December 15, 2025

LOVEiS ENTERTAINMENT โชว์ความสำเร็จคว้ามากกว่า 300 ล้านในสิ้นปี 65 พร้อมตั้งเป้าเติบโตต่อปี 66 คาดหวัง 500 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ไม่ใช่เพียงค่ายเพลง แต่จะเป็น DigiTainment มุ่งเน้นที่ KOL & Influencer Management ครอบคลุมทุกความบันเทิงเข้าถึงทุกความชอบและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่

 

จิ๊บ เทพอาจ  กวินอนันต์ CEO, LOVEiS ENTERTAINMENT เปิดเผยว่า ‘ในตลอด 3 ปีที่ผ่านมาทำธุรกิจค่ายเพลงไม่ง่ายเลย เพราะรายได้หลักของการทำค่ายเพลงจะมาจากงานโชว์ตัวของศิลปิน อิเวนต์ คอนเสิร์ตต่างๆ แต่ด้วยสถานการณ์เหล่านั้นทำให้เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย และต้องปรับตัวกันอยู่ทุกวันเพื่อให้ศิลปินมีผลงานนำเสนอออกไปไม่หายหน้าไปจากแฟนๆ และในขณะเดียวกันความเปลี่ยนแปลงของมีเดียต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคก็มีผลร่วมด้วยมากๆ และแน่นอนว่าการกลับมาของธุรกิจยุคหลังโควิดจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมและยังไม่ง่ายอยู่แน่ๆ แต่ในด้านของธุรกิจความสุขและบันเทิงจะดีดกลับมาแบบดีกว่าปกติ เพราะกลุ่มคนต่างโหยหาความสนุกสนานและบันเทิงให้กับตนเอง โดยในปี 65 ที่ผ่านมา ผมต้องขอบคุณทีมของ LOVEiS ENTERTAINMENT ทั้งหมดที่ทำงานอย่างหนัก ปรับเปลี่ยนให้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ และขอบคุณศิลปินทุกคนที่เต็มที่กับทุกโอกาสที่เข้ามา ขอบคุณแฟนเพลงที่ให้การซัปพอร์ตอย่างอบอุ่น เข้าใจ และเราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ในรูปแบบธุรกิจ Music Marketing & Artist Management สร้างรายรับรวมมากกว่า 300 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ใน LOVEiS ENTERTAINMENT เมื่อ CEO ใหญ่ จี๊บ เทพอาจ กวินอนันต์ ตั้งมือขวาคนสำคัญ หญิง พิรียา ถีระวัฒนาสวัสดิ์ นั่ง MD, LOVEiS ENTERTAINMENT คอยซัปพอร์ตกุมบังเหียนค่ายให้ไปตามไดเร็กชั่นที่จี๊บ เทพอาจ วางไว้

 

พิรียา ถีระวัฒนาสวัสดิ์ MD, LOVEiS ENTERTAINMENT เผยว่า ‘LOVEiS ENTERTAINMENT ภายใต้การคุมบังเหียนและบริหารของพี่จี๊บ คุณเทพอาจ กวินอนันต์นั้น ผ่านมาแล้วกว่า 4 ปี และปีนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของบริษัท ปี 66 นี้ค่ายเราวางจุดยืนและเป้าหมายชัดเจน พร้อมเสิร์ฟงานดนตรี กิจกรรม อิเวนต์ เฟสติวัล อัดแน่นพุ่งเข้าดิจิทัลเวิลด์เต็มตัว ไม่เพียงเท่านี้!! พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ภายใต้ Unit Business ใหม่ ที่เราไม่ใช่แค่ค่ายเพลงอีกต่อไป LOVEiS ENTERTAINMENT เท่ากับ DigiTainment พร้อมเดินหน้าเต็มสูบทะยานสู่เป้าหมาย 500 ล้านบาท และเป็น Core Value หลักเสริมแกร่งอุตสาหกรรมบันเทิงไทย’

ผ่านมิชชั่นหลักของบริษัทได้แก่ (1) มุ่งเฟ้นหาและพัฒนาศิลปินใหม่และศิลปินในสังกัดที่มีอยู่เพื่อให้เป็นบุคคลเบื้องหน้าคุณภาพทั้งงานเพลง งานแสดง งานเดินแบบ งานถ่ายแบบ งานพิธีกร งาน Creator & Influencer (2) กลุ่มงานกิจกรรมหรืออิเวนต์ สร้างสรรค์อิเวนต์ใหม่ๆ โดยยึดตามกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงให้ชัดเจน และในขณะเดียวกันก็ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ และสร้าง Annual Event ในมิติใหม่ให้กับแฟนคลับของบริษัทและศิลปิน (3) เปิดยูนิต บิสเนสใหม่เพิ่มขึ้นในพาร์ทของ Influencer Management เพื่อทำให้ครบทั้งหมดของฟังก์ชั่นบันเทิงแบบ one stop ตั้งแต่คิดวางแผน ดูแลแคมเปญ ตลอดจน monitor performance’

เปิดโผโปรเจกต์ใหม่ในปี 66 ที่รับรองว่าแฟนเพลงจะไม่ผิดหวัง

· เปิดปีด้วยการคว้าศิลปินดังเข้าสังกัดอีกเพียบได้แก่ อะตอม ชนกันต์ เจ้าของเพลงฮิตติดหูที่ใครได้ยินเป็นต้องร้องตามได้อย่างแน่นอน โมบายล์ พิมรภัส และ เค้ก นวพร อดีตเมมเบอร์จากวง BNK48 ปุยเมฆ นภสร นักแสดง นักร้องมากฝีมือ ชาช่า อริตต์ตา ที่มีผลงานมาแล้วหลากหลายทั้งงานเพลง ผลงานการแสดง งานพิธีกร รวมถึงการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในหลายแพลตฟอร์มดังอีกด้วย นอกจากจะร่วมงานกันทั้งในแง่ของการเป็นศิลปินแล้ว ยังครอบคลุมไปถึงงานคอนเทนต์ความบันเทิงต่าง ๆ และผลงานละครอีกด้วย

· สำหรับ NONT TANONT อีกหนึ่งศิลปินแม่เหล็กของค่าย แน่นอนว่าปีนี้มีทั้งอิเวนต์ NONT TANONT BIRTHDAY SPORT PARTY ที่กำหนดจัดขึ้น 5 มีนาคม 66 นี้ และ NONT EP.02 CONCERT

· ตามมาด้วยคอนเสิร์ตใหญ่ของศิลปินเบอร์ดังของค่ายในสังกัดด้วย เช่น WANYAi หรือ LGBTQIA+ CONCERT และอีกมากมายที่ขอเก็บเป็นเซอร์ไพรส์ไว้ก่อน

· ‘Teen Event’ หวังเจาะกลุ่มนักเรียน เช่น High School ตัว POP ตัว TOP ที่ไปพร้อมไลน์อัพสุดจี๊ดขวัญใจวัยคอซอง

· ปักธงแลนด์มาร์กแห่งใหม่ ย่านอารีย์ จัดงาน เฟสติวัล COUNTDOWN @AREE ส่งท้ายปี 66 ไปด้วยกัน

ไม่เพียงแค่ LOVEiS ENTERTAINMENT เท่านั้น ยังมีค่ายย่อยในสังกัดอีก 7 ค่ายได้แก่ marr, PROM+, HOLYFOX, LIT ENTERTAINMENT, LABo, kiddorecords, JUICEY รวมทั้งหมด 8 ค่ายด้วยกัน ที่จี๊บ เทพอาจ วางเป้าไว้ให้เป็นผู้นำสำคัญของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเพลงและบันเทิงไทย

นายสรรเพชร นิลรัตน์ (ซ้ายสุด) กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ถ่ายภาพร่วมกับ มร.ทากาชิ ฮาเซกาว่า (ที่ 3 จากขวา) ผู้บริจาคทุนการศึกษาภายใต้กองทุน "ฮาเซกาว่า เรียว” (HASEGAWA Ryo Fund) แก่นักเรียนไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยากจนภายใต้การดูแลของมูลนิธิตั้งแต่ปีการศึกษา 2565-2571 จำนวน 231 คน ในโอกาสเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมาร่วมประชุมและดูการดำเนินงานของมูลนิธิ

โอกาสนี้นายธัญญากร รัตนประสิทธิ์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ทุนการศึกษา และนายอนุชาติ คงมา (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการฝ่ายกิจการฝ่ายต่างประเทศมูลนิธิ EDF ร่วมถ่ายภาพด้วย

อนึ่งมูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลจดทะเบียนลำดับที่ 255 ของประเทศไทย ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนที่ด้อยโอกาสด้วยการมอบทุนการศึกษาและจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ โดยได้รับการยอมรับจากหน่วยงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศและได้รับรางวัล เช่น ประกาศนียบัตรรับรอง CAF International Vetted Organization จาก CAF International ที่มอบให้องค์กรสาธารณกุศลทั่วโลกที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินงานครอบคลุมหลักธรรมาภิบาล เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่จดทะเบียนถูกต้อง รายงานการเงินประจำปีมีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ เงินบริจาคและเงินสนับสนุนที่ส่งมอบให้มูลนิธินำไปใช้อย่างถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลอย่างแท้จริง รางวัลยอดเยี่ยมองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งประเทศไทยประเภทองค์กรขนาดใหญ่จากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ สถาบัน คีนันแห่งเอเชีย และ เดอะ รีซอร์ส อัลลิอันซ์ รางวัลประกาศนียบัตรองค์กรสาธารณกุศลระดับ 5 ดาว จากการดำเนินงานและบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพทางการเงิน และมีความโปร่งใสจากสมาคมกิฟวิ่ง แบค รางวัลคนดีต้นแบบคุณธรรมไทยจากสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย และรางวัลกัลปพฤกษ์ทองคำในฐานะหน่วยงานที่ทำความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้สนใจร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาหรือจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ร่วมกับมูลนิธิ EDF สามารถติดต่อสำนักงานมูลนิธิได้ที่โทรศัพท์ (02) 579 9209-11 (วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น.) อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ทาง Line: @edfthai เฟสบุ๊กแฟนเพจ https://www.facebook.com/edfthai หรือเว็บไซต์ www.edfthai.org ทั้งนี้การบริจาคหรือทำกิจกรรมร่วมกับมูลนิธิสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีตามกฎหมาย

ระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ เสน่ห์แรง หลังนักลงทุนโยกเงินกลับไปลงทุน โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี ทั้งกลุ่มหุ้นบิ๊กแคป และกลุ่มหุ้นเติบโต ขานรับแรงหนุนตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่องติดต่อกันสามเดือน

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ในระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกากลับมาได้รับความสนใจ และมีเม็ดเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ไหลกลับไปลงทุนอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีในตลาด NASDAQ ทั้งกลุ่มหุ้นบิ๊กแคป FAANGMAN และกลุ่มหุ้นเติบโต TESLA โดยปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีได้แล้วกว่า 13.80% ขณะที่ดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทนได้แล้วกว่า 7.25% สาเหตุมาจากตลาดมองทิศทางนโยบายการเงินที่เคร่งครัดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาตลอดทั้งปี 2565 เริ่มผ่อนคลายลงในปีนี้ และอาจเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีก่อน เพราะแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากตัวเลขปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องกว่าสามเดือนติดต่อกันแล้ว

ถึงแม้ว่าประธาน FED จะยังคงยืนยันในที่ประชุม FOMC ครั้งล่าสุด และการไปพูดที่สมาคมเศรษฐกิจวอชิงตันเมื่อไม่กี่วันมานี้ ว่าปีนี้จะยังไม่มีการลดดอกเบี้ยจนกว่าจะเห็นเงินเฟ้อลงมาในระดับ 2% ตามเป้าหมายเสียก่อน แต่การที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงมาต่อเนื่องสามเดือนติดต่อกัน ทำให้ตลาดมองล่วงหน้าว่าสุดท้ายแล้วในปีนี้ FED ต้องปรับนโยบายดอกเบี้ยมาเป็นขาลงเร็วกว่าที่คาดไว้”

นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีมุมมองบวกต่อกระแสการปรับลดพนักงานของบริษัทเทคโนโลยี เพราะเป็นผลดีต่อผลประกอบการในอนาคตมากกว่าผลเสีย เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานลง ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มตัดสินใจเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น  สำหรับดัชนี S&P500 นอกจากได้ประโยชน์จากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่แล้ว ยังได้ประโยชน์จากหุ้นแวลูขนาดใหญ่ที่ประกอบธุรกิจดั้งเดิม เช่น กลุ่มธนาคารที่ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาดีกว่าคาดเกือบทั้งหมด ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังออกมาดูดี ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร หรือ Non-Farm Payroll ที่ออกมาดีกว่าคาดค่อนข้างมาก ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่เทคโนโลยีด้วย

นายณพวีร์ กล่าวว่า ในภาพรวมทางเทคนิคทั้งดัชนี NASDAQ และ S&P500 ต่างขึ้นมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้สำเร็จ และมีการทะลุผ่านเส้นเทรนด์ไลน์ในภาพใหญ่ออกมาแล้วทั้งคู่ ถือได้ว่าสามารถกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นได้สำเร็จ ทำให้ทั้งสองดัชนีมีความน่าสนใจทั้งในเชิงพื้นฐานและกราฟเทคนิค อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาดูตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ประจำเดือนมกราคมที่จะประกาศในกลางเดือนนี้ (14 ก.พ. 66) ถ้าหากยังปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สี่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตลาดว่าในที่สุด FED ต้องลดดอกเบี้ยในปีนี้อย่างแน่นอน แต่หากตัวเลขที่ออกมาคงที่ หรือ เพิ่มขึ้น อาจสร้างความผิดหวังให้กับตลาดจนนำไปสู่ความเชื่อเดิมว่า FED จะลดดอกเบี้ยในปีหน้า และมีผลทำให้เทขายในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้

นอกจากนั้นยังต้องติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องว่ามีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ตามที่ดัชนีชี้วัด Yield Curve บ่งบอกล่วงหน้าหรือไม่

ด้านมุมมองภาพรวมตลาดหุ้นอื่น ๆ อาทิ ตลาดหุ้นจีน ในช่วงสั้นอยู่ในระหว่างการพักฐานจากการที่ดัชนีบวกขึ้นแรงมาต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2565 แต่ในเชิงพื้นฐานยังถือว่ามีแนวโน้มบวกต่อเนื่องจากนโยบายเปิดเมือง เช่นเดียวกับ ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่มีการพักฐานเช่นกัน แต่มุมมองในระยะยาวทั้งสองตลาดยังถือว่าสามารถเติบโตได้ตลอดทั้งปีนี้

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นเติบโต สามารถมองหาหุ้นเทคโนโลยีกลุ่ม Disruptive ในการถือลงทุนระยะยาวได้ เพราะจากกราฟเทคนิคตอนนี้เกือบทั้งหมดไม่มีการสร้างจุดต่ำสุดใหม่แล้วจึงมีโอกาสฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะถ้าหากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ กลับตัวเป็นขาลงจะยิ่งทำให้ฟันด์โฟลว์เข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ส่วนหุ้นแวลู หรือ หุ้นบิ๊กแคป ในตลาดสหรัฐฯ ก็ยังสามารถเติบโตได้เช่นกัน”

เคทีซีเล็งผลเลิศของการเติบโตตลาดออนไลน์ ผนึกลาซาด้าจัดแคมเปญแพ็คคู่ “KTC Lazada Friday Special” สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท และ “KTC MASTERCARD always on” เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด

 

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยยังคงมีการตอบรับที่ดีจากนักช้อปออนไลน์ เนื่องจากตอบโจทย์เรื่องความหลากหลายของสินค้า ความสะดวกที่ไม่ต้องเดินทางไปถึงร้านค้า และยังไม่มีข้อจำกัดของเวลา ที่สำคัญลูกค้าสามารถเลือกชำระค่าสินค้าได้แบบเต็มจำนวนและผ่อนชำระได้ด้วยบัตรเครดิต พร้อมบริการส่งฟรีและรับประกันความพอใจ โดยรายงานล่าสุดจากลาซาด้าพบว่าผู้บริโภคในไทยกว่า 43% ใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในการค้นหาสินค้าโดยตรง นอกจากนี้คนไทยกว่า 74% ยังคงซื้อสินค้าออนไลน์ต่อเนื่องอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และผลการสำรวจยังระบุว่า จำนวนผู้ใช้อีคอมเมิร์ซในไทยมีมากถึง 56% ในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 61.8% หรือ 43.5 ล้านคน ในปี 2025”

 

“ลาซาด้า” เป็นพันธมิตรอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของเคทีซี ที่ร่วมกันสร้างเครือข่ายนักช้อปออนไลน์มายาวนาน และล่าสุดเราได้ร่วมมือกันเปิดตัว 2 แคมเปญการตลาด มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อช้อปสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.lazada.co.th หรือแอปฯ Lazada ได้แก่ 1) KTC Lazada Friday Special รับส่วนลด 120 บาท เมื่อช้อปตั้งแต่ 1,599 บาทขึ้นไปต่อยอดซื้อสุทธิ และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท ทุกวันศุกร์ถึงศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 และ 2) “KTC MASTERCARD Always On” รับส่วนลดคุ้มๆ 230 บาท เมื่อช้อปตั้งแต่ 1,999 บาทต่อยอดซื้อ สิทธิพิเศษนี้เฉพาะสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ดเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 – 31 ธันวาคม 2566 ดูรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/lazada-all

“สมาชิกเคทีซียังสามารถขอรับใบกำกับภาษีจากการใช้จ่ายออนไลน์ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 40,000 บาท ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 – 15 กุมภาพันธ์ 2566 ไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีใน “โครงการช้อปดีมีคืน” ได้อีกด้วย ดูรายละเอียดในแอปฯ Lazada สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทคลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC Phone โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ”

Salesforce (NYSE: CRM) หนึ่งในผู้นำด้าน CRM ระดับสากล เปิดตัวรายงานผลการศึกษา State of the Sales ฉบับที่ห้า นำเสนอข้อมูลเชิงลึกจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านการขายกว่า 7,700 รายจาก 38 ประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมการศึกษา 300 รายจากประเทศไทย โดยผลการศึกษาได้แสดงถึงแนวทางที่องค์กรการขายจะปรับใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมเพื่อสร้างประสิทธิภาพที่สูงสุด สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพและผลงานของตัวแทนฝ่ายขายให้สูงสุดเพื่อเร่งขับเคลื่อนความสำเร็จให้แก่ธุรกิจอย่างเร่งด่วน (Success Now)

ข้อมูลเชิงลึกสำคัญจากรายงาน State of the Sales ในปีนี้ได้แก่: หลักการใหม่ของการขาย: มุ่งเน้นในสิ่งที่สร้างให้เกิดผลสูงสุด บริษัทต่าง ๆ กำลังขยับหนีจากกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูงในช่วงเวลาที่ต้องรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในระบบซัพพลายเชน ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบจากหน่วยงานกำกับดูแล และผลกระทบด้านการเมือง แม้จะพบกับความท้าทายมากมาย ตัวแทนฝ่ายขายยังคงอยู่ใต้แรงกดดันในการผลักดันยอดขายให้ถึงเป้าหมาย ทั้งนี้ 62% ของผู้ประกอบวิชาชีพด้านการขายในประเทศไทยกล่าวว่าการขายมีความยากขึ้นในสภาวการณ์ปัจจุบัน

· ทีมขายต้องพยายามหาแนวทางที่จะตอบสนองความคาดหวังที่สูงขึ้นของผู้ซื้อ ผู้ซื้อคาดหวังที่จะติดต่อกับตัวแทนฝ่ายขายได้ไม่ว่าจะทำการติดต่อผู้ขายผ่านช่องทางใดก็ตาม ไม่เพียงเท่านั้น ตัวแทนฝ่ายขายยังต้องสามารถทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาที่น่าเชื่อถือได้ไปพร้อมกันด้วย หน่วยงานและองค์กรธุรกิจในประเทศไทยมีช่องทางในการติดต่อกับผู้ซื้อโดยเฉลี่ย 9 ช่องทาง

· ทีมปฏิบัติการสนับสนุนงานขาย (Sales Operation) จะช่วยเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพกับองค์กร ประสิทธิภาพการดำเนินงานมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องกับธุรกิจ ทีมปฏิบัติการสนับสนุนฝ่ายขายกำลังถูกขยายบทบาทและควาทสำคัญเชิงกลยุทธ์มากขึ้น โดยได้รับมอบหมายในการช่วยจัดการงานด้านปฏิบัติการเพื่อให้ฝ่ายขายมีเวลาเพิ่มขึ้นในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งตัวแทนฝ่ายขายในประเทศไทยประเมินว่าปัจจุบันตนสามารถใช้เวลาเพียง 27% ของสัปดาห์เท่านั้นในงานที่เป็นการขายจริงๆ

· ประสบการณ์ของผู้ขายถูกนำกลับมาประเมินใหม่อีกครั้ง บริษัทต่าง ๆ กำลังทบทวนและตรวจสอบโปรแกรมการฝึกอบรมและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ โดยทำคู่ไปกับการจัดพื้นที่และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เหมาะสมให้กับทีมขาย และจัดทำเครื่องมือเสริมสร้างทักษะให้พนักงานฝ่ายขายมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น พร้อมทั้งเป็นการรักษาพนักงานที่มีฝีมือให้อยู่กับบริษัท ทีมฝ่ายขายในประเทศไทยมีอัตราการลาออกของพนักงานฝ่ายขายโดยเฉลี่ย 25% ในช่วงปีที่ผ่านมา

คำกล่าวจากผู้บริหาร:· “อุปสรรคนานัปการที่ถาโถมใส่ธุรกิจ ประกอบกับการจำกัดงบประมาณค่าใช้จ่ายของบริษัท ส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้บริหารฝ่ายขาย ซึ่งบริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องบริหารจัดการทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จในสภาวการณ์นี้ (success now)” คุณกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการ เซลส์ฟอร์ซ ประเทศไทย กล่าว “การใช้ประโยชน์จากระบบ CRM ให้ได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วยการใข้ความสามารถของระบบออโตเมขั่นซึ่งสร้างกระบวนการปฏิบัติการแบบอัตโนมัติและการใช้ประโยขน์จากข้อมูลเชิงลึก มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในเศรษฐกิจขณะนี้ สำหรับประเทศไทย รายงาน State of Sales ฉบับล่าสุดเผยว่า พนักงานขายในประเทศของเราประเมินว่าพวกเขาใช้เวลาเพียง 27% ในการทำงานขายจริง ๆ การที่บริษัทจะหามาตรการในการลดงานที่ไม่จำเป็นและงานที่ไม่ได้ช่วยให้การเกิดการขาย ออกจากสิ่งที่พนักงานขายต้องทำ พวกเขาจะสามารถใช้เวลามากขึ้นในการติดต่อกับลูกค้าและทำกิจกรรมที่จะข่วยสร้างรายได้ เพื่อเสริมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ”

· “ช่วงเวลาของการมุ่งเน้นแต่การเติบโตของธุรกิจเกิดการหยุดชะงักลง และถูกแทนที่ด้วยการควบคุมและเข้มงวดกับงบประมาณค่าใช้จ่ายและการมุ่งที่จะทำกำไรจากการดำเนินงานให้สูงขึ้น” คุณอดัม กิลเบิร์ด รองประธานบริหารฝ่ายขาย เซลส์ฟอร์ซ กล่าว “ในฐานะผู้ขาย เราคุ้นเคยกับสภาพการณ์และข้อจำกัดเหล่านี้และสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว ลูกค้าของเรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถรับมือกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้ ด้วยการนำเสนอแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพ การประหยัดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิผล

และผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทางธุรกิจ เพื่อที่ทีมงานขายจะสามารถสร้างความไว้วางใจที่จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่จะนำธุรกิจของลูกค้าก้าวสู่เป้าหมายและพบความสำเร็จในสภาวการณ์นี้”

 

มันนิกซ์ (MONIX) ฟินเทคสตาร์ทอัพผู้ให้บริการ “แอปฟินนิกซ์” (FINNIX) แพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลคู่คนทำมาหากิน ประกาศความสำเร็จคว้าเงินลงทุนมูลค่ากว่า 700 ล้านบาท หรือ 20 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX และลอมบาร์ด เอเชีย (Lombard Asia) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ ทะยานสู่ผู้นำสินเชื่อดิจิทัลด้วยผลงานการเติบโตที่โดดเด่น ตอกย้ำภารกิจลดความเหลื่อมล้ำเรื่องเงินให้สังคมไทย เตรียมพร้อมธุรกิจสู่ IPO ในอนาคต

นายชินบิน ฟาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มันนิกซ์ จำกัด และนางสาวถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวว่า “มันนิกซ์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมลงทุนและสร้างโอกาสให้กับคนทำมาหากินที่ยังเข้าไม่ถึงการเงิน ซึ่งการได้รับเงินลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ทาง SCBX และลอมบาร์ดเอเชียมีต่อวิสัยทัศน์และการเป็นผู้นำธุรกิจสินเชื่อดิจิทัลของเราได้เป็นอย่างดี โดยเราจะเดินหน้ายกระดับแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้เป็นเพื่อนซี้ที่ดีที่สุด ด้วยพลังของเทคโนโลยีเอไอและแมชชีนเลิร์นนิงอันชาญฉลาดที่สุด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและช่วยให้คนไทยการเงินดีมีสุขได้ยั่งยืนอย่างแท้จริง”

มันนิกซ์คือผู้นำแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลพลังเอไอที่เข้าใจลูกค้าที่สุด จัดตั้งบริษัทเมื่อปี พ.ศ. 2563 จากการร่วมทุนของกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) และกลุ่มอบาคัส (Abakus Group) ฟินเทคยูนิคอร์น จากประเทศจีน ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นในการสร้างโอกาสให้คนไทยได้การเงินดีมีสุข บริษัทให้บริการแอปพลิเคชัน “ฟินนิกซ์” เพื่อช่วยเหลือคนไทยกว่า 36 ล้านคนที่ไม่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน ให้เข้าถึงสินเชื่อที่ถูกกฎหมายและเป็นธรรมได้ แอปฟินนิกซ์สามารถอนุมัติสินเชื่อได้ไวสุดใน 5 นาที จากการใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) โดยไม่ต้องค้ำประกันหรือส่งเอกสาร ซึ่งช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบัน มันนิกซ์มียอดปล่อยสินเชื่อแล้วทั้งสิ้นกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท มีลูกค้าสินเชื่อรวมกว่า 650,000 ราย และมีผลกำไรสุทธิเป็นบวกแม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย จากการลงทุนในครั้งนี้ทำให้มีเงินทุนสะสมรวมทั้งสิ้นแล้วราว 1,400 ล้านบาท หรือ 40 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และด้วยการสนับสนุนที่ดีจากพาร์ทเนอร์ บริษัทมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะเดินหน้าเร่งการเติบโตทางธุรกิจ ยกระดับแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ จากนี้บริษัทเตรียมแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) โดยมีเป้าหมายจะเป็นแอปทางการเงินที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำเรื่องเงินให้ประเทศไทย

 

ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การลงทุนในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นในโอกาสการเติบโตในระยะยาวของมันนิกซ์ ในฐานะบริษัทแม่ของกลุ่ม ทาง SCBX ยังคงให้การสนับสนุนบริษัทลูกอย่างต่อเนื่องและไปในทิศทางที่เหมาะสมกับแต่ละบริษัท ซึ่งรวมถึงการระดมทุนจากภายนอกของมันนิกซ์ในรอบนี้ เพื่อสร้างการเติบโตและเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มุ่งเพิ่มมูลค่าของบริษัทและสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ จากความสามารถและประสบการณ์ของทีมงานผู้เชี่ยวชาญของลอมบาร์ดเอเชียและกลุ่มอบาคัส ทำให้เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ามันนิกซ์จะสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนที่วางไว้ ซึ่งจะช่วยเสริมแกร่งให้หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ SCBX นั่นคือการแสวงหาโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในบริการทางการเงิน และเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับบริษัทในพอร์ตโฟลิโอ โดยเราจะเดินหน้ายกระดับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดล็อกมูลค่าที่ซ่อนอยู่จากการลงทุนด้านฟินเทคของเรา และพร้อมตั้งตารอความสำเร็จอื่นๆ อีกมากมายที่จะตามมาในอนาคต"

 

นายเอกลักษณ์ หวังชูเชิดกุล กรรมการผู้จัดการ ลอมบาร์ดเอเชีย กล่าวว่า “มันนิกซ์คือผู้นำธุรกิจสินเชื่อดิจิทัลที่มีความน่าสนใจและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนครั้งนี้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของเราที่ต้องการสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับสังคมควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่ดี ซึ่งมันนิกซ์เป็นแพลตฟอร์มการเงินชั้นนำที่เปิดโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีคุณภาพให้กับกลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้น้อย จึงตอบโจทย์ข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ในฐานะนักลงทุน ทางลอมบาร์ดเอเชียจะผนึกพลังกับผู้บริหารของมันนิกซ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจและเร่งอัตราการเติบโตให้ก้าวกระโดด เพื่อมุ่งสู่การ IPO ให้สำเร็จ”

การศึกษาฉบับใหม่ “อนาคตของไทยสตาร์ทอัพ และ Venture Capital”โดยดีลอยท์ คอนซัลติ้ง (“ดีลอยท์”) ชี้ว่า Startup ไทยจำนวนมากเผชิญความยากลำบากในการแข่งขันและดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Startup ในไทยยังคงประสบปัญหาในการเข้าถึงเงินทุนระยะเริ่มต้นจากแหล่งเงินทุนอย่างเช่น Venture Capital Firm (VC) ส่งผลให้ Startup ในไทยขาดแคลนเงินทุนที่ต้องการเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ

การศึกษาครั้งนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศ Startup ไม่ว่าจะเป็น ผู้ก่อตั้ง Startup VC และหน่วยงานภาครัฐมากกว่า 20 ราย ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงอ้างอิงผลการวิจัยจากสถาบันต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยการศึกษาฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อชี้ให้เห็นถึงแนวทางที่เป็นไปได้ในการพัฒนาสตาร์ทอัพและ Venture Capital ในประเทศไทย

 

ปัญหาหลักของระบบนิเวศในประเทศไทยที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข

จากการศึกษาระบบนิเวศในประเทศไทย เราพบว่าระบบนิเวศในประเทศไทยนั้นประสบปัญหาในหลายๆ ด้าน โดยปัญหาหลักที่ขัดขวางการเติบโตของระบบนิเวศนั้น มีตั้งแต่ปัญหาการเข้าถึงเงินทุน จนไปถึงความยากลำบากในการหาผู้ประกอบกิจการที่มีความสามารถ ยกตัวอย่างเช่น

· Startup ในไทยประสบปัญหาในการเข้าถึงเงินทุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินทุนในระยะเริ่มต้น หรือ Seed Stage) จำนวนรอบระดมทุนของ Startup ในระยะเริ่มต้น หรือ Seed Stage ลดลงตั้งแต่ปี 2562 จากเดิมจำนวนรอบระดมทุน 33 รอบ ลดลงไปกว่าครึ่งในปี 2563 ตามข้อมูลจาก Innovation Club Thailand หนึ่งในสาเหตุของการลดจำนวนลง เกิดจากการที่ Accelerator แบบไม่เฉพาะเจาะจงประเภทธุรกิจของ Startup ระยะเริ่มต้นนั้นมีจำนวนลดลง นอกจากนั้น พื้นฐานของตลาด VC ในไทยยังมี VC จากบริษัทใหญ่ หรือ Corporate VCs (CVCs) ถือครองอยู่ ที่มักจะเน้นลงทุนใน Startup ระยะท้าย หรือ Later Stage

· โครงการสนับสนุน Startup จากหน่วยงานภาครัฐนั้นยังไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์ความต้องการของ Startup อันเนื่องมาจากมูลค่าเงินทุนสนับสนุนของโครงการนั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของ Startup การออกแบบโครงการที่ยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของ Startup ยกตัวอย่างเช่น การที่โครงการให้การสนับสนุน Startup ด้วยเงินทุนจำนวน 20,000 ถึง 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่แท้จริงแล้ว Startup ต้องการเงินทุนขั้นต่ำ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ดำเนินการสำหรับ 1-2 ปี นอกจากนั้น จากการสัมภาษณ์ Startup เกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการของหน่วยงานภาครัฐ Startup หลายๆ ที่ยังประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำเอกสาร และการเบิกจ่ายเงินสนับสนุน ซึ่งมีความยุ่งยากและใช้เวลานาน ความลำบากในการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนนั้น ยังได้เพิ่มความกดดันให้กับผู้ประกอบกิจการในการบริหารเงินสะพัดของ Startups อีกด้วย

· Startup ไทยประสบปัญหาในการเข้าถึงที่ปรึกษาในประเทศเนื่องจากจำนวนที่ปรึกษาในประเทศไทยนั้นมีจำนวนจำกัด โดยปัญหานี้เกิดขึ้นจากการที่ประเทศไทย ไม่ได้มีจำนวนผู้ประกอบการ Startup เกิดขึ้นภายในประเทศเยอะ ส่งผลให้จำนวนปรึกษาที่สามารถให้คำปรึกษาแก่ Startup รุ่นใหม่นั้น มีจำนวนน้อยตาม ถึงแม้ว่าปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้ในอนาคตโดยอาศัยเวลาและประสบการณ์ แต่ปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้ก่อตั้ง Startup ในไทย มีปัญหาในการเปิดรับแนวคิดความกล้ายอมรับความเสี่ยง และวิสัยทัศน์การขยายธุรกิจออกสู่สากล ซึ่งมีความจำเป็นต่อการสร้าง Unicorn Startups ในไทย

“ปัญหาที่ Startup ไทยเผชิญอยู่นั้นเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน” ดร.เมธินี จงสฤษดิ์หวัง กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง กล่าว “เงินทุนระยะเริ่มต้นนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อ Startup ในการดำเนินธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง VC หลายๆ เจ้ายังคงมองว่าระบบนิเวศ Startup ในประเทศไทยนั้นยังมีขนาดเล็กและยังไม่ได้พัฒนามากนัก รวมถึง Startup ไทยที่ประสบความสำเร็จยังมีจำนวนน้อย ส่งผลให้ VC ยังไม่กล้าที่จะลงทุนใน Startup ไทยซักเท่าไหร่”

“มีคำกล่าวที่ว่า It takes a village to raise a startup ในกรณีของประเทศไทยเราเชื่อว่าระบบนิเวศที่สนับสนุน Startup นั้นเป็นสิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาเป็นอย่างแรก” ดร.เมธินี กล่าว

 

แนวทางในการพัฒนาระบบนิเวศในประเทศไทย:

จากการศึกษาระบบนิเวศในประเทศต่างๆ เราพบว่าระบบนิเวศที่ประสบความสำเร็จนั้น เกิดจากการร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมไปถึงความเพียงพอของช่องทางในการรับแหล่งเงินทุน โดยเราเห็นว่า หน่วยงานภาครัฐในประเทศไทยสามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำในการแก้ปัญหาต่างๆ ในระบบนิเวศและส่งเสริมการพัฒนาระบบนิเวศในประเทศผ่านแนวทางต่อไปนี้

1) จัดตั้งโครงการร่วมลงทุนระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เหมือนอย่างในประเทศต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น โครงการ SEEDS Capital ในประเทศสิงคโปร์ โครงการ London Co-Investment Fund

ในสหราชอาณาจักร เป็นต้น เพื่อเป็นการดึงดูด VC ให้เข้าร่วมโครงการ หน่วยงานภาครัฐสามารถที่จะพิจารณาออกแบบโครงการร่วมลงทุนนี้ให้ช่วยลดความเสี่ยงที่ VC ต้องแบกรับในการลงทุนใน Startup และนำเสนอโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Upside Return) แก่ VC โดยโครงการเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สนับสนุนด้านการเงินแก่ Startup แต่ยังช่วยให้ Startup ได้ความรู้ความสามารถในการดำเนินการธุรกิจ ความเข้าใจตลาด และเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจ จาก VC อีกด้วย

2) พิจารณาการเพิ่มงบประมาณสำหรับการส่งเสริม Startup และพัฒนาโครงการเงินทุนสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐให้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มเงินทุนสนับสนุน Startup สำหรับแต่ละโครงการให้มีมูลค่าเพียงพอต่อการสนับสนุน Startup เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี (เช่น การให้เงินสนับสนุนจำนวนอย่างน้อย 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ) นอกจากนี้ โครงการควรที่จะลดความยุ่งยากในการรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ และเบิกจ่ายเงินสนับสนุน (เช่น การเปิดรับสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ และการเพิ่มความรวดเร็วในการเบิกจ่ายเงินสนับสนุน)

3) จัดตั้งและมอบหมายอำนาจให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการพัฒนาระบบนิเวศ โดยหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย จะช่วยพัฒนาและดูแลโครงการส่งเสริม Startup และ VC ในระบบนิเวศ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนานวัตกรรม กำกับดูแลให้โครงการสนับสนุน Startup จากหน่วยงานต่างๆ ให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน และจัดโครงสร้างให้กับโครงการที่มาจากแต่ละภาคส่วน อีกทั้ง หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายนั้น จะช่วยพัฒนาการสื่อสาร และร่วมมือ ระหว่าง Startup และหน่วยงานของภาครัฐ นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยจัดหาทรัพยากรที่ Startup สามารถเข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย

เราได้เห็นแล้วว่า โครงการร่วมลงทุนระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ผ่านการออกแบบมาเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น โครงการในประเทศสิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และ ประเทศอิสราเอล นั้นมีความสามารถที่จะช่วยผลักดันและส่งเสริมการพัฒนาด้านนวัตกรรมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงโครงการเหล่านี้ยังช่วยดึงดูด VC จากทั้งในประเทศและนอกประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบนิเวศ Startup อีกด้วยดร.เมธินี กล่าว

จากการศึกษาแนวทางในการพัฒนาระบบนิเวศในประเทศต่างๆ เราค้นพบว่าแต่ละประเทศนั้นล้วนมีปัญหาหรือความท้าทายในการพัฒนาระบบนิเวศที่แตกต่างกันไป และประเทศเหล่านั้นมีการพัฒนาแนวทางในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป การค้นพบครั้งนี้ช่วยยืนยันกับเราว่า โครงการหรือแนวทางแก้ปัญหาแบบ One-size Fits All นั้นไม่มีอยู่จริง และเราควรที่จะทำการศึกษาแนวทางแก้ปัญหาที่แตกต่างกันเหล่านั้นเพื่อเรียนรู้ว่าเราจะสามารถปรับปรุงและนำบทเรียนจากโครงการเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาระบบนิเวศในประเทศไทยต่อไปได้อย่างไรเคนเนท เทย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายอุตสาหกรรมการเงิน ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง กล่าว

“การพัฒนาระบบนิเวศนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา” เคนเนท กล่าวเสริม “การพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการ การปลูกฝังแนวคิดที่กล้ายอมรับความเสี่ยง รวมไปถึงการค้นพบไอเดียใหม่ๆ ล้วนแต่จำเป็นต้องใช้เวลา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะพัฒนาหรือสร้างขึ้นได้ชั่วข้ามคืน”

เราเชื่อว่าระบบนิเวศในประเทศไทยนั้นมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอนาคต เป็นระบบนิเวศที่เต็มไปด้วย Startup ที่ประสบความสำเร็จ เป็นระบบนิเวศที่สามารถดึงดูด VC ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศให้มาลงทุนใน Startup ไทย รวมไปถึงเป็นระบบนิเวศที่เต็มไปด้วยที่ปรึกษาที่พร้อมจะให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือแก่ Startup หน้าใหม่ สุดท้ายนี้เราเชื่อว่าหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการพัฒนาครั้งนี้” ดร.เมธินี กล่าวเสริม

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่  https://www2.deloitte.com/sg/en/pages/human-capital/articles/venture-capital-ecosystem-thai.html

ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี หัวหน้ากลุ่มภารกิจบริหารยุทธศาสตร์สํานัก ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(สป.อว.) ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีเพื่อร่วม ประชุมหาแนวทางการยกระดับผลิตภัณฑ์ภายใต้โครงการ U2T for BCG พร้อมเดินชมสินค้าU2T for BCG ในตลาดชุมชน โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสนาะ กลิ่นงาม อธิการบดี, ผู้ช่วยศาสตราจารย์พจนารถ บัว เขียว รองอธิการบดีฝ่ ายยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ให้การ ต้อนรับ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี เมื่อเร็วๆนี้ ลําดับภาพเรียงจากซ้าย 1. ดร.ทวิพัฒน์ วิจิตรปัญญารักษ์ ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พจนารถ บัวเขียว รองอธิการบดีฝ่ ายยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี 3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสนาะ กลิ่นงาม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี 4. ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) 5. นายพันธุ์เพิ่มศักดิ อารุณี ์ หัวหน้ากลุ่มภารกิจบริหารยุทธศาสตร์ สํานักปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(สป.อว.) 6. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 7. นายปองพล รักการงาน รองผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม

TRUE Global Intelligence™” ฝ่ายวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลของเฟลชแมน ฮิลลาร์ด บริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ระดับสากล เปิดตัว “DE&I Decoded: APAC” รายงานวิจัยเจาะลึกการรับรู้และความต้องการด้านการสนับสนุนความหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่าง (Diversity, Equity and Inclusion: DE&I) ของประชาชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เพื่อวางกรอบการดำเนินงานให้ภาคเอกชนในเอเชียแปซิฟิกสามารถปฏิบัติตามเพื่อสนองความต้องการของประชาชนในภูมิภาคนี้ได้อย่างแท้จริง โดยรายงานฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดและการปฏิบัติกับผู้เกี่ยวข้องต่างๆ และยังแนะแนวทางให้แบรนด์สามารถดำเนินธุรกิจที่สนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาคดีขึ้นและถูกต้องมากยิ่งขึ้น

ลินน์ แอน เดวิส ประธานเฟลชแมน ฮิลลาร์ด ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “แม้ว่าก่อนหน้านี้ DE&I อาจไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญสำหรับประชากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่ด้วยชุดข้อมูลล่าสุดที่เราทำการศึกษาและรวบรวมมานี้ ทำให้เราได้รับรู้และเข้าใจถึงรายละเอียดและมุมมองที่ลึกซึ้งของผู้คนในประเทศต่างๆ ต่อการให้ความสำคัญเกี่ยวกับ DE&I ในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านความหลากหลายทางเพศสภาพและศาสนา ไปจนถึงด้านความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ อาทิ เรื่องที่อยู่อาศัยและรายได้ เป็นต้น ซึ่งมุมมองและนิยามต่อ DE&I ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับแบรนด์และเจ้าของธุรกิจที่ต้องเข้าใจถึงความแตกต่างและหลากหลาย เพื่อนำไปปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสมกับผู้ที่เกี่ยวข้องในแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

งานวิจัย DE&I Decoded: APAC พบว่า:

· ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับเรื่อง DE&I: การตีความ DE&I อาจต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่กลุ่มตัวอย่างในเอเชียแปซิฟิกอยากให้การสนับสนุนความหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่างในประเด็นต่างๆ อาทิ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และเพศสภาพ เป็นสาระสำคัญในการสื่อสารและกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยประชาชนร้อยละ 51 เห็นว่า ต้อง“ทำให้คนที่มีภูมิหลังต่างกันมีส่วนร่วมในสังคมมากขึ้น” ในขณะที่มีเพียงร้อยละ 11 เท่านั้นที่อยากให้คงโครงสร้างทางสังคมแบบเดิมไว้

· สภาพเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นการเปลี่ยนแปลง: ประชากรในทวีปเอเชียกล้าที่จะแสดงความเห็นและจุดยืนของตน โดยกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 84 ระบุว่าเขาได้เรียกร้องต่อประเด็นสังคมอย่างน้อย

หนึ่งเรื่อง ทั้งนี้ ประเด็นความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ เช่น สถานะทางเศรษฐกิจ สถานะการจ้างงาน และรายได้ เป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจสูงสุด ตามด้วยประเด็นด้าน DE&I ที่สังคมรับรู้กันในวงกว้าง เช่น เพศสภาพ สถานะทางสังคม/ชนชั้น ภูมิหลังทางวัฒนธรรม และศาสนา เป็นต้น

· การดำเนินธุรกิจตามแนวคิด DE&I สร้างผลบวกต่อองค์กร: องค์กรที่ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดที่สนับสนุนความหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่างจะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากกว่าบริษัทที่ไม่ได้มีพันธกิจในเรื่อง DE&I เลย โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 94 ระบุว่า บริษัทต่าง ๆ ต้องดำเนินการในด้าน DE&I อย่างน้อยหนึ่งเรื่องเพื่อแสดงให้เห็นถึงจุดยืนและความตั้งใจดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด DE&I อย่างแท้จริง

ลีลา สเตก หัวหน้าฝ่าย FH4Inclusion และหัวหน้าทีมร่วมฝ่าย True MOSAIC DE&I เฟลชแมน ฮิลลาร์ด กล่าวเสริมว่า “ผลวิจัยฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงนิยามใหม่ที่หลากหลายต่อมุมมองด้าน DE&I ทั้งจากผู้คนในโลกธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจากภาคส่วนอื่นๆ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมแห่งความเท่าเทียมและการยอมรับซึ่งกันและกันให้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในประเด็น DE&I อาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ แต่ความต้องการในการสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นกลับชัดเจนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชน อาทิ ด้านการศึกษา รายได้ และความปลอดภัย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีจุดยืนและต้องการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังร่วมกันทั่วทั้งภูมิภาค”

แนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กรเพื่อก้าวสู่การดำเนินธุรกิจตามแนวคิด DE&I ในเอเชียแปซิฟิก:

· ต้องสื่อสารเรื่อง DE&I: ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกถึงร้อยละ 90 อยากเห็นองค์กรภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจและสื่อสารภายใต้แนวคิดที่สนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการยอมรับความแตกต่าง อย่างไรก็ตาม กลับมีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 3 เท่านั้นที่ระบุว่าเคยได้รับข้อมูลเรื่องในเรื่อง DE&I จากเจ้าของธุรกิจและผู้บริหารในองค์กร

· กำหนดกลยุทธ์ DE&I ด้วยแผนและเป้าหมายที่ชัดเจน: การดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด DE&I อย่างเป็นรูปธรรมและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ต้องเริ่มต้นด้วยแผนและเป้าหมายที่เป็นไปได้ โดยการเริ่มต้นในองค์กรอาจจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กร การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และความจริงใจโปร่งใสด้วยเช่นกัน

· ให้ความสำคัญกับการรับฟังแลกเปลี่ยนความเห็นและการให้ความรู้: อย่าสื่อสารทางเดียว องค์กรต่าง ๆ ควรพร้อมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพนักงานในเรื่อง DE&I ตลอดจนลงทุนในเรื่องการอบรมและให้ความรู้ในเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 36 ระบุว่าอยากให้มีการอบรมพนักงานในด้าน DE&I และ ร้อยละ 83 อยากให้บริษัทต่าง ๆ มีผู้นำที่ให้ความสำคัญกับ DE&I

· ต้องสื่อสารให้เหมาะกับแต่ละประเทศ: แม้ว่าการสื่อสารในเรื่องการสนับสนุนความหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่าง ควรไปในแนวทางและทิศทางเดียวกัน แต่การใช้ภาษาเพื่อพูดคุยสื่อสารในประเด็นนี้ของประเทศต่างๆ กลับมีความแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น การสื่อสารและแผนการสื่อต้องจำเป็นจะต้องปรับให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละประเทศ ตลอดจนต้องแตะประเด็น DE&I ที่ผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ ให้ความสำคัญ

 "ผลการวิจัย DE&I Decoded: APAC สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนต้องการเห็นแบรนด์แสดงออกถึงจุดยืนด้าน DE&I แม้ว่าประชาชนในแต่ละประเทศจะให้ความสำคัญกับแต่ละประเด็นเรื่อง DE&I แตกต่างกัน แต่ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องการที่จะเห็นการเคลื่อนไหวอย่างจริงจังจากรัฐบาลและภาคเอกชนเพื่อยกระดับสังคมให้ดีขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยการอบรมและให้ความรู้ที่ถูกต้องชัดเจนเรื่อง DE&I รวมถึงการมีผู้นำที่ให้ความสำคัญกับ DE&I เพื่อกระตุ้นให้เกิดแผนที่รัดกุมและปฏิบัติได้จริงในการที่จะยกระดับเรื่อง DE&I ในองค์กรและสถานที่ทำงานให้สูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” ไมเคิล รินาแมน กรรมการผู้จัดการ TRUE Global Intelligence™ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและหัวหน้าทีมวิเคราะห์ของเฟลชแมนฮิลลาร์ด กล่าวเสริม

โสพิส เกษมสหสิน รองประธานอาวุโส พาร์ทเนอร์ และผู้จัดการทั่วไป เฟลชแมนฮิลลาร์ด ประเทศไทย กล่าวถึงผลวิจัยของประเทศไทยว่า คนไทยมีความเข้าใจและให้ความสำคัญกับเรื่อง DE&I ในระดับสูง โดยมีความคุ้นเคยกับแนวคิด DE&I ถึง 76% และมีกลุ่มตัวอย่างเพียง 25% ที่จะเพิกเฉยเมื่อเผชิญกับการไม่สนับสนุนความหลากหลาย ความไม่เสมอภาค และการไม่ยอมรับในความแตกต่าง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐ ภาคสังคม และภาคธุรกิจในประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ ยอมรับ และสนับสนุน DE&I มากขึ้น ผ่านนโยบาย การดำเนินงาน การขับเคลื่อนทางสังคม และการสื่อสาร เพื่อจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเรื่อง DE&I ในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความเสมอภาคและยอมรับความหลากหลายในเพศสภาพ ชาติพันธุ์และภูมิหลังทางวัฒนธรรม อันเป็นประเด็น DE&I ที่คนไทยรับรู้สูงสุด 3 อันดับแรก รวมถึงผนึกกำลังแก้ปัญหาความไม่เสมอภาคทางการศึกษาของประเทศที่กลุ่มตัวอย่างในไทยมองว่าเป็นวาระเร่งด่วนและทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญสูงสุด

งานวิจัย DE&I Decoded: APAC จัดทำโดย TRUE Global Intelligence™ ซึ่งเป็นฝ่ายวิจัยและวิเคราะห์ของเฟลชแมน ฮิลลาร์ด งานวิจัยนี้มีการสำรวจภาคสนามตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 27 กันยายน 2565 รายงานการวิจัยฉบับนี้เขียนจากผลการสำรวจประชาชน 5,106 คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่สอดคล้องกับจำนวนประชากรของออสเตรเลีย จีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ตลาดแต่ละแห่งมีความต้องการเฉพาะ ทำให้ได้ข้อมูลที่ชี้ให้เห็นแนวโน้มใหม่ ๆ ในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน ทราบถึงรู้แหล่งข่าวสารเกี่ยวกับ DE&I ของประชาชน และทำให้เห็นว่าความเสมอภาคทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อพฤติกรรมของประชาชนและภาคธุรกิจอย่างไร

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย CIO Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารเป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์มุ่งรักษาเงินต้น 3 เดือน 2 (SCBCP3M2) อายุโครงการประมาณ 3 เดือน เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท ประมาณการผลตอบแทน 1.10% ต่อปี เพื่อเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไป ระหว่างวันที่ 7-13 ก.พ. 2566

กองทุนนี้เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเทอมฟันด์ที่ SCB WEALTH นำมาเสนอขาย เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนทั่วไปให้สามารถเข้าลงทุนได้ โดยนโยบายการลงทุนจะมุ่งเน้นการรักษาเงินต้นเป็นหลัก จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ที่จะมาช่วยลดความเสี่ยงให้พอร์ตโดยรวม ในภาวะที่โลกมีโอกาสเผชิญเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้

สำหรับกองทุน SCBCP3M2 มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยเป็นหลัก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) กองทุนมีความเสี่ยงที่ระดับ 3 คือ ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ โดยสินทรัพย์ที่กองทุนคาดว่าจะเข้าไปลงทุน ได้แก่ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และ ตั๋วเงินคลัง

นายศรชัย กล่าวว่า ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นใกล้ถึงจุดสูงสุด เป็นช่วงเวลาที่ผู้จัดการกองทุนสามารถเฟ้นหา ตราสารหนี้ระยะสั้น และให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจได้ เมื่อเทียบกับในอดีตช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ อาจจะหาตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีได้ยากกว่า ขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ก็ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น หากผู้ลงทุนมองหาการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ไม่พร้อมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

X

Right Click

No right click