Jobsdb by SEEK หนึ่งในบริษัทภายใต้ SEEK แพลตฟอร์มหางานระดับสากลจากประเทศออสเตรเลีย เปิดกลยุทธ์แตกต่างแต่เข้าถึงให้กับผู้ประกอบการและผู้หางาน ผ่าน 3 กลยุทธ์ Better Matches - Better Experience - Better Advice พร้อมปลดล็อกประสบการณ์การสรรหาบุคลากรที่ดีกว่าเคยผ่าน AI ด้วย Unified แพลตฟอร์ม ของ SEEK ที่เชื่อมต่อกับผู้สมัครและผู้ประกอบการหลายล้านทั่วเอเชีย ณ “The Empire Residence” ชั้น 53 ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์

หลังจากที่ Jobsdb by SEEK ได้เข้าร่วมกับ SEEK แพลตฟอร์มหางาน Tech Company ระดับโลกที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2011 และครอบคลุมกว่า 8 ประเทศ ทั่วเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซียและสิงคโปร์ รวมถึงขยายกิจการไปยังแถบลาติน-อเมริกา ได้แก่ บราซิลและเม็กซิโก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับผู้สมัครกว่า 40 ล้านคน และผู้ประกอบการกว่า 2.5 ล้านราย ในเอเชียแปซิฟิก รวมถึงเทคโนโลยีและมาตรฐานการทำงานที่เป็นสากล และเพื่อให้ทันยุคเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน SEEK ได้นำเอา Technology AI เข้ามาช่วยในการจับคู่งานและผู้หางานให้ลงตัวยิ่งขึ้น ภายใต้คำว่า “Better Matches”

ทำให้คนที่หางานได้พบงานที่ใช่ เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการ ส่วนผู้ประกอบการสามารถหาผู้สมัครที่ตรงใจได้เร็วขึ้น

ซึ่งผ่านมากว่า 10 ปี กว่าจะเกิด Unification Program ของ SEEK ทั้งหมดเข้าด้วยกันนี้ นับจากที่ได้รวมเอา Jobsdb และ Jobstreet มาอยู่ภายใต้ SEEK และใช้เวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ กว่า 3 ปี เงินลงทุนกว่า 4,220 ล้านบาท (หรือ 180 ล้าน ดอลล่าร์ออสเตรเลีย)

 

Mr. Lewis NG Chief Operating Officer, SEEK Asia (มร. ลูอิส เอิง กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ซีค เอเชีย) เปิดเผยถึง การรวมแพลตฟอร์มนี้ว่า “สำหรับ SEEK ทุกสิ่งที่เราทำล้วนแล้วแต่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกแง่มุม การรวมเป็นแพลตฟอร์มเดียวกันได้ นั่นหมายถึงเราสามารถที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าของเราไปสู่ประชาชนทั่วเอเชียหลายล้านคน ในรูปแบบใหม่ และนั่นจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหางานและบุคลากรที่ตรงใจได้ง่าย สะดวกมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ทำให้ SEEK มีจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมและเรายังได้บรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้คนกว่า 500 ล้านคน ได้พัฒนาเส้นทางอาชีพของตนภายใต้องค์กรกว่า 5 ล้านแห่งในภูมิภาคนี้

 

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK เผยว่า อัตราการจ้างงานในครึ่งแรกของปี 2024 มีโอกาสเติบโตมากขึ้นถึงร้อยละ 54 คาดการณ์จากค่าเฉลี่ยจำนวนของประกาศงานบนเว็บไซต์ Jobsdb ต่อเดือนที่สูงขึ้นร้อยละ 59 และผู้ประกอบการที่มีความต้องการที่จะจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่าอัตราผู้ว่างงานในประเทศไทยต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่ออัตราการซื้อพื้นที่เพื่อลงประกาศงานในแพลตฟอร์มจัดหางานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 โดยผู้ประกอบการต่างมองหาวิธีจ้างงานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ด้านผู้สมัครงานก็มองหาวิธีที่ทำให้ตนเองโดดเด่นขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดแรงงานที่ดุเดือด

Jobsdb by SEEK เล็งเห็นความสำคัญในประเด็นนี้ จึงได้เปิดกลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างแต่เข้าถึงให้กับผู้ประกอบการและผู้หางาน ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.Better Matches ช่วยจับคู่การจ้างงานให้ได้คนที่เหมาะสมอย่างง่ายและรวดเร็วด้วยความฉลาดของ AI ในการค้นหา แนะนำและช่วยการคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสม 2.Better Experience การจ้างงานไร้รอยต่อทั่วเอเชียแปซิฟิก พร้อมเข้าถึงกว่า 40 ล้านคนที่

เป็นบุคลากรระดับเวิร์ลคลาส โดยผู้ประกอบการสามารถเพิ่มโอกาสในการค้นหาผู้หางานได้ทุกประเทศในเครือ SEEK 3.Better Advice กลยุทธ์เชิงรุกที่เพิ่มประสิทธิภาพในการสรรหาบุคลากรด้วยข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ของ SEEK ที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับประกาศงานและค่าใช้จ่าย เข้าใจ Demand และ Supply ของตำแหน่งงาน รวมถึงรายงานจากแบบสำรวจและคำแนะนำในการจ้างงานที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้การสรรหาเป็นเรื่องง่ายและสามารถนำไปปรับให้เข้ากับกลยุทธ์การจ้างงาน

 

Mr. Neeraj Goswami Head of Product, SEEK (มร.นีราช กอสวามี ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ระดับภูมิภาค) ซีค เผยว่า SEEK มี เป้าหมายที่จะยกระดับประสบการณ์การสรรหาและจ้างงานบุคลากรที่ต้องการให้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น บนการรวมแพลตฟอร์มในครั้งนี้ด้วยเทคโนโลยี AI จาก SEEK ที่มีฐานข้อมูลครอบคลุมทั้งเอเชียแปซิฟิกตลอดระยะเวลากว่า 25 ปี พร้อมด้วยทีมงานมากกว่า 200 คน ที่ดูแลภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกนี้ จึงนับเป็นประโยชน์ต่อ Jobsdb by SEEK อย่างมากโดยข้อมูลที่นำมาใช้งานยังได้มีการปรับปรุงให้เหมาะกับอินไซด์ของประเทศไทยด้วยเช่นกัน สำหรับ Unification Program ของ SEEK พร้อมแล้วที่จะให้คำแนะนำที่ล้ำกว่าเดิมสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มคุณภาพในการสรรหาบุคลากรและเป็นต่อเหนือคู่แข่ง อาทิ การวิเคราะห์ข้อมูลที่อัปเดตผ่านแดชบอร์ด การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของประกาศงานกับคู่แข่งและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้สมัคร การให้คำแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพของประกาศงาน นอกจากนี้ระบบ Unification ยังได้เปิดให้บริการอีก 3 ส่วน ได้แก่ 1. AI Smarter Search ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมการค้นหาของผู้สมัครในอดีตเพื่อแสดงตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้นให้กับผู้สมัคร ซึ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 โดยการใช้ AI ร่วมกับข้อมูลเชิงลึกของตลาดและข้อมูลของ SEEK 2. ปรับปรุงโปรไฟล์ของผู้สมัครและเสริมเครื่องมือในการแนะนำเพื่อส่งผลลัพธ์ในการจับคู่ผู้สมัครกับงานที่ดีกว่าเดิม และ 3.คำถามสำหรับผู้สมัครงาน แนะนำโดย AI เพื่อคัดกรองผู้สมัครที่ใช่ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

การรวมกันของแพลตฟอร์มจาก SEEK ในครั้งนี้เป็นการช่วยแนะนำผู้สมัครที่ตรงความต้องการของผู้ประกอบการ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยี AI นี้ ยังช่วยให้ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงตามเนื้องานที่มีการเปิดรับอยู่สามารถมองเห็นโอกาสได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการค้นหาโดยใช้ภาษาสนทนาที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ได้อีกด้วย

 

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียล AI แล็ปท็อป และโมบาย เวิร์กสเตชัน เพื่อการใช้งานในองค์กรธุรกิจ ได้รับการออกแบบมาเพื่อนำพาทั้งองค์กรและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานก้าวเข้าสู่ยุค AI

"เน็กซ์เจนพีซีเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ ด้วยการปรับปรุงครั้งใหม่และความสามารถใหม่ของพีซีที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่กำลังจะมาถึง" แพทริค มัวร์เฮด ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Moor Insights & Strategy กล่าว "คอมเมอร์เชียล AI พีซีและเวิร์กสเตชันของเดลล์ มาพร้อมกับระบบนิเวศของทั้งอุปกรณ์เสริม ซอฟต์แวร์ และบริการของตัวเอง เพื่อให้การใช้งาน AI ที่ต่อเนื่องที่ได้รับออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพสูงสุดให้กับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และสร้างรากฐานการนำองค์กรธุรกิจไปสู่ความสําเร็จในอนาคต"

“ทุกบริษัทที่ต้องการคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขัน ต่างพิจารณาที่จะนำ AI มาใช้งาน และ AI พีซี จะกลายเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวนี้” แซม เบิร์ด ประธานกลุ่ม Client Solutions Group เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว "เริ่มตั้งแต่เวิร์กโหลด AI ที่ซับซ้อนบนเวิร์กสเตชัน ไปจนถึงการใช้แอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ที่ใช้เป็นประจำบนแล็ปท็อป AI PC จึงถือเป็นการลงทุนที่สําคัญที่ให้ผลตอบแทนทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงาน และการปูทางไปสู่อนาคตที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ข้อได้เปรียบของเดลล์เริ่มต้นด้วยการนำเสนอ AI PC ที่ครบถ้วนทั่วทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียลตั้งแต่วันแรก ช่วยให้ลูกค้ามีความสามารถในการเตรียมความพร้อมสําหรับ AI สำหรับอนาคตได้ในทันที"

 AI PCs เพื่อการทำงานแบบไฮบริด

หน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU) ที่ติดตั้งอยู่ใน AI PC จะมีการเติบโตจากจำนวนประมาณ 50 ล้านยูนิตในปี 2024 เป็นจำนวนที่มากกว่า 167 ล้านยูนิตในปี 2027 คิดเป็น 60% ของปริมาณการจัดส่ง (Shipments) พีซีทั่วโลก ทั้งนี้ NPU เสริม AI acceleration engine เพื่อตอบโจทย์การทำงานของ AI ที่มีความจำเพาะมากขึ้นได้ ช่วยลดปริมาณงานให้ CPU

และ GPU สามารถทำงานในส่วนอื่นได้ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย อายุการใช้งานแบตเตอรี่ และผลิตภาพเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ สายผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Latitude และ Precision โมบาย เวิร์กสเตชันของเดลล์ นำเสนอตัวเลือกคอมเมอร์เชียล AI PC ที่กว้างขวาง เพื่อการใช้งานเชิงธุรกิจให้กับลูกค้า โดยเริ่มตั้งแต่แล็ปท็อปและเวิร์กสเตชันในระดับเอนทรี ไปจนถึงระดับอัลตร้า-พรีเมียม ด้วยสายผลิตภัณฑ์ Latitude แล็ปท็อป และ Precision โมบาย เวิร์กสเตชันใหม่ ด้วยพลังของ Intel Core Ultra processors with Intel vPro® เดลล์คอมเมอร์เชียลพีซีเหมาะสมสำหรับการขับเคลื่อน AI เวิร์กโหลด และปลดล็อกการสร้างผลิตภาพและประสิทธิภาพในระดับใหม่ ยกตัวอย่าง คนทำงานสามารถที่จะ

· ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการผสานประโยชน์ของ NPU เพื่อปลดปล่อยขีดความสามารถในการ การกำหนดกรอบอัตโนมัติ (Auto-framing) การทำให้พื้นหลังเบลอ ตลอดจนการติดตามสายตา (Eye-tracking) พร้อมพลังการทำงานอันเปี่ยมประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra ที่มอบพลังงานแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 38% ให้กับพนักงาน รวมถึงเวลาทำงานที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยการประชุมผ่าน Zoom

· สร้างสรรค์คอนเทนต์ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยการแจกจ่ายการประมวลผล AI ไปยัง CPU GPU และทั้ง NPU โดยถ้วนทั่ว ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ภาพ AI ได้เร็วขึ้นถึง 5 เท่าด้วย Stable Diffusion โมเดลแปลงข้อความเป็นภาพ (Text-to-Image)

· ทำงานด้วยความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด ผู้จําหน่ายซอฟต์แวร์อิสระจำนวนมากขึ้นจะหันมาสร้างแอปพลิเคชันสำหรับ AI PC ยกตัวอย่าง เดลล์กำลังทำงานร่วมกับ CrowdStrike และ Intel เพื่อโอนย้ายฟังก์ชันด้านความปลอดภัยไปประมวลผลบนอุปกรณ์ผ่าน NPU ซึ่งให้การตรวจจับภัยคุกคามที่ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยให้ลูกค้าตรวจพบเว็บไซต์และช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่มีความร้ายแรงได้อย่างรวดเร็ว ให้ความล่าช้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับโซลูชันบนคลาวด์

· รักษาการทำงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้มาพร้อมฟีเจอร์ Windows 11 และปุ่ม Copilot เพื่อทําให้การทำงานเป็นไปง่ายขึ้นและจดจ่ออยู่กับงานได้ ด้วยการกดปุ่ม ผู้ใช้สามารถเข้าถึง AI เป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวันได้เร็วยิ่งขึ้น

บริการอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ต่อยอดบนความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอันยาวนานด้านการทำงานเชิงรุกและคาดการณ์ล่วงหน้าโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งคำชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญ ความสามารถใหม่ของบริการ Dell Services ช่วยให้ลูกค้า

· เพิ่ม PC Uptime สูงสุด พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยความสามารถใหม่ในการซ่อมแซมตัวเอง (Self-healing) ผ่าน ProSupport Suite for PC โดยลูกค้าที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี SupportAssist ของเดลล์สามารถยกระดับการรวบรวมข้อมูลและ AI เพื่อแก้ไขปัญหาพีซีได้ไม่ต้องใช้การสนับสนุนจากมนุษย์ ซึ่งทำให้ IT สามารถเปิดใช้สคริปต์ที่เดลล์สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดจอฟ้า (Blue Screen Errors) โดยอัตโนมัติ รวมไปถึงปัญหาระบบความร้อน และอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของพีซี

· ใช้งาน และเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับการลงทุน GenAI ด้วย Digital Employee Experience Services for Gen AI โดยบริการเหล่านี้ให้ทั้งเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ปรับแต่งอย่างเหมาะสมกับหลากรูปแบบการทำงานของพนักงาน

 

ไฮไลต์ผลิตภัณฑ์

· กลุ่มผลิตภัณฑ์ Latitude ใหม่ของ Dell รวมถึง Latitude 7350 Detachable มอบอิสระให้กับมืออาชีพเพื่อการทำงานด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมใช้งานที่โต๊ะทำงานอย่างเต็มรูปแบบ หรือการใช้งานขณะเดินทางด้วยแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป มาพร้อมกล้อง 8MP HDR เพื่อภาพถ่ายคุณภาพสูงในสภาพแสงที่ท้าทาย กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมดนี้มาพร้อมการอัพเดทในรุ่น 5000 ซีรีส์ 7000 ซีรีส์ และ 9000 ซีรีส์ รวมถึง Latitude 7350/7450 Ultralights

· Precision เวิร์กสเตชันทั้งแบบโมบายและตั้งโต๊ะใหม่ของเดลล์ ตอบโจทย์ความต้องการด้านประสิทธิภาพของผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ นักพัฒนา และอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ด้วยฐานะของความเป็นผู้นำเวิร์กสเตชันระดับโลก Precision มอบพลังการประมวลผลสำหรับ AI เวิร์กโหลดที่ซับซ้อนที่ให้ทั้งความปลอดภัยและความประหยัดบนพีซี นอกจากนี้ การบูรณาการ NVIDIA RTX™ 500 และ 1000 Ada Generation Laptop GPUs เข้ากับ Precision mobile workstations ช่วยส่งมอบความสามารถ AI และความน่าเชื่อถือในระดับองค์กรเพื่อการทำงานได้ในจากทุกที่ ในขณะที่ Precision 3280 Compact Form Factor (CFF) คือฟอร์มแฟคเตอร์เพื่อการประหยัดพื้นที่ใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อสำหรับการพัฒนา AI และแอปพลิเคชันสร้างสรรค์แบบเบาๆ

· ชุดหูฟัง 5 รุ่นใหม่จากเดลล์ โดย Dell Premier Wireless ANC Headset (WL7024) มาพร้อมไมโครโฟนปิดเสียงรบกวนอัตโนมัติด้วย AI ซึ่งจำแนกสัญญาณเสียงพูดของมนุษย์ออกจากเสียงรบกวนพื้นหลังทั้งของผู้ใช้และผู้ฟัง และปรับระดับการปิดเสียงรบกวนตามสภาพแวดล้อม ระบบแอดวานซ์เซ็นเซอร์ทำงานในแบบอัจฉริยะ เช่น ปิด/เปิดไมค์ ทำงาน/หยุดทำงาน ตราบเท่าที่หูฟังข้างหนึ่งถูกยกขึ้น พร้อมทั้งการควบคุมด้วยการสัมผัสที่สามารถปรับปรุงประสบการณ์เสียงที่เหมาะกับผู้ใช้ได้

การเร่งเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้เร็วขึ้น

ในฐานะผู้นำด้านการออกแบบแบบหมุนเวียน (Circular Design) เดลล์จัดการแบบครบวงจร ตั้งแต่เพิ่มการใช้วัสดุและแร่ธาตุที่รีไซเคิลในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อทำให้อุปกรณ์ง่ายต่อการซ่อมบำรุง และนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

· อุปกรณ์ Latitude ใหม่ นำเอาโคบอลที่มีการรีไซเคิลมาใช้ในแบตเตอรี่ · ด้วยแรงบันดาลใจจาก Concept Luna เครื่อง Latitude 7350 Detachable มาพร้อมหน้าจอที่สามารถซ่อมบำรุงได้ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการซ่อมและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้นานขึ้น · ในขณะที่องค์กรอัพเกรดอุปกรณ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริการกู้คืนและรีไซเคิลของ เดลล์ช่วยให้ลูกค้าเกษียณอุปกรณ์ไอทีได้อย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบ่อขยะ ด้วยการทำให้ผลิตภัณฑ์และวัสดุอยู่ในการหมุนเวียนนานขึ้น

 

ความพร้อมในการวางตลาด

· Latitude 7350 Detachable พร้อมวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 2

· Precision 3280 CFF (Compact Form Factor) จะวางจำหน่ายช่วงปลายเดือนมีนาคม

· Precision โมบาย เวิร์กสเตชัน พร้อมวางจำหน่ายช่วงเดือนมีนาคม

· Dell Premier Wireless ANC Headset (WL7024) จะวางจำหน่ายในเดือนเมษายน

· ProSupport Suite สําหรับ PC ที่มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง จะวางจำหน่ายทั่วโลกภายในสิ้นเดือนเมษายน

· Digital Employee Experience Services สําหรับ GenAI มีให้บริการแล้วทั่วโลก

Spacely AI สตาร์ทอัพแพลตฟอร์มที่นำ Generative AI มาช่วยในการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในที่ได้รับการลงทุนระดับ Pre-Seed จาก SCB 10X บริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ซึ่งเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของ Spacely AI ที่ต้องการสร้างโอกาสในการออกแบบให้กับทุกคน และมุ่งหวังเป็นแพลตฟอร์มหลักในอุตสาหกรรมการออกแบบเชิงพื้นที่ สอดรับกับยุทธศาสตร์ของกลุ่ม SCBX ในการมุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

 นางมุขยา (ใต้) พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และ Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า "SCB 10X มีความภูมิใจที่ได้สนับสนุน Spacely AI เพื่อปลดล็อกความสามารถในการออกแบบด้วยความก้าวหน้าของ visual-based generative AI และเพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์แก่นักออกแบบให้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาของเทคโนโลยีนี้ โดย SCB 10X ร่วมสนับสนุน Spacely AI ทั้งด้านกลยุทธ์และการพัฒนาให้แก่แพลตฟอร์ม รวมถึงความพยายามในการผลักดัน Spacely AI ไปสู่วงการการออกแบบทั่วโลก"

 นายพารวย อันอดิเรกกุล Chief Executive Officer Spacely AI กล่าวว่า "การสนับสนุนจาก SCB 10X ไม่ได้เป็นเพียงแค่การลงทุนทางธุรกิจ แต่เป็นความร่วมมือที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในการพัฒนาวงการการออกแบบเชิงพื้นที่ และยังเน้นย้ำถึงความเชื่อร่วมกันในศักยภาพของ Generative AI ในการเปลี่ยนแแปลงมาตรฐานของการออกแบบระดับโลก"

Spacely AI กำลังขยายฐานผู้ใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 170 ประเทศทั่วโลก และยังได้รับการยอมรับจากสตาร์ทอัพคอมมูนิตี้ระดับสากล จากการชนะรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากรายการ “LabLab Stable Diffusion Hackathon 2023” ซึ่งมีผู้เข้าแข่งขันกว่า 2,600+ ทีมทั่วโลก และได้รางวัลรองอันดับ 2 จากรายการ “Tech in Asia 2023 Regional Startup Competition” ซึ่งมีผู้เข้าแข่งขันกว่า 200 ทีม

Spacely AI ได้สร้างผลงานด้วยระบบ AI ไปแล้วมากกว่า 1,000,000 รูป มีผู้ใช้กว่า 120,000 คนทั่วโลก และยังมีการพัฒนาฟีเจอร์การใช้งานอย่างต่อเนื่องกว่า 12 รายการ มีธีมห้องให้ผู้ใช้เลือกใช้กว่า 100 สไตล์ พร้อมรูปแบบห้องและพื้นที่มากกว่า 100 ประเภท ตั้งแต่ภายในไปจนถึงภายนอกอาคาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการออกแบบเชิงพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน Spacely AI มีการร่วมมือกับบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงด้านการตกแต่งบ้านและอสังหาริมทรัพย์อย่าง Index Living Mall และ Proud Real Estate ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ Spacely AI

 

ด้าน นายเอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ Senior Vice President Business Development YOUNIQUE & The Walk Line ผู้ค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยว่า "ในการเลือกใช้เทคโนโลยีของ Spacely AI ทาง Index Living Mall มุ่งหวังที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ เพิ่มความสามารถในการทำงานให้แก่นักออกแบบ และยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Spacely AI สามารถลดเวลาในกระบวนการออกแบบและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของดีไซน์เนอร์ นี่จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในความมุ่งมั่นของเราที่จะเป็นเลิศในด้านการบริการและการเติบโตทางธุรกิจ"

ความร่วมมือระหว่าง Spacely AI ถือเป็นส่วนช่วยในการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ พร้อมสะท้อนความพิเศษที่มากกว่าของแบรนด์และโครงการของพราวได้เป็นอย่างดี โดยตลอด Customer Journey ลูกค้าจะสามารถต่อยอดไอเดียการออกแบบบนพื้นที่ภายในโครงการให้เป็นพื้นที่เสมือนจริงของตัวเองได้ด้วย AI” กล่าวโดย นายพสุ ลิปตพัลลภ Director Proud Real Estate ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย

Spacely AI เปิดตัว Enterprise API ตัวใหม่สำหรับองค์กรและ SME ในอุตสาหกรรมการออกแบบ และที่อยู่อาศัย:

  • Instant Rendering API: ช่วยออกแบบห้องตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
  • Product Visualization API: ช่วยสร้างภาพจำลองสินค้า ภายในห้องของลูกค้าได้อย่างสมจริง
  • Precision Space Planning API: ช่วยวิเคราะห์ขนาดพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
  • Smart Recommendation API: ช่วยจับคู่สินค้าให้ตรงกับความต้องการและงบประมาณของลูกค้า

Enterprise API ช่วยส่งเสริมประสบการณ์การขาย และสร้างผลตอบรับให้กับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพใน 4 ด้าน:

  1. Hyper-Personalized Shopping Experiences: สร้างประสบการณ์ระดับเฉพาะบุคคล ซึ่งถูกออกแบบมาให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด
  2. Accelerated Revenue Growth: เร่งการเติบโตของรายได้ ผ่านการจำลองภาพสินค้าในพื้นที่จริง และปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว
  3. Increased Average Basket Size: แสดงสินค้าจากแคตตาล็อกของผู้ให้บริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย
  4. Amplified Online Conversion Rates: ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพ และปรับแต่งพื้นที่ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เพื่อเพิ่มความต้องการและความเหมาะสมการในเลือกซื้อ

 นายพารวย อันอดิเรกกุล Chief Executive Officer Spacely AI กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเปิดตัว Enterprise API เป็นก้าวที่สำคัญสู่อุตสาหกรรมการออกแบบและเฟอร์นิเจอร์ แต่สิ่งนี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น Spacely AI มุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสามารถของ Generative AI เพื่อให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกปัญหาของการออกแบบเชิงพื้นที่ พร้อมทั้งผลักดันขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์ในโลกแห่งการออกแบบต่อไป”

มาเป็นส่วนหนึ่งกับ Spacely AI ในการยกระดับอุตสาหกรรมการออกแบบและค้นพบศักยภาพสูงสุดของ Generative AI ในการเปลี่ยนแปลงโลก และยกระดับมาตรฐานของการออกแบบ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่องค์กรและเสริมความเป็นผู้นำในวงการธุรกิจของคุณ สามารถใช้ Spacely AI ได้แล้ววันนี้ที่ www.spacely.ai

เมื่อตอนที่ฉันเป็นนักเรียนในปี 1988 ฉันเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ และฉันแย้งว่า AI สามารถตรวจจับรูปแบบได้ดีกว่าการตรวจด้วยตา

ในช่วง 30 ปีต่อจากนั้น หัวข้อนี้แทบจะไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป ยกเว้นในโลกของวิศวกรด้านซอฟต์แวร์ จนเมื่อปีกว่ามานี่เอง ที่ AI ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะ และมาพร้อมกับเครื่องมือ AI เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สามารถใช้สร้างเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ภาพ และเนื้อหาอื่นๆ ได้อย่างฉลาด

ที่จริงแล้ว AI อยู่รอบๆ เรามาระยะหนึ่งแล้ว การค้นหาเว็บแบบง่ายๆ ก็มีความเกี่ยวข้องกับ AI หรือการใช้แชทบอท นั่นก็คือ AI แต่เราจะเห็นการเติบโตแบบทวีคูณ ก็ต่อเมื่อมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น และการใช้งานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณจะกำหนดรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่เป็นพื้นฐานของเรา นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมากกับความท้าทายใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิธีที่เราผลิตและใช้พลังงาน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้ รอ AI ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI อยู่มากมายก็ตาม แต่ AI ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และก็ไม่ใช่ตัวช่วยที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างฉับพลันกับการจำกัดภาวะโลกร้อนให้หยุดอยู่ที่ไม่เกิน 1.5°C เหมือนช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ AI จะต้องไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเราจากการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น พลังงานทดแทน ยานพาหนะไฟฟ้าและปั๊มความร้อน ตลอดจนซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติและการจัดการอาคารที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการและการใช้พลังงานในอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากมองถึงอาคารและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและพลังงานทั่วโลก

ตามรายงานล่าสุดจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ อาคารใหม่ทุกหลังที่สร้างขึ้นในปัจจุบันสามารถเป็น Net Zero ได้จริง โดยใช้การผสมผสานพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา) รวมถึงเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมการใช้พลังงานได้สูงสุด นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ต้องพึ่งพาการพัฒนา AI ในอนาคต แต่เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ที่เรานำมาใช้ในอาคาร IntenCity ของเราในเมืองเกรอน็อบล์ ประเทศฝรั่งเศส และเรายังช่วยให้อีกหลายๆ อาคารนำแนวทางนี้มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและให้คาร์บอนต่ำ มาปรับใช้กับบรรดาอาคารที่มีอยู่ในการติดตั้งเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุน รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากและเร็วกว่าที่หลายคนเคยรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องรอเครื่องมือ AI ใหม่ เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถทำได้ทันที

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ AI ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังเทอร์โบ

ความตื่นเต้นมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ AI เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เนื่องจากเมื่อจับคู่เทคโนโลยีดังกล่าว เข้ากับ AR (augmented reality) VR (virtual reality) รวมถึง digital twins และ IoT จะยิ่งทำให้ AI ช่วยให้เราเข้าถึงประสิทธิภาพได้มากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อเป็นเรื่องของพลังงาน การที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ลดลง ตัวอย่างเช่น ไมโครกริดเป็นเครือข่ายไฟฟ้าแบบครบวงจรที่จ่ายไฟให้กับบ้าน ธุรกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยใช้เครื่องกำเนิดพลังงานส่วนตัว (ตามหลักการเป็นพลังงานหมุนเวียน) และการกักเก็บพลังงานในรูปของแบตเตอรี่ โดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อองค์ประกอบต่างๆ เข้ากับระบบสายส่ง (Utility grids) ได้ ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและต้นทุนของพลังงาน อีกทั้งช่วยคาดการณ์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานอย่างเหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ ทั้งเรื่องการผลิต การกักเก็บและนำมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย ถึงเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้ ตลอดจนการปล่อย CO2

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ AI และศูนย์ข้อมูล เราจำเป็นต้องมองเพื่อให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI และศูนย์ข้อมูลที่เป็นขุมพลังนั้น จำเป็นต้องอาศัยน้ำและพลังงาน รวมถึงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไรบ้าง เราคาดการณ์ว่าในขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าภายในปี 2571 และสัดส่วนในการใช้งานที่มาจาก AI จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดในเวลานั้น โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์

สิ่งสำคัญก็คือ การใช้ AI จะต้องไม่นำไปสู่ปัญหาด้านพลังงานหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยจัดการกับความท้าทายนี้ โดยการปรับเปลี่ยนการออกแบบและการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล เช่น การเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์ดีเซลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำความสะอาดสตอเรจ และใช้การระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ เป็นต้น

เร่งดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วย AI (และที่ไม่ใช้ AI)

บางคนชอบ AI ในขณะที่บางคนกลัว AI แต่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม พลังการเปลี่ยนแปลงของ AI นั้นยิ่งใหญ่กว่าการถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตในทศวรรษ 1990 เสียอีก และ AI ก็เหมือนกับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ จะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกนำมาใช้งานอย่างมีจรรยาบรรณและรับผิดชอบ โดยให้ขุมพลังที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ให้ความคล่องตัวในการทำงาน มากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายปลายทางของผลลัพธ์ เป็นตัวช่วยมากกว่าการนำมาทดแทนผลลัพธ์จากมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องผ่านการรับรองคุณภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้ AI มาเบี่ยงเบนเราจากการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มี AI ก็ตาม เราก็ยังสามารถติดตั้งฟาร์มกังหันลมและสถานีชาร์จ EV ได้มากขึ้น และใช้เครื่องมือดิจิทัลที่มีอยู่ปรับปรุงวิธีการออกแบบ สร้างและดำเนินการด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากมาย รวมถึงการบำรุงรักษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม AI จะเป็นตัวเร่งที่จำเป็นและให้ขุมพลังแก่เทคโนโลยีที่มีอยู่ ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ช่วยสนับสนุนความมุ่งมั่นพยายามของเราในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

CR: ปีเตอร์ เฮอเว็ด  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ชไนเดอร์ อิเล็กทริก

งานเทคโนโลยีชั้นนำในยุโรป ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีจากทั่วโลกมากกว่า 14,000 คนเข้าร่วมงาน ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ได้ประกาศความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมด

มีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเพียงไม่กี่อย่างที่ก่อให้เกิดความสนใจอย่างกว้างขวางแบบ AI รวมไปถึงเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Generative AI (GenAI) องค์กรต่างๆ ทั่วโลกกำลังค้นหาวิธีการใหม่ๆ ที่น่าสนใจเพื่อรองรับการทำงานร่วมกัน จัดการแอปพลิเคชั่นต่างๆ ปรับปรุงความปลอดภัยด้านดิจิทัล และพลิกโฉมประสบการณ์ของลูกค้า อย่างไรก็ตาม แต่ละแง่มุมเหล่านี้ก่อให้เกิดความกังวลใจมากขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายและการเข้าถึงข้อมูล ความถูกต้องแม่นยำ ความเป็นส่วนตัว และการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบ

เป็นที่คาดการณ์ว่า GenAI จะช่วยเพิ่มจีดีพีทั่วโลกได้ราว 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายมากมายที่จะทำให้บริษัทต่างๆ ไปถึงจุดนั้นได้ รายงาน Cisco AI Readiness Index ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายธุรกิจและฝ่ายไอทีในภาคเอกชนมากกว่า 8,000 คนใน 30 ประเทศ พบว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามมีกลยุทธ์ด้าน AI อยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา แต่มีเพียง 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีความพร้อมที่จะบูรณาการ AI เข้ากับธุรกิจของตน

“โอกาสในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าจะไม่มีมากไปกว่านี้อีกแล้ว ในโลกที่ไม่อาจคาดเดาได้ เทคโนโลยีถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาท้าทายต่างๆ ที่เราอาจเผชิญ เทคโนโลยี AI ทำให้เรามองเห็นความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด รวมถึงอนาคตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างสรรค์มากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ที่ซิสโก้ เรารู้สึกตื่นเต้นกับบทบาทการทำงานของเรา เรามีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการขับเคลื่อน AI รวมไปถึงผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ระบบการตรวจสอบและเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด และความเชี่ยวชาญที่จะช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการ ในรูปแบบที่ไม่มีใครสามารถทำได้” — โอลิเวอร์ ทัสซิก รองประธานอาวุโสและประธานประจำภาคพื้นยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาของซิสโก้

 

ปัจจุบัน ซิสโก้นำเสนอฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ และการบริการลูกค้า และเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานแบบ AI-ready ที่งาน Cisco Live Amsterdam ซิสโก้ได้ประกาศกลยุทธ์ในการปรับใช้และบูรณาการ AI ที่จะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าดังนี้:

· ซิสโก้และเอ็นวิเดีย (NVIDIA) ช่วยให้องค์กรต่างๆ ปรับใช้และจัดการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย บริษัททั้งสองได้ประกาศแผนการส่งมอบโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐาน AI สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งสามารถติดตั้งใช้งานและจัดการได้อย่างง่ายดาย รองรับพลังประมวลผลจำนวนมหาศาลที่จะช่วยให้องค์กรต่างๆ ประสบความสำเร็จในยุค AI

· Cisco Identity Intelligence ป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใน Cisco Security Cloud มีการนำเสนอนวัตกรรม AI อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI แบบ cross-domain ที่ครบวงจรนวัตกรรมที่ว่านี้ได้แก่ ระบบวิเคราะห์แบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับ Cisco Identity Intelligence รวมไปถึง Cisco AI Assistant for Security ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เพิ่มขีดความสามารถของเครื่องมือ และปรับเปลี่ยนการทำงานที่ซับซ้อนให้เป็นแบบอัตโนมัติ

· ซิสโก้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่บน Cisco Observability Platform เพื่อเสริมศักยภาพให้แก่ลูกค้าด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความสามารถในการตรวจสอบ ข้อมูลเชิงลึก และการดำเนินการที่ดีขึ้น ตอนนี้ Cisco Observability Platform นำเสนออินเทอร์เฟซภาษาธรรมชาติเพื่อเพิ่มความสะดวกในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ แอปพลิเคชั่นใหม่ Cisco AIOps ยังช่วยลดความยุ่งยากในการตรวจสอบสถานะทางธุรกิจแบบเรียลไทม์ ช่วยปรับเปลี่ยนกระบวนการด้านไอทีให้เป็นแบบอัตโนมัติ และช่วยให้ทีมงานฝ่ายปฏิบัติการสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองได้อย่างฉับไว

· ซิสโก้เผยโฉมผลิตภัณฑ์ SaaS ตัวแรกที่รองรับการปรับใช้ GenAI ที่น่าเชื่อถือภายในองค์กร Motific ซึ่งเปิดตัวในวันนี้ ให้มุมมองจากส่วนกลางที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการใช้งาน GenAI เพิ่มขีดความสามารถของทีมงานฝ่ายไอทีและฝ่ายรักษาความปลอดภัยส่วนกลาง เพื่อส่งมอบความสามารถด้าน GenAI ที่น่าเชื่อถืออย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กรด้วยการควบคุมด้านค่าใช้จ่าย ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน และความปลอดภัย

· ซิสโก้ช่วยให้ลูกค้าปรับใช้ AI ได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งาน ซิสโก้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจพัฒนาและปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ AI รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ Cisco X-Series Direct ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับสภาพแวดล้อมที่ลูกค้าต้องการการเชื่อมต่อและพลังประมวลผลที่ส่วนขอบของเครือข่าย (Edge) เพื่อรองรับแอปพลิเคชั่นที่เพิ่มมากขึ้นโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานน้อยลง และยังมีบริการเพิ่มเติมในส่วนของการออกแบบระบบ Converged และ Hyperconverged ที่ผ่านการรับรอง ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Cisco Validated Solutions ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงพิมพ์เขียว AI/ML สำหรับเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์

· Webex by Cisco ประกาศความพร้อมใช้งานของฟีเจอร์ AI ตามที่คาดการณ์ไว้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Webex by Cisco ในการนำเสนอความสามารถที่แข็งแกร่งเพื่อให้แก่บุคลากรทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยซิสโก้ได้ประกาศความพร้อมใช้งานทั่วไป รวมถึงการทดลองใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ของ Cisco AI Assistant บน Webex Suite และ Contact Center เช่น ฟีเจอร์การประชุมและสรุป Vidcast เปลี่ยนโทนเสียงข้อความ การแปลข้อความ การตรวจจับความเหนื่อยล้าของเจ้าหน้าที่ และสรุปการสนทนา

X

Right Click

No right click