ซึ่งคงมีไม่มากนักในเมืองไทย แต่ผมก็เห็นสถาบันการศึกษาและสถาบันการเงินต่างๆ จัดเสวนาเรื่องภาษีมรดกกันทั้งนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีนะครับ เพราะแม้คนกลุ่มนี้จะเป็นคนกลุ่มน้อยแต่ก็มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มนี้มีมากเหลือเกิน ดังนั้นหากการออกกฎหมายที่กระทบคนกลุ่มนี้ไม่ได้คิดอย่างรอบคอบเพียงพอ ผลกระทบแทนที่จะหาภาษีเข้าประเทศได้มากขึ้น กลับต้องสูญเสียเงินลงทุนในประเทศไป ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่พัฒนาอย่างที่ควรเป็น และทำให้เป้าหมายที่จะเก็บภาษีได้มากขึ้น ไม่บรรลุผลอีกด้วย
แต่วันนี้ผมไม่คุยเรื่องภาษีมรดกครับ แต่ที่สนใจกลับเป็นข่าวด้านการเงินอีกข่าว คือ ข่าวคุณสังเวียน รักษาเพ็ชร์ หญิงที่ราดน้ำมันจุดไฟเผาตัวเองที่หน้าทำเนียบฯ เพราะถูกนายทุนกดดันให้ยอมรับสภาพหนี้ 1.5 ล้าน ทั้งที่กู้มาเพียง 4 แสนบาท...
ผมเองเคยได้ร่วมในโครงการ “Happy Money” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งไปให้ความรู้ด้านการจัดการเงินแก่คนระดับรากหญ้าในองค์กรต่างๆ (เสียดายที่โครงการดีๆอย่างนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว) พบเลยครับว่า คนระดับรากหญ้าส่วนใหญ่ที่พบเป็นหนี้เพราะบริหารจัดการเงินของตนเองไม่เป็น อย่างเช่น ยอมเป็นหนี้บัตรเครดิต แต่ไม่ยอมถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์มาชำระหนี้ทั้งที่ดอกเบี้ยบัตรเครดิตสูงกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์มากๆ หรือ บางคนยอมกู้หนี้นอกระบบมาผ่อนบ้านที่ตนเองก็ไม่ได้อยู่ หรืออย่าง รปภ. ในหมู่บ้านที่ผมอยู่ก็ยอมเป็นหนี้เพราะอยากได้รถในโครงการรถคันแรกทั้งที่ไม่จำเป็นต้องใช้รถเลย ฯลฯ ผมจึงไม่แปลกใจที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยสูงกว่า 80% แล้วหนี้ครัวเรือนต่อ GDP มันคืออะไรกันแน่
หนี้ครัวเรือนในความหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย หมายถึงหนี้ของบุคคลที่ได้จากการกู้ยืมเงินจากการซื้อบ้าน รถยนต์ การใช้จ่ายอุปโภคบริโภค ฯลฯ จากธนาคารพาณิชย์ จากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ จากองค์กรธุรกิจสินเชื่อสินเชื่อบุคคลที่ไม่ใช่ธนาคาร จากสหกรณ์ออมทรัพย์ จากอื่นๆ ทั้งนี้ไม่รวมหนี้นอกระบบที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้) เมื่อนำมารวมเป็นภาพรวมก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามีผลอย่างไร จำเป็นต้องนำไปเปรียบเทียบกับแหล่งรายได้ของประชาชาติซึ่งคือรายได้มวลรวมของประเทศ (GDP) โดยเปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดเทียบกับ GDP ว่าเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ ถ้าออกมาต่ำกว่า 50% ก็ถือว่าต่ำ แต่ถ้าสูงกว่าโดยเฉพาะที่สูงกว่า 80% ก็จะนับว่าสูงที่เป็นสัญญาณอันตราย ทำให้พวกธนาคาร สถาบันการกู้ยืมจำเป็นต้องระมัดระวังการให้สินเชื่อต่อประชาชน
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยล่าสุด ขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 83% หากเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2555 อยู่ที่ระดับเพียง 75% แต่ถ้าเทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สิ้นปี 2551 อยู่ที่ สัดส่วนเพียง 55.1% เท่านั้น โดยจะเห็นว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่า ณ สิ้นปี 2557 จะอยู่ที่สัดส่วน 84% สาเหตุที่จะแตะที่ระดับนี้เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอ แต่สินเชื่อครัวเรือนหรือสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ยังไงคนก็ยังต้องใช้ ซึ่งแตกต่างจากสินเชื่อธุรกิจที่เวลาเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อภาคธุรกิจมักจะติดลบ แต่สำหรับสินเชื่อครัวเรือนแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น จึงทำให้โอกาสที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นยังเป็นไปได้สูง แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น ก็คือหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพูดไม่รวมหนี้นอกระบบ แล้วอย่างนี้ถ้านับรวมหนี้นอกระบบด้วยจะเป็นเท่าไหร่นะ ผมขออนุญาตนำข้อมูลของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทยที่สำรวจหนี้ครัวเรือนในปี 2557 พบว่า เพิ่มขึ้นถึง 16.1% สูงสุดในรอบ 9 ปี โดยมีจำนวนหนี้สินเฉลี่ย 2.19 แสนบาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่มีหนี้สินเฉลี่ย 1.88 แสนบาทต่อครัวเรือน ที่สำคัญพบว่าเป็นหนี้นอกระบบถึง 49% และหนี้ในระบบ 51% ซึ่งหนี้นอกระบบมักจะเกิดในช่วงสินค้าเกษตรมีราคาตกต่ำ โดยกลุ่มที่ค่อนข้างเสี่ยงในการก่อหนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันจึงไม่สามารถเข้าถึงสถาบันการเงินในระบบได้ สาเหตุที่เป็นหนี้มาจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกินตัว ประกอบกับรายได้ที่ได้น้อยลงจากการประกอบอาชีพ ดังนั้น ผลกระทบที่เกิดก็คือ คนที่มีปัญหาเรื่องหนี้มากที่สุดจะเป็นคนที่มีรายได้ต่ำ (น้อยกว่า 10,000 บาท/เดือน) เพราะมีภาระชำระหนี้สูงถึง 61% ของรายได้ในปี 2556 ดังตาราง
ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่สำรวจสภาพหนี้ครัวเรือนจำนวน 1,200 ตัวอย่าง พบว่าครัวเรือนถึงร้อยละ 64 มีหนี้สิน โดยจำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนรวมทั้งสิ้น 188,774.54 บาท ขยายตัวร้อยละ 12 จากปี 2555 โดยมีอัตราการผ่อนชำระต่อเดือน 11,671.93 บาท แบ่งเป็นหนี้นอกระบบร้อยละ 49.6 หรือผ่อนชำระ 6,377.70 บาทต่อเดือน โดยอัตราการขยายตัวของหนี้นอกระบบสูงขึ้นถึงร้อยละ 13.6 เป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2552 ส่วนการกู้ในระบบร้อยละ 50.4 หรือผ่อนชำระ 10,990.28 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้มีรายได้น้อยและผู้ใช้แรงงานที่กู้เงินต่ำกว่า 5,000 บาท เพราะมีการกู้เงินนอกระบบสูงที่สุด และมีปัญหาในการผ่อนชำระ ทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยน้อยลงไปด้วย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นมาจากค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 23.3 ค่าเรียนบุตรหลานร้อยละ 22 และการซื้อสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น เช่น บ้าน และรถ ร้อยละ 13.5 และมีการก่อหนี้ใหม่ในปีนี้ถึงร้อยละ 10.3
ส่วนกลุ่มที่มีรายได้ 15,000 บาทขึ้นไปพบว่าเป็นหนี้จากการกู้เงินจากบัตรเครดิตซึ่งยังมีความสามารถในการชำระหนี้ตามกำหนดเวลา ทั้งนี้ ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิต พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 80 มีบัตรเครดิต 1-2 ใบ และส่วนใหญ่จะเป็นหนี้บัตรเครดิต 2-4 เท่าของเงินเดือน รองลงมาเป็นหนี้ 5-7 เท่า ทำให้มีปัญหาการชำระหนี้มากขึ้น และทำให้ขาดวินัยในการใช้เงิน
สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้นั้น หากเพื่อนเราหรือคนที่เรารู้จักมีปัญหาหนี้ จากประสบการณ์เลยนะครับ “อย่าให้เงินเขาไปใช้หนี้” เพราะที่ผ่านมา ไม่มีกรณีไหนเลยที่ได้ผล มีแต่ทำให้เป็นหนี้เพิ่มขึ้น เพราะการให้เงินไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ แล้วต้นเหตุของการเป็นหนี้คืออะไร
ต้นเหตุและแนวทางแก้ไขการเป็นหนี้ พอจะสรุปได้คร่าวๆ ดังนี้ครับ
- เป็นหนี้เพราะอยากมีอยากได้จนใช้เงินเกินตัว ยิ่งพวกโปรโมชั่นผ่อน 0% ยิ่งทำให้ขาดความยั้งคิดในการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น กรณีนี้ทางแก้ที่ผมขอแนะนำ คือ การให้ความรู้เรื่องการจัดการการเงิน ให้ทำบัญชีรายรับรายจ่าย ซึ่งที่ผ่านมา มีหลายคนที่เข้าโครงการ Happy Money ของตลาดหลักทรัพย์ฯประสบความสำเร็จสามารถปลดหนี้ได้ แถมยังมีเงินออมเหลือเอาไปต่อยอดสร้างรายได้เพิ่มได้อีก
- เป็นหนี้เพราะมีความฝัน เช่น อยากมีบ้าน อยากมีรถ ฯลฯ ก็ยอมเป็นหนี้ เพื่อให้ฝันเป็นจริง คนกลุ่มนี้เป็นหนี้ เพราะประเมินความเสี่ยงของการเป็นหนี้ต่ำไป และประเมินกำลังของรายได้สูงเกินไป ที่ผมพบก็คือ คนกลุ่มนี้ สมมติมีเงินเดือน 12000 บาท ผ่อนรถเดือนละ 7000 บาท ก็จะคิดว่ามีเงินเหลือ 5000 บาทเพียงพอ แต่กลับลืมคิดไปว่า เมื่อมีรถ ก็จะมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตามมาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา ค่าประกัน ค่าจอดรถ ค่าภาษี ฯลฯ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้แหละที่ทำให้ต้องเป็นหนี้ เพราะตอนนี้ไม่ใช่ดูแลแค่ตนเอง แต่ต้องดูแลรถเพิ่มอีก 1คัน กรณีนี้หลายรายเลยครับที่ผมแนะนำให้ขายรถ หรือ ขายบ้านที่ไม่จำเป็น เอาเงินมาเคลียร์หนี้ดีกว่า เพราะดูจากรายได้ รายจ่าย และภาระหนี้แล้ว ยังไงก็เก็บรถ เก็บบ้านไม่อยู่ สู้ขายบ้าน ขายรถ ตอนที่ภาระหนี้ยังไม่มาก คืนหนี้หมดยังมีเงินเหลือ ดีกว่าปล่อยให้ปัญหาหนี้รุนแรงจนสุดท้ายไม่เหลือทั้งเงิน ทั้งบ้าน ทั้งรถ
- เป็นหนี้เพราะความจำเป็น กรณีนี้น่าสงสารมากที่สุด ถ้าหากจะให้เงินช่วย กรณีนี้เป็นกรณีเดียวที่จะผมเห็นด้วยที่จะให้เงินช่วย
- เป็นหนี้เพราะความไม่รู้ อย่างตัวอย่างกรณีที่ยอมเป็นหนี้บัตรเครดิตแต่ไม่ยอมถอนเงินฝากออมทรัพย์มาชำระหนี้ที่ผมได้กล่าวไปแล้ว กรณีนี้ทางแก้ที่ผมขอแนะนำ คือ การให้ความรู้เรื่องการจัดการการเงิน ให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายเช่นเดียวกับ กรณีที่ 1
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีการต่างๆที่ผมกล่าวมาเป็นเพียงวิธีการขั้นต้นที่ปัญหาหนี้ยังไม่รุนแรง แต่ถ้าปัญหาหนี้เริ่มมีสัญญาณที่รุนแรง ยาที่ใช้ในการรักษาก็ต้องใช้ยาที่แรงขึ้นตามสภาพของหนี้ ส่วนจะใช้ยาอะไร อย่างไร ขอยกยอดไปคุยในครั้งหน้าครับ
เรื่อง : สาธิต บวรสันติสุทธิ์
-----------------------
นิตยสารMBA ฉบับที่ 181 October - November 2014