

6 ใน 10 ของผู้บริหารในภาพรวมคาดการณ์ว่า แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังไม่สดใสมากนัก แต่องค์กรของตนเองจะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงหรือมีการเติบโตที่ดีขึ้นได้
อย่างไรก็ดีหากคำนึงถึงแผนธุรกิจสำหรับในปีนี้ ผู้บริหารส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียยังคงมีความกังวลในเรื่องต้นทุนของการลงทุนและหนี้สินของบริษัท และภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว อันมีผลต่อการแข่งขันเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีทักษะและความสามารถโดดเด่น และจากรายงานแนวโน้มตลาดแรงงานที่มีทักษะศักยภาพสูงทั่วโลกในปี 2566 ซึ่งจัดทำโดยเมอร์เซอร์ (Global Talent Trends (GTT) Study 2023) ได้สำรวจความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร โดยมีผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคลประมาณ 2,500 คนทั่วโลกเป็นผู้ตอบแบบสอบถาม และพบว่าผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย ส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกับทิศทางในภาพรวมของรายงานเช่นกัน
ทั้งนี้ ผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคลเกือบ 100 บริษัทที่เข้าร่วมตอบแบบสำรวจ พบว่าประมาณ 47% มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะการขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถและทักษะที่องค์กรต้องการในอนาคต และ 40% ของผู้ตอบแบบสำรวจ มีความเห็นว่า พนักงานมีภาระหน้าที่ที่อาจจะต้องรับผิดชอบมากเกินไปจนทำให้พนักงานไม่มีสมาธิมากพอในการบริหารจัดการในแต่ละชิ้นงาน และ 38% กล่าวว่า องค์กรจำเป็นต้องสร้างความสมดุลระหว่างแผนงานการปรับเปลี่ยนขององค์กรไปพร้อม ๆ กับการสร้างกระบวนการทางความคิดในเชิงบวกของพนักงาน เพื่อให้องค์สามารถเดินหน้าต่อไปได้
รายงานฉบับนี้ ได้มีการเปิดเผยการออกแบบการทำงานในรูปแบบใหม่และการสร้างบรรยากาศสถานที่ทำงานขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงในด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ และยังมีการระบุแนวโน้มที่เกี่ยวกับบุคลากรที่มีความสามารถในมิติต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาองค์กรให้สามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมการงานแบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยผลสรุปของรายงานหลัก ๆ ในปีนี้ ได้แสดงถึงความจำเป็นที่นายจ้างในประเทศไทย จะต้องสร้างวิถีการทำงานในรูปแบบใหม่ให้แก่พนักงาน และมุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการสร้างทักษะของพนักงาน เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานต่อไป
การทำงานที่เสมือนเป็นหุ้นส่วนกับพนักงาน : ผ่านระบบการทำงานที่ยืดหยุ่นและผลตอบแทนที่ดีแก่พนักงาน
ประมาณ 7 ใน 10 ของพนักงานกล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา1 องค์กรที่ไม่มีความยืดหยุ่นให้พนักงานทำงานที่ใดก็ได้หรือไม่มีนโยบายการปฏิบัติงานในรูปแบบกึ่งออนไลน์อย่างเป็นการถาวร จะเป็นปัจจัยชี้ขาดของพนักงานว่าจะร่วมงานหรืออยู่ทำงานต่อที่องค์กรนั้น ๆ โดยในประเทศไทย จากผลสำรวจพบว่า นายจ้างประมาณ 61% ที่เข้าร่วมการสำรวจ ได้ให้ทางเลือกการทำงานแบบยืดหยุ่นแก่พนักงานในระดับต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของนายจ้างภูมิภาคเอเชียซึ่งอยู่ที่ 50% และสูงค่าเฉลี่ยของภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกที่ระดับ 56% อีกด้วย อย่างไรก็ดี มีการแนะนำว่า ควรจะผลักดันให้นายจ้างในส่วนที่ยังไม่ปรับปรุงระบบการทำงาน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานแบบยืดหยุ่นเพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้กับองค์กรต่อไป
ทั้งนี้ ในด้านการรองรับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น นายจ้างในประเทศไทยประมาณ 27% ที่เข้าร่วมตอบแบบผลสำรวจ (ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากการสำรวจในจ้างทั้งภูมิภาคเอเชีย) มีการปรับเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่พนักงานที่ได้รับเงินเดือนน้อยกว่าค่ากลางของตลาด นอกจากนั้น ยังมีองค์กรธุรกิจในประเทศไทยกว่า 30% ที่ตอบแบบสำรวจ (ซึ่งสูงกว่า
ค่าเฉลี่ยของเอเชียที่ระดับ 22%) มีการปรับเพิ่มเฉพาะในส่วนของเงินทดแทนค่าใช้จ่ายในการยังชีพ หรือเพิ่มค่าจ้างในส่วนอื่น ๆ ซึ่งนับเป็นการบริหารจัดการค่าตอบแทนขององค์กรที่ยั่งยืนกว่า
ส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดีในองค์รวมแก่พนักงาน: มุ่งเน้นสวัสดิการที่มีความหมายอย่างแท้จริง
องค์กรต่าง ๆ ต้องสร้างความแตกต่างที่นอกเหนือจากการมีนโยบายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมเพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แต่ต้องให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานในองค์รวมด้วย ซึ่งรวมถึงด้านกายภาพ ด้านจิตใจ ความเป็นอยู่ที่ดีทั้งด้านสังคมและการเงิน โดยจากผลสำรวจของเมอร์เซอร์พบว่า 9 ใน 10 ขององค์กรในประเทศไทย กำลังมุ่งเน้นที่จะให้สวัสดิการแก่พนักงาน เพื่อสร้างความสัมพันธ์และเพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรและพนักงานให้ดีขึ้นในปี 2566 โดยเห็นได้ว่าองค์กรจำนวน 48% มีแผนงานที่จะปรับปรุงการสวัสดิการพนักงานให้ดีขึ้นในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของนายจ้างในภูมิภาคเอเชียที่ระดับ 40% อย่างไรก็ดี ในด้านการดูแลพนักงานที่ไม่ได้มีสถานะเป็นพนักงานประจำ ประมาณ 46% ขององค์การที่ตอบแบบสำรวจ ยังไม่พิจารณาแผนงานสร้างความมั่นคงในหน้าที่การงานให้แก่พนักงานรับจ้างชั่วคราว ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของนายจ้างในประเทศไทยในด้านการให้ความช่วยเหลือพนักงานเมื่อเกิดวิกฤตเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังคงตามหลังทวีปเอเชียในด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านสุขภาพจิต ซึ่งมีองค์กรเป็นจำนวนเพียง 13% ที่มีกลไกช่วยเหลือพนักงานในการบริหารจัดการวิกฤตที่มาจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนายจ้างในภูมิภาคเอเชียที่มีค่าเฉลี่ยในระดับ 21% นอกจากนี้ จากผลสำรวจ ฯ มีองค์กรประมาณ 23% ในประเทศไทย ที่สามารถให้พนักงานเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตผ่านระบบออนไลน์ได้ตามความประสงค์ของพนักงาน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียที่อยู่ที่ระดับ 26%
การเสริมสร้างขีดความสามารถของพนักงาน: จากความเข้าใจในทักษะที่มี สู่การการสร้างทักษะให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน
อีกหนึ่งความท้าทายที่นายจ้างในประเทศไทยต้องเผชิญในแง่ของการพัฒนา คือการทำให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยทักษะ (ให้ทักษะเป็นศูนย์กลาง) โดยนายจ้างจำนวน 60% เทียบกับค่าเฉลี่ยของเอเชียที่ 56% มีความเข้าใจอย่างชัดเจน
เกี่ยวกับความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถโดดเด่นในองค์กร แต่ผู้บริหารสายงานทรัพยากรบุคคลอาจจะยังไม่สามารถพัฒนาและสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถได้ตามแผนงานที่วางไว้ได้ ซึ่งมีเพียงประมาณ 3 ใน 10 ของนายจ้างไทยที่มีหน่วยงานที่สรรหาบุคลากรที่มีความสามารถภายในองค์กรเทียบกับ 40% ในเอเชีย และมีนายจ้างเพียงประมาณ 33% เท่านั้นที่สนับสนุนให้พนักงานเข้ารับการฝึกอบรมทักษะตามความประสงค์ของพนักงานเพื่อพัฒนาอาชีพการงาน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 60% ของนายจ้างในภูมิภาคเอเชีย
ในด้านของการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีเพื่อวัดและประเมินทักษะของพนักงานในองค์กร บริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยยังคงตามหลังค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียในภาพรวมเช่นกัน โดยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของเอเชียที่ 41% มีนายจ้างไทยเพียง 22 % เท่านั้น ที่ใช้แพลตฟอร์มข้อมูลด้านบุคลากรที่ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์ และมีเพียง 43% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 53% ของเอเชียที่ใช้เครื่องมือการวัดเชิงจิตวิทยาเพื่อประเมินศักยภาพของบุคลากร
นายจักรชัย บุญยะวัตร ประธานและกรรมการ บริษัท เมอร์เซอร์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ผมมีความดีใจที่ได้เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นของนายจ้างในบ้านเรา เริ่มมีการพิจารณาหาวิถีการทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สอดคล้องและสนองตอบกับความต้องการของพนักงานที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นในมิติต่าง ๆ ได้ถูกนำมาใช้ในหลายองค์กรอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพัฒนาในภาพรวมเท่านั้น เรายังให้คำแนะนำแก่นายจ้าง พิจารณาให้ความสำคัญในการสร้างประสบการณ์โดยรวมของพนักงาน โดยลดความเหนื่อยล้าจากการทำงานของพนักงาน และพยายามออกแบบรูปแบบการทำงานใหม่ ๆ โดยอาจจะเริ่มต้นจาก พื้นฐานความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นสำคัญ นอกจากนั้น ผู้บริหารสายงานด้านทรัพยากรบุคคล ควรมีแนวคิดในเชิงรุกในการเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเพิ่มพูนทักษะของพนักงาน โดยลงทุนในการพัฒนา สร้างเสริม และการเปลี่ยนแปลงทักษะของบุคลากรให้เหมาะสมกับความต้องการขององค์กร โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา”
GABLE พร้อมเทรดวันแรกใน SET 9 พฤษภาคมนี้ มั่นใจนักลงทุนต้อนรับ ชูจุดเด่นผู้นำ Tech Enabler ของไทย ที่มีประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษ และความยิ่งใหญ่ขององค์กรที่มี IT Professional กว่า 1,000 คน ชูจุดเด่นสัดส่วนรายได้ในรูปแบบ Recurring Income สูงถึง 51% พ่วงด้วย Backlog ณ สิ้นปี 65 อยู่ในระดับสูงราว 4,100 ล้านบาท นำเงินระดมทุนใช้เสริมศักยภาพการขยายธุรกิจ เดินหน้าลงทุนสร้าง S-Curve เพื่อการเติบโต ด้านโบรกฯ ให้ราคาเป้าหมาย GABLE สูงสุดที่ 9.60 บาท/หุ้น
ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ GABLE กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “GABLE” นับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ในฐานะองค์กรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอันดับ 1 ในประเทศ ตามเป้าหมายที่วางไว้
ด้วยประสบการณ์กว่า 33 ปี ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตในยุคดิจิทัลให้แก่ลูกค้าชั้นนำในไทยมากกว่า 1,000 องค์กร และความสำเร็จในการพัฒนากว่า 30,000 โครงการ ปัจจุบัน จีเอเบิลเติบโตอย่างมั่นคงทั้งในด้านบุคลากรไอทีที่มีกว่า 1,000 ราย และความครบวงจรของบริการเพื่อตอบโจทย์การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (Digital Transformation) ทำให้วันนี้ GABLE ยืนหยัดเป็นผู้นำด้าน Tech Enabler ที่ใหญ่ที่สุดของไทย พร้อมนำเทคโนโลยีต่อยอดธุรกิจให้เป็น S-Curve
รวมไปถึง มิติเพื่อสังคม ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนให้ก้าวผ่านช่วงวิกฤติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล และเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนายังสามารถสนับสนุนให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายหลักของจีเอเบิลที่จะยืนหยัดต่อไปในอนาคต และวันนี้เราพร้อมแล้วที่จะนำบริษัทเข้ามาขยายการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดทุน ให้ทุกท่านได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตไปพร้อมกับเรา
สำหรับแผนขยายธุรกิจที่จะดำเนินการต่อเนื่องหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 1,118.25 ล้านบาท นำไปใช้ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงจำนวน 560 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นบริษัทที่มีกรรมสิทธิ์ในเทคโนโลยีแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว และจำนวน 280 ล้านบาท ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินของกลุ่มบริษัท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินงาน
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า GABLE จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ประกอบกับ ประสบการณ์ในฐานะผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชั่นของประเทศไทยที่มีศักยภาพและความพร้อมในการเติบโตไปกับกระแสของการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (Digital Transformation) ขององค์กรต่างๆ ที่ต้องการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตอย่างยั่งยืนได้
นอกจากนี้ GABLE ยังเตรียมลงทุนและต่อยอดไปยังโอกาสใหม่ๆ โดยมุ่งเน้นธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มซึ่งมีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับสูง อีกทั้ง ธุรกิจดังกล่าวมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกอบธุรกิจในลักษณะเดียวกันน้อยมาก สร้างความน่าสนใจให้ GABLE ในฐานะยักษ์ใหญ่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นที่ครบวงจร
รวมทั้ง จุดเด่นของรายได้จากการให้บริการที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง (Recurring Income) ณ สิ้นปี 65 อยู่ในระดับ 51% เพิ่มเสถียรภาพและสร้างความมั่นคงให้กับบริษัทได้ในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น จีเอเบิลยังมีงานโครงการและบริการที่รอส่งมอบ (Backlog) สูงถึง 4,100 ล้านบาท จึงมั่นใจว่า GABLE จะเป็นผู้นำบริษัทด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุนในระยะยาวได้
ขณะที่ ในช่วงระยะเวลาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 175 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 26 – 28 เมษายนที่ผ่านมา มีนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัทฯ และการกำหนดราคา IPO ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 6.39 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม ขณะที่ บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 8 บริษัทหลักทรัพย์ ที่จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ให้มูลค่าเป้าหมายของ GABLE ปี 2566 ที่ 8.40 – 9.60 บ./หุ้น ซึ่งยังไม่รวมการเติบโตแบบ Inorganic ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
โครงการบ่มเพาะกิจการเพื่อสังคมที่อยู่กับสังคมไทยมานานกว่า 12 ปี อย่างโครงการ Banpu Champions For Change (BC4C) โดยบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ และสถาบัน ChangeFusion องค์กรไม่แสวงผลกำไรภายใต้มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่บุกเบิกและบ่มเพาะเหล่ากิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) ไปกว่า 119 กิจการ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีทางสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในกลุ่มคนเบื้องหลังที่มีส่วนสำคัญในการร่วมผลักดันกิจการเพื่อสังคมเหล่านั้นก็คือ “คณะกรรมการ”
คณะกรรมการในโครงการ BC4C ไม่ใช่แค่ผู้คัดเลือกเท่านั้น แต่หลายครั้งที่บรรดากิจการเพื่อสังคมได้เจอจุดเปลี่ยนในการทำธุรกิจ หรือได้ไอเดียต่อยอดในการทำธุรกิจมาจากคำถามหรือข้อแนะนำจากเหล่าคณะกรรมการ โครงการ BC4C จึงสรรหาคณะกรรมการผู้คร่ำหวอดในแวดวงกิจการเพื่อสังคม ที่จะสามารถให้คำแนะนำและแลกเปลี่ยนมุมมองการทำธุรกิจได้อย่างรอบด้าน มองขาดทั้งปัจจัยเชิงบวกและเชิงลบที่มีต่อธุรกิจ ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และจุดประกายไอเดียเพื่อเร่งเครื่องธุรกิจ SE ให้ไปได้ไกลและเร็วกว่าเดิม
![]()
· ไม่ใช่แค่ Passion แต่ต้องอินไซต์ปัญหา-เข้าถึงชุมชนให้เป็นด้วย
คุณสินี จักรธรานนท์ ประธานมูลนิธิอโชก้า (ประเทศไทย) องค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีสาขาใน 38 ประเทศทั่วโลก ด้วยประสบการณ์การทำงานกว่า 30 ปีที่อโชก้า คุณสินีจึงมีความเข้าใจปัญหาสังคมที่ลึกซึ้ง มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำงานใกล้ชิดกับชุมชน มีความเข้าใจปัญหาในพื้นที่ต่างๆ
“ที่ผ่านมาเราเห็นผู้ประกอบการบางกลุ่มมี Passion ในการทำงานอย่างแรงกล้า แต่ยังไปไม่ถึงความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ดี แต่อาจจะยังไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งที่เป็นชิ้นส่วนที่ขาดหายไปคือ ‘การเข้าถึงชุมชนหรือกลุ่มคนเหล่านั้น’ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกต่างๆ และหยิบนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาต่อยอดและหาทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการที่เรามีความถนัด ซึ่งการคัดเลือกทีม SE ที่จะผ่านเข้ารอบในครั้งนี้ ก็จะนำมิติด้านการทำงานกับชุมชนเพื่อให้เข้าใจปัญหาสังคมอย่างถ่องแท้เข้ามามีส่วนในการประเมินด้วย”
![]()
· “สร้างคุณค่าทางธุรกิจไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าทางสังคม”
คุณภาวินท์ สุทธพงษ์ CEO บริษัท SpotON International Group - กูรูผู้คลุกคลีวงการบ่มเพาะและการวางแผนธุรกิจกว่า 15 ปี มีส่วนช่วยสร้างสตาร์ทอัพมากว่า 400 ธุรกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับรางวัล การแข่งขันสตาร์ทอัพระดับโลก ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานที่ใกล้ชิดกับผู้ประกอบการ
คนรุ่นใหม่ทำให้คุณภาวินท์ทราบถึงปัญหาและกลยุทธ์ในการเอาชนะอุปสรรคในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจเพื่อให้เดินต่อไปได้ คุณภาวินท์จึงเป็นทั้ง ‘กรรมการและเมนเทอร์’ ในโครงการ BC4C มาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 รุ่น
“ผมได้เห็นคนรุ่นใหม่หรือผู้ประกอบการมีการตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสังคมมาโดยตลอด แต่บางคนอาจโฟกัสเรื่องการเติบโตมากไปจนอาจลืมมองกลับมาว่าธุรกิจที่เราทำนั้นสามารถสร้างคุณค่าแก่สังคมได้ อยากให้มองภาพการทำธุรกิจอย่างรอบด้านให้กว้างมากขึ้นและเปิดใจกับการก้าวเข้ามาเป็นกิจการเพื่อสังคม ส่วนคนที่เข้าใจเรื่องกิจการเพื่อสังคมอยู่แล้วนั้น สิ่งที่ควรตระหนักคือ การสร้างคุณค่าและการเติบโตของธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งหากธุรกิจเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน นั่นหมายความว่าเราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาสังคมหรือส่งมอบสิ่งที่ดีให้สังคมได้ดียิ่งขึ้นได้อย่างยั่งยืนเช่นกัน”
![]()
· “ยึด 3 หลัก: Insight - Solution - Sustaining Model” หนุนธุรกิจ
คุณอธิชา ชูสุทธิ์ นักพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายนวัตกรรมเพื่อสังคม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) – ผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชียลอินโนเวชัน เบื้องหลังผู้วางแผนการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ตลอดจนการให้คำปรึกษาแนะนำในการดำเนินธุรกิจบนแพลตฟอร์มดิจิทัลของ NIA
“เราเน้นย้ำถึง ‘3 องค์ประกอบหลัก’ ที่ทำให้ผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคมประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน คือ ‘Insight’ ความเข้าใจและองค์ความรู้ที่มีต่อประเด็นปัญหาที่ตนสนใจ ‘Solution’ การพัฒนาและคัดเลือกโซลูชันที่นำไปสู่นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ประเด็นปัญหาหรือพัฒนาสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างเป็นรูปธรรม และ ‘Sustaining Model’ การพัฒนาแนวทางการขยายผลที่จะทำให้ธุรกิจของตนสามารถเติบโตต่อได้และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ก็จะถูกนำมาใช้ทั้งในการคัดเลือกและเป็นหลักแนะนำให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ BC4C ตามบริบทที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละกิจการ”
![]()
· “วิเคราะห์บริบทของปัญหาที่รอบด้าน ‘กว้าง-ชัด-ลึก”
คุณภัฏ เตชะเทวัญ ผู้ก่อตั้ง TP Packaging Solution - อดีตผู้ชนะเลิศจากใน BC4C รุ่นที่ 6 ผู้ซึ่งเคยได้รับการบ่มเพาะจนในปัจจุบันสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมแถวหน้าของเมืองไทย ได้นำประสบการณ์จริงของตัวเองมาช่วยสรรหา SE ในโครงการ BC4C
“ผมเห็นว่าสิ่งที่ช่วยให้ SE ประสบความสำเร็จมี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ การมี ‘มุมมองที่กว้าง (Big Wide) ชัด และลึก’ กล่าวคือมีพื้นฐานของการมองเห็นปัญหาลึกซึ้ง เข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหา มี Passion ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามแนวทางของตนเอง และ ‘มีความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ที่สูงในทุกบริบทของปัญหา’ คือสามารถรู้เหตุของปัญหา รู้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ และสามารถเสนอแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน ตลอดจนรู้ถึงผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบอย่างรอบด้าน อย่างเช่นโมเดลธุรกิจของผมสมัยที่เข้าประกวด BC4C นั้น ได้หยิบยกปัญหา ‘โฟม’ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืนมาเป็นตัวตั้งต้น เนื่องจากหลายภาคส่วนเน้นการรณรงค์เลิกใช้โฟมในภาคประชาชน แต่มันไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้คนเลิกใช้โฟมได้เพราะพวกเขาไม่มีสิ่งทดแทน เราจึงสร้างทางเลือกใหม่ในการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อทดแทนโฟม เป็นต้น”
คุณรัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส - สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “BC4C ในปีที่12 มาพร้อมกับแนวคิด “Champions of the Future Drive: แชมป์ผู้ขับเคลื่อนอนาคต” เราให้ความสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ เขาคืออนาคตของชาติ เขาคือคนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมท่ามกลางโลกที่มีพลวัตและความไม่แน่นอน ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่มีส่วนร่วม ในการพัฒนาศักยภาพ SE ในประเทศไทย เรามีความมั่นใจในกระบวนการคัดเลือก และองค์ความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งกรรมการและเมนเทอร์ว่าจะสามารถนำพาผู้ประกอบการ SE ให้เพิ่มศักยภาพตัวเองเพื่อไปต่อยอดกิจการให้สามารถช่วยเหลือคุณภาพชีวิตผู้คนได้ต่อๆ ไป”
ด้าน คุณสุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบัน ChangeFusion กล่าวเสริมว่า “โครงการ BC4C ได้บ่มเพาะและผลักดันผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 แล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้เห็นพัฒนาการของกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทยที่มีหลากหลายครอบคลุมหลายมิติทางสังคมและมีความสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในฐานะผู้ร่วมดำเนินโครงการและในฐานะกรรมการที่ได้ร่วมคัดสรร SE รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและมีศักยภาพเข้ามาร่วมบ่มเพาะ ติดอาวุธทางความคิดอย่างรอบด้านไปกับโครงการฯ เพื่อให้พวกเขามีความพร้อมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน และเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผนึกกำลังสร้างเครือข่าย SE ในประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไปอีกด้วย”
สำหรับผู้ประกอบการ SE หรือผู้สนใจในกิจการเพื่อสังคม สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Banpu Champions for Change ได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/banpuchampions หรือติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 087-075-4815
ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประชาสัมพันธ์แนวทางการอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ที่คาดว่าจะเริ่มให้บริการในปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของลูกค้าบุคคลและธุรกิจรายย่อย หลายๆ ท่านอาจสงสัยว่า ลูกค้ารายย่อยที่ธนาคารแบบดั้งเดิมยังไม่ให้กู้ แล้วธนาคารไร้สาขาที่ไม่รู้จักลูกค้าเลยจะให้กู้ได้อย่างไร
เงื่อนไขหนึ่งในหลักเกณฑ์การขอจัดตั้ง Virtual Bank คือ ความสามารถในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่หลากหลาย โดยวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวต้องชัดเจนและเป็นไปได้ เราจะเห็นผู้ที่มีข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี จับมือกับสถาบันการเงิน ลงมาเล่นในสนามนี้ เพื่อให้บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ทุกฝ่าย โดยทำการพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ขอกู้เงินผ่านปัจจัยแวดล้อมที่สะท้อนแบบแผนการดำเนินชีวิต หรือเรียกว่าข้อมูลทางเลือก (Alternative data) เช่นความสม่ำเสมอในการชำระค่าโทรศัพท์ พฤติกรรมและประเภทของสินค้าที่ซื้อบ่อย หรือการใช้แบบสอบถามด้านจิตวิทยา (Psychometrics)
แบบสอบถามด้านทางจิตวิทยา เป็นชุดคำถามที่ค้นหาพฤติกรรมทางการเงินจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การตัดสินใจด้านการเงิน ความยับยั้งช่างใจในการจำกัดรายจ่าย คำถามเกี่ยวกับวินัยในการใช้ชีวิตและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความวิตกกังวล โดยแบบสอบถามดังกล่าวจะต้องพิจารณาปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อเฟ้นหาลักษณะนิสัยที่บ่งชี้พฤติกรรมการชำระหนี้ได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด
มีการศึกษาในประเทศมองโกเลียที่ให้ผู้เข้าร่วมการศึกษาพิจารณาภาพโต๊ะทำงานต่างๆ ตั้งแต่โต๊ะทำงานที่มีข้าวของรกมาก จนถึงโต๊ะทำงานที่เป็นระเบียบ ผู้เข้าร่วมการทดลองต้องตอบคำถามว่า ท่านสามารถปล่อยให้โต๊ะทำงานของท่านรกถึงระดับใด ก่อนทำการลุกขึ้นมาจัดระเบียบ ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ชอบความเป็นระเบียบของโต๊ะ มักจะมีวินัยทางการเงินที่ดีกว่าผู้ที่ตอบว่าสามารถปล่อยให้โต๊ะทำงานรกได้มากกว่า หรืออีกการศึกษาหนึ่ง
ในรัฐอุตตรประเทศและรัฐมหาราษฏระของประเทศอินเดียพบว่า ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีพฤติกรรมวัตถุนิยมมักจะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ
จุดอ่อนที่ธนาคารควรระวังในการอาศัยแบบสอบถามด้านทางจิตวิทยาเพียงอย่างเดียวคือผู้ตอบแบบสอบถามอาจจะเลือกตอบแบบสอบถามเข้าข้างตัวเอง โดยประเมินวินัยของตนเองดีกว่าความเป็นจริง ซึ่งธนาคารมีแนวโน้มที่จะชื่นชอบคุณสมบัติดังกล่าวและพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น หรือผู้ตอบแบบสอบถามอาจจะตอบตามสิ่งที่คิดว่าเป็นคำตอบที่ดูดี ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองเป็นจริงๆ
วิธีหนึ่งในการปิดจุดอ่อนนี้คือการทำการทดสอบซ้ำเพื่อค้นหาความคงเส้นคงวาและอาจจะพิจารณานำข้อมูลทางเลือก มาใช้ประกอบกับข้อมูลทางด้านจิตวิทยา เพื่อให้ผลการประเมินที่ได้ครอบคลุมในหลายมิติและสะท้อนพฤติกรรมตัวบุคคลออกมาดียิ่งขึ้น เช่น สถาบันการเงินแห่งหนี่งในประเทศแคนาดาพบว่าลูกค้าที่นำบัตรเครดิตไปซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด พรมกันลื่น หรืออุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในบ้านในสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและมีการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง มักจะมีพฤติกรรมการชำระเงินที่ดีกว่าลูกค้าที่มักนำบัตรเครดิตไปรูดซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยในสัดส่วนที่สูง
อีกการศึกษาหนึ่งในประเทศจีนพบว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์มือถือที่เปิดมานานและมีการโทรหาครอบครัวอย่างสม่ำเสมอมีความสัมพันธ์กับการจ่ายชำระหนี้ที่ดีกว่าบุคคลทั่วไป นอกจากนั้นอาจจะมีการพิจารณาจากประวัติการชำระค่าบริการและสาธารณูปโภคประกอบด้วย
นักวิจัยในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย พบว่าการนำข้อมูลโซเชียลมีเดียมาใช้พยากรณ์ความน่าเชื่อถือของลูกหนี้ สามารถเพิ่มความแม่นยำของแบบจำลองได้ถึงร้อยละ 7 ปัจจัยที่น่าสนใจจากการศึกษานี้คือ ผู้ที่โพสโซเชียลมีเดียบ่อยมักมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าปกติ แต่ผู้ที่เปิดบัญชีโซเชียลมีเดียมานาน จะมีโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำกว่าปกติปัจจุบันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้สถาบันการเงินบางรายให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลทางเลือก มาใช้ในการให้บริการสินเชื่อในขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาสินเชื่อแล้ว ดังนั้น Virtual Bank ซึ่งถือเป็น “ธนาคารดิจิทัลพันธุ์แท้” ที่มีข้อมูลพร้อมในมือทั้งจากตัวธนาคารเองและพันธมิตรต่างๆ ย่อมที่จะหันมาใช้ทั้งข้อมูลทางเลือกและข้อมูลทางด้านจิตวิทยาควบคู่กันเป็นหัวใจหลักในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่ออย่างแน่นอน
ธนาคารจึงควรสื่อสารถึงความโปร่งใสในการจัดเก็บและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเพื่อให้ผู้ใช้งานเกิดความสบายใจว่าการพิจารณาสินเชื่อยังเป็นไปอย่างยุติธรรมตามกรอบการบริหารความเสี่ยงที่ดี อีกทั้งข้อมูลที่นำมาใช้จะต้องเป็นข้อมูลที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของข้อมูลเท่านั้น ในขณะที่สำหรับผู้กู้รายย่อย การมีเครดิตที่ดีอาจไม่ได้หมายถึงการมีรายได้หรือหลักประกันจำนวนมากอีกต่อไป แต่อาจเป็นเพียงการปรับพฤติกรรมเล็กน้อยในชีวิตประจำวันของท่านอยู่แล้วเท่านั้นเอง
ศรัณย์ บุญชลากุลโกศล
ผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางกาารเงิน / ดีลอยท์ ประเทศไทย
ไฮเนเก้น ร่วมรีเฟรชแนวคิดพนักงานออฟฟิศชาวไทยให้ไม่ลืมที่จะปรับจูน Work-Life Balance ดันแคมเปญ “Afterwork by Heineken®” ชูคอนเซ็ปต์ “Clock-out! It’s Afterwork Time” กระตุ้นให้ทุกคนเห็นความสำคัญของช่วงเวลาหลังเลิกงาน พร้อมด้วย Quality Socialising ที่ทำให้เวลาหลังเลิกงานของ ทุกคนกลายเป็นโมเมนต์ที่มีคุณภาพที่ทุกคนจะได้ทำในสิ่งที่ชอบและอยู่กับคนที่รัก ไม่ว่าจะเป็นการพบปะสังสรรค์หรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน โดยมีการร่วมมือกับบริษัทคนรุ่นใหม่ในไทยกว่า 20 แห่ง รวมถึงการจัดกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลาเลิกงานกับร้านอาหารและเอาท์เล็ทรวมกว่า 100 แห่ง ให้คนไทย ได้ปลดปล่อยความเครียดจากการทำงานและรีเฟรชความสดชื่นกันได้ตลอดทั้งปี
เทรนด์ Work-Life Balance ในประเทศไทยถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในกลุ่มคนวัยทำงาน โดยทุกคนให้ความสำคัญในการแบ่งขอบเขตที่ชัดเจนของช่วงเวลาของการทำงานและช่วงเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตส่วนตัว แต่ในความเป็นจริงพนักงานออฟฟิศบางส่วนมีสไตล์การทำงานแบบ Always-On Work Culture หรือการทำงานตลอดเวลา จนทำให้บางครั้งมีเวลาในการพักผ่อนหลังเลิกงานที่ไม่เพียงพอ จนส่งผลกระทบในแง่ลบทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง
ในฐานะแบรนด์ที่มีกลุ่มผู้บริโภคอยู่ในวัยทำงานเป็นหลัก ไฮเนเก้น จึงต้องการสนับสนุนให้ทุกคน Switch Off จากการทำงาน และ Switch On ช่วงเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตหลังเลิกงาน เพื่อสร้าง Afterwork Moment หรือโมเมนต์ดีๆ กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นการเชียร์ฟุตบอลทีมโปรดกับแก๊งค์เพื่อน ดินเนอร์ ในร้านอาหารกับคนที่รัก สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานในคืนวันศุกร์ จัดโฮมปาร์ตี้ผ่อนคลายกับครอบครัว และโมเมนต์อีกมากมายที่มาจากการมี Work-Life Balance ที่ดี
แคมเปญ “Afterwork by Heineken®” มีความมุ่งมั่นที่จะส่งต่อแนวคิดของการสร้างโมเมนต์ดีๆ หลังเลิกงาน โดยร่วมมือกับบริษัทคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดและวัฒนธรรมองค์กรที่ตรงกันในเรื่องของการส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลที่ดีระหว่างช่วงเวลางานและชีวิตส่วนตัว รวมกว่า 20 บริษัท อาทิ What The Duck / Warner Music Thailand / Major Cineplex Group / The Standard / ConNEXT by Techsauce / Asia City Media Group (BK Magazine) / Mission To The Moon ฯลฯ ให้พนักงานได้สนุกกับ Afterwork Moment โมเมนต์ดีๆ หลังเลิกงานกันอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ทุกคนยังสามารถสัมผัสกับ Afterwork Moment ได้ที่ร้านอาหารและเอาท์เล็ทรวมกว่า 100 แห่ง ทั่วประเทศ พร้อมพบกับคอนเสิร์ตและกิจกรรมพิเศษอีกมากมายเอาใจชาวออฟฟิศที่รักในเสียงดนตรี และความสนุกสนาน โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของแคมเปญ “Afterwork by Heineken®” ได้ทางเพจเฟสบุ๊ก HEINEKEN
![]()
SAP (เอสเอพี) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศเปิดตัว GROW with SAP โซลูชันและบริการใหม่ที่จะช่วยให้องค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อประโยชน์สูงสุดจาก Cloud ERP ทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คาดการณ์ธุรกิจในอนาคตได้อย่างแม่นยำ และสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
การเปิดตัวดังกล่าวจัดขึ้นภายในงานการประชุม SEA Partner Success Summit 2023 ซึ่งมีพาร์ทเนอร์กว่า 300 รายทั่วภูมิภาคเข้าร่วม
โซลูชัน GROW with SAP ได้รวบรวมแพลตฟอร์มเพื่อตอบสนองการขยายธุรกิจอย่าง SAP Business Technology Platform เข้าไว้ในบริการนี้เพื่อให้องค์กรสามารถปรับใช้และกำหนดแนวทางซอฟต์แวร์ในแบบคลาวด์เนทีฟผ่าน SAP Build ด้วยโซลูชัน SAP Build ผู้ใช้งานสามารถสร้างแอปพลิเคชันภายในองค์กร สร้างกระบวนการทำงานอัตโนมัติ และออกแบบเว็บไซต์ธุรกิจได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเขียนโค้ด ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาธุรกิจผ่านการสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์
งานวิจัยของ SAP study พบว่า มากกว่า 2 ใน 3 ขององค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก มองเห็นว่าการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น มีความสำคัญต่อองค์กรและความอยู่รอดในอนาคตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน องค์กรมีความจำเป็นที่จะต้อง
อาศัยผู้เชี่ยวชาญและพาร์ทเนอร์ที่สามารถให้คำแนะนำพวกเขาตลอดกระบวนการดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัวและคุ้มค่ากับการลงทุน
“องค์กรขนาดกลางและขนาดเล็กเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 99% ของธุรกิจทั้งหมด ก่อให้เกิดการจ้างงาน 90% และคิดเป็นเกือบ 60% ของจีดีพีในหลายประเทศในอาเซียน การร่วมมือประสานกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรธุรกิจของ SAP และพาร์ทเนอร์ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการใช้ประโยชน์จากโซลูชัน GROW with SAP จะช่วยส่งเสริมศักยภาพขององค์กรขนาดกลางและขนาดเล็กในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล กระตุ้นให้องค์กรเกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งยังส่งเสริมศักยภาพเพื่อโอกาสการเติบโตทางธุรกิจระหว่างประเทศใหม่ ๆอีกด้วย” เวเรน่า เซียว ประธานและกรรมการผู้จัดการ เอสเอพี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
“T-PRIDE ก่อตั้งขึ้นเเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนในการสร้างความร่วมมือและความยืดหยุ่นเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อการระบาดใหญ่ของโควิด 19 แม้ว่าปัจจุบันเราจะอยู่ในยุคหลังการระบาด แต่ T-PRIDE ยังคงเดินหน้าป้องกันและเตรียมความพร้อมขององค์กรอยู่เสมอ ซึ่งการย้ายการทำงานขององค์กรไปยังระบบคลาวด์และใช้งาน GROW with SAP ที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางการทำงานระบบดิจิทัล ช่วยให้องค์กรสามารถยกระดับกระบวนการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นและเป็นไปตามหลักธรรมภิบาลมากยิ่งขึ้น การมีตัวช่วยที่ครบครันจะช่วยให้เราสามารถควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้แนวทางการทำงานและการบริหารสอดคล้องกัน ด้วยแนวคิดการขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลที่รวมเป็นหนึ่งช่วยให้การประมวลผลและการตัดสินใจถูกต้องและม่นยำ ทำให้ T-PRIDE สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ตอบสนองความต้องการของชุมชน และบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ” จูดี้ เฮย ประธานกรรมการบริหาร Temasek Public Resilience Infectious Disease Emergency (T-PRIDE) กล่าว
“ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเอสเอพีที่มากกว่า 50 ปี ในการช่วยบริษัททุกขนาดในหลากหลายองค์กรให้กลายเป็นองค์กรอัจฉริยะที่ยั่งยืน เราเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าและแนวทางเพื่อช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการนำ Cloud ERP มาใช้ รวมถึงทำอย่างไรลูกค้าจึงสามารถนำเอาโซลูชันคลาวจากเอสเอพีมาใช้เพื่อขยับขยายและสนับสนุนธุรกิจ พร้อมทั้งนำเสนอบริการที่ซับซ้อนให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนสามารถเตรียมความพร้อมสู่เป้าหมายความยั่งยืนขององค์กรในอนาคต” เวเรน่า เซียว กล่าวเสริม
“ธุรกิจต่างๆทราบดีว่าการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่นและการย้ายไปยังระบบคลาวด์มีประโยชน์อย่างมาก แต่ความกังวลและไม่มั่นใจทำให้หลายองค์กรยังคงลังเล” คริสตอฟ เดอร์เดน หุ้นส่วนและผู้อำนวยการบริษัท Delaware ประเทศสิงคโปร์ และDelaware นานาชาติ กล่าว “GROW with SAP แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าโซลูชันดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการด้านงบประมาณและธุรกิจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เมื่อลูกค้าเข้าใจรายละเอียดขององค์ประกอบและบริการอย่างชัดเจน การย้ายไปยังระบบคลาวด์จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป แต่ทุกกระบวนการจะอยู่ภายใต้การควบคุมที่เป็นขั้นเป็นตอน นอกจากนี้ยังรับประกันได้ว่า SAP และกลุ่มบริษัทพาร์ทเนอร์ พร้อมดูแลลูกค้าเป็นอย่างดีเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับธุรกิจ”
“SAP ผนึก 3 องค์ประกอบสำคัญที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเข้าด้วยกันในโซลูชันครบวงจร เพื่อช่วยให้ลูกค้าย้ายไปยังระบบคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น" กริช วิโรจน์สายลี ประธานกรรมการ บริษัท ไอแอม คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าว “ลูกค้าของเราสามารถพัฒนาธุรกิจผ่านการใช้งานบนระบบ SAP S/4HANA® Cloud ตลอดจนสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆผ่าน SAP Business Technology Platform ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลพวงมาจากการประสบการณ์ในการช่วยเหลือลูกค้ามายาวนานกว่า 50 ปีของเอสเอพี ยิ่งเรานำเทคโนโลยีและโซลูชันดังกล่าวมาใช้งานเร็วเท่าไหร่ ข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์กรยิ่งมีมากเท่านั้น
นอกจากนี้ SAP ยังได้มีการประกาศผู้ชนะรางวัล SAP SEA Partner Awards 2023 ซึ่งให้ความสำคัญกับพาร์ทเนอร์ดีเด่นในด้านการขาย นวัตกรรม เทคโนโลยี บริการ และโซลูชันอีกด้วย
![]()
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, วันที่ 2 พฤษภาคม 2566: วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท ทีทูพี จำกัด (T2P) บริษัทฟินเทคชั้นนำของประเทศไทย เปิดให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศแบบดิจิทัลสำหรับลูกค้าทั่วไปเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยโซลูชัน วีซ่าไดเร็ค (Visa Direct) ลูกค้าสามารถโอนเงินข้ามประเทศเข้าบัตรเดบิตวีซ่าภายในเวลาอันรวดเร็วเกือบจะเรียลไทม์1
ผู้ส่งเงินในประเทศไทย สามารถโอนเงินไปยังผู้รับในต่างประเทศได้อย่างง่ายดาย เพียงกรอกเลขบัตรเดบิต 16 หลักของผู้รับเงินในแอปพลิเคชัน DeepPocket ของทีทูพี เงินจะถูกโอนไปยังบัตรของผู้รับโดยตรงภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที2 และสามารถนำเงินที่โอนผ่านระบบนี้ไปใช้ได้ในร้านค้าเครือข่ายของวีซ่าที่มีมากกว่า 70 ล้านแห่งทั่วโลก
“เรามีความยินดีที่ได้ร่วมกับ ทีทูพี ในการเปิดตัว วีซ่าไดเร็ค ที่จะทำให้การโอนเงินข้ามประเทศมีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยนวัตกรรมโซลูชันการชำระเงินที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน การเปิดตัววีซ่าไดเร็คในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเติมเต็มทั้งด้านความคาดหวังที่เพิ่มสูงขึ้น และความต้องการที่แปรเปลี่ยนไปของผู้บริโภค ที่มองหาวิธีการเคลื่อนย้ายเงินแบบไร้รอยต่อ และปลอดภัยในทุกที่ทุกเวลาที่พวกเขาต้องการ” ซีรีน เกย์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
ทวีชัย ภูรีทิพย์ ประธานบริหาร บริษัท ทีทูพี จำกัด กล่าวว่า "จากการเพิ่มขึ้นของการชำระเงินถึงกันได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์แบบทันทีในประเทศ (instant domestic peer-to-peer payment) เราจึงอยากทำให้การส่งเงินระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับลูกค้า โดยพัฒนาโซลูชันที่ทั้งสะดวก คล่องตัว และปลอดภัย และเพื่อทำตามคำมั่นสัญญานี้ เราจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับวีซ่าในการเปิดใช้โซลูชัน วีซ่าไดเร็ค บนแอป DeepPocket ของเรา ที่ช่วยให้สมาชิก
ในครอบครัวสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ในเรื่องของการเงินไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก นอกเหนือจากฟังก์ชันที่ง่ายต่อการใช้งาน แอปพลิเคชันยังแสดงให้เห็นถึงอัตราแลกเปลี่ยนแบบเรียลไทม์ และช่วยให้ทั้งผู้โอนและผู้รับทราบจำนวนเงินที่แน่นอนซึ่งจะได้รับในบัตรเดบิตของวีซ่าอีกด้วย”
การโอนเงินแบบดิจิทัลกำลังได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก จากผลการวิจัยของ Money Travel: 2023 Remittance Landscape3 พบว่า ระหว่าง 60-70% ของกลุ่มตัวอย่างในอเมริกาเหนือเคยใช้บริการชำระเงินดิจิทัลผ่านแอปเพื่อโอนหรือรับเงินข้ามประเทศ โดยมีเพียง 10-15% ของกลุ่มตัวอย่างที่ยังพึ่งพาการโอนเงินด้วยเงินสด เช็ค และธนาณัติ
ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศหลักด้านบริการโอนชำระเงินในฝั่งของผู้โอน พบว่า สามในห้าของผู้บริโภคที่ร่วมตอบแบบสอบถาม (61%) เลือกใช้บริการแบบดิจิทัลเท่านั้นในการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยให้เหตุผลในเรื่องของความสะดวกในการใช้งานและความปลอดภัย (53%) นอกจากนี้ จากการศึกษาเกี่ยวกับทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคฉบับล่าสุดของวีซ่า4 ยังแสดงให้เห็นว่าเกือบครึ่งของผู้บริโภคชาวไทย (48%) กล่าวว่าการโอนเงินแบบดิจิทัลเป็นการทำธุรกรรมที่มีความปลอดภัยมากกว่า
สำหรับโซลูชัน วีซ่าไดเร็ค บนแอป DeePocket นี้ ลูกค้าสามารถโอนเงินได้สูงสุดถึง 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อการทำธุรกรรมหนึ่งครั้ง5
“สิ่งนี้ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมการชำระเงินของประเทศไทย ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทยที่กำลังมองหาวิธีการส่งเงินไปให้คนที่พวกเขารักในต่างแดน วีซ่ายังจะมุ่งมั่นสร้างแพลตฟอร์มการชำระเงินที่ครอบคลุมและเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับทุกคน ทุกที่ และทุกเวลา” ซีรีน กล่าวสรุป
บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ฉลองครบรอบ 45 ปี เปิดตัวแทรกเตอร์คูโบต้า L-Metallic Edition (แอล เมทัลลิก อิดิชัน) สำหรับแทรกเตอร์ขนาด 40 และ 50 แรงม้า ครั้งแรกที่มาพร้อมสีพิเศษ Lava Orange Metallic เอกสิทธิ์เฉพาะของคูโบต้า ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม และกระทะล้อสีใหม่ สีเทาดำ เท่ ดุดัน ไม่เหมือนใคร จัดเต็ม Label ใหม่รอบคัน พร้อมสติกเกอร์ฉลองครบรอบ 45 ปี ลิมิเต็ดมีเพียง 1,000 คัน เท่านั้น
นายพิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ เปิดเผยว่า “เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปี บริษัทฯ ได้เปิดตัวแทรกเตอร์คูโบต้า L-Metallic Edition เป็นสีพิเศษ สี Lava Orange Metallic จัดทำขึ้นเฉพาะแทรกเตอร์รุ่นยอดนิยมของเกษตรกรไทยอย่างรุ่น L4018SP-ME ขนาด 40 แรงม้า และ L5018SP-ME ขนาด 50 แรงม้า มาพร้อมสี Lava Orange Metallic สีส้มประกายมุก ให้ความรู้สึกหรูหรา เหนือระดับ เอกสิทธิ์เฉพาะของคูโบต้าที่ต้องใช้ความพิถิพิถันในการพ่นสีถึง 3 ชั้น ชั้นแรกด้วยการชุบโลหะ (EDP) เคลือบพื้นผิวให้เรียบเนียน เพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน ชั้นที่สองพ่นสีส้มประกายมุก ให้โดดเด่นกว่าใคร เสริมภาพลักษณ์ทันสมัย และชั้นสุดท้ายเพิ่มความเงาด้วยการเคลือบฟิล์มใส เพื่อช่วยปกป้องสีรถได้ยาวนานขึ้น นอกจากนี้อีกหนึ่งความพิเศษคือกระทะล้อสีเทาดำ เท่ ดุดัน สะท้อนตัวตนที่เหนือกว่า อีกทั้ง Label ใหม่รอบคันตกแต่งสไตล์ใหม่ โฉบเฉี่ยวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสติกเกอร์ฉลองครบรอบ 45 ปี สุดพรีเมียม มีเพียง 1,000 คันเท่านั้น มาพร้อมราคา 520,000บาท สำหรับรุ่น L4018SP-ME และ 650,000 บาท สำหรับ รุ่น L5018SP-ME”
ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษของแทรกเตอร์รุ่นพิเศษ สำหรับคนพิเศษ BE FIRST, BE UNIQUE, BE PROUD ได้แล้ววันนี้ ที่ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายสยามคูโบต้าใกล้บ้านท่านหรือติดต่อศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์สยามคูโบต้า ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.siamkubota.co.th หรือ โทร. 02-029-1747
รศ.ดร. เอกจิตต์ จึงเจริญ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการ และ นายบุญชัย สุวรรณวุฒิวัฒน์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) หรือ PHOL พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหาร ร่วมถ่ายภาพภายหลังการจัดงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566 ณ สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติทุกวาระตามที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมทั้งอนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสดสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท คงเหลือจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท โดยมีกำหนดการจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566
มูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) เร่งระดมทุนการศึกษาปีการศึกษา 2566 ที่กำลังจะเปิดภาคเรียนในกลางเดือนพฤษภาคมนี้ให้นักเรียนไทยที่ยากไร้และพิการหรือมีพัฒนาการช้าในโครงการการศึกษาของมูลนิธิผ่านเทใจดอทคอม (www.taejai.com) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดมทุนออนไลน์เพื่อสังคมกับโครงการทุนการศึกษา “Save Dropout Students ต่อลมหายใจให้น้องได้เรียนจบ (อีกครั้ง)” ปีที่ 2 และโครงการ “I’m ABLE โอกาสจากพี่ ช่วยหนูได้เรียนร่วม” สามารถร่วมบริจาคได้จนถึง 30 มิถุนายน 2566 นี้
“Save Dropout Students ต่อลมหายใจให้น้องได้เรียนจบ (อีกครั้ง)” ปีที่ 2 เป็นโครงการระดมทุนการศึกษาระยะเวลา 1 ปี เพื่อนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 150 คน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ที่เคยสมัครขอรับการศึกษาจากมูลนิธิในปีการศึกษาที่ผ่านมาแต่ไม่ได้รับทุนเนื่องจากเงินบริจาคที่มูลนิธิได้รับไม่เพียงพอ ให้ได้รับทุนการศึกษาทุนละ 2,000 บาท ร่วมส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาได้ที่ https://taejai.com/th/d/save-drop-out-students2/
ส่วน “I’m ABLE โอกาสจากพี่ ช่วยหนูได้เรียนร่วม” เป็นโครงการมอบทุนการศึกษาระยะเวลา 1 ปี ให้นักเรียนพิการหรือมีพัฒนาการช้าที่กำลังศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันตกของประเทศไทย 150 คน ทุนละ 4,000 บาท ได้มีโอกาสเรียนร่วมในโรงเรียนปรกติ รวมถึงเป็นการช่วยส่งเสริมกำลังใจ ส่งเสริมการเรียนรู้ สร้างเสริมพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญา รู้จักช่วยเหลือตนเองในสถานการณ์ต่าง ๆ และการอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งการแบ่งปัน โดยไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระของครูและเพื่อน ๆ หรือบุคคลอื่นใด สามารถร่วมส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนพิการหรือมีพัฒนาการช้าได้ที่ https://taejai.com/th/d/imable/
สำหรับมูลนิธิ EDF ได้ร่วมกับแพลตฟอร์มระดมทุนออนไลน์เพื่อสังคมเทใจดอทคอมส่งเสริมและมอบโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนไทยที่ขาดแคลนมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2565 โดยโครงการที่สำเร็จไปแล้วได้แก่โครงการ “เก่าไม่ไหว ขอคู่ใหม่ให้หนูที” และโครงการ “Save Dropout Students ต่อลมหายใจให้น้องได้เรียนจบ ทั้งนี้มูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลลำดับที่ 255 ของประเทศไทย ที่ดำเนินงานช่วยเหลือนักเรียนที่ด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษารวมถึงจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ในโรงเรียนและชุมชนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 ได้รับการยอมรับจากองค์กรทั้งในและต่างประเทศและได้รับรางวัล เช่น รางวัลยอดเยี่ยมองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งประเทศไทย ประเภทองค์กรขนาดใหญ่จากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ สถาบัน คีนันแห่งเอเชีย และ เดอะ รีซอร์ส อัลลิอันซ์ รางวัลประกาศนียบัตรองค์กรสาธารณกุศลระดับ 5 ดาว จากการดำเนินงานและบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพทางการเงิน และมีความโปร่งใสจากสมาคมกิฟวิ่ง แบค ประกาศนียบัตรรับรอง CAF International Vetted Organization จาก CAF International ที่มอบให้องค์กรสาธารณกุศลทั่วโลกที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินงานครอบคลุมหลักธรรมาภิบาล เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่จดทะเบียนถูกต้อง รายงานการเงินประจำปีมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ และเงินบริจาคและเงินสนับสนุนที่ส่งมอบให้มูลนิธินำไปใช้อย่างถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลอย่างแท้จริง รางวัลคนดีต้นแบบคุณธรรมไทยจากสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย และรางวัลกัลปพฤกษ์ทองคำจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นในฐานะหน่วยงานที่ทำความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการระดมทุนของมูลนิธิ EDF ที่ทำร่วมกับเทใจดอทคอมได้ที่นายอนุชาติ คงมา ฝ่ายรณรงค์ทุนการศึกษามูลนิธิ EDF โทรศัพท์ 02 579 9209-11 ระหว่างวันจันทร์-วันศุกร์ (09.00-16.30 น.) LINE @edfthai หรืออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.