

ผลสำรวจล่าสุดของการ์ทเนอร์ อิงค์ เผยน้อยกว่าครึ่ง (44%) ของผู้นำด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (D&A) รายงานว่าทีมของเขามีประสิทธิภาพในการมอบคุณค่าแก่องค์กร โดยผู้บริหารด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (Chief Data And Analytics Officer หรือ CDAO) ต้องให้ความสำคัญกับการมีบทบาท (Presence) ความยึดมั่นกับสิ่งที่ทำ (Persistence) และผลจากการปฏิบัติงาน (Performance) เพื่อประสบความสำเร็จในบทบาทที่รับผิดชอบและมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สามารถวัดค่าได้
ดอนน่า เมไดรอส ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "ทีม D&A อยู่ในบทบาททางธุรกิจที่ต้องขับเคลื่อนคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้บริหาร CDAO ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมีผลงานเหนือผู้บริหารในระดับเดียวกัน ด้วยการฉายภาพให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญในการเป็นผู้นำ และพัฒนากลยุทธ์ให้กับฟังก์ชันการทำงานด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ที่คล่องตัว ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์และการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมทางธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”
![]()
ผู้บริหาร CDAO ที่ประสบความสำเร็จทำให้เห็นบทบาทการบริหาร (Executive Presence)
จากการสำรวจพบว่าผู้บริหาร D&A ที่ประเมินว่าตนเอง "มีประสิทธิภาพ" หรือ "มีประสิทธิภาพอย่างมาก" ตาม 17 คุณสมบัติที่แตกต่างกันของผู้นำนั้นมีความสัมพันธ์กับผู้บริหารที่ระบุว่าองค์กรและทีมงานมีประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างเช่น 43% ของผู้นำ D&A ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด (Top-Performing) บอกว่าตนมีประสิทธิภาพเมื่อทุ่มเทเวลาให้กับการพัฒนาความเชี่ยวชาญ เทียบกับ 19% ของผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพต่ำ
อลัน ดันแคน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ผู้บริหาร CDAO ที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นผู้นำชั้นยอด พวกเขาจะลงทุนเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จโดยการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่สามารถสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอน และสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีคุณค่าและน่าสนใจ รวมถึงสามารถเลือกผลิตภัณฑ์และบริการ D&A ที่ช่วยขับเคลื่อนและรับมือกับผลกระทบทางธุรกิจได้”
CDAO ต้องตั้งมั่น (Persistent) กับการตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ
จากการสำรวจ ยังพบว่าผู้บริหาร CDAO ต้องรับผิดชอบมากขึ้น รวมถึงการกำหนดและการนำกลยุทธ์ด้าน D&A ไปปฏิบัติ (60%) การกำกับดูแลด้านกลยุทธ์ D&A (59%) การสร้างและการปฏิบัติตามธรรมาภิบาล D&A (55%) และการจัดการต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (หรือ Data-Driven Culture Change) (54%).
นอกจากนี้มีฟังก์ชันการทำงานด้าน D&A หลายอย่างกำลังได้รับการลงทุนเพิ่มขึ้น ประกอบด้วยด้านการจัดการข้อมูล (65%) การกำกับดูแลข้อมูล (63%) และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (60%) โดยมีงบประมาณเฉลี่ยของ D&A อยู่ที่ 5.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี 2565 ที่ผ่านมา 44% ของทีมงานด้าน D&A มีการขยายทีมใหญ่ขึ้น
“ความต้องการด้านต่าง ๆ ได้ถูกวางไว้บนบ่าของ D&A เช่นเดียวกับการลงทุนที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความสามารถของผู้บริหารและให้การยอมรับที่มากขึ้นในความสำคัญของหน่วยงานด้านข้อมูล (Data Office) ว่าเป็นฟังก์ชันธุรกิจที่องค์กรขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้ทีม D&A มีภาระงานเพิ่มขึ้นตามแรงกดดัน เพื่อบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้” เมไดรอส กล่าวเพิ่ม
ผู้ตอบแบบสอบถาม 39% ระบุว่าเมื่อขอบเขตและความซับซ้อนของความต้องการต่าง ๆ ถูกมอบหมายมาอยู่กับทีม D&A ทำให้ปัญหาการขาดบุคลากรที่มีทักษะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญลำดับแรกต่อความสำเร็จของทีม D&A โดย 6 อันดับแรกของอุปสรรคที่ทีม D&A รายงานไว้ในแบบสำรวจล้วนเป็นความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั้งสิ้น (ดูรูปที่ 1)
![]()
รูปที่ 1: อุปสรรคสำคัญขวางกั้นความสำเร็จของโครงการริเริ่มด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (สรุปรวมอยู่ใน 3 อันดับแรก)
ที่มา: การ์ทเนอร์ (มีนาคม 2566)
เพื่อสร้างทีมงาน D&A ที่มีประสิทธิภาพ ผู้บริหาร CDAO ต้องมีกลยุทธ์การจัดการบุคลากรที่แข็งแกร่ง นอกเหนือไปจากการจ้างพนักงานที่มีความสามารถพร้อมทำงาน แต่ควรรวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษา การฝึกอบรมและการสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การเพิ่มความรู้และทักษะการใช้ข้อมูล (Data Literacy) ทั้งจากภายในทีมงานหลักด้าน D&A รวมถึงชุมชนทางธุรกิจและเทคโนโลยีในวงกว้าง
ผลงาน (Performance) ของทีม D&A ต้องเชื่อมกับกลยุทธ์ธุรกิจ
จากการสำรวจ พบว่า 78% ของผู้ตอบแบบสอบถามจัดลำดับความสำคัญด้านกลยุทธ์องค์กรหรือวิสัยทัศน์ขององค์กรไว้เป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของกลยุทธ์ด้าน D&A นอกจากนี้ 68% ให้ความสำคัญกับความคิดริเริ่มด้าน D&A ที่สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์
“ผู้บริหาร CDAO ที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ (Strategy) มากกว่ากลวิธี (Tactic) คือผู้ที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุด เนื่องจาก CDAO ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่มทั่วทั้งธุรกิจ พวกเขาจึงต้องจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกลยุทธ์ขององค์กร และเน้นการนำเสนอวิสัยทัศน์ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ร่วมกับ CEO, CIO และ CFO ในฐานะผู้มีอิทธิพลหลัก” ดันแคน กล่าวเพิ่ม
ใหม่!! “โซคิ้วบ์ - XO CUBE” กาแฟสดรูปแบบก้อนฟรีซดราย ครั้งแรกของไทย กับปรากฏการณ์ใหม่ที่เราอยาก “ท้าให้ลอง” ด้วยเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้า 100% นำเข้าจากต่างประเทศ คัดสรรอย่างพิถีพิถันเมล็ดต่อเมล็ด ผ่านเทคโนโลยีฟรีซดราย (Freeze-dried coffee technology) ด้วยความเย็น -40 องศา คงความสดของกาแฟไว้ได้ถึง 93% พร้อมกระบวนการพิเศษ Taste LOC สูตรลับเฉพาะใน “โซคิ้วบ์ - XO CUBE” สู่กาแฟสดรูปแบบก้อน Freeze Dried ครั้งแรกในไทย ให้รสชาติเข้ม บอดี้เน้นๆ หอม...กรุ่น เต็มก้อน ละลายง่ายภายใน 3 วิ ทั้งในน้ำร้อนและน้ำเย็น ตอบโจทย์เติมความสะดวกของคนรักกาแฟ กับ 3 รสชาติ ได้แก่ ทรี-อิน-วัน(3-in-1) ที่มาในขนาด แพ็ค 4 ชิ้น ราคา 39 บาทและขนาดแพ็ค 10 ชิ้น ราคา 95 บาท , มอคค่า(Mocca) ขนาดแพ็ค 4 ชิ้น ราคา 39 บาท และอเมริกาโน่ (Americano) ขนาดแพ็ค 10 ชิ้น ราคา 50 บาท ฉีกทุกรูปแบบ ทะลายทุกกฎของการดื่มกาแฟสำเร็จรูปแบบเดิมๆ เต็มรสชาติกาแฟได้ทุกที่ทุกเวลา
พิสูจน์ความเข้มเต็มก้อนกับ “โซคิ้วบ์ - XO CUBE” กาแฟก้อนสดฟรีซดราย เจ้าแรกในไทยในทุกรสชาติ ได้แล้ววันนี้ ณ เทสโก โลตัสทุกสาขาทั่วประเทศ และShopee Mall : https://shopee.co.th/xocube_officialshop , LAZ Mall : https://www.lazada.co.th/shop/xo-cube , Facebook : xocube , เว็บไซต์ www.xocubefreezedry.com พร้อมช่องทาง LINE ที่ @xocube หรือคลิก https://lin.ee/iOw0TRj
เคทีซีแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ธุรกิจเติบโตตามแผน โดยงบการเงินรวมมีกำไร 1,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% จากการบริหารรายได้กับค่าใช้จ่ายอย่างสมดุล และการสร้างพอร์ตที่มีระดับความเสี่ยงสอดคล้องกับรายได้รับ โดยพอร์ตสินเชื่อทุกผลิตภัณฑ์ขยายตัว ทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลและลูกหนี้ตามสัญญาเช่า ด้วยมูลค่าพอร์ตรวม 103,312 ล้านบาท ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น 22.5% เท่ากับ 63,989 ล้านบาท ในขณะที่ NPL อยู่ในอัตราต่ำที่ 1.9% พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ จับมือพันธมิตรรักษาฐานสมาชิกเดิมและขยายฐานสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพเข้าพอร์ต
![]()
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ อีกทั้งมาตรการภาษี “ช้อปดีมีคืน” ล้วนนำไปสู่การใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น และเป็นผลให้ภาพรวมของตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566 เติบโตดีต่อเนื่อง โดยเคทีซีมีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคล เทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 14.6% และ 3.7% ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของเคทีซีขยายตัว 24.3% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่เติบโต 18.6% ทำให้เคทีซีมีส่วนแบ่งการตลาดของปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 12.2%”
“สำหรับไตรมาสแรก ผลการดำเนินงานของเคทีซีเป็นไปในทิศทางเดียวกับแผนและเป้าหมายที่วางไว้ โดยข้อมูลสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 เคทีซีมีกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการและงบการเงินรวมเท่ากับ 1,843 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.2%) และ 1,872 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 7.1%) ตามลำดับ ผลจากพอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัวสร้างรายได้เติบโตดี และมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งสามารถรักษาคุณภาพพอร์ตได้อย่างเหมาะสมกับความเสี่ยงที่มีในแต่ละธุรกิจ โดยมีฐานสมาชิกรวม 3,333,227 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 103,312 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.5%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 1.9% (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 4/2565 ที่ 1.8%) แบ่งเป็นสมาชิกบัตรเครดิต 2,591,404 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 67,640 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 16.8%) NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.1% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรมูลค่า 63,989 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22.5%) สมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 741,823 บัญชี (ลดลง 1.6%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 32,371 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11.1%) NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.8% และลูกหนี้ตามสัญญาเช่ามูลค่า 3,301 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.6%) NPL สินเชื่อตามสัญญาเช่าอยู่ที่ 8.8% โดยที่ยอดลูกหนี้ใหม่ (New Booking) ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 334 ล้านบาท ขยายตัว 42% และสินเชื่อรถขนาดใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรม (Commercial Loan) เท่ากับ 944 ล้านบาท”
“ในส่วนของรายได้รวมไตรมาส 1/2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เท่ากับ 6,055 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13.0%) จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) และรายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) ที่เพิ่มขึ้น 14.7% และ 21.8% ตามลำดับ และมีหนี้สูญได้รับคืน 822 ล้านบาท (ลดลง 4.1%) ค่าใช้จ่ายรวม 3,742 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17.6%) จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 1,367 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 30.8%) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการตัดหนี้สูญ และต้นทุนทางการเงิน 390 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15.8%) จากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาดการเงิน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารเท่ากับ 1,985 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10.4%) จากค่าใช้จ่ายด้านบุคคลและค่าธรรมเนียมจ่ายที่เพิ่มขึ้น 14.6% และ 30.9% ตามลำดับ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทางการตลาดลดลง 5.6% โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวมต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ที่ 32.8%”
“ทั้งนี้ วันที่ 31 มีนาคม 2566 เคทีซีมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 59,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% จากไตรมาส 1/2565 ที่ 50,367 ล้านบาท ต้นทุนการเงิน 2.6% เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีโครงสร้างแหล่งเงินทุนมาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว คิดเป็นสัดส่วน 28% ต่อ 72% อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 2.0 เท่า ไม่เกินกว่าภาระผูกพัน (Debt Covenants) ที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) 23,670 ล้านบาท”
“สืบเนื่องจากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.ฝคง.ว. 951/2564 เรื่อง การยกระดับการกำกับดูแลการบริหารจัดการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) กลุ่มบริษัทของเคทีซีได้ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวทางการบริหารจัดการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม โดยให้ความสำคัญและส่งเสริมการช่วยเหลือ ติดตามแก้ไขปัญหาหนี้สิน เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ รายย่อยที่ประสบปัญหาหนี้สินอย่างตรงจุดและทันท่วงที รวมถึงการพัฒนากระบวนการให้สินเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ (End-to End process) อย่างยั่งยืน ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการจ่ายชำระคืน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring) การไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สิน (Debt Mediation) เพื่อบรรเทาภาระหนี้ให้แก่ประชาชน โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 เคทีซีได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในทุกสถานะเป็นจำนวน 1,995 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.0% ของพอร์ตลูกหนี้รวม”
“เคทีซีจะยังคงเน้นการรักษาพอร์ตคุณภาพลูกหนี้ โดยใช้เกณฑ์อนุมัติสินเชื่อที่สอดคล้องกับความเสี่ยง และบริหารจัดการติดตามหนี้อย่างเป็นธรรมต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับขยายฐานลูกค้าใหม่ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และปิดบัญชีลูกค้าที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใช้งานตามเงื่อนไขที่กำหนด ตลอดจนบริหารรายได้และค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่สมดุล รวมทั้งตั้งสำรองและตัดหนี้สูญเพิ่มหรือลด ตามลักษณะของพอร์ตที่ควรจะเป็น โดยคาดว่าสิ้นปีพอร์ตสินเชื่อจะมีอัตราเติบโตตามเป้าหมาย พร้อมประมาณการกำไรของปี 2566 ที่สูงกว่าเดิม ส่วนปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรยังมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ”
เพื่อให้ลูกค้าทรูดีแทคสุขยิ่งขึ้น ตลอดการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ และทุกการเดินทางที่พิเศษ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ผนึกพันธมิตร แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส บริษัทในเครือพีทีจี ผู้ดูแลบริหารจัดการทางด้านสิทธิพิเศษต่าง ๆ ร่วมมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้ลูกค้าคนสำคัญตลอดการเดินทางปีนี้ ทั้งส่วนลดน้ำมัน ตรวจเช็คสภาพรถฟรี และเครื่องดื่มแก้วโปรด จากภาพ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายฐานพล มานะวุฒิเวช (ที่ 3 จากขวา) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด พร้อมด้วย นางสรรค์พิจิตร เอี่ยมชีรางกูร (ซ้าย) หัวหน้าสายงานบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (ร่วม) พร้อมด้วย บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด โดย นายพร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ และนางสาวน้ำผึ้ง เกิดปฐม (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ร่วมประกาศความร่วมมือสตาร์ทความสุขตลอดการ
เดินทางให้ลูกค้าทรู-ดีแทคคนสำคัญได้แล้ววันนี้ ณ สถานีบริการน้ำมัน PT ทั่วประเทศ, AUTOBACS และร้านกาแฟพันธุ์ไทย รับสิทธิ์ผ่านแอปทรูไอดี และดีแทคแอป ตั้งแต่ 15 ก.พ. 2566 - 31 ม.ค. 2567 ดังนี้
• สถานีบริการน้ำมัน PT - คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ลูกค้าทรูแบล็ค ใช้ทรูพอยท์ 99 คะแนน และลูกค้า Platinum Blue Member ใช้ 999 Coins แลกรับส่วนลดค่าน้ำมัน 25 บาท (1 สิทธิ์ / 1 เดือน) วันนี้ – 31 ม.ค. 2567
• AUTOBACS - ดูแลรถคันโปรดให้พร้อมเดินทาง ตรวจเช็คสภาพรถฟรี 25 รายการ (อาทิ เติมลมยางไนโตรเจน, สลับยางถ่วงล้อ) และส่วนลด 15 % สำหรับอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ วันนี้ – 31 ธ.ค. 2566
• ร้านกาแฟพันธุ์ไทย - เพิ่มความสดชื่น อร่อยยิ่งขึ้น เมื่อซื้อเครื่องดื่มเย็น 1 แก้ว (ที่ร่วมรายการ) คู่กับวาฟเฟิล
1 ชิ้น ในราคา 80 บาท รับสิทธิ์ได้วันนี้ – 31 ธ.ค. 2566 หรือใช้ 29 ทรูพอยท์ หรือ 200 คอยน์ แลกส่วนลด 10 บาท เมื่อซื้อเครื่องดื่ม ร้อน/เย็น/ปั่น (ยกเว้นน้ำดื่มพันธุ์ไทย และน้ำสมุนไพรแบบขวด) วันนี้ – 30 มิ.ย.2566
สัมผัสสิทธิพิเศษที่ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งมั่นคัดสรรส่งมอบให้กับลูกค้ามีความสุขยิ่งขึ้นทุกๆ วัน ลูกค้าทรู คลิก https://privilege.trueid.net/th ลูกค้าดีแทค คลิก https://dtacreward.dtac.co.th/
บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด ส่งมอบความสุขให้กับคนไทยเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ด้วยแคมเปญ “Water-Splashing Challenge” ซึ่งเป็นโครงการด้านกิจกรรมเพื่อสังคมล่าสุดของหัวเว่ย ประเทศไทย ที่จะเปลี่ยนความตั้งใจดีจากกิจกรรมร่วมสนุกในออนไลน์ ให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ด้วยการส่งมอบโซลูชันพลังงานสีเขียว Smart PV ให้แก่นักเรียนในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย
โดยผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมดังกล่าวได้ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่หน้าเพจเฟซบุ๊กของ Huawei Thailand ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 20 เมษายน พ.ศ. 2566 ซึ่งหัวเว่ย ประเทศไทย จะบริจาคระบบโซลาร์รูฟให้แก่หลายโรงเรียนที่ยังขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเช่นระบบพลังงานไฟฟ้าหลังจากสิ้นสุดกิจกรรม
นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวว่า “หัวเว่ย ประเทศไทย รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดโครงการนี้ เพื่อช่วยส่งเสริมการศึกษาที่ยั่งยืนสำหรับนักเรียนไทยในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกล ทั้งนี้ เรามีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลของประเทศไทย และนำประเทศไปสู่อนาคตด้านดิจิทัลอัจฉริยะที่เชื่อมโยงกันอย่างต็มรูปแบบ โครงการนี้ยังเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของบริษัทในการ “เติบโตในประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย” และเราคาดหวังว่ากิจกรรม "Water-Splashing Challenge" จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกและการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ให้บุคลากรรุ่นใหม่ในพื้นที่ห่างไกลของไทยในด้านภาคการศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล”
กิจกรรมดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้แฟนๆ ของหัวเว่ยในประเทศไทย ที่ต้องการสนุกไปกับการสาดน้ำอย่างสนุกสานในวันสงกรานต์ โดยไม่จำกัดอายุ เพศ สัญชาติ หรือที่อยู่อาศัย สามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 20 เมษายนนี้ ด้วยการโพสต์และแชร์วิดีโอหรือภาพถ่ายเกี่ยวกับการสาดน้ำบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Instagram TikTok Facebook twitter และ Linkedin รวมทั้งติดแท็ก @Huawei / @Huawei Thailand Facebook และแฮชแท็ก #WaterSplash และ #HuaweiThailandCSR โดยผู้ร่วมกิจกรรมจะต้องตั้งค่าบัญชีให้เป็นสาธารณะและกดติดตามเฟซบุ๊กเพจ Huawei และ Huawei Thailand ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 4 คน ที่โพสต์รูปภาพหรือวิดีโอการสาดน้ำที่สร้างสรรค์ที่สุด จะมีสิทธิ์เข้าชิงในรอบตัดสินผ่านวิธีการโหวตในระหว่างวันที่ 20 – 23 เมษายน พ.ศ. 2566 และมีโอกาสลุ้นรับของรางวัลมากมาย อาทิ หูฟัง HUAWEI FreeBuds Pro 2 และ HUAWEI FreeBuds 5i เป็นต้น
นายเดวิด หลี่ ยังกล่าวเสริมในตอนท้ายว่า "เพื่อสนับสนุนแนวทางสร้างการศึกษาที่ยั่งยืน บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่ชนบทสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยหลังจากสิ้นสุดแคมเปญนี้ หัวเว่ย ประเทศไทยจะร่วมบริจาคระบบเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับโรงเรียนในชนบท การส่งมอบระบบพลังงานแสงอาทิตย์จะช่วยให้โรงเรียนต่างๆ สามารถดำเนินการเรียนการสอนต่อไปได้ แม้จะประสบปัญหาจากไฟดับในช่วงฤดูฝน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่จำกัดโอกาสในการเรียนรู้ของนักเรียนในช่วงฤดูมรสุมมาโดยตลอด”
ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มที่อยู่อาศัย และหัวเว่ยต้องการที่จะให้ทุกคนและทุกบ้านสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัลได้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังในการสนับสนุนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งนี้ หัวเว่ย ประเทศไทย จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนและภาคองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ มาร่วมใจกันสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่กลุ่มผู้ที่ขาดแคลน
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ร่วมกับรายการThe First Ultimate เอาใจลูกค้าพาเที่ยวอิ่มบุญกับกิจกรรม “1 Day Trip in นครนายก” นำโดย คุณภาสิกา นาเมืองรักษ์ ผู้ช่วยรองประธาน หัวหน้าส่วนงานการสื่อสารสื่อดิจิทัล บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต (แถวหลัง คนที่ 7 จากซ้าย) ให้เกียรติกล่าวต้อนรับลูกค้าและเปิดงาน โดยกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมต่อยอดจาก“แคมเปญโฆษณา Make Time for me-time 2.0 ให้เวลาที่ควรให้กับตัวคุณเอง” ซึ่งเป็นการมอบประสบการณ์สุดพิเศษต่างๆ และช่วงเวลาดีๆ ให้กับลูกค้าคนสำคัญ อาทิ ไหว้พระขอพรเพิ่มความเป็นสิริมงคลตลอดปี ที่พุทธสถานจีเต็กลิ้ม และวัดมณีวงศ์ พร้อมทั้งอิ่มอร่อยกับร้านก๋วยเตี๋ยว และคาเฟ่ชื่อดังของจังหวัดนครนายก
กิจกรรมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่มีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง และพร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรม การบริการ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้ที่ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ https://www.krungthai-axa.co.th/
10 เมษายน 2566, กรุงเทพมหานคร – กระทรวงพลังงาน สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไทย-จีน (TSAST) แล Chinese Academy of Sciences, Innovation Cooperation Center Bangkok (CAS-ICCB) ร่วมกันประกาศการจัดงาน “2023 Green Technology Expo” สนับสนุน UN Policy และนานาชาติ แก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change อันเป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อมนุษยชาติ และทุกชีวิต พร้อมสนับสนุนการพัฒนาแบบยั่งยืน (SDG) และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย Bio-Circular-Green Economy (BCG Economy) และหนุนประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์รุ่นใหม่ Next Generation Automobile หนุนการประกอบธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบโลกที่สวยงามให้คนรุ่นต่อไป
![]()
ดร.วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรรมมีผลต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มพื้นที่เมือง และลดพื้นที่ป่า สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เกิดการสะสม Green House Gas (GHG) เกินกว่าที่ธรรมชาติจะรับได้ จนเกิดปัญหาภาวะโลกร้อน หรือ Global Warming ย้อนกลับมามีผลกระทบต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ภาคบริการ และการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างที่ทุกคนรับทราบ และเผชิญปัญหาร่วมกัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข
สำหรับประเทศไทย ได้ร่วมให้สัตยาบัน ในการประชุมนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก กรุงปารีส ที่จะร่วมลด GHG ให้ได้ร้อยละ 20-25 ในปี2573 เพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และมีนโยบายส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าด้วยมาตรการทางภาษี ทั้งผู้ผลิต และผู้ใช้ เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
กระทรวงพลังงานมีแผนพัฒนาพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก โดยกำหนดจะลดปริมาณ CO2 ในการผลิตกระแสไฟฟ้า 1 หน่วย ให้เหลือครึ่งหนึ่ง ในปี 2580 และการจัดงาน “2023 Green Technology Expo” ครั้งนี้ จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่จำเป็นในศตวรรษหน้า โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) และ ปตท. ร่วมสนองนโยบาย Next Generation Automobile และการดำเนินธุรกิจในอนาคต
![]()
ดร. พิชัย สนแจ้ง เลขาธิการสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไทย-จีน กล่าวว่า สมาคมเห็นว่าการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนต้องเกิดจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนการผลิตและกระบวนการทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และบริการ ซึ่งต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนานวัตกรรม การจัด
“2023 Green Technology Expo” ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการกระจาย การใช้ การพัฒนาเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรม โดยเป็นพื้นที่ให้เกิดการพบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเจ้าของเทคโนโลยี นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักวิจัย และผู้สนใจทั่วไป ที่จะร่วมกันเสนอเทคโนโลยี และความคิดใหม่ ต่อยอดความรู้ แก้ปัญหา และสนองความต้องการ ซึ่งจะเกิดทั้งBusiness Matching และ Technology Matching สร้างธุรกิจที่สนองนโยบาย SDG และ BCG-Economic ของ UN และนโยบายของประเทศ
![]()
Dr.Jiang Biao ผู้อำนวยการ CAS-ICCB กล่าวว่า CAS-ICCB ขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย โดยยึดหลัก mutual benefit และ sincerity สำหรับความร่วมมือในการจัด 2023 Green Technology Expo ครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเกิดการยกระดับคุณภาพชีวิต กระจายเทคโนโลยีและการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา หรือร่วมปกป้อง ป้องกันวิกฤตและส่งต่อโลกที่สวยงามและยั่งยืนสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป ควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ
![]()
Mr.Yang Ming, TusPark WHA Representative รองประธานอาวุโสของ Tus-Holding Co., Ltd, รองประธาน Tus-S&T Service Co., Ltd. ได้กล่าวว่า Tus-Holding เป็นกลุ่มบริษัทร่วมลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีศูนย์บ่มเพาะและอุทยานวิทยาศาสตร์ในเมืองใหญ่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หน่วยงานวิจัย และกลุ่มบริษัท WHA และกล่าวว่าหนทางเดียวที่จะเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับ Green Technology, Environment Protection, New Energy และอื่น ๆ ไม่ใช่เพื่อประเทศใด แต่เพื่อมนุษยชาติ
2023 Green Technology Expo เป็นงานจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความสำคัญต่อโลกในอนาคต ภายใต้แนวคิด “Towards the Transition to Newer, Cleaner, Sustained ever Green Technology” โดยมีการจัดแสดงนิทรรศการและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ EV Mobility, Storage & Charger & Component, Green Energy และ Green Tech & Green Product การจัดการน้ำ มลพิษทางอากาศ การจัดการของเสีย เป็นต้น ซึ่งนอกจากการจัดแสดงเทคโนโลยีภายในงานแล้ว ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การบริการให้คําปรึกษาด้าน Green Energy ทั้งในระดับอุตสาหกรรมและครัวเรือน การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับ Green Technology นโยบายและการส่งเสริมจากภาครัฐ รวมถึงการเจรจาธุรกิจและความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยี โดยงานกำหนดจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 9 – 12 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) Hall 98-99
นอกจากนี้ ในงานแถลงข่าวการจัดงาน 2023 Green Technology Expo นี้ ได้มีพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สมาคมวิทยาศาสตร์ฯ และสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (CCPIT) และ TusPark WHA เพื่อสนับสนุนการจัดงานโดยจัดหาเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการจีนเพื่อนำมาจัดแสดงในงาน
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน พร้อมติดตามข้อมูลและข่าวสารของงาน 2023 Green Technology Expo เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.greentechnology-expo.com หรือที่เพจเฟซบุ๊ก Green Technology Expo
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2566-2567 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจาก 11.2 ล้านคนในปี 2565 ขึ้นมาอยู่ที่ 27.1 และ 36.6 ล้านคน โดย นักท่องเที่ยว GIFT+ เป็นกลุ่มที่น่าจับตาจากการมีศักยภาพด้านการใช้จ่าย และเป็นตลาดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก คาดในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้จะมีสัดส่วนราว 45-50% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด แนะผู้ประกอบการศึกษาพฤติกรรมและวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว GIFT+ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจ
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าภาคการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยในช่วง Pre-COVID (ปี 2562) ภาคการท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือราว 16% ของ GDP ทั้งนี้ แม้การระบาดของ COVID-19 จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยซบเซาลง แต่ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดหลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในครึ่งหลังของปี 2565 ที่ผ่านมา
“จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566-2567 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจาก 11.2 ล้านคนในปี 2565 มาอยู่ที่ 27.1 ล้านคน และ 36.6 ล้านคน ตามลำดับ กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วง Pre-COVID ที่ 39.9 ล้านคน ได้ในช่วงปี 2567 โดย นักท่องเที่ยว GIFT+ ซึ่งประกอบด้วย 1) ประเทศแถบตะวันออกกลาง (Gulf) ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่านักท่องเที่ยวโดยรวมถึง 70-125% 2) อินเดีย (India) ที่จำนวนประชากรกำลังจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลก และ 3) ประเทศแถบเอเชียตะวันออก (Far easT+) อย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และรัสเซีย เป็นกลุ่มที่น่าจับตาเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพด้านการใช้จ่าย และบางส่วนยังเป็นตลาดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก”
นายธนา ตุลยกิจวัตร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่า คาดว่านักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ที่เดินทางเข้าไทยในช่วงปี 2566-2567 จะมีจำนวนเท่ากับ 12.2 และ 18.5 ล้านคน คิดเป็น 45-50% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด โดยสาเหตุหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ มีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยต่อเนื่องเป็นเพราะภาคการท่องเที่ยวไทยมีจุดเด่นด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางอากาศ ทำให้ไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
“รายงาน Travel & Tourism Competitiveness Report ที่จัดทำโดย World Economic Forum ชี้ว่าภาคการท่องเที่ยวไทยมีความสามารถในการแข่งขันอยู่ในอันดับ Top 3 ของกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเป็นรองเพียงสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ขณะที่ ข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ ยังชี้ว่าไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยผลสำรวจของ Dragon Trail International บริษัทเอเจนซี่สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนระบุว่าหากไม่นับกลุ่มประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ไทยถือเป็น Top 1 ของประเทศที่ชาวจีนสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุด เช่นเดียวกับข้อมูลของ Google Destination Insights ที่ชี้ว่าไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ที่ชาวอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว”
นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่าการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวโดยตรงอย่างธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ห้างค้าปลีก และขนส่ง เพียงเท่านั้น แต่ธุรกิจอื่น ๆ อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจ Healthcare ก็มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อต่างชาติไปด้วยเช่นกัน
“เพื่อเป็นการคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อต่างชาติ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและวัฒนธรรมที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ เพื่อจะได้ออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงใช้ช่องทางการตลาดให้เหมาะสม ส่วนบทบาทของภาครัฐในระยะสั้นควรมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงจุดอ่อนของภาคการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะปัญหาด้านความปลอดภัยเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วง Pre-COVID ให้ได้เร็วที่สุด ส่วนในระยะกลาง-ยาว ควรผลักดันการท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อกระจายรายได้สู่จังหวัดอื่น ๆ รวมถึงควรให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพให้มากขึ้น เช่น กลุ่ม Gulf อย่าง ซาอุดิอาระเบีย คูเวต อิสราเอล และสหรัฐอาหรับฯ ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวอยู่ในระดับสูง”
บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ ได้จัดงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-AGM โดยมีนายชนิตร ชาญชัยณรงค์ (กลาง) ประธานกรรมการบริษัท เป็นประธานในการประชุม พร้อมคณะกรรมการของบริษัทเข้าร่วมการประชุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 ณ โรงแรมโรสวูด กรุงเทพ
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 รับทราบผลการดำเนินงาน ประจำปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า 25,172.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 746.40 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 3.06% เมื่อเทียบกับปี 2564 และมีกำไรสุทธิรวม 1,748 ล้านบาทซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.94%
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 702.16 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 129.34 ล้านบาท ที่ได้จ่ายเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565 โดยคงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายในครั้งนี้อีกในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท คิดเป็นเงิน 572.81 ล้านบาท การจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 40.17 ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 21 เมษายน 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย มุ่งสร้างอนาคตเด็กไทยด้วยทักษะความรู้และภูมิคุ้มกันด้านการเงินให้กับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ผ่านหลักสูตรการเงินออนไลน์ “UOB Money 101: Teen Edition วัยรุ่นเก่งการเงิน” โดยร่วมกับโครงการร้อยพลังการศึกษา ดำเนินงานมาแล้ว 2 ปีนับตั้งแต่ปี 2564 มีนักเรียนมากกว่า 2,300 คน จาก 39 โรงเรียน ได้เข้าเรียนและรับความรู้เรื่องการเงินจากหลักสูตรการเงินทั้งจากห้องเรียนออนไลน์และห้องเรียนในโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเดินหน้าสานต่อในปี 2566
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีพิธีมอบเกียรติบัตรให้กับตัวแทนคุณครูและนักเรียนที่จบหลักสูตร UOB Money 101: Teen Edition วัยรุ่นเก่งการเงิน ปีการศึกษา 2565 ทั้งสิ้น 1,223 คน ณ อาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ สำนักงานใหญ่ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย โดยมีผู้บริหารจากธนาคารยูโอบี ประเทศไทยและพันธมิตรโครงการเข้าร่วมในงาน
หลักสูตรการเงินออนไลน์ UOB Money 101: Teen Edition วัยรุ่นเก่งการเงิน ได้รับการออกแบบและพัฒนาขึ้นสำหรับเยาวชนโดยเฉพาะจากสถาบันความรู้การเงินมันนี่คลาส เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีจัดการเงินให้มีประสิทธิภาพ และเข้าใจถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถเริ่มต้นวางแผนและตั้งเป้าหมายการเงินได้ตั้งแต่วัยรุ่น โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ UOB My Digital Space ซึ่งมีแผนดำเนินโครงการในระยะยาวเพื่อลดช่องว่างทางการศึกษาของเด็กที่ด้อยโอกาสทั่วทั้งภูมิภาคให้เข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ผ่านช่องทางดิจิทัล และเชื่อมโยงพวกเขาสู่โลกแห่งโอกาสการเรียนรู้ดิจิทัล