December 15, 2025

บอร์ด WHA ไฟเขียว ทุ่มงบลงทุน 912 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน SO ในสัดส่วน 20% เสริมธุรกิจครบวงจร ต่อยอดการให้บริการกับลูกค้าของ WHA รองรับการเติบโตของภาคธุรกิจโลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ระบุว่า ตามมติคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566 อนุมัติให้บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ WHA เข้าไปลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.สยามราชธานี หรือ SO จำนวน 111,597,905 ล้านหุ้น หรือเทียบเท่า 20% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 8.1720 บาท โดยภายหลังจากที่เข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญของ SO เสร็จสิ้น WHA จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลำดับที่ 2 ของ SO ถัดจากตระกูลวิมลเฉลา ซึ่งถือหุ้นรวมกัน 58.2%

คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเข้าไปลงทุนใน SO ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการดำเนินตามภารกิจ Mission to the Sun โดยเป็นการเอาจุดแข็งของ WHA ที่มี Ecosystem ที่ครบวงจร และจุดแข็งของ SO เรื่อง Lean Operation มาผสมผสานกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่เป็น Total Sustainable Solutions ให้กับลูกค้าของเรา"

ซึ่ง WHA มองว่า SO เป็นผู้นำในธุรกิจ Outsourcing Service ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการสรรหา และบริหารจัดการบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมและบริการ รวมไปถึงเรื่องการฝึกอบรม เสริมทักษะให้กับบุคลากรเพื่อตอบสนองตลาดแรงงาน นอกจากนี้ SO ยังมีความโดดเด่นเรื่อง Lean Business Process ที่นำ Technology มาพัฒนาเป็น Solutions ต่างๆ ช่วยลูกค้าในการปรับปรุงกระบวนการธุรกิจเพื่อลดต้นทุนในการบริหารงาน ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อาทิ ระบบบริหารจัดการคนขับรถและยานพาหนะ (Fleet Management) ซึ่งอยู่ในแผนการขยายธุรกิจ Green Logistics ของ WHA อีก

ทั้ง SO มีผลการดำเนินงานที่มั่นคงมาโดยตลอด และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคตตามเทรนด์ Lean Organization” คุณจรีพรกล่าวสรุปว่า “การลงทุนใน SO นอกจากจะก่อให้เกิดความร่วมมืออย่างยั่งยืนในเชิงกลยุทธ์ และโอกาสในการต่อยอดธุรกิจในเครือของทั้งสองบริษัทมากมาย ยังคาดว่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกับบริษัทด้วย”

นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามราชธานี หรือ SO เปิดเผยว่า “การขายหุ้นเพิ่มทุน 20% ให้ WHA ซึ่งเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในด้านโลจิสติคส์ นิคมอุตสาหกรรมและการให้บริการโซลูชั่นครบวงจรแก่ลูกค้าภาคอุตสาหกรรม ถือเป็นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) ที่สำคัญของบริษัท ซึ่งจะเข้ามาสร้าง Synergy ให้กับ SO ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ โดย WHA จะช่วยให้ SO สามารถขยายขอบเขตการให้บริการ Outsource ให้มีความหลากหลาย และครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงร่วมกันพัฒนาธุรกิจ หรือ Solutions ใหม่ๆ ที่จะส่งเสริมให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด SO จึงมั่นใจว่า ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจของ WHA และ SO จะทำให้ทั้งสองบริษัทก้าวสู่การเป็น Technology Company และเติบโตไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้ โครงการความร่วมมือในเฟสแรกจะมุ่งเน้นเรื่อง

· Center of Shared Services เป็นการขยายธุรกิจ Outsource ไปยังลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะใน EEC ซึ่งเป็นฐานลูกค้านิคมอุตสาหกรรมของ WHA ที่มีกว่า 1,000 ราย และเป็นบริษัทขนาดใหญ่ทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มการใช้บริการ Outsource สูง

· Workforce Excellence Academy เป็นการพัฒนาบุคลากรและแรงงานให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในอนาคต (New S-curve Industries) ที่จะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศและดึงดูด FDI

· EV Fleet Rental and Management ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน Green Logistics

· ESG และ Carbon Credit เป็นการจัดการพื้นที่สีเขียวในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและเพิ่มคาร์บอนเครดิต

การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว บมจ.สยามราชธานี จะนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่งหากได้รับอนุมัติ คาดว่าการเข้าลงทุนจะแล้วเสร็จภายในกลางเดือนกรกฎาคม 2566

นางสุวรรณี แจ่มปรีชา Head of Branch Service Network บมจ.ธนชาตประกันภัย เป็นตัวแทนบริษัทฯ มอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ผ่านการใช้งานจากสำนักงานของ บมจ.ธนชาตประกันภัย แต่ยังมีสภาพดี สามารถใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยได้ จำนวน 30 เครื่อง ให้กับโรงเรียนปากลำปิล็อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อสนับสนุนให้เด็กนักเรียนพัฒนาความรู้ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ โดยมี นางสาว ดาวไสว ขุนทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านปากลำปิล็อก เป็นผู้รับมอบ

Google Cloud ได้เผยผลสำรวจด้านความยั่งยืนระดับโลกที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยติด 1 ในตลาด 3 แห่งที่ผู้บริหารให้ความสำคัญในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมภิบาล (ESG) เป็นอันดับ 1

โดยตลาดอีกสองแห่งคือสิงคโปร์และเยอรมนี แม้ว่าจะมีปัจจัยทางเศรษฐกิจเข้ามาเป็นอุปสรรคในการดำเนินงานก็ตาม ทั้งนี้ผลสำรวจระดับโลกยังแสดงให้เห็นว่าได้มีการลดความสำคัญของความพยายามด้าน ESG ในประเทศต่างๆ จากอันดับ 1 ในปี 2022 มาเป็นอันดับ 3 ในปี 2023

ความยั่งยืนถือเป็นปัญหาหลักขององค์กร ได้แก่ ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและคุณภาพของอากาศ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เป็นต้น แบบสำรวจความยั่งยืนประจำปีครั้งที่ 2 ของ CXO ได้รับมอบหมายโดย Google Cloud และจัดทำโดย The Harris Poll มีการสำรวจผู้บริหารระดับสูงกว่า 1,476 คนจากตลาด 16 แห่ง ประกอบด้วยตลาด 4 แห่งในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และประเทศไทย การสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนที่ผู้บริหารต้องดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น ส่งผลให้การทำงานหยุดชะงักและเกิดความล้มเหลวในการดำเนินงาน

ผลประกอบการทางการเงินและการปฎิบัติตามความรับผิดชอบด้าน ESG นั้นไม่ใช่สิ่งที่สูญเปล่า

ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ในประเทศไทย (85%) ตระหนักดีว่าลูกค้ามีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมและทำธุรกิจกับแบรนด์ที่ตระหนักถึงความยั่งยืน และ 84% เชื่อว่าการยืดเวลาออกไปหรือลดระดับความสำคัญของเป้าหมายด้านความยั่งยืนจะส่งผลเสียต่อมูลค่าขององค์กร อย่างไรก็ตาม 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าการดำเนินงานของผู้นำองค์กรไม่สอดคล้องกับการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนอย่างเต็มที่ เงื่อนไขทางเศษฐกิจที่ไม่แน่นอนส่งผลให้ 76% ของผู้บริหารเหล่านี้เผชิญความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทในขณะที่ดำเนินธุรกิจด้วยงบประมาณที่น้อยลงกว่าเดิม

ผู้บริหารชี้ว่าการขาดการปรับแนวทางของผู้นำและภาวะเศรษฐกิจระดับมหภาค เป็นสาเหตุของการถดถอยในความพยายามด้านความยั่งยืนขององค์กร โดยเหล่าผู้บริหารถูกกดดันในเรื่องการให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

เอพริล ศรีวิกรม์, ผู้อำนวยการ Google Cloud ประจำประเทศไทย กล่าว “ครื่องมืออัจฉริยะที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูลอย่าง Active Assist ที่องค์กรสามารถใช้เพิ่มประสิทธิภาพในค่าใช้จ่ายด้าน IT, ปรับปรุงความปลอดภัย และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ในเวลาเดียวกัน โดยทาง Google Cloud นำมาปรับใช้เพื่อช่วยให้ผู้บริหารธุรกิจเห็นว่าผลประกอบการทางการเงินและการปฏิบัติตามความรับผิดชอบด้าน ESG นั้นไม่สูญเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นเกือบ 4 ใน 10 ของลูกค้าท้องถิ่นเผยว่าตนเต็มใจที่จะจ่ายมากขึ้นให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีแนวคิดความยั่งยืน องค์กรสามารถปลูกฝังแนวคิดความยั่งยืนลงในการปฏิบัติการและรูปแบบธุรกิจ รวมถึงสามารถวัดมูลค่าและผลตอบแทนจากการลงทุนได้

 

เอาชนะการฟอกเขียว (Greenwashing) ขององค์กรด้วยข้อมูลและการประมาณอย่างแม่นยำ

การฟอกเขียว (Greenwashing) และการสร้างภาพว่ารับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมขององค์กรเป็นปัญหาที่แพร่หลายในหมู่ผู้บริหารในประเทศไทย โดยเกือบ 7 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทย (69%) กล่าวว่าองค์กรของตนกล่าวเกินจริงหรือนำเสนออย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน ผู้บริหารส่วนใหญ่ (83%) เชื่อว่าการฟอกเขียวเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น (เช่น เมื่อบริษัทไม่สามารถวัดผลลัพธ์หรือความคืบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักจะกล่าวเกินจริงถึงความพยายามด้านความยั่งยืนของตน) ดังนั้น องค์กรจำเป็นต้องมีระบบที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริงเพื่อช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงวิธีการใช้ความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืน ที่จะสามารถขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด และวัดความก้าวหน้าได้อย่างถูกต้อง

ทั้งนี้ ผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 63% มีโปรแกรมการวัดผลสำหรับความพยายามด้านความยั่งยืนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดจากตลาดทั้งหมดที่ได้สำรวจเมื่อเทียบกับผู้ร่วมแบบสำรวจทั่วโลกที่ 37% โดยผู้บริหารส่วนใหญ่ (67%) เทียบกับผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลก (47%) เชื่อว่าการเข้าถึงเครื่องมือวัดผลขั้นสูงจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการพัฒนาความพยายามด้านความยั่งยืนขององค์กรให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีการที่คล่องตัวและการสร้างความสามารถภายในองค์กร

นอกเหนือจากการวัดผลที่แม่นยำแล้ว องค์กรจำเป็นต้องทบทวนโครงสร้างและโปรแกรมการเสริมสร้างทักษะที่มีอยู่ใหม่เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน นอกเหนือจากการปรับแนวทางที่จำเป็นสำหรับกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่จะช่วยตัดสินใจเกี่ยวกับความยั่งยืนขององค์กร ผู้บริหารในประเทศไทยยังต้องมีวิธีการที่คล่องตัวและการสร้างความสามารถภายใน ซึ่งอาจเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับความสำเร็จ โดยผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่า 9 ใน 10 ในประเทศไทย (96%) เชื่อว่าจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดขึ้นได้หากบริษัทนำแนวทางการทำงานข้ามสายงานมาปรับใช้ แทนการมีทีมงานด้านความยั่งยืนโดยเฉพาะ ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากมองหาความรู้ที่เกี่ยวข้อง (61%) และเข้าถึงบุคลากรที่มีความสามารถที่เหมาะสม (45%) เพื่อพัฒนาความพยายามด้านความยั่งยืนของบริษัท

“องค์กรต่างๆ สามารถระดมทีมบุคลากรที่มีความสามารถที่มีอยู่เพื่อออกแบบและดำเนินการริเริ่มด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืน โดยนำทักษะอื่นๆ หรือทักษะข้ามสายงานที่พนักงานเหล่านี้มีอยู่แล้วมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านต่างๆ เช่น สถาปัตยกรรมคลาวด์, การวิเคราะห์ข้อมูล, AI และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) เป็นต้น Google Cloud สนับสนุนความพยายามในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลภายในองค์กรผ่านโปรแกรมต่างๆ เช่น Google Cloud Skills Boost นอกจากนี้ เรายังนำเสนอแลปเชิงปฏิบัติที่ช่วยให้ทีมวิศวกรทำความคุ้นเคยกับคุณลักษณะด้านความยั่งยืนที่ฝังอยู่ในเครื่องมือ Google Cloud ที่ใช้อยู่แล้ว รวมถึงหลักสูตรการฝึกอบรมที่ปรับให้เหมาะกับผู้เรียนซึ่งช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะพื้นฐานในการทำความเข้าใจและจัดการกับความท้าทายด้านความยั่งยืนที่องค์กรต้องเผชิญ” คุณเอพริล ศรีวิกรม์ กล่าว

 

เทคโนโลยี: หนทางสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

Google Cloud สนับสนุนองค์กรในประเทศไทยด้วยการใช้งานระบบคลาวด์ที่สะอาดที่สุดในอุตสาหกรรม องค์กรต่างๆ เช่น ยิ้ม แพลตฟอร์ม (Yim Platform) ของ Central Retail, โรบินฮุ้ด (Purple Ventures: Robinhood) ของ SCBX Group และ EVme ของกลุ่มบริษัท ปตท. ได้เลือก Google Cloud เป็นผู้ให้บริการคลาวด์หลัก โดยช่วยให้องค์กรเหล่านั้นดำเนินการลดคาร์บอนของโครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชันดิจิทัล และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนตามคำมั่นขององค์กรได้อย่างสูงสุด

ในปี 2017 ทาง Google เป็นบริษัทแห่งแรกที่มีการใช้ไฟฟ้าประจำปีด้วยพลังงานหมุนเวียน 100% เมื่อเทียบกับขนาดขององค์กร และยังคงบรรลุเป้าหมายนี้ทุกปีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อย้ายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและแอปพลิเคชันไปยัง Google Cloud องค์กรต่างๆ จะได้รับความเป็นกลางทางคาร์บอนของ Google และปรับปรุงโปรไฟล์ด้านความยั่งยืนในทันที

เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพอัจฉริยะและคุณลักษณะด้านความยั่งยืนที่ฝังอยู่ใน Google Cloud เพิ่มโอกาสให้องค์กรต่างๆ สามารถลดการปล่อยคาร์บอนในวงกว้างได้ง่ายขึ้น ดังนี้:

· Carbon Footprint จะแสดงภาพของการปล่อยก๊าซแบบครบวงจรในสโคป 1, 2 และ 3 ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน Google Cloud ขององค์กร ซึ่งทำให้สามารถแยกย่อยข้อมูลตามโครงการ บริการ หรือภูมิภาค และดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้และทำให้เกิดการตัดสินใจเกี่ยวกับความยั่งยืนมากขึ้น · Active Assist ใช้ AI เพื่อให้คำแนะนำแก่องค์กรในการทำความสะอาดสภาพแวดล้อมระบบคลาวด์ เพื่อทำการใช้จ่ายด้านไอทีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงปรับปรุงความปลอดภัยและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย · Google Earth Engine ใช้แคตตาล็อกภาพถ่ายดาวเทียมและชุดข้อมูลเชิงพื้นที่หลายเพตะไบต์ของ Google Cloud และการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมระดับโลก เพื่อแสดงข้อมูลเชิงลึกในเวลาที่เหมาะสม แม่นยำ มีความละเอียดสูง และ

เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่และระบบนิเวศของโลก ซึ่งช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถมองเห็นห่วงโซ่อุปทานของตนและเข้าใจถึงความเสี่ยงด้านสภาพอากาศที่เกิดขึ้นได้

ดาวน์โหลดเอกสารข้อมูลแบบสำรวจความยั่งยืนของ CXO หรือเยี่ยมชมบล็อกและเว็บไซต์ความยั่งยืนของ Google Cloud

ธนาคารกรุงไทย เดินหน้าตอบโจทย์ผู้ลงทุน สร้างความมั่นคงทางการเงิน พร้อมขายพันธบัตรออมทรัพย์ วอลเล็ต สบม. “รุ่นออมอุ่นใจ” ผ่านแอปฯ เป๋าตัง วงเงิน 10,000 ล้านบาท รับดอกเบี้ยคงที่ 2.70% ต่อปี ระหว่างวันที่ 10-23 พฤษภาคม 2566 นี้  ลงทุนง่าย เริ่มต้นเพียง 100 บาท ส่งเสริมคนไทยออมเงินอย่างทั่วถึงและยั่งยืน

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารกรุงไทยมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต เตรียมเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. “รุ่นออมอุ่นใจ” อายุ 7 ปี วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.70 % ต่อปี บนแอปฯ “เป๋าตัง” ลงทุนขั้นต่ำเพียง 100 บาท แต่ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อคน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จําหน่ายให้บุคคลธรรมดา สัญชาติไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 10 – 23 พฤษภาคม 2566

พันธบัตรวอลเล็ต สบม. “รุ่นออมอุ่นใจ” เป็นการลงทุนที่ตอบโจทย์เรื่องการออมเงิน เพราะความเสี่ยงต่ำและได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ สามารถโอนกรรมสิทธิ์และ/หรือ ขายคืนก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนหลังจากถือครองพันธบัตรไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถขายต่อในตลาดรองผ่านแอปฯ เป๋าตัง ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง รับเงินทันที ไม่มีค่าธรรมเนียม สนับสนุนให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเยาวชนที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป เข้าถึงการลงทุนพันธบัตรได้ง่ายอย่างเท่าเทียมผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ในด้านการลดความเหลื่อมล้ำและการแก้ปัญหาโลกร้อน จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนในรูปแบบไร้กระดาษ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

ธนาคารยังได้ร่วมจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ “รุ่นออมอุ่นใจ” อีก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นอายุ 7 ปี และ รุ่นอายุ 10 ปี วงเงินจำหน่ายรวม 30,000 ล้านบาท เริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดจําหน่ายระหว่างวันที่ 15-17 พฤษภาคม 2566 และระหว่างวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2566 โดยรุ่นอายุ 7 ปี วงเงินจำหน่าย 25,000 ล้านบาท เปิดเสนอขายสำหรับประชาชนทั่วไป อัตราดอกเบี้ย 2.70% ต่อปี ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT และธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ ส่วนวงเงินจำหน่ายอีก 5,000 ล้านบาท เป็นรุ่นอายุ 10 ปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เสนอขาย นิติบุคลที่ไม่แสวงหากําไรตามที่ ก.ล.ต. กำหนด จ่ายอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.60% ต่อปี

ขั้นตอนการลงทุนพันธบัตรวอลเล็ต สบม. เพียงดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง เปิดใช้งานวอลเล็ต สบม. แล้วโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ด้วย Wallet ID หรือ QR PromptPay ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร เลือกรุ่นพันธบัตรที่ต้องการซื้อ ระบุจํานวนเงิน และกดยืนยันการชําระเงิน ด้วยรหัส 6 หลัก (PIN) จะได้รับหลักฐานป็น E-Slip Payment ที่จัดเก็บในมือถืออัตโนมัติ สําหรับลูกค้าแอปฯ Krungthai NEXT ที่ต้องการปรับวงเงินโอนเข้าวอลเล็ต สบม. เพื่อซื้อพันธบัตร สามารถทํารายการผ่านแอปฯ Krungthai NEXT ได้ทันที ขณะที่ลูกค้าที่มีบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย สามารถผูกบัญชีกับวอลเล็ต สบม. ระบบจะตัดยอดเงินบัญชีอัตโนมัติ เพื่อซื้อพันธบัตรโดยไม่ต้องเติมเงินเข้าวอลเล็ต ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.krungthai.com หรือติดต่อ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ผนึกกำลังจัดโครงการประกวดแผนการสร้างแบรนด์ J-MAT Brand Planning Competition ครั้งที่ 2 ภายใต้โจทย์ “เปิดมุมมองคนรุ่นใหม่ ปั้นไปรษณีย์ไทยให้มากกว่าการส่ง” กับภารกิจการสร้างแบรนด์ สุดท้าทาย ในการเปลี่ยนองค์กร 140 ปี ให้เหมือน 14 อีกครั้ง

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ J-MAT Brand Planning Competition เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญ ที่สมาคมการตลาดฯได้พัฒนาขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้น้องๆ นิสิตนักศึกษาได้แสดงศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการออกไปทำงานในโลกธุรกิจยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าใจทุกแง่มุมในการสร้างแบรนด์ ทั้งในเรื่องการสร้างคุณค่าจากแก่นแท้ของแบรนด์ (Brand Purpose) และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค ผ่านการสร้างประสบการณ์ที่ดีของแบรนด์ (Brand Experience) เพื่อให้เกิดการจดจำ เชิงบวก จนกลายเป็นความรักความผูกพันธ์กับแบรนด์ในระยะยาวได้

โดยโครงการนี้ ไม่ใช่เป็นแค่การแข่งขันเพื่อชิงชัยชนะ แต่เราตั้งใจ ให้เวทีนี้ เป็นเวทีแห่งโอกาส ให้น้องๆ ที่ผ่านการคัดเลือก ได้เข้ามาร่วมเรียนรู้ และพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆ กันตลอดระยะเวลาการแข่งขัน เป็นโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้มาร่วม ประลองความคิด พิชิตเงินรางวัล เก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนก้าวสู่โลกแห่งการทำงานจริง ผ่านการเรียนรู้ในรูปแบบของเวิร์คช็อป และการได้ทดลองลงมือทำ รวมถึงมีการให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในสายงาน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ตรงนอกห้องเรียนอีกด้วย เป็นโครงการที่เน้นให้เรียนจริง ทำจริง แข่งจริง พร้อมชิงเงินรางวัลกว่า 400,000 บาทอีกด้วย”

โค้งสุดท้าย สำหรับนิสิตนักศึกษาที่สนใจสมัครและส่งผลงานเข้าร่วมโครงการ J-MAT Brand Planning Competition ครั้งที่ 2 เวทีการแข่งขันสำหรับนักสร้างแบรนด์แห่งอนาคต สามารถสมัครและส่งผลงานแรกได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 25 เมษายน 2566

กำหนดการต่างๆ ของโครงการ (อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม)

1. ประชาสัมพันธ์และเปิดรับสมัคร: 15 กุมภาพันธ์ - 25 เมษายน 2566

2. งานเปิดตัวโครงการและชี้แจงโจทย์ (Hybrid): 25 มีนาคม 2566

3. ส่งแผนรอบที่ 1: VDO Clip + แผนสร้างแบรนด์ฉบับย่อ 5 หน้า: ภายในวันที่ 17-25 เมษายน 2566

4. วันประกาศผล 50 ทีม: 3 พฤษภาคม 2566

5. Training & Workshop (Hybrid): 6 พฤษภาคม 2566

6. ส่งแผนรอบที่ 2: แผนฉบับเต็ม ไม่เกิน 30 หน้า: 18 พฤษภาคม 2566

7. วันประกาศผล 10 ทีม: 30 พฤษภาคม 2566

8. ได้รับงบประมาณ ลงมือทำผลงานจริง 1 เดือน: 31 พฤษภาคม - 29 มิถุนายน 2566

9. Mentoring Session ครั้งที่ 1 (Hybrid): 2 มิถุนายน 2566

10. เยี่ยมชมศูนย์ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (Onsite): 9 มิถุนายน 2566

11. Mentoring Session ครั้งที่ 2 (Hybrid): 16 มิถุนายน 2566

12. วันนำเสนอผลงานรอบ 10 ทีมสุดท้าย พร้อมประกาศผล/มอบรางวัล: 1 กรกฎาคม 2566

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

>>> https://sites.google.com/marketingthai.or.th/jbpc/

ช่องทางการสมัคร >>> https://sites.google.com/marketingthai.or.th/jbpc/regis

“MAAI by KTC” โดยนางสาวขนิษฐา มโนมัยอุดม ผู้บริหารแผนก MAAI "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ปักธงผู้นำดิจิทัล ซีอาร์เอ็ม ชูความแข็งแรงของ MAAI Point

เดินหน้าขยายช่องทางการแลกคะแนนให้สมาชิกสามารถโอนแลกคะแนนจากพันธมิตรได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยปัจจุบัน MAAI by KTC สามารถรองรับการแลกเปลี่ยนคะแนน Max Point / Bangchak Point ทั้งสองทาง รวมถึง KTC FOREVER กับคะแนน MAAI เพื่อรับสิทธิพิเศษที่หลากหลาย อาทิ คูปองอิเลกทรอนิกส์ (E-Coupon) ในหมวด กิน ช้อป เที่ยว น้ำมัน โรงภาพยนตร์ ผ่านจุดแลกคะแนนกว่า 3,500 สาขา รวมทั้งรองรับ Scan to Pay ระบบแลกคะแนนรับสินค้า ณ ร้านค้าถุงเงิน ที่ขยายจำนวนไปกว่า 1,800,000 ร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อให้สมาชิกได้เพลิดเพลินกับการใช้คะแนนในจำนวนที่น้อย ผ่านร้านค้ารายย่อยได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อาทิ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่น เครื่องประดับ สุขภาพ ความงาม ท่องเที่ยว และโรงแรม รวมทั้งยังสามารถใช้คะแนนแลกรับโค้ดส่วนลด สำหรับกลุ่มสินค้าหมวดไอทีแก็ดเจ็ต โดยเฉพาะอุปกรณ์มือถือผ่าน KTC Apple Rewards Store ณ เว็บไซต์ www.ktc.co.th/applerewardsstore ได้อีกด้วย

ล่าสุด MAAI by KTC ได้จับมือกับ ONESIAM SuperApp ผสานสิทธิประโยชน์ให้สมาชิกสามารถโอนคะแนนระหว่างกันได้ โดยอัตราการแลกเปลี่ยนคะแนนผ่านแอปพลิเคชัน MAAI by KTC และ ONESIAM SuperApp ได้แก่ คะแนน MAAI 1,000 คะแนนแลกเป็น 100 VIZ Coins และ 100 VIZ Coins เป็นคะแนน MAAI 1,000 คะแนน ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2566 ถึง 7 มีนาคม 2567 โดย VIZ Coin สามารถนำมาใช้เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษ หรือส่วนลดร้านค้าที่ร่วมรายการ ครอบคลุมสินค้าและบริการจากแบรนด์ดังระดับเวิลด์คลาส อาทิ แฟชั่น ความงาม สุขภาพ ไลฟ์สไตล์ และร้านอาหาร ภายในศูนย์การค้าในกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ MAAI by KTC ได้ที่: https://ktc.promo/maai-app-news และดาวน์โหลด แอปฯ ONESIAM SuperApp ได้ที่ https://onesiamlink.page.link/maai-app-news

ออนโด ไฟแนนซ์ (Ondo Finance) ประกาศเปิดตัวโทเคนใหม่ โอเอ็มเอ็มเอฟ (OMMF) ซึ่งช่วยให้ผู้ถือเหรียญสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกสามารถลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือ เอ็มเอ็มเอฟ (MMF) ของสหรัฐอเมริกาโดยใช้โทเคนได้

โอเอ็มเอ็มเอฟสามารถซื้อและแลกได้ในราคาหนึ่งดอลลาร์และได้รับการสนับสนุนทั้งหมดโดยกองทุนรวมตลาดเงินของรัฐบาลสหรัฐ โอเอ็มเอ็มเอฟแตกต่างจากกองทุนรวมตลาดเงินแบบดั้งเดิม เนื่องจากสามารถโอนย้ายได้ทั่วโลกทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงบนบล็อกเชนสาธารณะอีเธอเรียม (Ethereum) และเข้ากันได้กับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบออนเชน เช่น โปรโตคอลการให้ยืมแบบกระจายศูนย์ โอเอ็มเอ็มเอฟจะมีการส่งมอบให้ทุกวันในรูปแบบของโทเคนโอเอ็มเอ็มเอฟใหม่ให้กับนักลงทุนเพื่อรักษาราคาให้คงที่

"ในขณะที่โลกก้าวไปสู่อนาคตที่เป็นดิจิทัลและกระจายศูนย์มากขึ้น โอเอ็มเอ็มเอฟแสดงถึงโอกาสระยะยาวในการมอบวิธีการที่เหนือกว่าในการเก็บรักษาและถ่ายโอนความมั่งคั่ง" คุณนาธาน ออลแมน (Nathan Allman) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของออนโด ไฟแนนซ์ กล่าว "โอเอ็มเอ็มเอฟจะทำกับกองทุนรวมตลาดเงินเช่นเดียวกับที่สเตเบิลคอยน์ทำกับเงินสด นั่นคือการปลดล็อกศักยภาพที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คลังความมั่งคั่งซึ่งเป็นการใช้งานหลักในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกหลักประกันและการชำระเงินที่เข้าถึงได้ทั่วโลก"

โอเอ็มเอ็มเอฟคือก้าวต่อไปของออนโดในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินระดับสถาบันแบบออนเชนสำหรับทุกคน กองทุนรวมตลาดเงินของสหรัฐจัดการเงินมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจแทนการฝากเงินธนาคารสำหรับนักลงทุนจำนวนมาก โอเอ็มเอ็มเอฟช่วยเติมเต็มข้อเสนอที่มีอยู่ของออนโดที่เป็นการออกโทเคนที่เรียกว่าโอยูเอสจี (OUSG) เพื่อให้ลงทุนในพันธบัตรสหรัฐได้ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในการช่วยให้สถาบันในรูปแบบดิจิทัลสามารถใช้แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการเงินสด

ออนโดจะประมวลผลการซื้อและไถ่ถอนสเตเบิลคอยน์ในแต่ละวัน รวมถึงสกุลเงินเฟียตทั่วไป และออนโดจะเสนอการไถ่ถอนทันทีแบบออนเชนสำหรับโอเอ็มเอ็มเอฟจำนวนหนึ่ง นักลงทุนจะได้รับโทเคนโอเอ็มเอ็มเอฟบนบล็อกเชนอีเธอเรียมซึ่งจะแสดงกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ โทเคนเหล่านี้รองรับการโอนย้ายระหว่างที่อยู่นักลงทุนที่ได้รับอนุญาตแล้ว เช่นเดียวกับสัญญาอัจฉริยะที่ผ่านการประเมินตามกฎระเบียบ ออนโดเปิดโอกาสให้นักลงทุนใช้สัญญาอัจฉริยะเพื่อทำการซื้อขายและกู้ยืมแบบออนเชนกับโทเคนในกองทุน เช่นเดียวกับสินทรัพย์คริปโทฯ ทั่วไปแบบอื่น ๆ โอเอ็มเอ็มเอฟจะได้รับการสนับสนุนจากเอ็มเอ็มเอฟที่จัดตั้งขึ้นแต่ยังไม่ได้เปิดเผย เช่นเดียวกับโอยูเอสจี ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของโอเอ็มเอ็มเอฟที่มีการกันสำรองไว้และแยกออกจากงบดุลของออนโด

"สเตเบิลคอยน์รุ่นแรกปฏิวัติวงการไปแล้วก่อนหน้านี้" คุณจัสติน ชมิดท์ (Justin Schmidt) ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าว "ส่วนนี่เป็นครั้งแรกที่มีการให้บริการเงินสดดิจิทัลแบบ

ออนเชนทั่วโลกทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยถูกสร้างขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ ดังนั้นการออกแบบให้สามารถส่งต่อผลตอบแทนได้จึงไม่ใช่จุดสนใจหลัก แต่การทำโทเคนให้สามารถลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินทำให้เราสามารถส่งมอบเสถียรภาพด้านราคาและอรรถประโยชน์ของสเตเบิลคอยน์แบบออนเชนได้ ในขณะที่ให้การคุ้มครองที่เหนือกว่าแก่นักลงทุนและส่งต่อผลตอบแทนไปยังผู้ถือครอง ตลอดจนสร้างสิ่งที่เราเชื่อว่าเหนือกว่าการจัดเก็บมูลค่า วิธีการชำระบัญชี และรูปแบบของหลักประกันสำหรับเศรษฐกิจแบบออนเชน"

เอเอซีเอสบี อินเตอร์เนชันแนล (AACSB International) เครือข่ายการศึกษาด้านธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศยกย่องโรงเรียนธุรกิจ 25 แห่งภายใต้โครงการอินโนเวชันส์ แดท อินสไปร์ (Innovations That Inspire) หรือ นวัตกรรมสร้างแรงบันดาลใจ

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อยกย่องโรงเรียนธุรกิจจากทั่วโลกที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การศึกษาด้านธุรกิจ สำหรับปี 2566 นี้ ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนธุรกิจในรูปแบบที่เพิ่มมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้เรียน ธุรกิจ และสังคม โดยโรงเรียนธุรกิจเหล่านี้กำหนดนิยามใหม่ให้กับอนาคตของการเรียนรู้ การเป็นผู้นำ และการเชื่อมโยง ซึ่งปูทางไปสู่การนำเสนอคุณค่าเพื่อส่งเสริมการศึกษาด้านธุรกิจ

นวัตกรรมเด่นของโรงเรียนธุรกิจเหล่านี้ช่วยบุกเบิกความร่วมมือในอุตสาหกรรมและชุมชน กำหนดนิยามใหม่ของอิทธิพลด้านการวิจัย และยกระดับประสบการณ์การเรียนรู้ตลอดชีวิต ยกตัวอย่างเช่น

· อนาคตของธุรกิจคือดิจิทัล (The Future of Business Is Digital) โดยโรงเรียนธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย (UniSA Business): ทางสถาบันได้ผนึกกำลังกับเอคเซนเชอร์ (Accenture) บริษัทที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อพัฒนาหลักสูตรปริญญาตรีสาขาธุรกิจดิจิทัลแบบเรียนออนไลน์ ซึ่งมอบทักษะทางธุรกิจและดิจิทัลระดับสูง และมุ่งเน้นประสบการณ์จริงในอุตสาหกรรม

· ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ (Act for Climate) โดยโรงเรียนธุรกิจแอมลียง (EMLYON Business School): นำเสนอหลักสูตรที่ผสมผสานความเข้าใจพื้นฐานด้านสภาพภูมิอากาศ คำอธิบายสถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม และการออกแบบแผนปฏิบัติการที่เหมาะสม เพื่อสอนให้ผู้เรียนพัฒนาทฤษฎีสำหรับรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สามารถแก้ปัญหาได้จริง

· ศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรมและผู้ประกอบการ (Center for Innovation and Entrepreneurship หรือ iCenter) โดยวิทยาลัยธุรกิจลูวิสแห่งมหาวิทยาลัยมาร์แชลล์ (Marshall University: The Lewis College of Business): จัดตั้งศูนย์ iCenter ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดนวัตกรรมทั่วทั้งวิทยาลัย วิทยาเขต และชุมชน ด้วยการเผยแพร่แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านการให้ความรู้และการฝึกอบรม

· การพัฒนากลุ่มวิจัยในโรงเรียนธุรกิจ (Developing Research Groups in Business School) โดยโรงเรียนเศรษฐศาสตร์และธุรกิจเคทียูแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีคอนาส (Kaunas University of Technology: KTU School of Economics and Business): พัฒนากลุ่มวิจัยแบบสหวิทยาการ 4 กลุ่ม เพื่อขจัดอุปสรรคทางวิชาการ เพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยของคณาจารย์ ส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียน ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการสร้างความร่วมมือและการได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ

"ความต้องการใหม่ ๆ ของบรรดาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้น ได้ผลักดันให้ต้องมีการคิดใหม่ทำใหม่ในส่วนของการศึกษาด้านธุรกิจ และนวัตกรรมจากโรงเรียนธุรกิจในโครงการอินโนเวชันส์ แดท อินสไปร์ ประจำปี 2566 นี้ แสดงให้เห็นถึงแนวทางใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนธุรกิจในอนาคต" คุณแคริน เบค-ดัดลีย์ (Caryn Beck-Dudley) ประธานและซีอีโอของเอเอซีเอสบี กล่าว "การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเพื่อร่วมกันสร้างองค์ความรู้ วิธีการเรียนรู้ใหม่ ๆ และขยายการเข้าถึงการศึกษา ส่งผลให้โรงเรียนธุรกิจสามารถตอบสนองความคาดหวังของตลาด ตลอดจนเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ ผู้เรียน และสังคม"

โครงการอินโนเวชันส์ แดท อินสไปร์ เข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว และได้ยกย่องโรงเรียนธุรกิจรวม 214 แห่งซึ่งเป็นแบบอย่างของแนวทางที่ก้าวหน้าด้านการศึกษา การวิจัย การมีส่วนร่วมกับชุมชน ความเป็นผู้ประกอบการ ความเป็นผู้นำ รวมถึงความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง ทั้งนี้ โครงการอินโนเวชันส์ แดท อินสไปร์ ประจำปี 2566 ได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียนธุรกิจสจ๊วตแห่งสถาบันเทคโนโลยีอิลลินอยส์ (Illinois Institute of Technology's Stuart School of Business) สามารถดูข้อมูลและตัวอย่างเพิ่มเติมได้ที่ aacsb.edu/innovations-that-inspire

ส่งตรงความร้อนแรงจากครัวไทยไปทั่วโลก เมื่อไฟแห่งความทะเยอทะยานของเหล่าคนครัวส่งให้ภาพยนตร์ไทยโดย Netflix เรื่องแรกของปีอย่าง HUNGER คนหิว เกมกระหาย ได้ครองอันดับ 1 ของโลกบน Netflix Global Top 10 รวมถึงเป็นอันดับ 1 ในอีก 51 ประเทศ ด้วยยอดการรับชมสะสมสูงถึง 43.58 ล้านชั่วโมง นอกจากนี้ HUNGER คนหิว เกมกระหาย ยังสามารถเข้าไปอยู่บนชาร์ต Netflix Top 10 ในอีก 91 ประเทศทั่วโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา เยอรมนี เม็กซิโก ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น ฯลฯ (จากสถิติระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2566)

 

ด้วยการรวมตัวของสองผู้สร้างมือรางวัลอย่างสิทธิศิริ มงคลศิริ ผู้กำกับ และคงเดช จาตุรันต์รัศมี ผู้เขียนบท ภาพยนตร์เรื่อง HUNGER คนหิว เกมกระหาย ได้กระแสตอบรับดีเกินคาดและได้รับการพูดถึงเป็นวงกว้าง จนครองฟีดโลกโซเชียลนับตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เปิดตัว ทั้งผู้ชม นักวิจารณ์ และสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศต่างให้ความสนใจทั้งในแง่ของงานกำกับสุดระทึก งานภาพที่สื่อความนัยได้อย่างโดดเด่น และการประชันฝีมือของทีมนักแสดงนำที่ขับเน้นให้สมรภูมิหลังครัวนี้ดุเดือดจนต้องกลั้นหายใจ รวมไปถึงบทภาพยนตร์ที่จุดประเด็นทางความคิดให้เกิดบทสนทนาตามมาอีกนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทุกคนต่างต้องเข้ามาร่วมวงสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ รวมทั้งบทพูดและฉากโดนใจต่างได้รับการแชร์ต่อและเกิดเป็นมีมมากมายบนโลกโซเชียล ส่วนเมนู “ผัดงอแง” ที่ปรากฏในเรื่องก็กลายเป็นอาหารจานเด็ดที่ใครๆ ก็อยากลิ้มลอง จนถึงขั้นมีร้านอาหารบางแห่งเริ่มเปิดขายเมนูผัดงอแงให้ได้ชิมกันจริงๆ แล้วด้วย

 

นอกจากนี้ แคมเปญต่างๆ ที่ Netflix จัดเต็มออกมาโปรโมตภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เรียกเสียงฮือฮาจากผู้พบเห็นได้ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญโฆษณาผ่านป้ายบิลบอร์ดทั่วกรุงเทพ ที่มาพร้อมคัตเอาต์รูปมีดขนาดยักษ์ปักกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ สะท้อนความดุดันของออยและเชฟพอล ตามมาด้วย HUNGER Restaurant ร้านอาหารป๊อปอัปที่เสิร์ฟเมนูส่งตรงจากในภาพยนตร์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้น G โซน Groove ณ ศูนย์การค้า CentralwOrld ที่มีการตกแต่งภายในโดยการแบ่งครึ่งร้าน เพื่อเสิร์ฟประสบการณ์ Fine Dining สุดหรูในเมนู “Le Pleurnichard” ควบคู่ไปกับบรรยากาศร้านอาหารข้างทางในเมนู “ผัดงอแง” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างล้นหลาม จนยอดการจองล่วงหน้ากว่า 2,400 ที่นั่งถูกจับจองจนเต็มในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับใครที่ดู HUNGER คนหิว เกมกระหาย แล้วอยากสวมบทออย ลงมือปรุงผัดงอแงกินเองดูสักครั้ง Netflixยังจับมือกับโรซ่า ออกผลิตภัณฑ์ซอสสารพัดผัด ให้ผู้ชมได้ซื้อไปลองทำผัดงอแงกินเองที่บ้าน และแน่นอนว่าซอสปรุงรสขวดนี้ก็ได้รับการตอบรับดีจนยอดขายถล่มทลาย ยิ่งตอกย้ำความร้อนแรงของ HUNGER คนหิว เกมกระหาย ได้เป็นอย่างดี

ใครยังไม่ได้รับชม HUNGER คนหิว เกมกระหาย อย่าพลาดชิมรสชาติจัดจ้านของวงการอาหารไฮเอนด์ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix เท่านั้น

ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY กล่าวว่า SKY ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน (Aviation Tech) กำลังเร่งศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับการบริการภายในสนามบิน (Airport Services) เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำให้แก่นักเดินทางตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน ซึ่งที่ผ่านมาอุตสาหกรรมท่าอากาศยานทั่วโลกมีการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการภายในสนามบินจนเกิดเทรนด์ใหม่ๆ ดังนี้

 

1. Immersive Technology and Digital Twin

หลังเกิดปรากฏการณ์ที่หลายธุรกิจนำเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Immersive Technology) ทั้งเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง (Augmented Reality: AR) และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality: VR) มาเป็นตัวเชื่อมต่อประสบการณ์ของผู้บริโภค เข้ากับสินค้าและบริการต่างๆ บนโลกเสมือนจริงกันมากมายในปีที่ผ่านมา ธุรกิจสายการบินก็มีการพัฒนาแพลตฟอร์มจำลองวิวและบรรยากาศภายในห้องโดยสาร เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารจองตั๋วและตัดสินใจเลือกที่นั่งได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการบินยังใช้เทคโนโลยีฝาแฝดดิจิทัล (Digital Twin) จำลองโครงสร้างจากวัตถุจริง และใช้เซ็นเซอร์ช่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ มาช่วยออกแบบและผลิตเครื่องบิน รวมถึงตรวจจับและแก้ไขระบบวิศวกรรมต่างๆ ภายในท่าอากาศยาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากปัญหาระบบขัดข้องที่จะกระทบต่อเวลาเดินทางของผู้โดยสาร

2. End-to-End Passenger Experience

สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนคุ้นชินกับการใช้ระบบไร้สัมผัสที่สามารถดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยตัวเองได้อย่างรวดเร็ว การให้บริการภายในสนามบินยุคปัจจุบันจึงต้องลดความซับซ้อนลง โดยนำโซลูชันอัจฉริยะเข้ามาช่วยให้ผู้โดยสารสะดวกมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่เข้าสนามบินจนถึงลงจากเครื่องบิน อาทิ Check-In Kiosk และ Self Bag Drop จุดบริการเช็กอินและโหลดสัมภาระได้ด้วยตัวเอง e-Gates ที่ใช้เทคโนโลยีชีวมิติ (Biometrics) สแกนใบหน้า ม่านตา หรือลายนิ้วมือ เพื่อยืนยันตัวตนแทนหนังสือเดินทาง ให้ผู้โดยสารสามารถเช็กอินและผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที

3. Integrated Digital Journey

นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ยังต้องการเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง สนามบินและสายการบินต่างๆ จึงพัฒนาแอปพลิเคชันให้ผู้โดยสารสามารถจัดการทุกขั้นตอนผ่านสมาร์ทโฟนได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น ค้นหา

และจองเที่ยวบิน เช็กอินออนไลน์ แจ้งเตือนเที่ยวบิน ติดตามสัมภาระได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง บริการสอบถามข้อมูลและแจ้งปัญหา ขณะเดียวกัน สนามบินบางแห่งยังมีการใช้หุ่นยนต์นำทาง ช่วยพาผู้โดยสารไปยังจุดบริการต่างๆ ภายในสนามบินได้อย่างแม่นยำ

4. Passenger Flow Solutions

การกลับมาอย่างฉับพลันของการท่องเที่ยวทำให้หลายสนามบินเผชิญปัญหาผู้โดยสารหนาแน่น จึงมีการนำโซลูชันเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการการไหลเวียนของผู้โดยสาร (Passenger Flow) อย่างเช่น เทคโนโลยีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับเส้นทางการเคลื่อนที่ของผู้โดยสารแบบเรียลไทม์ แล้วนำมาจำลองพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ ตั้งแต่ระยะเวลาเดินทางไปยังจุดตรวจคนเข้า-ออกประเทศ ระยะเวลาเดินทางไปยังประตูขึ้นเครื่องบิน หรือแม้แต่เวลาที่เหลืออยู่สำหรับการช้อปปิ้งก่อนขึ้นเครื่อง เพื่อวิเคราะห์ประเภทผู้โดยสาร และออกแบบระบบการให้บริการต่างๆ ในสนามบินให้คล่องตัวยิ่งขึ้น ล่าสุด สนามบินบางแห่งได้พัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยวิเคราะห์จำนวนผู้โดยสารและแก้ปัญหาความแออัดภายในสนามบิน พร้อมตรวจจับวัตถุต้องสงสัย

5. Sustainable Aviation

ความยั่งยืนเป็นอีกโจทย์สำคัญที่ท้าทายอุตสาหกรรมการบิน เนื่องจากภาวะโลกร้อน อีกทั้งผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สนามบินและสายการบินต่างพยายามปรับรูปแบบการให้บริการที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่น การออกแบบอาคารผู้โดยสารที่ช่วยลดการใช้พลังงาน โดยนำระบบอาคารอัจฉริยะเข้ามาตรวจจับการทำงานของระบบควบคุมความร้อนและความเย็น มีพื้นที่สีเขียวในร่ม ติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ใช้ระบบไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนการใช้พลังงานทางเลือกสำหรับเครื่องบิน เช่น เชื้อเพลิงพลังงานไฮโดรเจน

ขยล อธิบายอีกว่า ประเทศไทยเองก็มีแนวคิดในการพัฒนาสนามบินแห่งอนาคตมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยอย่างสนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะต่างๆ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารทั่วโลก เพื่อยกระดับท่าอากาศยานไทยสู่การเป็นสนามบินอัจฉริยะ (Digital Airport) เช่นกัน อาทิ ระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (CUPPS) ตั้งแต่ตรวจบัตรโดยสาร ตู้ Kiosk สำหรับเช็กอินด้วยตัวเอง ไปจนถึงประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ และแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT ที่มีฟีเจอร์หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการการเดินทาง สำหรับดูแลผู้โดยสารตั้งแต่ก่อนเดินทางจนถึงออกจากสนามบิน

ขณะเดียวกัน ทีมพัฒนาเทคโนโลยีของ SKY ยังร่วมกับ ESIC Lab ของภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านการท่าอากาศยานกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับการให้บริการที่เหนือชั้นยิ่งขึ้นด้วยแหล่งข้อมูลที่หลากหลายในสนามบิน อาทิ พฤติกรรมการใช้งานพื้นที่ภายในสนามบิน ข้อมูลเที่ยวบิน ความหนาแน่นของผู้โดยสารในแต่ละพื้นที่ เพื่อพัฒนาทั้งบริการด้านประสบการณ์ในสนามบินของผู้โดยสาร และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ภายใต้หลักการของการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและถูกเวลากับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อรักษามาตรฐานการบริการให้สามารถรองรับการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสาร และมุ่งสู่ความเป็นสนามบินแห่งอนาคตได้

X

Right Click

No right click