจัดการประชุมสัมมนาก็จะทำให้ การจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการทำได้สะดวกมากขึ้น
ผศ.ดร.สุทธิ บอกว่าจะทำให้ FAM เป็นแหล่งรวมทาง ปัญญาในระดับนานาชาติ ที่ไม่ใช่แค่มีนักศึกษามาเรียน แต่เป็น Knowledge Think Tank เป็นการ Inbound Knowledge และ จะต่อยอดไปถึงการที่สจล. มีสถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับ EEC ก็จะทำให้กลายเป็น Thailand 4.0 Business School ที่ผู้ที่มา ร่วมกิจกรรมสามารถใช้เวลาไม่นานก็เดินทางไปดูงานที่ EEC ต่อได้
เป้าหมายของงานด้านต่างประเทศที่วางแผนไว้ทั้งหมด ก็เพื่อยกระดับ FAM ให้ก้าวสู่ความเป็นสถาบันระดับนานาชาติ สามารถผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ด้านบริหารจัดการและมีความ เข้าใจในเทคโนโลยี ตอบสนองความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ ให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศไทยและโลกได้
สอนให้รู้ว่าโลกเปลี่ยน
ทางด้านวิชาการในยุค Disruptive สิ่งที่เราเห็นกันอยู่คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในรูปแบบการใช้ชีวิต สินค้า และบริการต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยผลพวงจากเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ FAM เตรียมไว้รองรับ โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือการสอนให้ผู้เรียนรู้ว่าโลก กำลังเปลี่ยน เป็นหลักในการออกแบบหลักสูตรที่ ผศ.ดร.สุทธิ อธิบาย
เขายกตัวอย่างวิชา Fundamental of Managing Technology ซึ่งเป็นวิชาในหลักสูตรนานาชาติว่า หากดูตาม ตำราเรียนก็จะพบว่าเป็นวิชาสำหรับนักศึกษาปริญญาโทแต่ก็มี การนำมาย่อยเพื่อใช้เรียนและสอนในระดับปริญญาตรี “เราใส่ วิชานี้ลงในปี 1 เทอม 1 วิชานี้ทำให้เขาได้คุ้นเคยและ ได้เห็นภาพ เท่าทัน และพร้อมจะเห็นว่า Disruptive World จะไปในทิศทางไหน ถ้าเราไม่มีกลุ่มวิชาตรงนี้ คำนี้ก็จะเป็นเหมือนคำเท่ๆ ที่พูดไปอย่างนั้นแต่ไม่รู้ว่า คืออะไร แต่การเรียนที่นี่ ทำให้เขาเห็น วิชาอย่างนี้ เป็นเสมือนการสร้างความรู้สึกร่วม ว่าโลกเปลี่ยน ทำให้มุมมองผู้เรียนเปลี่ยน”
โดยภายในวิชาจะให้นักศึกษาได้ค้นคว้าเรียนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นหุ่นยนต์ ยานยนต์ไร้คนขับ ปัญญาประดิษฐ์ ที่เกิดขึ้นแล้ว และมองเห็นว่าจะใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้อย่างไร
รองคณบดีฝ่ายวิชาการและต่างประเทศอธิบายต่อว่า ในฐานะนักบริหารเราเรียนเพื่อให้กล้าใช้ จะใช้งานได้อย่างไร เห็น AI เป็นเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง ในอนาคตข้างหน้า ก็พัฒนาสิ่งเหล่านั้นมาใช้บรรยากาศการเรียนเรื่อง AI ในคลาสจะไม่ได้ตื่นเต้นว่าผมจะไม่มีงานทำ จะเป็นแบบว่า ผมจะเป็นนาย AI มากกว่า และเราก็ไม่ได้กลัว หุ่นยนต์หรืออะไร มองเหมือนเป็นลูกจ้างคนหนึ่ง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเช่นนี้ถูกสอดแทรกเข้าไป ในแก่นแกนของหลักสูตรของคณะ รวมถึงวิชาเลือกที่เกี่ยวข้อง กับทางอุตสาหกรรม เช่น วิชา Industrial Design วิชา Industrial Production System เป็นต้น ประกอบกับการที่คณะอยู่ใน สจล. ซึ่งมีความโดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอยู่แล้ว ทำให้ผู้เรียนของ FAM มีเพื่อนฝูงต่างคณะที่สามารถร่วมทำ กิจกรรมด้วยกัน ผสมผสานระหว่างความเป็นนักบริหารกับ นักวิทยาศาสตร์ได้อีกทางหนึ่ง
ซึ่งคำว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ได้หมายถึงแค่อะไรที่เป็นดิจิทัล เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนา เช่น ในการเรียนการสอนอาจจะมีการตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไร ให้เครื่องสำอางไทยมีจุดเด่นในระดับโลกได้ ซึ่งที่สุดผู้เรียนก็ต้อง ย้อนกลับไปที่การวิจัย เพื่อหาจุดเด่นที่จะมาทำผลิตภัณฑ์นั้น
ผศ.ดร.สุทธิ ปิดท้ายว่า ด้วยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ทำให้ จากนี้ไปเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องในห้องแล็ปหรือโรงงานอีกแล้ว โรงเรียนธุรกิจในสถาบันเทคโนโลยีก็ควรจะเติบโตไปใน ทิศทางนั้น โดยเห็นตัวอย่างได้จากโรงเรียนธุรกิจชั้นนำ เช่น MIT SLOAN ที่อยู่ในสถาบัน MIT ซึ่งมีความโดดเด่นทางด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การที่ FAM อยู่ใน สจล.ที่มี ความโดดเด่นทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเช่นกัน จึงมี สภาพแวดล้อมที่จะพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : ฐิติชญาน์ แปลงกูล
“We develop people, people develop country.” ดร.สุดาพร สาวม่วง คณบดี คณะการบริหารและจัดการ (FAM) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (สจล.) กล่าวภายหลังได้รับ รางวัล Thailand Leadership Award 2019 ซึ่งจัดขึ้นโดย World Federal Education
ประโยคนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการ บริหารจัดการการศึกษาเพื่อสร้างคน เพื่อเป็นพลังในการพัฒนาชาติต่อไปของ คณบดีคนใหม่ของ FAM ที่มีผลงานเป็น ที่ประจักษ์ด้านการศึกษาจนได้รับรางวัล ดังกล่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ดร.สุดาพรเปิดเผยแนวนโยบายในการบริหารสถาบันในช่วงที่รับตำแหน่งว่า มีนโยบายที่ทำให้จำกันง่ายๆ คือ ‘FAM to FAMOUS’ จากชื่อคณะในภาษาอังกฤษ Faculty of Administration and Management (FAM) ก็จะต่อยอดให้ไปสู่คำว่า Famous ที่แปลว่ามีชื่อเสียง โดยเป็นตัวย่อของนโยบายที่ตั้งเป้าไว้คือ
Family คณะจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมนำพา สจล. สู่มหาวิทยาลัย ที่ได้รับการจัดอันดับในระดับอาเซียนและภูมิภาค
Ability การผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ มีทักษะฝีมือ ประกอบด้วยนวัตกรรม
Management โดยคณะจะจัดการเรียนการสอนแบบมืออาชีพ เน้นการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยและตรงกับ ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นนวัตกรรมในการบริหารจัดการการเรียนการสอน การบริหารงาน การตัดสินใจดำเนินงานอย่างสร้างสรรค์ มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
Outstanding คือจะเป็นคณะการบริหารที่ได้รับการจัดอันดับ เป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ ของอาเซียน และของโลก
Universal คือการก้าวสู่ความเป็นสากล มีความเป็นนานาชาติ (International Outlook) ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ หลักสูตร อาจารย์ บุคลากร สิ่งแวดล้อมต่างๆ
หลักสูตรสายพันธุ์ใหม่
การจะทำให้แนวนโยบายให้บรรลุผลสำเร็จได้ ดร.สุดาพร เตรียมใช้ประสบการณ์ ที่เคยทำงานในภาคเอกชนมาก่อนเข้ามาทำงานด้านการศึกษาเพื่อผสมผสานจุดเด่น ของ FAM เพื่อสร้างผลลัพธ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
คณบดี FAM มองว่า การบริหารงานในยุคปัจจุบันต้องเน้นเรื่อง Disruption เพราะการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเป็นไปอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกันกับ ทางสถาบันก็ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสอดรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ โดยคำนึงถึงคุณภาพของนักศึกษาเป็นหลัก
หากมองการบริหารการศึกษาในแง่ มุมของการตลาด ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของ สถาบันการศึกษานั่นก็คือหลักสูตร งานวิจัย สิทธิบัตรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ใน ส่วนของหลักสูตรซึ่งเรียกว่า ‘หลักสูตร สายพันธุ์ใหม่’ แบ่งเป็น 5 สายพันธุ์ ประกอบด้วย
Entrepreneurial & Science-based Degree เป็นการผสมผสาน ความโดดเด่นของ สจล. ในด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกับการบริหาร ด้วยหลักสูตรที่เปิดช่องให้นักศึกษา สามารถเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ แล้วมาเรียนต่อ ในคณะบริหารธุรกิจ หรือหลักสูตร 4+1 เพื่อช่วยให้บัณฑิตที่จบไปมีความรู้ทั้ง ด้านการบริหารจัดการและวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี โดยจะเป็นหลักสูตรนานาชาติ ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็น อันดับแรก และมีโครงการขยายไปยัง คณะอื่นๆ ต่อไป
Corporate-based Degree เป็นหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับภาค อุตสาหกรรม เช่น การจัดหลักสูตรร่วมกับ ผู้ประกอบการเครือเบทาโกร และไทยเบฟ เพื่อให้บัณฑิตที่จบออกไปสามารถทำงานได้ทันที มีความรู้ความสามารถ ตรงตามความต้องการของภาค อุตสาหกรรม
Area-based Degree จะเป็นการจัดการศึกษาโดย คำนึงถึงพื้นที่ของผู้เรียน ทั้งในชุมชนท้องถิ่นและพื้นที่ที่คณะจะ ขยายตัวไป เช่น กลุ่มประเทศอาเซียน จีน รวมถึงการมีห้องเรียน ที่เชื่อมโยงกับศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ผ่านโครงการห้องเรียน 108 โลกจริง 108 อรหันต์ ที่จะให้ศิษย์เก่า มาเป็นวิทยากรถ่ายทอดเรื่องราวการทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ให้กับนักศึกษารุ่นน้อง
Global-based Sandwich Degree จะเป็นการ ทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศ เช่น MIT, Oxford, King College และ LSE ผ่านรูปแบบการเรียนที่ ประเทศไทยส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ในต่างประเทศ
Training Online Degree ที่มีการวางเป้าหมายไว้ 3 กลุ่ม คือผู้เรียนในหลักสูตรปกติ ที่จะมีการใช้รูปแบบการเรียนการสอน ออนไลน์ผสมผสานกับการเรียนในห้องเรียน กลุ่มที่สองคือ ผู้ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคธุรกิจที่ต้องการเรียน วิชาต่างๆ และหากต้องการวุฒิก็สามารถนำเครดิตที่ได้มา ลงเทียบกับคณะได้ในอนาคต และกลุ่มที่สามคือกลุ่มที่ต้องการ มา Upskill และ Reskill (เพิ่มและปรับเปลี่ยนทักษะ) ที่จะเปิดเป็น คอร์สให้กับผู้สนใจทั้งศิษย์เก่าและผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ มาเรียนคอร์สตามที่สนใจ ซึ่งเมื่อเรียนแล้วก็สามารถเทียบโอน รายวิชาได้หากต้องการจะได้วุฒิเพิ่มเติมเช่นกัน
FAM Impact
ดร.สุดาพรระบุว่าภายใต้แผนบริหารงานที่วางไว ต้องการให้ส่งผลกระทบใน 4 ด้านประกอบด้วย
พัฒนาสู่ความเป็นนานาชาติ
แผนงานบริหารจัดการของ ดร.สุดาพร ที่ใช้แนวทาง การตลาดมาปรับใช้กับการบริหารจัดการสถาบันการศึกษา ยังมี ปัจจัยอื่นๆ ที่จะมาช่วยกันเสริมสร้างให้ FAM to FAMOUS โดย ปัจจัยต่อมาคือสถานที่ Place ที่ไม่ได้จำกัดแค่ตัวอาคารแต่ยัง รวมถึงโลกออนไลน์ที่ต้องมีแพลตฟอร์มที่ทันสมัยสามารถนำส่ง ความรู้ให้กับนักศึกษาได้ ขณะเดียวกันก็ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทปรับปรุงอาคาร 5 ชั้น เพื่อจัดทำห้องเรียนที่ ทันสมัย มีพื้นที่ Co Working Space และสิ่งอำนวยความสะดวก ต่างๆ รองรับการเรียนการสอนรูปแบบใหม่
เรื่องต่อมา คือการทำโปรโมชันเพื่อรองรับการแข่งขันใน ระดับโลกของสถาบันการศึกษา ดังนั้นจะเน้นการประชาสัมพันธ์ ในส่วนของนานาชาติเพิ่มขึ้น เพื่อสื่อสารไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งที่อยู่ในและต่างประเทศ ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ การทำ โรดโชว์ จัดทำเว็บไซต์ภาษาอังกฤษที่ทันสมัย รวมถึงการมี ช่องทางในต่างประเทศเพื่อสื่อสารข้อมูลของคณะ
ทางด้านบุคลากร คณาจารย์คือผู้ที่มีความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ให้กับผู้เรียน ดังนั้น FAM จะเน้นการเฟ้นหาอาจารย์ที่มีศักยภาพ มีแนวคิดเข้าใจในเรื่อง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีรูปแบบการสอนที่ทันสมัยเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจะขยาย จำนวนอาจารย์ต่างชาติ เพื่อมาถ่ายทอดให้กับนักศึกษาในหลักสูตรนานาชาติโดย ตั้งเป้าจะให้อาจารย์ต่างชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักสอนในหลักสูตร 90-100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี พ.ศ. 2562 นี้
ในส่วนของบุคลากรที่ให้การสนับสนุนก็มีการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษ โดย จัดหลักสูตรฝึกอบรมให้ทุกสัปดาห์และหากบุคลากรคนใดสามารถสอบผ่าน IELTS หรือ TOEFL ได้ก็จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น เป็นการเตรียมบุคลากรรองรับคณาจารย์และ นักศึกษาจากต่างประเทศที่จะมีจำนวนมากขึ้นตามแผนงานที่วางไว้
และปัจจัยที่สำคัญอีกด้าน คือการสร้างเครือข่าย ทั้งภายในสถาบันที่มีทั้งหมด 16 คณะ ซึ่งจะต้องผสมผสานศาสตร์ด้านต่างๆ ผ่านการทำหลักสูตรร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ต้อง มีความสัมพันธ์กับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและภาคสังคม ตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย โดยจะเชื่อมโยงกับทั้งชุมชน อุตสาหกรรมทุกขนาด ผ่านการบริการทางวิชาการ และ การช่วยเหลือในด้านต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนและอุตสาหกรรม
FAM กับการช่วยเหลือชุมชน
ตัวอย่างหนึ่งของการสร้าง เครือข่ายให้ความช่วยเหลือชุมชน ของ FAM ที่ทำโดย ดร.สุดาพร คือ ชุมชนชาวนาที่ จ.สระบุรี ซึ่งมี ความต้องการจะกลับมาปลูกข้าวพันธุ์ “เจ๊กเชย” ซึ่งเป็นข้าวของ จังหวัดสระบุรีที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือมีไฟเบอร์สูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการบริโภคแป้ง จำนวนมาก
“ก็ไปรณรงค์ให้มีเมล็ดพันธุ์ข้าว พันธุ์เจ๊กเชยเกิดขึ้น แล้วก็ให้ความรู้ ในเรื่องของเมล็ดพันธุ์ข้าว เรื่อง การปลูกข้าว เมื่อได้ผลผลิตออกมา ชาวนาก็บอกว่าจะทำอย่างไรที่จะ แบ่งข้าวไว้ที่บ้านบางส่วนแล้วสีข้าว กินเอง หรือสีขายเชิงพาณิชย์ได้ อาจารย์ช่วยทำเครื่องสีให้หน่อย ได้ไหม ก็จัดงบประมาณโครงการ บริการวิชาการเพื่อสังคมออกมา ส่วนหนึ่งและพัฒนาออกแบบ สรรหาวิศวกรมาประจำโครงการ ทำตามการออกแบบของอาจารย์ และชาวนาที่ต้องการใช้ คือ ต้องการเครื่องสีขนาดเล็ก เคลื่อนที่ที่สามารถทำงานได้คนเดียว เคลื่อนย้ายได้สะดวก เครื่องสีนี้ สามารถแยกได้เป็น 4 ช่อง มีแกลบ ข้าว รำ และมีข้าวท่อน เราพัฒนา จนได้ตามความต้องการของ ชาวนา เป็นต้นแบบและใช้งานได้จริง และเราก็ยื่นขอจดอนุสิทธิบัตรก็เป็น งานวิจัยที่สามารถต่อยอดจด อนุสิทธิบัตรได้ ผลิตขึ้นมาใช้งาน ได้จริงและสามารถต่อยอดขาย เชิงพาณิชย์ได้”
เมื่อได้ผลผลิตออกมา ทางด้านการตลาด เนื่องจากเป็นข้าว ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจึงมีตลาดที่รองรับอย่างเช่นโรงพยาบาล ในจังหวัดสระบุรี และกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานในพื้นที่ที่มาหาซื้อ ข้าวชนิดนี้ไปบริโภค
โครงการนี้เป็นตัวอย่างการจัดการทั้งห่วงโซ่อุปทานที่ FAM เข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนพัฒนาในเรื่องที่ชุมชนสนใจ และสร้าง มูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นทั้งแก่ชุมชนและสถาบันต่อมา
FAM for the next generation to ASEAN and to the world
‘คณะการบริหารและจัดการเพื่อคนรุ่นใหม่ก้าวไกล สู่อาเซียนและโลก’ คือวิสัยทัศน์ของ ดร.สุดาพร โดยมีเป้าหมาย ในการผลิตบัณฑิตผู้มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นคือ การมีมุมมอง ความเข้าใจในเรื่องธุรกิจที่ผสมผสานกับเรื่องวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
เพราะใครก็รู้ว่าพระจอมเกล้าลาดกระบังเป็นผู้นำ ด้านเทคโนโลยี ท่านอธิการก็ให้นำมาผสมผสานกับบริหาร จึงต้องผลักดันให้มีหลักสูตร 4+1 กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ วิศวะต้องมี Mindset เรื่องบริหารธุรกิจเทคโนโลยี
ตัวอย่างที่ ดร.สุดาพร ยกขึ้นมา คือเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ว่าจะมาแย่งงานของมนุษย์ แต่ สำหรับนักศึกษาของ FAM แล้ว “เราสร้างคนให้ประดิษฐ์ AI เราสร้างคนให้ทำงานร่วมกับ AI นี่คืออัตลักษณ์ของ สจล. เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ คือสิ่งที่ สจล. ทำอยู่แล้ว วิธีการประเมินผล และวัดผลในรายวิชาออนไลน์ อาจารย์ก็บอกว่าใช้ระบบ Computer Base AI Base สิ่งเหล่?นี้ก็ต้องคิดมาจากคน คนของเราจะมีความรู้ในการจัดการ AI และยิ่งถ้าเขา จบปริญญาตรีสาขาใดก็ได้มาเรียนต่อยอดบริหารปริญญาโท ปริญญาเอก ก็จะได้อัตลักษณ์นี้ออกไป เพราะรอยวิชาต่างๆ ในหลักสูตรจะสะท้อนให้เราเกิดสติปัญญาที่จะสั่งสม เรื่องเหล่านี้ไปควบคู่กับการบริหาร”
การสร้างคนรุ่นใหม่ให้กับโลกของ FAM จึงต้องเตรียมความ พร้อมในด้านต่างๆ ตามที่คณบดีได้อธิบายมาข้างต้น ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มเติมด้วยการสร้างสมความเป็นนานาชาติให้กับสถาบัน เพิ่มขึ้นด้วยการเตรียมการจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติปี และ 2-3 ครั้ง โดยตั้งใจจะเชิญนักวิชาการจากทั่วโลกมาเพื่อ ยกระดับมาตรฐานความเป็นนานาชาติของคณะ พร้อมกันก็มี แผนจะพัฒนาวารสารวิชาการภาษาอังกฤษขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ
เพื่อยกระดับมาตรฐานงานวิชาการของ คณะ ให้สามารถถูกบรรจุเข้าไปอยู่ใน ฐานข้อมูลทางวิชาการที่ได้รับการยอมรับ ในระดับโลกได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องยืนยัน คุณภาพมาตรฐานของบัณฑิต มหาบัณฑิต และคณาจารย์ของคณะ
แผนงานทั้งหมดจะผลักดันโดย โครงสร้างการบริหารจัดการที่ใช้รูปแบบ เดียวกันกับที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก คือ แบ่งการบริหารจัดการเป็น 2 สาย สายหนึ่งคือ สายวิชาการ และอีกทางคือ สายบริหารจัดการ ที่ดูแลเรื่องแผนงาน อาคารสถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ
“จะต้องเริ่มจากตรงนี้ก่อน แล้ว ข้อมูลก็จะไปในทิศทางเดียวกัน” ดร.สุดาพรกล่าวและอธิบายต่อว่า “เราต้องจัดกองทัพเราให้ดี อาจารย์ก็ จะคุยแค่สองคนให้นโยบายไป ต่างประเทศเขาทำแบบนี้ถึงไม่มีภาพงาน ช้า ไม่มีความขัดแย้ง และข้อมูลอยู่ เป็นกลุ่มเป็นก้อนกระชับ ก่อนจะทำ แบบนี้ได้ ความคิดอาจารย์ต้องเปลี่ยน แต่ก่อนผู้บริหารอยู่ลอยๆ ทำตามที่ คณบดีบอก แต่ตอนนี้ ท่านต้องทำตัว เหมือนเป็นคณบดีอีกคน เหมือนเรามี คณบดี 3 คน อาจารย์ก็ทำงานในเชิง พัฒนาได้มากขึ้น ไม่ต้องมานั่งคิดเรื่อง ยิบย่อยเป็นลักษณะงานที่มหาวิทยาลัย ชั้นนำเขาทำ คนทำงานมากขึ้นและ ทำงานเป็นทีม ทีมเวิร์กสำคัญมาก ทุกคนคือทีม ไม่ได้เก่งคนเดียว” ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อเป้าหมายดังที่ ดร.สุดาพร กล่าวในงานรับรางวัล Thailand Leadership Award 2019 ว่า
We develop people, people develop country
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : ฐิติชญาน์ แปลงกูล
ในแวดวงภาคการศึกษาเรามักจะเห็นสถาบันต่างๆ มีการพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนมาอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น หลายแห่งมีความมุ่งมั่นที่จะเปิดประตูสู่ระดับสากลเพื่อต้องการก้าวขึ้นไปมีบทบาทบนเวทีระดับโลก
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีช่วงปีที่ผ่านมามีความรุนแรงและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมอย่างเป็นวงกว้าง เรากำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้และพัฒนากันทุกวินาที ไม่เว้นแม้แต่ภาคการศึกษาก็ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน ทำให้กระแสการเรียนรู้เปลี่ยนไปจากในอดีต วันนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้ง่ายขึ้น มีแนวคิดและตัวเลือกในการเรียนรู้ที่มากขึ้น
ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เล็งเห็นถึงสถานการณ์ในปีที่ผ่านมาว่าเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยธรรมชาติต่างๆ ที่มีความรุนแรงและเกิดถี่ขึ้นทุกวัน เป็นมุมสะท้อนให้ต้องตระหนักว่าสิ่งแวดล้อมเองก็ยังกำลังบีบคั้นให้มนุษย์ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ รวมถึงกระแสเรื่องออนไลน์ที่เริ่มเข้าถึงทุกคนทุกที่ทุกเวลา เพราะปัจจุบันคนไทยมีเบอร์โทรศัพท์มือถือมากกว่าจำนวนประชากร ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียได้มากขึ้น สิ่งนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและเห็นชัดมากในปีที่ผ่านมา ขณะที่ด้านการศึกษาเริ่มเห็นได้ชัดเจนอีกประเด็นว่าจำนวนเด็กที่สมัครลงทะเบียน TCAS ในปี 2562 มีน้อยกว่า 3 แสนคน เทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีคนสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยผ่านระบบกลางเกือบหนึ่งล้านคน มหาวิทยาลัยมีคนเรียนน้อยลง ต้องเจอความต้องการที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม อธิการบดีของสจล. ยังได้เผยต่อว่า แม้จำนวนผู้เรียนในปัจจุบันจะลดลงอย่างมีนัยก็ตาม แต่ความต้องการในการเรียนรู้กลับไม่ได้ลดตาม เพราะทุกวันนี้เราสามารถหาความรู้ได้ด้วยตัวเองผ่านอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น เว็บไซต์ Master Class ที่มีหลักสูตรซึ่งเอาคนมีชื่อเสียงและมีความสามารถระดับโลกมาสอน คุณจ่ายเงินเพียงครั้งเดียวเรียนได้ทุกคลาส หรือบางคนอาจจะเข้าไปเรียนรู้จากองค์กรบริษัทต่างๆ เพื่อให้ได้ประสบการณ์จากการทำงานโดยตรง ไม่จำเป็นต้องเรียนจนจบปริญญาก็สามารถประกอบอาชีพและประสบความสำเร็จได้ เหมือนคนดังระดับโลกที่มีให้เห็นอยู่มากมายเพราะฉะนั้น คู่แข่งของมหาวิทยาลัยเดี๋ยวนี้เป็นใครก็ได้มหาวิทยาลัยจึงต้องเร่งการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์และเดินตามเกมที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ให้เท่าทัน
ศ.ดร. สุชัชวีร์ ได้แสดงแนวคิดและความเห็นถึงแนวทางการปรับตัวเข้าสู่อนาคตของสถาบันการศึกษาว่า ในปี พ.ศ. 2562 เราควรมีการปฏิรูปการศึกษาทุกระดับในทันที มหาวิทยาลัยต้องยอมรับการปรับเปลี่ยนแบบหักศอกเพื่อก้าวให้ทันโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงแบบปีต่อปี
อันดับแรก เราต้องทลายกำแพงระหว่างคณะ สาขา จากประสบการณ์การเป็นกรรมการรายการธุรกิจเพื่อสังคม Win Win War ช่องอมรินทร์ทีวี ผมเห็นวิศวกรออกมาปลูกผัก ทำโปรแกรมขายผักประสบความสำเร็จ แล้วแบบนี้คนเรียนเกษตรจะทำอย่างไรแสดงว่าวันนี้ไม่ใช่เรียนสาขาเดียวเป็น Background แล้วจะสามารถแข่งขันในโลกยุคนี้ได้ คนสนใจเรียนมากกว่าหนึ่งปริญญา ถ้าคนน้อย เลือกปริญญาเดียว มหาวิทยาลัยก็จะมีที่ว่างเหลือเยอะ ดังนั้น ต้องมีการบูรณาการระหว่างสาขาวิชา จากคนจำนวนแสนกว่าคนสามารถ Multiply เป็นล้านได้ จบเกษตรอย่างเดียวไม่รอดแล้ว ต้องเรียนวิศวกรรมเกษตร วิศวกรรมไอทีการออกแบบผลิตภัณฑ์ควบคู่ด้วย เด็กที่เข้ามหาวิทยาลัยในยุคนี้อาจจะได้มากถึงห้าปริญญาอย่างเด็ก Stamford, MIT และ Harvard มีห้าปริญญาแล้วเด็กไทยเรามีแค่ปริญญาเดียวจะสู้เขาได้อย่างไร
ประการที่สอง บทบาทของมหาวิทยาลัยในยุค disruption ต้องกล้าออกไปสู้กับในระดับโลก วัฒนธรรมที่กลับมาเก่งในบ้านอย่างเดียวไม่รอดแล้ว ยึดคติพจน์ที่ว่า เป้าหมายต้องชัด วิสัยทัศน์ต้องเว่อร์ แต่ถ้ายังไม่กล้าออกไปถึงอเมริกา ไปถึงญี่ปุ่น ก็ไปมาเลเซีย อินโดนีเซียก็ได้ ไม่ต้องนึกถึงเพียง CLMV เราต้องข้ามช็อต ทำให้เขารู้ว่ามหาวิทยาลัยไทยมีหลักสูตรนี้ ยกตัวอย่างเช่น สถาปัตยกรรมไทย สถาปัตยกรรมเขตร้อน ประเทศไทยสู้ได้ หรือแพทย์ทางด้านโรคเวชศาสตร์เขตร้อนก็สามารถไปปักธงได้ทั่วโลก
ประการที่สาม คือ คนที่จบออกไปแล้วสามารถกลับมาเรียนปริญญาตรีแบบปีครึ่งได้ เพื่อเติมทักษะ (Reskill) หรือ เพิ่มทักษะ (Up Skill) มีหลักสูตรปริญญาตรีหรือหลักสูตรที่มีใบรับรองที่ดีๆ
ประการที่สี่ หลักสูตรต้องมีความท้าทาย ปรับเปลี่ยนได้ เน้นผู้เรียนเป็นหลัก มหาวิทยาลัยต้องไปดูว่าตอนนี้สังคมกำลังมีกระแสอะไร อะไรเป็นที่ต้องการ ซึ่งตรงนี้มหาวิทยาลัยยังอ่อนอยู่เพราะคิดว่าที่ทำอยู่นั้นนี้ดีแล้วแต่ไม่รู้ว่าผู้เรียนชอบหรือเปล่า ตรงกับความต้องการหรือไม่
สำหรับประการสุดท้าย หรือข้อที่ห้า ทุกสาขาวิชาไม่ว่าสาขาไหนก็ตามต้องลดวิชาบังคับ เพราะบังคับไปก็ล้าหลัง ไม่มีประโยชน์ถ้าไม่เรียนรู้ต่อเนื่อง คนเรียนจบไปแล้วอาจจะไปทำงานประกอบอาชีพที่ไม่ตรงสาขา วิศวฯไปทำเกษตร สถาปัตย์ฯไปทำร้านกาแฟ เปิดร้านขนม เรียนจบบัญชีไปทำเสื้อผ้าก็ได้ เพราะฉะนั้น ต้องมีวิชาเลือกให้เยอะๆ วิชาบังคับลดลงให้ได้น้อยที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสสำหรับทางเลือกมากขึ้น”
โดยส่วนของ สจล. นั้น ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่าได้มีเริ่มมีการปรับเพิ่มวิชาเลือกใหม่ๆ ที่เข้ามาในหลักสูตร ที่แตกต่างไปจากในอดีต อาทิ วิชาโหราศาสตร์, วิชา AI ในชีวิตประจำวัน หรือศาสตร์การสร้างเสน่ห์ Charming School เป็นต้น แน่นอนว่าวิชาเลือกใหม่เหล่านี้ก่อนจะตกผลึกและเปิดสอน ล้วนมีการสำรวจความสนใจและเป็นที่ต้องการของผู้เรียนมาก่อนหน้า อย่างกรณี ศาสตร์การสร้างเสน่ห์ ที่ได้รับความสนใจจากไม่เพียงนักศึกษาภายในแต่ยังได้รับความสนใจจากบุคคลภายนอก เพราะนอกจากความรู้ที่เรียนทันกันได้ แต่เสน่ห์ต้องมีการฝึกฝนและยังถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผู้นำ เพราะต่อให้ผู้นำเก่งแค่ไหนถ้าขาดเสน่ห์ หรือสื่อสารไม่เป็นทำให้ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ให้คนทั่วไปเข้าถึงและเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของคนได้ ทำให้การสร้างความสำเร็จยากขึ้น
Today Leader to Tomorrow
ต่อมุมมองเรื่อง ‘ผู้นำ’ ซึ่ง ศ.ดร. สุชัชวีร์ จะเน้นความสำคัญของเรื่องมาโดยตลอด ยิ่งในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ต้องตลอดเวลาอย่างในทุกวันนี้ ศ.ดร. สุชัชวีร์ กล่าวถึงคุณสมบัติที่ผู้นำวันนี้พึงต้องมี โดยสิ่งแรกเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากคือ ความรู้อย่างลึกซึ้งในสาขาใดสาขาหนึ่ง บางคนอาจจะมองว่ารู้ลึกเรื่องเดียวแล้วโง่กว้าง แต่จริงๆ คนที่รู้อะไรลึกซึ้งจะมี Format หรือ Logic ในการเรียนรู้ เพราะการที่จะไปถึงแก่นแท้ของสาขานั้นๆ ต้องมีกระบวนการเรียนรู้ ต้องเป็นนักอ่านและรู้จักค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน หากต้องทำความเข้าใจเรื่องใหม่ๆ เขาจะนำเอา Format ในการเรียนรู้แบบนี้ไปใช้ และเมื่อรู้ลึกแล้วก็ต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คิดแบบ System Dynamics ยิ่งในยุค Disruption ถ้าคิดว่าตัวเองถูก ไม่อ่านหนังสือไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็จะนำพาองค์กรไปในทางที่ผิด นอกจากนี้ ผู้นำที่ดีต้องเป็นนักเปลี่ยนแปลงโดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ “ความกล้า” เพราะการอยู่อย่างเดิมนั้นไม่เหนื่อย ทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากเปลี่ยนแปลง ผู้นำจึงต้องกล้าและใช้พลังทางกายมหาศาล ลงพื้นที่จริงสำรวจปัญหาแล้วผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงเรื่องการสื่อสารกับคนในองค์กรก็สำคัญ และท้ายที่สุด คือ ต้องมีความเป็นสากล เพราะเราต้องทำมาหากินค้าขายกับคนอื่น ต้องกล้าออกไปเก่งนอกบ้าน สร้างความศรัทธาให้ต่างประเทศได้ สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของผู้นำยุคใหม่
เพื่อตอบข้อคำถามและความคิดเห็น ศ.ดร.สุชัชวีร์ ได้แสดงทรรศนะต่อมุมมองของการเป็นผู้นำในระดับประเทศว่า “การพัฒนาประเทศจะหวังให้ผู้นำเพียงคนเดียวขับเคลื่อนคนทั้งประเทศไปข้างหน้านั่นเป็นไม่ได้ หากยกตัวอย่างในต่างประเทศ ผู้บริหารประเทศที่ก้าวหน้ามักจะมี Science Advisor ซึ่งเป็น Professor เก่งๆ คอยให้คำแนะนำและบอกทิศทางความต้องการและข้อมูลเพื่อสนับสนุนการทำงานของผู้นำในด้านต่างๆ เป็น Think Tank ของผู้นำให้สามารถพิจารณา และตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีตรรกะและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่พึงจะเป็น หรือตรงใจกับความคาดหวังของสังคม กล่าวอีกนัยคือการบริหารแบบ Bottom Up นั่นเอง”
เมื่อกล่าวถึงบทบาทการเป็น ‘ผู้นำ’ ของสถาบันการศึกษา ซึ่งสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้นั้น ศ.ดร.สุชัชวีร์ ได้เผยว่า “ตั้งเป็นโจทย์และตั้งในใจอย่างมุ่งมั่นเพียงหนึ่งเดียวเลย คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้คนไทยพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืนในทุกรูปแบบ คนไทยมีความสามารถและทักษะไม่แพ้ชาติอื่น แต่สิ่งที่เรายังขาดไปคือ โฟกัสและความมุ่งมั่น”
ต่อพันธะกิจของอธิการบดี ที่ สจล. ศ.ดร. สุชัชวีร์ กล่าวถึงหลักการทำงานตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเป้าหมายในอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นว่า “ตั้งแต่ผมเป็นผู้นำ ผมจะบอกเสมอเลยว่า Do or Die, Now or Never ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนแปลง กำหนดเป้าหมาย เล็งเป้าหมายคู่แข่งขัน ตั้งให้ใหญ่ แล้ววิ่งไปให้ถึง ผมเองก็เริ่มจากจุดเล็กๆ นำพามหาลัยมาจนถึงวินาทีนี้ ผ่านมา 3 ปี เป็นเหมือนหนังคนละม้วน ผลงานล่าสุดวันนี้ เราสามารถนำ Carnegie Mellon University ที่ Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นพาร์ทเนอร์ได้ หรือโดยส่วนตัวเอง ก็เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นประธานสมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษาแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of Southeast Asian Institutions of Higher Learning: ASAIHL) เราต้องเอาชนะใจต่างชาติ เพิ่มคุณค่าในระดับสากล เก่งในระดับโลกทำให้เขาเชื่อมั่น เหล่านี้คือสิ่งที่ผมพยายามพัฒนาให้เกิดขึ้น อาจมีถูกบ้างผิดบ้าง แต่ทุกอย่างคือการเรียนรู้”
สำหรับเป้าหมายในระยะยาวของอธิการบดีท่านนี้คือ การสร้างและเตรียมผู้นำในรุ่นต่อไป เพราะงานบริหารมหาวิทยาลัยในอนาคตไม่ใช่เรื่องง่าย การต้องแบกรับทั้งมหาวิทยาลัยไว้ให้ได้ ผู้ที่จะก้าวขึ้นมาต้องมีความพร้อม ซึ่งต้องมีการเตรียมตัวและเตรียมการ เพราะบทบาทนี้ไม่ใช่เพียงการวิ่งไปข้างหน้าแต่อย่างเดียว บทบาทผู้นำยังต้องมีการ Facilitate, Coaching และ Dialogue เพราะต้องอาศัยพลังของภาคส่วนต่างๆ มารวมกัน ตอนนี้จะเห็นได้ว่าผู้บริหารหลายท่านของ สจล.เริ่มมีความฮึกเหิมและก็เริ่มกระจายพลังและการทำงานลงไปยังภาคส่วนต่างๆ มากขึ้น อาจจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด แต่ค่อยๆ ซึมลงไป ในฐานะผู้นำต้องแข็งแรงและใจสู้ไปตลอด คงเส้นคงวา เพราะเรามีหน้าที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลง สร้างสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น และที่สำคัญเราก็ต้องมีความต่อเนื่อง
เรื่อง : ณัฐพัชธ์ สุมา
ภาพ : ยุทธจักร