December 16, 2025

เคทีซีเปิดเวทีเสวนา “ทิศทางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมทะยานเวทีโลก” ฉายภาพการท่องเที่ยวแบบครบวงจร สายการบิน โรงแรม บริษัททัวร์ประสานเสียงท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มฟื้นเกือบเท่าก่อนเกิดโควิด-19 แนะภาครัฐปลดล็อคการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ลดผลกระทบต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม ด้านเคทีซีพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มั่นใจยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ เติบโตตามเป้า

นายโชติช่วง ศูรางกูร อุปนายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) คาดว่า นปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางออกต่างประเทศประมาณ 7.5 ล้านคน ขณะที่สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) รายงานจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศทั่วโลก (International Flight) ปีนี้จะขยายตัว 70% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะเติบโตเท่ากับก่อนช่วงโควิด-19 ในปีหน้า พร้อมเสนอแนะเรื่องการคลายข้อจำกัดด้านการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินที่จะเก็บจากนักท่องเที่ยวขาเข้าและการเก็บภาษีจากนักท่องเที่ยวขาออกจากประเทศ รวมถึงการจัดเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อน (VAT on Outbound) ขณะที่นักท่องเที่ยวมีทางเลือกในการจองสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วยตัวเอง เพราะปัจจุบันแพลตฟอร์มสำหรับการท่องเที่ยวมีเพิ่มมากขึ้น ถ้ามองในแง่ดีจะเป็นการช่วยส่งเสริมให้ตลาดท่องเที่ยวใหญ่ขึ้นขณะที่ผลต่อ Online Travel Agency (OTA) และบริษัททัวร์มองว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย

นายศึกษิต สุวรรณดิษฐกุล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้และอุปนายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) มองว่า จากตัวเลขของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 – วันที่ 25 มิถุนายน 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 12,464,812 คน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 539% จากปีก่อนโดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย จีน รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย อย่างไรก็ตาม แม้การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นแต่ธุรกิจโรงแรมยังอยู่ในภาวะกำลังฟื้นตัวและยังเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัยโดยเฉพาะเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และอาจเป็นตัวแปรในการปรับขึ้นราคาห้องพัก รวมถึงการการจ้างงานที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบ เช่น การใช้วิธีเหมาจ่ายตามปริมาณงาน หรือใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานมากขึ้น รวมทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน และสถานการณ์การเมืองในประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ โรงแรมขนาดใหญ่อาจมีการปรับราคาลงเพื่อกระตุ้นการเข้าพัก แต่โรงแรมขนาดเล็กไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ถ้าเป็นแบบนี้อาจส่งผลให้เกิดสงครามราคาที่ผู้ประกอบการแย่งลูกค้ากันเอง

นายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการบินพาณิชย์ (CCO) บริษัท การบินไทยจํากัด (มหาชน) กล่าวว่า การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เติบโตแบบชะลอตัว เศรษฐกิจไทยที่ยังมีความเสี่ยงหลายประการ ต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน การแข่งขันในอุตสาหกรรมสายการบินจากการเพิ่มเที่ยวบินและเปิดเส้นทางใหม่มีมากขึ้น และสถานะการเงินของสายการบินยังค่อนข้างเปราะบางแม้จะเริ่มปรับตัวขึ้นจากรายได้ที่ฟื้นตัว ดังนั้นการส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมสายการบินต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาล สายการบิน และผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรม รัฐบาลไทยต้องวางตำแหน่งอุตสาหกรรมการบินให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีส่วนสนับสนุนการเติบโตและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศ

นางสาวเพลินพิศ โกศลยุทธสาร ผู้อำนวยการส่วนกิจกรรมการตลาดด้านการท่องเที่ยว บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มองว่า ธุรกิจท่องเที่ยวในปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญส่งผลต่อสัญญาณการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินที่ค่อนข้างชัดเจน โดยคาดว่าการเดินทางโดยอากาศยานของภูมิภาคเอเชียจะกลับมาขยายตัวได้ 70 – 80 % เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการบินของไทยยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐใน 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1. การส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการบินแข็งแกร่งเพื่อเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศผ่านการเดินทางและขนส่งสินค้าทางอากาศ 2. ลดผลกระทบต้นทุนโดยภาครัฐควรกำหนดอัตราที่เหมาะสมของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพราะมีผลต่อการตั้งราคาบัตรโดยสาร รวมทั้ง ลดค่าธรรมเนียมวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และ 3. แก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรด้านบุคลากรการบิน ที่ได้รับผลกระทบจากการลดขนาดองค์กรช่วงโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมการบิน ไม่สามารถกลับมาให้บริการได้เต็มความสามารถ เมื่อเทียบกับอุปสงค์ของการท่องเที่ยว

นายนิติกร คมกฤส ผู้จัดการส่วนพัฒนาธุรกิจ สายการบินไทยเวียตเจ็ท กล่าวว่า อุตสาหกรรมการบินกลับมาคึกคักและแข่งขันกันอีกครั้ง โดยการกำหนดราคาค่าโดยสารยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ สะท้อนจากการงดออกแคมเปญโปรโมชันช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว สำหรับปัญหาและอุปสรรคในอุตสาหกรรมการบินคือ เรื่องทรัพยากรบุคคลตามสนามบินต่างๆ ที่ไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติการแต่เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศกำลังพยายามสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินให้กลับมาดำเนินการได้ ขณะที่สายการบินไทยเวียตเจ็ท มองเห็นโอกาสจากเส้นทางระหว่างประเทศรอง อาทิ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูงและนักเดินทางมีศักยภาพ และกลุ่มนักเดินทางช่วงนี้จะเป็น กลุ่มนักเดินทางอายุน้อย ในขณะที่จำนวนนักเดินทางเพื่อธุรกิจปรับลดลง

นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดท่องเที่ยวหมวดสายการบิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมการใช้จ่ายในหมวดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวผ่านบัตรเครดิตเคทีซีปรับตัวดีขึ้นตามการเติบโตของการท่องเที่ยวโดยครึ่งปีแรกขยายตัวเพิ่มขึ้น 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตขึ้น 25% จากช่วงปี2562 โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ สูงสุดแยกตามหมวด ได้แก่ สายการบิน เอเย่นต์ท่องเที่ยว (ทั้งออนไลน์และออฟไลน์) โรงแรม รถเช่า-รถไฟ-การเดินทางขนส่ง และแหล่งท่องเที่ยว/กิจกรรมสันทนาการ นอกจากนี้ หลังการเปิดรับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ ส่งผลให้สมาชิกวางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเรียงลำดับประเทศยอดนิยมดังนี้ ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส ฮ่องกง และเวียดนาม โดยยอดเฉลี่ยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีต่อสมาชิกในหมวดท่องเที่ยวอยู่ที่ 17,000 บาท

ทั้งนี้ KTC World Travel Service ศูนย์บริการการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต เคทีซีเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดภายใต้ 3 S ประกอบด้วย

1. Service: การให้บริการด้านการเดินทาง ท่องเที่ยว เน้นความสะดวกสบาย น่าเชื่อถือ โดยสร้างการรับรู้ผ่าน #บินเที่ยวครบจบที่ KTCWorldTravelService

2. Segmentation: การบริหารกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่แตกต่างด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่หลากหลาย รวมถึงการขยายช่องทางการสื่อสารในหลายรูปแบบ เพื่อให้เข้าถึงสมาชิกบัตรเครดิตและตอบโจทย์การเดินทางท่องเที่ยวได้มากที่สุด

3. Synergy: การทำงานร่วมกับพันธมิตรหลักครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ สายการบิน เอเย่นต์ทัวร์ โรงแรม รถเช่า สมาคมท่องเที่ยว และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อสร้างความแตกต่างผ่านกิจกรรมการตลาดในหลากหลายรูปแบบ พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าในการเดินทางท่องเที่ยวให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี

· เผยพอร์ตโฟลิโอ 5G ล้ำสมัย พร้อมสาธิตเทคโนโลยีล่าสุดมากมายในงาน Ericsson Imagine Live Thailand 2023

· อีริคสันเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยผ่านเทคโนโลยี 5G

· อีริคสันนำความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำเทคโนโลยี มาสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยก้าวสู่ผู้นำ 5G ระดับแถวหน้า

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เปิดงาน Imagine Live Thailand 2023 นำยูสเคสและนวัตกรรมเทคโนโลยี 5G ขั้นสูง ที่เปิดตัวในงาน Mobile World Congress ณ เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มาจัดแสดงในประเทศไทย โดยมีเทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลท์ล่าสุด ประกอบด้วย โซลูชันสื่อสารวิทยุประหยัดพลังงาน (Energy Efficient Radio Solutions), การสื่อสารผ่านโฮโลแกรม (Holographic Communications), เทคโนโลยี Digital Twin และระบบเครือข่ายอัตโนมัติ (Network Automation) รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมากมายที่นำมาจัดแสดงไว้ภายในงาน

หนึ่งในไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดง คือ ผลิตภัณฑ์ Radio 4466 ที่สามารถรองรับย่านความถี่ 1800MHz, 2100MHz และ 2300MHz ที่มีในประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์นี้เป็น Triple-Band Radio 4466 รุ่นล่าสุดของอีริคสัน ที่มีความสามารถเสริมศักยภาพการให้บริการ 4G และ 5G ข้ามย่านความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยผลิตภัณฑ์เดียวแก่ผู้ให้บริการไทย และยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงจำนวนสถานีฐาน ซึ่ง Radio 4466 ยังอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Ericsson Radio Access Network ที่สามารถจัดการความท้าทายในการติดตั้งสถานีฐานพร้อมช่วยประหยัดพลังงานเป็นอย่างมาก

ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทย อีริคสันมุ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ผู้นำ 5G ชั้นแนวหน้า มร.อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “การสร้างเครือข่าย 5G ประสิทธิภาพสูงและเน้นการประหยัดพลังงานเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญของเราที่ต้องการสร้างเครือข่ายในอนาคตที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืน ด้วยพอร์ตโฟลิโอการใช้ 5G ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานของอีริคสัน เรากำลังจัดการกับหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเรา นั่นคือการลดการใช้พลังงานของเครือข่ายและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะที่การใช้งาน 5G มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เป้าหมายของเราคือการไปสู่อนาคตคาร์บอนต่ำพร้อมกับการเร่งประสบการณ์ 5G” อีริคสันลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาปีละประมาณ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 18% ของยอดขาย

ประเทศไทยคือผู้นำคลื่น 5G อย่างชัดเจน จากการคาดการณ์ของอีริคสันระบุ ช่วงสิ้นปี 2565 พบว่า 5G ครอบคลุมมากกว่า 85% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ปริมาณการใช้ข้อมูลต่อการสมัครสมาชิกในประเทศไทยคาดว่าภายในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มเป็นเกือบ 80 กิกะไบต์ต่อเดือน เพิ่มจาก 32.7 กิกะไบต์

ต่อเดือน ในปี 2565 และคาดว่าในปี 2571 จะเพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยคาดว่า 5G จะสามารถรองรับความต้องการประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของเครือข่ายได้

“ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความไดนามิกสูง และมีผู้บริโภคที่เข้าใจเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้งานมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ด้วยอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม 4.0 ในประเทศตามเป้าหมาย Digital Thailand ของรัฐบาล ทำให้การเชื่อมต่อต้องมีความมั่นใจได้ ปลอดภัยและแข็งแกร่ง โดยความซับซ้อนที่เครือข่ายจำเป็นต้องจัดการทำให้เกิดความต้องการใหม่ ๆ ในการดำเนินงานของเครือข่าย การดึงศักยภาพจากเทคโนโลยี อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) มาปรับใช้จะช่วยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในประเทศไทยสามารถจัดการความซับซ้อนของเครือข่ายที่กำลังเติบโตได้ ตามที่เราเห็นการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ บนเครือข่าย 5G” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

แนวทาง Zero-Touch Operation กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยของอนาคตการดำเนินงานบนเครือข่ายที่ต้องมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Zero-Touch ช่วยผู้ให้บริการสามารถจัดการเครือข่ายโดยใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน คาดการณ์ล่วงหน้าและดำเนินการแบบเชิงรุกได้มากขึ้น โดยระบบเครือข่ายอัตโนมัติยังช่วยลดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการด้วยตนเองลง และทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น

ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านไอซีทีระดับโลก อีริคสันกำลังใช้ศักยภาพจากบริการบรอดแบนด์มือถือขั้นสูง เทคโนโลยี Fixed Wireless Access (FWA) และเทคโนโลยี 5G มารองรับการเติบโตโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย “เรากำลังใช้ศักยภาพทั้งในด้านความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทย ก้าวไปเป็นผู้นำแถวหน้า 5G ผ่านความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมและพันธมิตรของเราในประเทศไทย และเรายังมุ่งมั่นเร่งสร้างนวัตกรรมและระบบนิเวศ 5G ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่ม

อีริคสัน เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 152 เครือข่าย ใน 65 ประเทศ บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงาน Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2023 เป็นปีที่สามติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ 5G Radio Access Networks (RAN), Transport networks, และ Core Networks

ธนาคารกรุงไทยร่วมงาน BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023 โชว์ศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ ชูบริการ “PromptBiz” ตอบโจทย์การทำธุรกิจจนถึงซัพพลายเชน และ “เป๋าตัง” ซูเปอร์แอปฯ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน

ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทันสมัยอย่างทั่วถึง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นได้ในทุกวัน โดยธนาคารเข้าร่วมงาน BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Building Ecosystem for Responsible Innovation หรือ การพัฒนาระบบนิเวศการเงินดิจิทัลอย่างรับผิดชอบ ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน 2566 ที่ศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ภายในงาน ธนาคารตอกย้ำศักยภาพบริการทางการเงินดิจิทัลด้วยแนวคิด "Empower Infinite Innovation for All Thais" โดยนำเสนอบริการ “PromptBIZ” ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม Krungthai BUSINESS ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการทำธุรกรรมการค้าและการชำระเงินรูปแบบดิจิทัล ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้ในที่เดียว ช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน จัดการเอกสารการค้าได้ครบวงจร พร้อมจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมการทำรายการหักและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตโนมัติ โดยไม่ต้องออก 50 ทวิให้กับคู่ค้า ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้สะดวก รวดเร็วภายใต้ต้นทุนที่เป็นธรรม

ธนาคารยังนำเสนอศักยภาพของ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซูเปอร์แอปฯ ที่ถูกพัฒนาเป็น Thailand Open Digital Platform เปิดกว้างให้ประชาชนทุกคนใช้บริการได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงไทย เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ ผ่าน G-Wallet และปฏิวัติการลงทุนของประเทศ ทั้งการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ผ่านบริการ “วอลเล็ต สบม.” บริการซื้อขายหุ้นกู้ดิจิทัล บริการซื้อขายทองคำ ผ่าน “Gold Wallet” พร้อมบริการด้านสุขภาพ ผ่าน “Health Wallet” เชื่อมต่อกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ให้ประชาชนตรวจสอบและเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ

นอกจากนี้ บริษัท อะไรส์ บาย อินฟินิธัส จำกัด (Arise by Infinitas) องค์กรสำหรับคนดิจิทัล ได้นำเสนอโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาตนเอง ด้วย Program Talent Incubator ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับคนไทยทั้งประเทศ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยให้คนไทยมีประสบการณ์การใช้บริการดิจิทัลที่ดี ภายใต้แนวคิด Make Digital Life Possible for ALL

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ครั้งที่ 5/2566 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบทิศทางการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ของสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ปี 2567 – 2569 ซึ่งมีการปรับเพิ่มภารกิจสำคัญที่สมาชิกสมาคมฯ จะร่วมมือกันผลักดันการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน ควบคู่กับการสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ รวมถึงส่งเสริมความรู้การบริหารจัดการเงินแก่ประชาชน โดยดำเนินการภายใต้กรอบ ESG ที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้สถาบันการเงินของรัฐซึ่งมีบทบาทสำคัญในภาคการเงินของประเทศ ได้ร่วมกันสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่มุ่งใช้การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงสนับสนุนภาคการผลิตและภาคบริการในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ ทิศทางการดำเนินงานดังกล่าวจะขับเคลื่อนผ่านแผนยุทธศาสตร์ 3 ด้าน (3S) ได้แก่ 1.Sustainability การขับเคลื่อนงานตามนโยบายภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแล โดยสนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ เป็นธรรม และการดำเนินงานที่คำนึงถึง ESG พร้อมสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐ 2.Synergy การยกระดับความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง อาทิ ความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการให้บริการทางการเงินที่สะดวก ปลอดภัย รวมถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประสบการณ์ของสมาชิกสมาคมฯ และ 3.Strong การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ด้วยการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหาร และพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อยกระดับการบริหารงานของสมาคมฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันการเงินของรัฐ ผู้แทนจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกมลทิพย์ บอลรูม 3 โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566

 เนื่องในวันการกุศลสากล Binance Charity หรือหน่วยงานการกุศลของ Binance ผู้นำบล็อกเชนอีโคซิสเต็ม (Blockchain Ecosystem) ระดับโลก ได้เผยผลสำรวจล่าสุดจากผู้คนกว่า 1,126 ราย ที่มาจากตัวแทนของผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Binance และสาธารณชนในวงกว้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของการบริจาคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อเป็นแนวทางให้กับ Binance Charity ในการริเริ่มสิ่งใหม่ที่สอดคล้องกับความคิดเห็นและความต้องการของสาธารณชนในด้านการกุศลได้ดียิ่งขึ้น

ประเด็นสำคัญจากผลสำรวจ

● ถึงแม้ว่าการบริจาคด้วยวิธีดั้งเดิม อย่างเช่น การใช้เงินสด เช็ค และบัตรเครดิต จะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยคิดเป็น 43% ของผู้ตอบแบบสอบถาม แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนอีก 32% ได้ให้คำตอบว่าพวกเขาชื่นชอบที่จะทำการกุศลด้วยการบริจาคเหรียญคริปโตมากกว่า

● การสำรวจยังเผยให้เห็นถึงรากฐานอันแข็งแกร่งของการบริจาคและการทำการกุศลด้วยคริปโต เพราะถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่กว่า 71% จะยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริจาคสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการกุศล อย่างไรก็ตาม อีกกว่า 29% ของผู้ตอบแบบสอบถามนั้นได้เริ่มนำแนวทางใหม่ในการบริจาคมาใช้แล้ว

· ผู้ตอบแบบสอบถามได้ชี้ให้เห็นถึง 3 จุดแข็งหลักของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ทำให้คริปโตได้รับความนิยมยิ่งขึ้น โดยกว่า 37% ได้กล่าวชมความสามารถในด้านความโปร่งใส 32% ชื่นชอบประสิทธิภาพต่างๆ ซึ่งรวมถึงความคุ้มค่าของเหรียญคริปโต นอกจากนี้กว่า 28% ได้มองเห็นความสามารถอันแสนเฉพาะตัวของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มอบความเชื่อมั่นให้กับผู้บริจาค เนื่องจากพวกเขาสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินได้ด้วยตนเองอีกด้วย

● ผลการสำรวจของ Binance Charity ยังได้เผยให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้คนในการเลือกสนับสนุนกองทุนการกุศลต่างๆ ดังนี้

o ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ: ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 27% ยืนยันอย่างชัดเจนว่าการมีจริยธรรมและการรายงานแบบเปิดถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่สามารถสร้างความเชื่อใจให้กับผู้บริจาคได้

o วัตถุประสงค์ขององค์กรการกุศล: เกือบ 26% ของผู้ตอบแบบสอบถามร่วมบริจาคเพราะพันธกิจขององค์กร ซึ่งสิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนนั้นมีพลังในการดึงดูดผู้คนได้อย่างมหาศาล

o ผลกระทบทางสังคม: ผู้คนกว่า 18% ให้ความสนใจในด้านผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับ ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเช่นทุกวันนี้

● เมื่อลงรายละเอียดถึงประเภทองค์กรการกุศลที่ผู้คนให้ความสนใจ ผลสำรวจได้ชี้ให้เห็นว่า

o การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม: 22% ของผู้ตอบแบบสอบถามตระหนักถึงความสำคัญของการมอบความช่วยเหลือให้กับผู้คนที่ประสบภัยได้อย่างทันท่วงทีใน

o การศึกษา: 20% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีความปรารถนาที่จะช่วยยกระดับสังคมผ่านการให้ความรู้และการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส

o ด้านสุขภาพ: 19% เล็งเห็นถึงการมอบโอกาสทางสุขภาพเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการสนับสนุนด้านการศึกษา

· นอกจากนี้ ผลสำรวจยังได้แสดงให้เห็นถึงระดับการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในด้านการกุศล โดยพบว่าผู้คนส่วนใหญ่กว่า 51% จะเข้าร่วมงานการกุศลเมื่อมีเวลาและทรัพยากรที่เอื้ออำนวย ในขณะที่ อีกกว่า 20% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่าพวกเขามีความมุ่งมั่นและแสวงหาโอกาสที่จะมอบความช่วยเหลือให้กับผู้ด้อยโอกาสอย่างสม่ำเสมอ

องค์กรการกุศล Binance Charity กับการขับเคลื่อนและส่งต่อพลังอันดีให้กับโลกใบนี้

ผลสำรวจของ Binance Charity ได้แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของการบริจาคเพื่อการกุศล ซึ่งสะท้อนถึงกระแสของการนำ คริปโตมาใช้ในบริจาคเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการริเริ่มสิ่งใหม่ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่โลกใบนี้ ซึ่ง Binance Charity จะพยายามนำความสามารถของเทคโนโลยีบล็อกเชนมาพัฒนาและสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านการทำการกุศล ทั้งในด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภาวะฉุกเฉิน การสนับสนุนด้านการศึกษา ไปจนถึงการพัฒนาด้านสาธารณสุข

ที่ผ่านมา Binance ได้บริจาคเงินจำนวน 10 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศยูเครน พร้อมทั้งยังได้เปิดตัวบัตร Binance Refugee Card เพื่อให้การโอนเงินอย่างเร่งด่วนไปยังผู้ที่ต้องการเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ถูก และปลอดภัย นอกจากนี้ Binance ยังได้บริจาคเงินโดยตรงกว่า 5 ล้านดอลลาร์ให้กับเหยื่อที่เผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศตุรกีเพื่อช่วยบรรเทาความสูญเสียให้กับเหยื่อเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ Binance Charity ยังได้ริเริ่มโครงการด้านการศึกษา ด้วยการสนับสนุนของ Binance Academy รวมถึงสถาบันการศึกษาและสถาบันอาชีวศึกษาชั้นนำ อย่าง Women in Tech และ Utiva เพื่อมอบทุนการศึกษาด้านเทคโนโลยีและบล็อกเชน รวมถึงการส่งเสริมผู้หญิงในอุตสาหกรรมคริปโตเพื่อช่วยลดช่องว่างที่เกิดขึ้น โดยที่ผ่านมามีผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการดังกล่าวกว่า 57,000 คนจาก 5 ทวีปทั่วโลก

ไม่เพียงเท่านั้น Binance Charity ยังได้บริจาคเงินกว่า 5.7 ล้านดอลลาร์ผ่านแคมเปญ Crypto Against Covid ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซีเพื่อช่วยเหลือด้านสาธารณสุข ผ่านการส่งมอบชุด PPE จำนวนกว่า 2 ล้านชุดและวัคซีนอีกกว่า 500,000 ยูนิตทั่วโลก

Binance Charity ถือเป็นผู้บุกเบิกในด้านการบริจาคคริปโตเพื่อการกุศล พร้อมส่งเสริมและผลักดันให้องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรทั่วโลกยอมรับการบริจาคโดยคริปโตผ่านการใช้งาน Binance Pay หรือ แอปพลิเคชัน DeFi Wallet

SCB WEALTH จัดสัมมนา SCB FIRST INVESTMENT OUTLOOK 2023 ภายใต้ชื่อ “EMBRACING THE LIGHTNING OPPORTUNITY”ให้กับกลุ่มลูกค้า First

บนเวทีสัมนา   SCB CIO  ชี้เศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft Landing ปีหน้าเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.4% หุ้นสหรัฐแพงแต่ถือต่อได้ หากซื้อเพิ่มแนะรอจังหวะย่อตัวค่อยทยอยสะสม ส่วนตลาดEM ไทย จีน เวียดนาม ราคายังถูก ด้านวิกฤติอสังหาในจีนกระทบตลาดหุ้นกู้เป็นหลัก ในตลาดหุ้น A-share และH-shareกระทบเพียงบางตัวเท่านั้น ชี้ตราสารหนี้สกุลดอลล่าร์ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินบาท กองทุนตลาดเงินอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Double Shark Fin Note รักษาเงินต้นอายุ 1 ปี อยู่ที่ 0-15% และ KIKO โอกาสรับผลตอบแทน 15 -25%ต่อปี ช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ด้าน InnovestX คาดภายในครึ่งหลังของปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับได้ถึง1,650-1,700จุด หลังรัฐบาลใหม่พร้อมบริหารประเทศ หุ้นกลุ่มได้รับอนิสงค์นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม ส่วนหุ้นที่ได้อนิสงค์วัฐจักรโลก คือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจWEALTH ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยในงานสัมมนา SCB FIRST INVESTMENT OUTLOOK 2023 ภายใต้ชื่อ “EMBRACING THE LIGHTNING OPPORTUNITY ” ว่า ในช่วงที่ภาวะตลาดทุนโลกมีความผันผวนหลังวิกฤติโควิด จนส่งผลกระทบต่อทิศทางการลงทุน นำไปสู่เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางหลักทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและคงไว้ในระดับสูง จนส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ มองว่าวัฐจักรดอกเบี้ยขาขึ้น น่าจะใกล้จุดสูงสุดแล้ว แม้เงินเฟ้อทั่วโลกจะยังอยู่ในระดับสูงกว่ากรอบของนโยบายการเงินของหลายประเทศ แต่มีแนวโน้มลดลง เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลงบ้าง แต่ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยอาจจะลดน้อยลง

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศไทย ขณะนี้ได้รัฐบาลใหม่พร้อมเข้าบริหารประเทศแล้ว ทำให้มุมมองโอกาสในการลงทุนมีความชัดเจนขึ้น การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change ) เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น จากการที่ทั่วโลกตั้งเป้าหมายขับเคลื่อนสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ การปล่อยสินเชื่อ และพอร์ตการลงทุนของธนาคาร ต้องเป็น Net zero ในปี 2050 นอกจากนี้ธนาคารมุ่งมั่นในการเฟ้นหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พอร์ตมีเสถียรภาพในทุกช่วงจังหวะของการลงทุน และพร้อมเดินเคียงข้างลูกค้า เพื่อดูแลความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า สหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ย จาก 0.25% มาอยู่ที่ 5.5% ภายในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน ทำให้เงินเฟ้อชะลอลงบ้าง แม้ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง เราจึงปรับปรุงมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอตัวแบบจัดการได้ (Soft landing) ซึ่งคาดว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ แต่ละเดือนจะปรับลดลง 0.2% ทำให้ในปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 2.4% และดอกเบี้ยใกล้จบรอบการปรับขึ้นแล้ว แต่จะยังค้างอยู่ในระดับสูงจนถึงกลางปี 2024 ส่วนพันธบัตรระยะสั้นให้อัตราผลตอบแทน (yield) มากกว่าพันธบัตรระยะยาว ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนกลับทิศ (Inverted yield curve) ทั้งนี้ หากย้อนดูช่วงที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย ส่วนต่างของ Inverted yield curve จะเริ่มลดลง โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นใน 6 เดือนข้างหน้า และกลางปี 2024 yield ของพันธบัตรรระยะยาวจะกลับมามากกว่าพันธบัตรระยะสั้น

นอกจากนี้ เรามองเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนแต่จะช้ากว่าที่คาดส่วนความกังวลที่จีนอาจเผชิญภาวะ Balance sheet recession หรือภาวะที่ภาคธุรกิจและครัวเรือนกังวลกับหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ไม่ถูกนำไปใช้จ่ายบริโภคและลงทุน รวมถึงไม่กู้ยืมเพิ่มเติมแต่เน้นการจ่ายคืนหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน เนื่องจากราคาสินทรัพย์ที่ปรับลดลงเร็วกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งอาจลุกลามทำให้เกิด Lost Decades เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นในช่วงปี 1980-2000 ราคาบ้านในจีนไม่ได้เข้าสู่ภาวะฟองสบู่เหมือนกับญี่ปุ่น และภาคธนาคารพาณิชย์ของจีนไม่ได้มีหนี้เสียสูงเท่ากับญี่ปุ่น (ล่าสุด NPLจีน อยู่ที่ 1.6 % และญี่ปุ่นอยู่ที่ 6.2% ) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ของจีนยังมีความแข็งแกร่งทั้งในด้านฐานทุนและสภาพคล่อง

ทั้งนี้ เมื่อดู Valuation หุ้นประเทศพัฒนาแล้วค่อนข้างแพง โดยหุ้นสหรัฐฯ แม้จะปรับลงมาบ้าง แต่ในเดือน ส.ค. ดัชนี S&P500 ยังซื้อขายที่ระดับราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ 19-20 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในค่าเฉลี่ย ดังนั้น หากมีหุ้นสหรัฐฯ อยู่ สามารถถือต่อได้ แต่ถ้าต้องการซื้อเพิ่ม เราแนะนำให้รอจังหวะย่อตัวลงมาแล้วค่อยทยอยสะสม ส่วนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) ราคายังถูก เช่น ไทย จีน และเวียดนาม แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยง โดยเรามีมุมมอง Neutral กับหุ้นเวียดนาม (ถือได้แต่ยังไม่ซื้อเพิ่ม) เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัวลง ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนออกมาแย่น้อยกว่าที่คาด

ส่วนตลาดหุ้นจีน H-Share มีมุมมอง Neutral แม้ว่าตลาดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจะปรับขึ้น 5-6% แต่ยังมีความเสี่ยงจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ และน่าจะทำให้ตลาดผันผวนไปอีกระยะหนึ่ง ตลาดหุ้นจีน A-Share ซึ่งเน้นอุปสงค์ในประเทศ เราแนะนำให้ทยอยซื้อ เนื่องจากราคาค่อนข้างถูก และซื้อขายที่ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 11-12 เท่า ประเด็นภาคอสังหาฯ จีน มองว่า สัดส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาฯ คิดเป็น 1% ของตลาดหุ้น A-Share และกว่า 2%ของ H-Share เท่านั้น และเมื่อพิจารณาภาพรวมแล้ว สถานการณ์ภาคอสังหาฯจีนจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นกู้เป็นหลัก ส่วนในตลาดหุ้นกระทบเพียงหุ้นรายตัวที่มีปัญหา แต่โดยรวมไม่มีผลกับตลาดหุ้นมากเพราะมูลค่าตามราคาตลาดไม่สูง ขณะที่หุ้นไทย แนะนำทยอยซื้อ เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลงไปมาก ส่วนเศรษฐกิจและผลกำไรบริษัทจดทะเบียนน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product Function และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย CIO Office กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มีโอกาสให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่าผลิตภัณฑ์ลักษณะเดียวกันที่เป็นสกุลเงินบาท และ ครอบคลุมในทุกระดับความเสี่ยง ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำ ไปถึงความเสี่ยงสูง ผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน บนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 5.0% ต่อปี ในขณะที่สกุลเงินบาท ผลตอบแทนประมาณ 1.68% ต่อปี ผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงปานกลางและมุ่งรักษาเงินลงทุน เช่น Double Shark Fin Note หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง แบบรักษาเงินลงทุน อายุการลงทุน 1 ปี เหมาะกับตลาดที่ยังมีความผันผวน สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ให้ผลตอบแทนประมาณ 0-15% ต่อปี สกุลเงินบาท ให้ผลตอบแทน 0-10% ต่อปี และผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงสูง เช่น KIKO ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ที่อ้างอิงการเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีมุมมองเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (sideway) เมื่อสิ้นสุดสัญญา ได้รับคืนเงินต้นในรูปแบบเงินสดหรือหุ้นอ้างอิง โดยมีเงื่อนไขเรื่องราคาปรับลดลงไปถึงระดับราคาต่ำสุดที่ตกลงกันไว้ (Knock-in) เป็นตัวช่วยลดโอกาสการรับหุ้น ซึ่ง KIKO สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ให้ผลตอบแทนประมาณ 15-25% ต่อปี ขณะที่ สกุลเงินบาท ให้ผลตอบแทนประมาณ 6-10% ต่อปี

โดยรวมแล้วการใช้กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนได้ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ อย่างไรก็ตาม หากผู้ลงทุนกังวลเรื่องการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน เรามองว่าในระยะสั้นทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ไปอีกระยะ เนื่องจากมีทั้งปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าและแข็งค่าหักล้างกันอยู่ เช่น ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ได้แก่ การท่องเที่ยวฟื้นตัว ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่า คือ เงินบาทเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับเงินหยวนมากขึ้น เพราะไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนสูงขึ้น ซึ่งเงินหยวนมีทิศทางอ่อนค่าลง เป็นแรงกดดันที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่า เงินลงทุนต่างชาติไหลออก และราคาทองคำลดลง ทำให้คนขายเงินบาทเพื่อไปซื้อทองคำ เป็นต้น ทั้งนี้ เรามองว่า หากเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 34-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นระดับที่ผู้ลงทุนสามารถทยอยแลกเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อไปลงทุนในต่างประเทศได้

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีสัญญาณฟื้นตัว ถ้ามองในเชิงนโยบาย เมื่อได้รัฐบาล

ใหม่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ครึ่งปีหลังควรจะเติบโตดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ด้านภาพรวมตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก ปรับตัวลดลง 10% โดยเงินลงทุนไหลออกไปตลาดหุ้นอื่น เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับสู่ขาขึ้น นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีแรงขายลดลง ดังนั้น โอกาสที่จะกลับมาซื้อจึงเป็นไปได้ และเวลานี้ไทยถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะการเมืองมีความชัดเจนแล้ว โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ถึง 1,650-1,700 จุด ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ส่วนความเสี่ยงด้านการปรับลดลงประเมินไว้ที่ 1,450 จุด ซึ่งปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ระดับกว่า 1,500 จุด และมองว่าน่าจะผ่านจุดที่ต่ำสุดไปแล้ว ทั้งนี้ หุ้นขนาดใหญ่ ราคายังไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนเลือกตั้ง ส่วนหุ้นกลุ่มการแพทย์ก็ยังปรับตัวขึ้นน้อยมากจึงยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ ธุรกิจที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตมีเพิ่มขึ้นในหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น พลังงาน ท่องเที่ยว การแพทย์ ค้าปลีก และ พาณิชย์

สำหรับหุ้นที่ได้อานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม ได้ประโยชน์จากนโยบายแจกเงินดิจิทัลและนโยบายพักหนี้เกษตรกรส่วนนโยบายลดราคาน้ำมันและค่าไฟจะให้ประโยชน์กับผู้ประกอบการ ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้คนใช้แรงงาน นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่ได้อานิสงส์จากวัฎจักรเศรษฐกิจโลก ที่เซมิคอนดักเตอร์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ได้แก่ กลุ่มหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยพิจารณาจากผลประกอบการ เรามองว่า มี 4 อุตสาหกรรมและ 8 หุ้นเด่น ได้แก่ 1) กลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันฟื้นตัว ได้แก่ PTT และ BCP 2) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ จากอุปสงค์ที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ได้แก่ KCE และ HANA 3)กลุ่มท่องเที่ยว ที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ได้แก่ AOT และ ERW และ4) กลุ่มสุขภาพ จากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น ได้แก่ BDMS และ BCH

“บมจ.สิริซอฟต์ หรือ SRS” จัดงานโรดโชว์ ตามแผนเสนอขายหุ้น IPO 40 ล้านหุ้น โชว์วิสัยทัศน์ หุ้นคอนซัลท์เทคฯ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ด้วยความเชี่ยวชาญและการบริหารบุคลากร ตอบโจทย์ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาททางธุรกิจ SRS พร้อมเดินหน้าเสริมทัพบุคลากรไอที ขยายบริการและขยายฐานลูกค้า พร้อมชูผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง ปี 2563 – 2565 เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 137.37% ขณะที่ Backlog ในมือแน่น อยู่ที่ 525.64 ล้านบาท สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน

นายสิริวัฒน์ ธนุรเวท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิริซอฟต์ จำกัด (มหาชน) หรือ SRS ที่ปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับองค์กร ผ่านแนวทางการทำงานแบบ DevOps (Development & Operations) เปิดเผยว่า บริษัทจัดงานโรดโชว์วันนี้ เพื่อให้นักลงทุนได้รับทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของการดำเนินธุรกิจ จุดเด่น และโอกาสการเติบโตของบริษัทในอนาคต ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 40 ล้านหุ้น และจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนให้ SRS เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ก้าวสู่การเป็นบริษัทผู้ให้บริการ Information Technology Services รายใหญ่ของประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีคุณภาพ ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และยั่งยืน

สำหรับผลการดำเนินการ 3 ปีย้อนหลัง (2563 - 2565) บริษัทเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 137.37% โดยมีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 72.91 ล้านบาท 187.03 ล้านบาท และ 410.81 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 14.39 ล้านบาท 25.47 ล้านบาท และ 68.69 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 19.73% , 13.51% และ 16.67% ของรายได้รวม ตามลำดับ

ด้านผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 306.24 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 42.98% แบ่งเป็นรายได้จากงานให้บริการ ซึ่งประกอบด้วย รายได้จากการให้บริการคำปรึกษาและพัฒนาระบบ รายได้จากการบริการบำรุงรักษาระบบ (Maintenance) และการบริการอื่นๆ สัดส่วน 63.03% และรายได้จากการขาย ซึ่งประกอบด้วย รายได้จากการขายสิทธิการใช้งานซอฟต์แวร์ และการขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง สัดส่วน 36.83% สำหรับกำไรสุทธิอยู่ที่ 47.34 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 15.47%

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 กลุ่มบริษัทมีพนักงานรวมทั้งสิ้น 238 คน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ และฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์เป็นหลัก เพื่อขยายขีดความสามารถในการให้บริการตามจำนวนของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น และมีงานในมือ (Backlog) ที่เติบโตต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทฯ มี Backlog จำนวนรวม 525.64 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานบริการมูลค่า 227.13 ล้านบาท และรายได้จากการขายมูลค่า 298.51 ล้านบาท โดยมีกำหนดส่งมอบงานภายในปี 2566 – 2568 เป็นต้นไป จำนวน 297.24 ล้านบาท จำนวน 165.79 ล้านบาท และ จำนวน 62.63 ล้านบาท ตามลำดับ

นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากที่เราได้นำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน ต้องขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความสนใจ SRS หุ้นน้องใหม่คอนซัลท์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและพัฒนาซอฟต์แวร์ ด้วยพื้นฐานของธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญของผู้บริหาร และบุคลากรด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ และฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้ SRS มีการเติบโตที่มีนัยสำคัญ ตอบโจทย์ลูกค้าซึ่งมีแผนการลงทุนในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยปัจจุบัน SRS มีลูกค้าหลักในกลุ่มธุรกิจเอกชนที่ต้องการปรับเปลี่ยนธุรกิจแบบดั้งเดิมสู่ธุรกิจดิจิทัล (Digital Transformation) เช่น กลุ่มสถาบันการเงินลูกค้า กลุ่มค้าปลีก หรือกลุ่มธุรกิจเอกชนขนาดกลางและขนาดใหญ่ นอกจากนี้ลูกค้ายังมีความต้องการจัดหาเครื่องมือด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยจัดการระบบการทำงานแบบเดิมให้ทันต่อโลกยุคดิจิทัล เช่น การเพิ่มช่องทางในการให้บริการทางการเงินผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในรูปแบบออนไลน์ (E-Commerce) เป็นต้น จึงมั่นใจว่า เงินระดมทุนครั้งนี้ จะสนับสนุนให้ SRS สามารถขยายการให้บริการในกลุ่มลูกค้าเดิม และสร้างฐานลูกค้าใหม่ ตอกย้ำ SRS คือหนึ่งในผู้นำที่ปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับองค์กร ผ่านแนวทางการทำงานแบบ DevOps ที่เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม หรือ (Joint Lead Underwriter) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ SRS จำนวน 40 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ และเตรียมเดินหน้ากำหนดวันที่จะเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งคาดว่าจะนำ SRS เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยี (Technology) เร็วๆ นี้

วัตถุประสงค์ในการนำเงินระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO จะนำไปใช้พัฒนาและปรับปรุงซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานภายในองค์กร จำนวนเงินโดยประมาณ 20 ล้านบาท นำไปใช้ในการสรรหาและพัฒนาบุคลากรในการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์ รวมถึงการขยายพื้นที่สำนักงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ จำนวนเงินโดยประมาณ 280 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจภายในปี 2566 – 2568

นางสาววีรยา ศรีวัฒนะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม หรือ (Joint Lead Underwriter) เปิดเผยว่า SRS มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก จากศักยภาพทางธุรกิจ ความเชี่ยวชาญในฐานะผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ DevOps Culture เป็นแนวคิดที่ช่วยพัฒนาและดูแลลูกค้าในรูปแบบสมัยใหม่ และให้บริการออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ Microservices ในการพัฒนา พร้อมด้วยศักยภาพในการทำงานและการบริหารบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน High Code ซึ่งมีความต้องการสูงในอุตสาหกรรม

ด้วยจุดเด่นการให้บริการที่ครบวงจรระดับมืออาชีพ ทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในด้านการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์ สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชั่นได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้ลูกค้าสามารถแข่งขันได้ อีกทั้ง มีวัฒนธรรมขององค์กรที่แข็งแกร่ง รองรับความต้องการลูกค้า และการเติบโตอย่างรวดเร็วของกระแสดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ส่งผลให้ความต้องการด้านระบบและซอฟต์แวร์ของภาคธุรกิจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสของสิริซอฟต์ และเชื่อมั่นว่าจะสามารถตอกย้ำความมั่นใจจากนักลงทุนภายหลังจากการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

เคทีซีร่วมกับเล็กซัส กรุงเทพ (LEXUS BANGKOK) จัดแคมเปญครั้งประวัติศาสตร์ ในโอกาสที่ LEXUS BANGKOK ครบรอบ 30 ปี หวังขยายฐานเข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม มอบคะแนน KTC FOREVER สูงสุดถึง 1 ล้านคะแนน เมื่อจองหรือดาวน์รถ LEXUS รุ่น IS หรือ UX และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม 2566 – 31 มกราคม 2567

นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หนึ่งในกลยุทธ์การตลาดบัตรเครดิตเคทีซีในปีนี้ คือการเพิ่มจำนวนสมาชิก ระดับพรีเมี่ยมซึ่งมีกำลังซื้อสูง เราจึงพยายามสรรหากิจกรรมการตลาดที่เป็นประโยชน์และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ในหมวดรถยนต์แบรนด์พรีเมี่ยมช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 พบว่าเติบโต 13% เคทีซีมองเห็นโอกาสในการขยายฐานสมาชิกที่ชื่นชอบรถกลุ่มดังกล่าว เพราะการได้ครอบครองรถแบรนด์พรีเมี่ยมน่าจะเป็นสิ่งที่คู่ควรกับลูกค้าระดับพรีเมี่ยม จึงได้ร่วมกับ LEXUS BANGKOK จัดแคมเปญใหญ่ที่ไม่เคยทำกับแบรนด์รถใดมาก่อน โดยจะมอบคะแนน KTC FOREVER จำนวน 1 ล้านคะแนน เพิ่มให้กับสมาชิกเคทีซี เมื่อจองหรือดาวน์รถ LEXUS และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท โดยคะแนนดังกล่าวไม่มีวันหมดอายุ และสามารถนำไปใช้ได้ทุกรูปแบบในทุกหมวดการใช้จ่าย ไม่ว่าจะใช้คะแนนเป็นส่วนลด คะแนนแทนเงินสด หรือนำไป แลกไมล์สายการบินชั้นธุรกิจ”

นอกจากนี้ สมาชิกเคทีซียังสามารถใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนน แลกรับส่วนลดทันที 130 บาท เมื่อใช้บริการที่ โชว์รูมรถยนต์และศูนย์บริการ LEXUS BANGKOK ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th/promotion/gas-auto/car-dealer/lexus-bangkok

นางสุทธิกัญญา ไทยเพ็ชร ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท เล็กซัส กรุงเทพ จำกัด เผยว่า “เล็กซัส กรุงเทพ ได้รับความไว้วางใจและครองใจลูกค้าที่มองหายนตกรรมหรู และสมรรถนะที่เหนือกว่ายานยนต์ทั่วไป โดยในปีนี้ LEXUS BANGKOK ครบรอบ 30 ปี เราจึงได้ร่วมกับเคทีซี จัดแคมเปญยิ่งใหญ่เพื่อมอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อชำระค่าจองรถหรือดาวน์รถ LEXUS รุ่น IS หรือ UX จะได้รับคะแนนเท่ายอดชำระผ่านบัตรฯ สูงสุดถึง 1,000,000 คะแนน หรือรับสูงสุด 100,000 คะแนนสำหรับรุ่นอื่นๆ ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ที่สุดที่เราร่วมมือกับพันธมิตรบัตรเครดิตในประเทศไทย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่โชว์รูมรถยนต์และศูนย์บริการ LEXUS BANGKOK ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม 2566 – 31 มกราคม 2567”

ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ KTC Phone โทร. 0-2123-5000 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทคลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ

· ในปี 2567 ยอดจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มเป็น 17.9 ล้านคัน

· ในปี 2570 รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) จะมีราคาเทียบเท่ารถเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ในขนาดและรูปร่างคล้ายกัน

· ในปี 2573 มากกว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์ทุกรุ่นที่ผลิตออกมาจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

 การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดการจัดส่งรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก (แบบใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และแบบปลั๊กอิน-ไฮบริด) ในปี 2566 มีปริมาณเกือบ 15 ล้านคัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 19% ในปี 2567 คิดเป็นยอดรวม 17.9 ล้านคัน

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2567 ปริมาณการจัดส่งยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด ตั้งแต่ รถยนต์ (Cars) รถโดยสาร (Buses) รถตู้ (Vans) และรถบรรทุกขนาดใหญ่ (Heavy Trucks) จะมียอดรวมที่ 18.5 ล้านคัน โดยในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็น 97% ของยอดการจัดส่งยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในปีหน้า

การ์ทเนอร์คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ทั่วโลกจะเติบโตจาก 9 ล้านคันในปี 2565 เพิ่มเป็น 11 ล้านคัน ภายในสิ้นปี 2566 โดยคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) จะเติบโตช้าลงเล็กน้อยจาก 3 ล้านคัน ในปี 2565 เพิ่มเป็น 4 ล้านคันในปี 2566

โจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “สัดส่วนของรถ PHEV คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศต่าง ๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และญี่ปุ่น โดยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศเหล่านั้นชื่นชอบรถ PHEV มากกว่ารถ BEV โดยผู้บริโภคในสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มาเลือกใช้รถ PHEV มากกว่า BEV เนื่องจาก PHEV มีความสามารถที่ผสมผสานระหว่างการขับขี่ในเมืองที่ไร้มลพิษด้วยพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์ และยังมอบความสะดวกสบายในการขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเพื่อการเดินทางที่ยาวนานและไกลขึ้น ซึ่งในตลาดยุโรปตะวันตก จีน และอินเดียแตกต่างออกไป โดยรถ PHEV ได้รับความสนใจน้อยกว่า BEV เนื่องจากผู้บริโภคในตลาดเหล่านี้ให้ความสำคัญกับต้นทุนการใช้งานโดยรวมที่ต่ำกว่า รวมถึงประสบการณ์การขับที่เงียบกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

ในปี 2573 จำนวนรถยนต์ทุกรุ่นที่ผลิตออกมาทั้งหมด จะเป็น EV มากกว่า 50%

การตัดสินใจของภาครัฐบาลที่มุ่งมั่นลดการปล่อยฝุ่นละอองจากยานพาหนะและการริเริ่มโครงการสนับสนุนในบางประเทศ อาทิ การออกกฎหมายเพื่ออนุญาตให้จำหน่ายเฉพาะยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และการออกข้อบังคับให้ต้องใช้รถ PHEV เป็นอย่างน้อย อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ โดยผู้ผลิตรถยนต์บางรายกำลังมองหาวิธีกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากท่อไอเสียของรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ๆ ภายในปี 2578 และบางรายตั้งเป้าที่จะบรรลุยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสหรัฐฯ ให้ได้ 40% ถึง 50% ต่อปี ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้าได้นำไปสู่การเปิดตลาดใหม่ ๆ ของแพลตฟอร์มการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV Platform)

“กฎระเบียบด้านมลพิษที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ผลิตต้องเปลี่ยนโมเดลรถยนต์ที่ทำการตลาดอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2573” ดาเวนพอร์ต กล่าวเพิ่มในปี 2570 รถ BEV จะมีราคาเท่ากับรถ ICE ที่มีขนาดและรูปแบบคล้ายกัน

นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ยังคาดว่า ภายในปี 2570 ราคาเฉลี่ยของรถ BEV จะเท่ากับรถยนต์ ICE ที่มีขนาดและรูปร่างต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเร่งให้เกิดการใช้ EV ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2573 การผลิตไฟฟ้าและประสิทธิภาพเครือข่ายจะเป็นปัจจัยกำหนดการใช้งาน EV ให้แพร่หลายเหนือกว่าปัจจัยด้านราคา

“เว้นแต่ในประเทศต่าง ๆ จะจูงใจผู้ขับขี่รถ EV ให้ชาร์จแบตเตอรี่นอกช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด นอกจากนี้การเปลี่ยนไปใช้รถ EV อาจสร้างความต้องการที่มากขึ้นเพิ่มเติมทั้งในด้านกำลังการผลิตไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานในการจ่ายไฟ” ดาเวนพอร์ต กล่าวเพิ่ม

“การใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบกลางวันและกลางคืน (Dual Day and Night) หรือแม้แต่การใช้อัตราค่าไฟฟ้ารายครึ่งชั่วโมง (Half-Hourly Electricity Tariffs) สามารถจูงใจผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าให้หันมาชาร์จไฟนอกช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก (Peak Times) ซึ่งจะต้องมีการนำมาตรวัดพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะมาใช้เป็นวงกว้าง นอกจากนั้น ความสามารถของสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในการควบคุมเครื่องชาร์จ EV โดยตรงผ่านการเชื่อมต่อจากระบบหนึ่งไปสู่อีกระบบหนึ่ง หรือ Application Programming Interfaces (API) จะทำให้การชาร์จ EV ถูกลดทอนลงชั่วขณะระหว่างช่วงเวลาที่มีการบริโภคสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าความต้องการการใช้ไฟฟ้าจะไม่มากเกินไป” ดาเวนพอร์ต กล่าวสรุป

 

ดาวเทียมดวงที่ 9 ที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์ของแอร์บัสจะขยายขีดความสามารถให้กับ ไทยคมในการใช้งานบรอดแบนด์ @AirbusSpace @Thaicom #OneSat กรุงเทพ 11 กันยายน 2566 – บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจดาวเทียมแห่งเอเชีย และผู้ ให้บริการด้านเทคโนโลยีอวกาศ ประกาศการลงนามข้อตกลงร่วมกับแอร์บัสเพื่อใช้บริการดาวเทียมที่ สามารถรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลสูงที่ใช้ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ล่าสุดในการควบคุม OneSat ดาวเทียมทีสร้าง ่ โดยแอร์บัสจะช่วยขยายการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตใหก้บั ลูกคา้ไทยคมหลายล้านราย – ลิขสิทธิภาพของแอร์บัส แอร์บัสจะเป็นผู้จัดหาดาวเทียม OneSat หนึ่งในดาวเทียมรุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถปรับและตั้งค่าใหม่ได้ตาม ต้องการ โดยดาวเทียมไทยคมดวงนี้จะให้บริการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตย่านความถี่ Ku-Band ให้แก่ลูกค้าหลายล้านรายทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิกดาวเทียมไทยคมถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรและปฏิบัติหน้าที่อยู่ ทั้งหมด 8 ดวง โดยที่ดวงนี้จะเป็นดาวเทียมสื่อสารที่มีความยืดหยุ่นดวงแรก สามารถสามารถปรับเปลี่ยน พื้นที่ ปริมาณช่องสัญญาณในการให้บริการและความจุได้มากขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในภูมิภาคที่มีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

นายฌอง-มาร์ค นาซร์(Jean-Marc Nasr) หัวหน้าฝ่ ายระบบอวกาศของแอร์บัส กล่าวว่า “สัญญา ฉบับส าคัญฉบับที่ 9 ที่ลงนามร่วมกับบริษัทไทยคมผู้นำธุรกิจดาวเทียม เป็นสัญญาที่เกี่ยวกับกลุ่ม ผลิตภัณฑ์OneSat ดาวเทียมรุ่นผู้บุกเบิกของเราที่สามารถทำการปรับและตั้งค่าใหม่ได้ตามต้องการอย่าง สมบูรณ์ขณะอยู่ในวงโคจรและมีความยืดหยุ่นแบบไม่มีใครสามารถเทียบได้ ความร่วมมือกับไทยคมครั้งนี้ เป็นการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรกและเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้สานความสัมพันธ์ของเราในอนาคต” นายปฐมภพ สุวรรณศิริประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยคม กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่เรา ได้เลือกแอร์บัสมาเป็นผู้ผลิตดาวเทียมที่สามารถรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลสูงควบคุมโดยซอฟต์แวร์รุ่น ใหม่ล่าสุด (High Throughput Satellite: HTS) รุ่นใหม่ล่าสุดของเรา และในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยี ดาวเทียมชั้นน า เราเชื่อมั่นว่าแอร์บัสเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างดาวเทียมดวงใหม่ที่ประจำอยู่ที่ วงโคจรตำแหน่ง 119.5 องศาตะวันออก โดยความยืดหยุ่นและความว่องไวในการตั้งค่านี้จะช่วยให้เรา สามารถปรับเปลี่ยนการให้บริการในพื้นที่ได้อย่างสะดวกซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและ พันธมิตรของไทยคมทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงนับเป็นก้าวครั้งสำคัญของไทยคมเนื่องจากเราเดินหน้าสู่ การขยายธุรกิจดาวเทียมบรอดแบนด์ในภูมิภาคนี้” ดาวเทียมที่มีความทันสมัยดวงนี้จะประจำอยู่ที่วงโคจรตำแหน่ง 119.5 องศาตะวันออกจะท าให้ไทยคม สามารถมอบข้อเสนอการแชร์น้ำาหนักบรรทุกดาวเทียมให้กับพันธมิตรผู้ให้บริการของตนได้ช่วยลดต้นทุน ลงและพวกเขายังสามารถควบคุมน้ำหนักบรรทุกและแต่ละรายได้ตามความต้องการและมีความยืดหยุ่น แอร์บัสจะทำการออกแบบและผลิตดาวเทียมดวงนี้ และจะเป็นผู้ดูแลส่งมอบอุปกรณ์ส่วนการควบคุม ภาคพื้นดินอีกด้วย โดยแอร์บัสมีแผนจะส่งมอบดาวเทียมดวงนี้ภายในปี 2570 ดาวเทียมแอร์บัสวันแซท (Airbus OneSat) สามารถทำการตั้งค่าใหม่อย่างเต็มรูปแบบได้ขณะที่ดาวเทียม ประจ าอยู่ที่วงโคจร สามารถปรับพื้นที่ที่ครอบคลุม พื้นที่ความจุและความถี่ได้“ทันที” เพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ต่างๆ ของภารกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดาวเทียมดวงนี้สร้างต่อยอดมาจาก Eurostar ดาวเทียมโทรคมนาคมค้างฟ้าที่มีความน่าเชื่อถือแม่นย าสูงของแอร์บัส และความเชี่ยวชาญด้านดาวเทียม แบบกลุ่ม (Constellation Satellite) ของบริษัทกับ OneWeb โครงการพัฒนาดาวเทียม OneSat ได้รับการ สนับสนุนจากองค์กรอวกาศของยุโรป (European Space Agency: ESA) รวมไปถึงจากองค์การศึกษาวิจัย อวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (Centre National d’Etudes Spatiales: CNES) และองค์การอวกาศแห่งสหราช อาณาจักร (UK Space Agency)

X

Right Click

No right click