December 15, 2025

ปี 2566 นี้ ตลาดแรงงานทั่วโลกยังคงเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และองค์กรรวมถึงเจ้าของธุรกิจหลายแห่งก็ยังคงต้องรับมือกับความท้าทายในการเฟ้นหาบุคลากรที่มีความสามารถและตรงสเปคมาร่วมทีมเพื่อพัฒนาองค์กรให้เติบโตไปด้วยกัน โดยเฉพาะสายงานยอดนิยมในช่วงหลังอย่างสายงานด้านดิจิทัล

ในปีนี้แนวโน้มการจ้างงานจะเป็นไปในทิศทางไหน และแต่ละองค์กรควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  นราพร อินทเชื้อ ผู้อำนวยการฝ่าย Work & Rewards ประจำประเทศไทยและอินโดไชน่า WTW ประเทศไทย หนึ่งในผู้ให้บริการโซลูชันด้านการบริหารคนและองค์กรที่มีฐานข้อมูลครอบคลุมมากที่สุดและเชื่อมโยงกับทุกภูมิภาค เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดแรงงานขาดแคลนบุคลากรในสายงานดิจิทัล อันเป็นผลมาจากการที่องค์กรจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าสู่หรืออยู่ระหว่างกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ตลอดจนการเข้ามามีบทบาทที่มากขึ้นของ AI และระบบอัตโนมัติในการทำงาน

นราพร กล่าวว่า “จากผลสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนของบุคลากรในสายงานด้าน AI และดิจิทัล (Artificial Intelligence and Digital Talent Compensation Survey) ของ WTW พบว่า บริษัทกว่า 97% กำลังประสบปัญหาในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลให้มาร่วมงาน และกว่า 96% ประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับ AI ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ข่าวดีในวันนี้คือนายจ้างกลุ่มนี้ยังสามารถพลิกเกมได้ด้วยการริเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบค่าตอบแทนององค์กรให้ทัดเทียมหรือเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดแรงงาน โดยนำข้อมูลด้านเงินเดือนและสวัสดิการในตลาดแรงงานจากฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้มาใช้เป็นตัวช่วยกำหนด”

คาดการณ์ภาพรวมการจ้างงานในปี 2566

จากผลสำรวจ โดย WTW พบว่าในปี 2566 แนวโน้มอัตราการขึ้นเงินเดือนค่าเฉลี่ยของไทยนั้นอยู่ที่ 5% ส่วนอัตราการออกจากงานโดยสมัครใจคือ 10.9% และออกโดยไม่สมัครใจ 4.9% ทั้งนี้ 28% ของบริษัทที่เข้าร่วม

การสำรวจมีแผนที่จะปรับเพิ่มจำนวนพนักงานภายในปี 2566 โดยมีตำแหน่งที่ต้องการหลักๆ ได้แก่ งานด้านการขาย งานวิศวกรรม งาน IT และช่างเทคนิค ซึ่งตำแหน่งงาน IT นั้นถือว่าติดอันดับต้นๆ มาแล้วถึง 3 ปีซ้อน

ส่วนงานที่มาแรงและได้ค่าตอบแทนสูงสุดคืองานในสาย Data Science และ Business Intelligence นอกจากนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับแนวหน้าของไทยยังได้วิเคราะห์ไว้ว่าอาชีพด้านเทคโนโลยี และDigital Marketing จะเป็นอาชีพที่ติดอันดับดาวรุ่งในปี 2566 เนื่องจากบริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดก็เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งให้องค์กรต้องปรับตัวไปสู่รูปแบบดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจุบัน องค์กรต่างๆ ต่างมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกว่า 60% ระบุว่าความสามารถในการดึงดูดและรักษาบุคลากรด้านดิจิทัลคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรเปลี่ยนผ่านไปสู่ความดิจิทัลได้อย่างราบรื่นมากที่สุด ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้นกว่าเมื่อปี 2020 ซึ่งอยู่ที่ 42% และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ

ก้าวต่อไปของการพิจารณาสวัสดิการ ค่าตอบแทน ให้กับคนทำงานสายดิจิทัล

ขณะนี้คือเวลาที่นายจ้างต้องลุกขึ้นมา “คิดใหม่ทำใหม่” ในการออกแบบแพ็คเกจค่าจ้างและสวัสดิการให้กับลูกจ้าง เนื่องจากปัจจุบัน การดึงดูดและรักษาพนักงานในตำแหน่งงานด้านดิจิทัลถือเป็นความท้าทายสูงสุดสำหรับองค์กรในทุกอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค องค์กรในประเทศไทยจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องเสนอค่าจ้างและสวัสดิการที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในตลาดสำหรับตำแหน่งงานสำคัญๆ เช่น Digital Marketing, Data Scientist และนักพัฒนาแอปพลิเคชัน

ข้อมูลที่ WTW ได้รวบรวมมาจากบุคลากรใน 41 ตำแหน่งเฉพาะทาง จากทั้งหมด 8 กลุ่มงานที่เกี่ยวกับดิจิทัลในกว่า 200 บริษัทในประเทศไทย พบว่า ปัจจุบันมีจำนวนพนักงานในตำแหน่งงานเฉพาะทางด้านดิจิทัลมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 20% ซึ่งประกอบไปด้วยตำแหน่งเช่น Cloud Computing Engineering, Machine Learning, Full Stack Development และ Technology Product Development – Prototypes and Trials เป็นต้น

 

นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบว่าอัตราการจ้างบุคลากรในตำแหน่งงานดิจิทัลในเมืองไทยเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วจาก 12,937 คนเป็น 16,891 คน หรือคิดเป็น 31% โดยผู้ที่มีประสบการณ์ด้านดิจิทัลแบบพร้อมใช้ ไม่จำเป็นต้องผ่านการอบรมใหม่ จะมีแนวโน้มที่ได้รับเงินเดือนสูงกว่าคนที่จบใหม่ หรือไม่มีประสบการณ์ถึง 39%-42% (ในระดับปฏิบัติการ)

ในด้านของอัตราเงินเดือนในสายงานดิจิทัล

แม้จะเป็นตำแหน่งเดียวกัน ในต่างอุตสาหกรรม เงินเดือนก็อาจแตกต่างกัน เช่น Data Scientist ระดับ Manager ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และเกม (Tech, Media and Gaming) ได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไปถึง 15-20% ส่วนบทบาทการทำงานที่องค์กรต่างๆ ขาดแคลนและมองหามากที่สุดในวันนี้ ได้แก่ Blockchain, Agile Development & Team Collaboration และ Data Science and Business Intelligence โดยกลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการจ้างงานตำแหน่งเกี่ยวกับดิจิทัลมากที่สุด ได้แก่ เทคโนโลยี สื่อ และเกม (Tech, Media and Gaming) สินค้าอุปโภคบริโภคและธุรกิจค้าปลีก (Consumer Products and Retails) และประกันชีวิต (Life Insurance)

 

องค์กรต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าจะรักษาคนเก่า มองหาคนใหม่ หรือทำควบคู่ทั้งสองทางก่อนจะดำเนินการเฟ้นหาบุคลากรที่มีความสามารถทางดิจิทัลมาเสริมทัพการทำงาน องค์กรจำเป็นต้องประเมินจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง พร้อมกับต้องตอบตนเองให้ได้ว่าแท้จริงแล้วเป้าหมายขององค์กรคืออะไร ระหว่างการดึงดูดพนักงานใหม่ การรักษาพนักงานเก่า หรือทั้งสองอย่าง เพราะแต่ละโจทย์นั้นนำไปสู่การดำเนินการที่แตกต่างกัน เช่น ปัจจัยที่ดึงดูดพนักงานใหม่ได้มากที่สุด คือ เงินเดือน ชื่อเสียงขององค์กร สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ความน่าสนใจของสินค้าหรือบริการขององค์กร และโอกาสที่บุคลากรนั้นๆ จะได้สร้างผลงานในองค์กร ส่วนปัจจัยที่จะรักษาพนักงานเดิมให้อยู่กับองค์กรได้มากที่สุด คือ เส้นทางการเติบโตและการเลื่อนตำแหน่งที่ชัดเจน เนื้องานที่มีความน่าสนใจ ท้าทาย และหลากหลาย เงินเดือนที่เป็นที่น่าพอใจ และโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

 

งานดี เงินดี แล้วทำไมสายดิจิทัลจึงยัง Turnover สูง?

สิ่งที่น่าเซอร์ไพรส์ในข้อมูลที่พบคืออัตราการลาออก (Turnover Rate) ของคนทำงานด้านดิจิทัลกลับสวนทางกับดีมานด์อย่างสิ้นเชิง โดยถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งงานที่ครองแชมป์ลาออกมากที่สุด ด้วยอัตราการลาออกที่มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปถึง 9% หรือคิดเป็นเกือบ 20% โดยเฉพาะงานด้าน IT Developer, Digital Marketing และ Online Community Marketing ซึ่งเหตุผลโดยท้ายที่สุดนั้นก็เป็นเพราะองค์กรไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของบุคลากรได้นั่นเอง

ปัจจุบัน สิ่งที่บุคลากรสายดิจิทัลมองหาไม่ได้มีแค่เรื่องของเม็ดเงินค่าตอบแทนที่ดีเท่านั้น แต่องค์กรยังต้องให้ความมั่นใจกับบุคลากรได้ด้วยว่างานที่ทำจะนำพาไปสู่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และพวกเขาจะมีโอกาสในการพัฒนาทักษะควบคู่ไปกับการทำงาน และรายล้อมไปด้วยคนที่เข้าใจและพร้อมปรับตัวสู่ Digital Transformation ไปด้วยกัน ทั้งนี้ WTW ระบุว่า กลุ่มงานสายดิจิทัลของบริษัทในประเทศไทยมักสูญเสียบุคลากรไปเนื่องจากการแข่งขันแย่งชิงตัวในตลาด โดยตำแหน่งงานที่มีพนักงานลาออกสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่

Application Development (Internet/Web Application Development), Data Science และ Business Intelligence, IT Architecture (Systems Design), Digital Marketing, และ Agile / Scrum Master Project / Program Management ด้วยเหตุนี้ องค์กรและนายจ้างยุคปี 2566 จึงจำเป็นต้องตื่นตัวและคอยอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่กลุ่มบุคลากรสายดิจิทัลมองหาอยู่เสมอ จึงจะสามารถโน้มน้าวให้พวกเขาเข้ามาทำงาน และอยู่กับองค์กรในระยะยาวได้

 

 

จะเอาชนะใจคนเก่งได้ ต้องแตกต่างไม่เหมือนใคร

3 ปัญหาหลักที่องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญระหว่างการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) คือ ความท้าทายในการสรรหาและรักษากลุ่มพนักงานที่มีความสามารถด้านดิจิทัล ความจำเป็นที่ต้องตั้งงบประมาณการจ่ายในเชิงรุก และการออกแพ็คเกจผลตอบแทนให้สู้กับองค์กรอื่นๆ ได้ ยุคนี้เป็นยุคที่คนเก่งเลือกองค์กร ไม่แพ้องค์กรเลือกคน การขาดแคลนแรงงานในสายดิจิทัลอย่างต่อเนื่องได้บีบคั้นให้องค์กรต่างๆ ต้องปรับตัว พร้อมกับหันมาใช้แนวทางที่แตกต่างไปจากเดิม ด้วยเหตุนี้ บริษัทต่างๆ จึงจำเป็นต้องสามารถเข้าถึงอินไซต์ที่ชี้ให้เห็นภูมิทัศน์ของตลาดแรงงานด้านดิจิทัลให้ได้ โดยเฉพาะข้อมูลในเรื่องของทักษะที่กำลังมาแรง ทักษะที่มีดีมานด์น้อยลง รวมถึงคุณค่า (Value) และผลตอบแทนที่บุคลากรสายดิจิทัลต้องการ เช่น โอกาสในการ Training พัฒนาศักยภาพกับหลักสูตรชั้นนำ/หน่วยงานชั้นนำ, เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น/กำหนดเองได้, stock option, โอกาสทำงานในต่างประเทศ

 

การที่องค์กรยื่นข้อเสนอและสวัสดิการที่ตรงใจและแตกต่างจากคู่แข่ง จะเป็นการส่งสัญญาณไปยังแคนดิเดตว่าองค์กรนั้นตระหนักถึงศักยภาพของพวกเขาอย่างแท้จริงและไม่ได้ใช้สวัสดิการสูตรสำเร็จ หรือที่เรียกกันว่า One-size-fits-all กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ องค์กรต้องไม่ลืมที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่อง และใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่งงานควบคู่กันไปด้วย

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือทางวิชาการโครงการแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) เพื่อใช้ข้อมูลในการวางนโยบายด้านการเกษตรและวางแผนบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตรผ่านระบบ Agri-Map ทั้งแบบออนไลน์ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์(Agri-Map Online) และแอปพลิเคชันผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Agri-Map Mobile) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย

ล่าสุด. นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ศ. ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ โครงการแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีนายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ นางสาวภัทราภรณ์ โสเจยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายในการขับเคลื่อนงานภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ 15 แนวทางนโยบายหลัก ปรับตามสถานการณ์และปรับเปลี่ยนเป็นการทำงานเชิงรุกในการพัฒนาภาคการเกษตรอย่างเป็นระบบ ซึ่ง Agri-Map ถือเป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ในการขับเคลื่อนงานดังกล่าว ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ สอดคล้องตามสภาพพื้นที่และสถานการณ์ในปัจจุบัน

นายปราโมทย์ ยาใจ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวถึงความร่วมมือและการสนับสนุนด้านการวิจัยเพื่อร่วมพัฒนาระบบ Agri-Map “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายจัดทำแผนที่สำหรับบริหารจัดการภาคการเกษตรของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยบูรณาการข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตรและการพาณิชย์ สำหรับวิเคราะห์การจัดการสินค้าเกษตร ตามความต้องการของผู้ผลิตและผู้บริโภค และความเหมาะสมของการใช้ที่ดิน

โดยที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ทำให้ Agri-Map ถูกพัฒนาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้บริหารจัดการภาคการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันสมัย สะดวก และติดตามความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สามารถใช้ได้บนแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ Agri-Map Online และบนแพลตฟอร์มมือถือ Agri-Map Mobile เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการเกษตร และวางแผนการบริหารจัดการภาคเกษตรภายใต้โครงการสำคัญต่างๆ โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรและผู้สนใจสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว”

ศ. ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงความร่วมมือและการสนับสนุนด้านการวิจัยเพื่อร่วมพัฒนาระบบ Agri-Map โดยเนคเทค สวทช. ได้นำงานวิจัยทางเทคโนโลยีด้านบูรณาการข้อมูลไปใช้กับข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านการเกษตร และพัฒนาเครื่องมือสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ร่วมกับเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ มาสร้างแบบจำลองในการโซนนิ่งภาคการเกษตร โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและผลผลิตให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังได้วิจัยพัฒนาระบบการจัดการข้อมูลแบบอัตโนมัติเพื่อการเตรียมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล อย่างมีมาตรฐานสากล เพื่อใช้ในการแสดงผลในแบบแผนที่บนระบบ Agri-Map ในรูปแบบออนไลน์ผ่านเครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ (Agri-Map Online) และแอปพลิเคชันผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Agri-Map Mobile) ซึ่งช่วยลดภาระเวลาการทำงานให้กับการจัดการข้อมูลในการส่งเข้าระบบ Agri-Map รวมทั้งได้พัฒนาระบบ Map Server ด้วย Opensource ที่ให้ประสิทธิภาพเทียบ Business Software ซึ่งช่วยลดภาระค่าลิขสิทธิ์ลงได้

สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้นครั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดิน ได้สนับสนุนปรับปรุงข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกของพืชเศรษฐกิจ 13 ชนิดพืช ตามรอบการสำรวจของกรมฯ และเพิ่มข้อมูลพืชเศรษฐกิจทางเลือกในการเพาะปลูกให้แก่เกษตรกรอีก 5 ชนิด ได้แก่ มะม่วง กล้วย ลองกอง โกโก้ และส้มโอ ส่วนเนคเทค สวทช. ยังสนับสนุนการนำงานวิจัยการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโมเดลการทำนายพื้นที่เพาะปลูกพืชมาใช้ เพื่อช่วยลดภาระงานสำรวจพื้นที่ของทางกรมพัฒนาที่ดิน ปัจจุบัน ระบบ Agri-Map ได้

เปิดให้ใช้งานได้ทั้งแบบออนไลน์ผ่านระบบเครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ (Agri-Map Online) และแบบแอปพลิเคชันผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Agri-Map Mobile) ซึ่งยังคงต้องมีการพัฒนาปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยและดูแลรักษาระบบให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องต่อไป

ไม่นานมานี้ OpenAI บริษัทวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปิดตัว ChatGPT แพลตฟอร์มสนทนา AI รูปแบบใหม่อย่างเป็นทางการ จากข้อมูลของบริษัทฯ ระบุว่ารูปแบบการสนทนาที่จัดทำโดยแพลตฟอร์มนี้ทำให้ ChatGPT สามารถ “ตอบคำถามได้ครอบคลุม ยอมรับข้อผิดพลาด พร้อมนำเสนอข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และปฏิเสธคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล”

นับตั้งแต่ ChatGPT เปิดให้บริการ บนโลกโซเชียลมีเดียก็มีการถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้ในการนำนวัตกรรมนี้มาปรับใช้รวมถึงอันตรายที่อาจตามมา เนื่องจากความสามารถในการวิเคราะห์หาข้อผิดพลาดของโค้ด (Debug Code) ไปจนถึงศักยภาพในการเขียเรียงความสำหรับนักศึกษา  

เพราะอะไร ChatGPT ถึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก?

ChatGPT เป็นปรากฎการณ์ Perfect Storm ที่เป็นการรวมกันของปัญญาประดิษฐ์ (AI) สองเรื่องใหญ่ ๆ ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน นั่นคือแชทบอท และ GPT3 ที่นำเสนอวิธีการสื่อสารโต้ตอบพร้อมสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ เสมือนการพูดคุยกับมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องสำคัญในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แชทบอทสร้างปฏิสัมพันธ์การสนทนาแบบ 'ชาญฉลาด' ขณะที่ GPT3 สร้างเอาต์พุทที่ดู 'เข้าใจ' คำถาม เนื้อหา และบริบทของการสนทนา ซึ่งเมื่อสองสิ่งนี้รวมกันได้สร้างผลกระทบใหญ่จนเกิดคำถามว่า 'เรากำลังสนทนากับมนุษย์หรือคอมพิวเตอร์กันแน่หรือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่เหมือนกับมนุษย์’ ซึ่งการโต้ตอบบางครั้งสร้างความขบขัน บ้างนำเสนอข้อมูลลึกซึ้งและบางทีก็เต็มไปด้วยสาระความรู้ แต่น่าเสียดายที่บางครั้ง ChatGPT ยังนำเสนอเนื้อหาได้ไม่ถูกต้องและไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจหรือสติปัญญาของมนุษย์ ปัญหาอาจอยู่ที่คำว่า 'เข้าใจ' และ 'ความฉลาด' ซึ่งขึ้นอยู่กับการป้อนข้อมูลของมนุษย์ที่อาจมีความหมายคลุมเครือไม่ชัดเจน ดังนั้นเมื่อนำไปใช้กับอัลกอริธึม อาจส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง

ในมุมที่มีประโยชน์กว่าคือการได้เห็นว่าแชทบอทและโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น GPT ได้กลายเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับการทำงานเฉพาะอย่างให้สำเร็จลุล่วงได้ ที่ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง โดยความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในแอปพลิเคชันที่เหมาะสมและมอบประโยชน์ต่อองค์กรอย่างแท้จริง

รูปแบบการใช้ ChatGPT ในองค์ก

สำหรับการใช้งานเทคโนโลยีแชทบอทหรือผู้ช่วยการสนทนาในเชิงธุรกิจระดับสูงนั้น จะใช้เพื่อจัดเตรียมรูปแบบการโต้ตอบด้วยการเรียบเรียงเนื้อหาจากแหล่งข้อมูล โดยแชทบอทจะมีรูปแบบการใช้งานมากมายอยู่ในระบบของตัวเองอยู่แล้ว ตั้งแต่การให้บริการลูกค้าไปจนถึงการช่วยเหลือทีมงานเทคนิคระบุปัญหาต่าง ๆ

สำหรับการใช้งาน ChatGPT ระดับสูงขึ้นไปอีก จะใช้เป็นแชทบอทที่มีความเฉพาะสำหรับ (แชท) โต้ตอบหรือ 'สนทนา' กับแหล่งข้อมูลของ GPT ในกรณีนี้แหล่งข้อมูล GPT จะได้รับการทดสอบโดเมนเฉพาะโดย OpenAI ซึ่งข้อมูลการทดสอบที่ใช้ในแบบจำลองนี้จะกำหนดวิธีการตอบคำถาม

อย่างไรก็ตามความสามารถของ GPT สำหรับสร้างฐานข้อมูลยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้อมูลที่ได้นั้นเป็นเท็จ นั่นหมายความว่าข้อมูลสามารถใช้ได้กับบางสถานการณ์ที่ข้อผิดพลาดสามารถยอมรับหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ มีรูปแบบการใช้งานโมเดลพื้นฐานมากมาย เช่น GPT ในโดเมนต่าง ๆ ประกอบด้วย Computer Vision, Software Engineering และงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Research and Development) เช่น มีการใช้แบบจำลองพื้นฐานสร้างรูปภาพขึ้นจากข้อความ และตรวจสอบโค้ดจากภาษาธรรมชาติ (Natural Language) รวมถึงการทำ Smart Contracts หรือแม้แต่ในด้านการดูแลสุขภาพ (Healthcare) เช่น การสร้างยารักษาโรคใหม่ ๆ และการถอดรหัสลำดับจีโนมเพื่อจำแนกโรค

ข้อกังวลด้านจริยธรรม

โมเดลแบบจำลองพื้นฐาน AI เช่น GPT แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้าน AI จากประโยชน์เฉพาะตัวที่มอบให้ อาทิ การช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาสร้างโมเดลแบบจำลองเฉพาะโดเมน อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงและข้อกังวลด้านจริยธรรม ซึ่งประกอบด้วย

Complexity: โมเดลจำลองขนาดใหญ่ต้องใช้พารามิเตอร์นับพันล้านหรืออาจมากถึงล้านล้าน โดยโมเดลจำลองเหล่านี้มีขนาดใหญ่เกินไปที่องค์กรจะนำมาทดสอบใช้งาน เนื่องจากต้องใช้ทรัพยากรการประมวลผลที่จำเป็นจำนวนมาก อาจทำให้มีราคาแพงและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Concentration of power: โมเดลจำลองเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด ด้วยการลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาจำนวนมหาศาล และมีความสามารถด้าน AI เป็นสำคัญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจในหน่วยงานขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง อาจสร้างความไม่สมดุลในอนาคต

Potential misuse: โมเดลจำลองพื้นฐานช่วยลดต้นทุนในการสร้างเนื้อหา ซึ่งหมายความว่าการสร้าง Deepfake ที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับจะง่ายขึ้น รวมถึงทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่การเลียนแบบเสียงและวิดีโอไปจนถึงผลงานศิลปะปลอม ตลอดจนการโจมตีแบบกำหนดเป้าหมาย ซึ่งข้อกังวลด้านจริยธรรมร้ายแรงที่เกี่ยวข้องอาจทำให้เสียชื่อเสียงหรือสร้างความขัดแย้งทางการเมืองได้

Black-box nature: โมเดลจำลองเหล่านี้ยังต้องการการทดสอบอย่างถี่ถ้วนและสามารถมอบผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ เนื่องจากการทดสอบในลักษณะกล่องดำ (Black-box nature) ที่ไม่คำนึงถึงคำสั่งภายในซอฟต์แวร์ และคลุมเครือว่าฐานข้อมูลที่ตอบสนองนั้นเท็จจริงเพียงใด อาจนำเสนอผลลัพธ์ที่เอนเอียงได้จากข้อมูลที่กำหนดไว้ โดยกระบวนการทำให้ข้อมูลตรงกันของแบบจำลองดังกล่าวสามารถนำไปสู่ความล้มเหลวได้ หากคลาดเคลื่อนเพียงจุดเดียว

Intellectual property: โมเดลแบบจำลองถูกทดสอบกับคลังข้อมูลของชิ้นงานที่สร้างขึ้น และยังไม่ชัดเจนว่าจะมีกฎหมายบังคับอย่างไรสำหรับการนำเนื้อหานี้กลับมาใช้ใหม่ และหากเนื้อหานั้นมาจากทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น

แนวทางการใช้โมเดลพื้นฐานเอไออย่างมีจริยธรรม

เริ่มต้นจากการใช้งานการประมวลผลภาษาตามธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP) เช่น การจัดหมวดหมู่ การสรุป และการสร้างข้อความในสถานการณ์ที่ไม่ได้เจอตัวลูกค้า และเลือกงานที่มีความเฉพาะ โดยโมเดลจำลองที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วจะสามารถลดต้นทุนการปรับแต่งและการทดสอบที่มีราคาแพง หรือใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบผลลัพธ์โดยมนุษย์ ใช้สร้างเอกสารเชิงกลยุทธ์ที่สรุปประโยชน์ ความเสี่ยง โอกาส และแผนงานการปรับใช้โมเดลจำลองพื้นฐาน AI เช่น GPT ซึ่งจะช่วยพิจารณาว่าได้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงหรือไม่ กรณีที่นำมาใช้งานเฉพาะ ใช้ APIs บนคลาวด์สำหรับสร้างรูปแบบจำลองและเลือกแบบจำลองที่มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อให้มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการเพื่อลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนรวมสำหรับการเป็นเจ้าของ จัดลำดับความสำคัญของผู้จำหน่ายที่ส่งเสริมการปรับใช้โมเดลอย่างมีความรับผิดชอบโดยการเผยแพร่แนวทางการใช้งาน การบังคับใช้ รวมถึงบันทึกช่องโหว่และจุดอ่อนที่ทราบ พร้อมเปิดเผยพฤติกรรมที่เป็นอันตรายและสถานการณ์การใช้งานในทางที่ผิดแบบเชิงรุก

 

 บทความ :  เบิร์น  เอลเลียต  รองประธานฝ่ายวิจัย  การ์ทเนอร์ อิงค์

 

ในปีที่ผ่านมา ผู้บริหารทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain disruption) และการขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ ฯลฯ แม้จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ แต่ ผู้บริหารระดับ CxO ยังให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับต้นๆ ในองค์กรของตน

ถึงแม้ว่า CxO ส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสำรวจ มีวิสัยทัศน์เป็นไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจทั่วโลกสมารถเติบโตได้เป็นอย่างดี และในขณะเดียวกันก็สามารถบรรลุเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ แต่การดำเนินการและผลจากการดำเนินการไม่เชื่อมโยงกัน เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ ยังคงล่าช้าในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จะปลูกฝังแนวคิดความยั่งยืนในการวางกลยุทธ์ การดำเนินงาน และวัฒนธรรมขององค์กร

เมื่อให้จัดอันดับประเด็นที่เร่งด่วนที่สุดสำหรับองค์กรของพวกเขา CxO หลายคนจัดอันดับให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ในกลุ่ม “สามอันดับแรก”

• การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังถูกจัดว่ามีความสำคัญในอันดับต้น ๆ เมื่อพิจารณาร่วมกับประเด็นอื่นอีกเจ็ดประเด็น ซึ่งได้แก่ นวัตกรรม การแข่งขันเพื่อหาบุคลากรที่มีความสามารถ และความท้าทายในห่วงโซ่อุปทาน ในความเป็นจริงมีเพียงประเด็นด้านแนวโน้มเศรษฐกิจเท่านั้นได้รับการจัดอันดับสูงกว่าประเด็นที่กล่าวมาเล็กน้อย

• ผู้บริหารระดับ CxO 61% กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์และการดำเนินงานขององค์กรในอีก 3 ปีข้างหน้าในระดับสูงหรือสูงมาก

• 75% กล่าวว่าองค์กรของพวกเขาได้เพิ่มการลงทุนด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา โดยเกือบ 20% ของกลุ่มนี้ ให้ข้อมูลว่า พวกเขาได้เพิ่มการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

CxO มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังมีความเห็นในทางที่ดีในเรื่องการดำเนินการจัดการด้านสภาพอากาศ

• 62% กล่าวว่าพวกเขามีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดเวลาหรือเกือบตลอดเวลา

• ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมดระบุว่าบริษัทของตนได้รับผลกระทบเชิงลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว และ 82% ของ CxO ได้รับผลกระทบโดยตรงกับตนเอง

• อย่างไรก็ตาม 78% มองในแง่ดีอยู่บ้างหรือมองในแง่ดีอย่างมากว่าจะมีการดำเนินการที่เพียงพอที่จะทำให้โลกสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทต่าง ๆ รู้สึกกดดันอย่างมากที่จะต้องดำเนินการกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตั้งแต่คณะกรรมการ/ฝ่ายบริหาร ลูกค้า ไปจนถึงกลุ่มพนักงาน

• มากกว่าครึ่งหนึ่งของ CxO กล่าวว่าการเคลื่อนไหวของพนักงานในการผลักดันประเด็นสภาพอากาศทำให้องค์กรของตนเพิ่มการดำเนินการด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา โดย 24% ของกลุ่มนี้ กล่าวว่ากิจกรรมดังกล่าวว่าสิ่งนี้นำไปสู่การเพิ่มการดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญ

• กฎระเบียบยังมีส่วนผลักดัน: 65% ของ CxO กล่าวว่า กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้องค์กรของตนเพิ่มการดำเนินการด้านสภาพอากาศในช่วงปีที่ผ่านมา ในขณะที่บริษัทต่างๆ มีการดำเนินการในด้านนี้ แต่ยังไม่ใช่การดำเนินการที่แสดงถึงการปลูกฝังการคำนึงถึงด้านสภาพอากาศไว้ในวัฒนธรรมองค์กร และการมีผู้นำอาวุโสที่มองเห็นความสำคัญและผลักดันสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย

• ตัวอย่างเช่น 21% ของ CxO ระบุว่าองค์กรของตนไม่มีแผนในการกำหนดค่าตอบแทนจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมให้ผู้นำระดับสูง และ 30% กล่าวว่าพวกเขาไม่มีแผนที่จะชักชวนให้รัฐบาลสนับสนุนโครงการด้านสภาพอากาศ

• นอกจากนี้ เมื่อถามเกี่ยวกับความจริงจังในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีเพียง 29% ของ CxO ที่กล่าวว่าพวกเขาเชื่อว่าภาคเอกชน "จริงจังมาก"

• และมีเพียง 46% เท่านั้นที่กล่าวว่าการสร้างความเชื่อมั่นใน “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม”* นั้น “มีความสำคัญอย่างยิ่ง” ในองค์กรของตน และมุมมองด้านความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละภูมิภาคและประเทศ

รายงานของดีลอยท์สำรวจเพิ่มเติมในเรื่อง ความต้องการและเป้าหมาย การลงมือปฏิบัติ และผลกระทบ ที่ไม่สอดคล้องกัน ตลอดจนขั้นตอนที่ CxO สามารถดำเนินการให้แต่ละส่วนสอดคล้องกันและเร่งให้เกิดดำเนินการไปสู่การเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจสีเขียว

*การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม เป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าผลประโยชน์มากมายจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวจะได้รับการแบ่งปันอย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกันก็ยังสนับสนุนผู้ที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศ ภูมิภาค อุตสาหกรรม ชุมชน คนงาน หรือผู้บริโภค

Gala ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเกมบน Web 3.0 ระดับโลก เดินหน้าสู่ปี 2566  พร้อมเผยแผนสำคัญของ Gala Games, Gala Music, Gala Film และ VOX  โดยเตรียมเปิดตัวบล็อกเชนของตัวเอง ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า GYRI (เกียริ) และใช้เหรียญ $GALA เป็นค่าแก๊ส (ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มบล็อกเชน)

Gala Games เดินหน้าเตรียมเปิดตัวเกมอีก 12 เกมในปี 2566 นี้

และอีกมากกว่า 30 เกมอยู่ระหว่างการพัฒนาซึ่งครอบคลุมมากกว่า 20 ประเภท หลังจากได้เข้าซื้อสตูดิโอ Ember Entertainment ผู้สร้างเกมมือถือที่มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 20 ล้านครั้ง และมีเกมมากกว่า 15 เกม ซึ่งมีหลายเกมเปิดให้ดาวน์โหลดแล้วใน App Store ทั้งนี้ Gala Games ต้องการเข้าถึงคน 3 พันล้านคนที่เล่นเกมบนมือถือ

ในส่วนของเกมนำทัพของ Gala Games อย่าง Town Star เกมสร้างฟาร์มและออกแบบกลยุทธ์ ได้ตัว Mark Skaggs ครีเอเตอร์ของเกมชื่อดังอย่าง Farmville มานำทีมเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อปรับโครงสร้างเกม Town Star และหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือการเปลี่ยนเหรียญในเกมจาก $TOWN เป็น $GALA นอกจากนี้ Town Star จะเปิดตัวเวอร์ชั่นใหม่ให้เล่นกันเร็ว ๆ นี้ โดยมีเหรียญ $GALA เป็นโทเคนสำหรับการแข่งขันและรางวัล ซึ่งจะเริ่มการให้ผลตอบแทนในไตรมาสแรกของปีนี้ด้วย

ถ้านึกถึง Gala Games แน่นอนว่ามีอีกเกมที่มาแรง นั่นคือ Spider Tanks เกมรถถังแข่งขันเป็นทีม PvP Brawler เกมแรกบน Web 3.0 พัฒนาขึ้นโดย GAMEDIA เจ้าของรางวัลจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเกมนี้เป็นเกมที่เปิดให้เล่นฟรี (Free-to-Play) และยังมีระบบให้ผลตอบแทน (Play-and-Earn) ผู้เล่นสามารถเลือกและประกอบตัวรถถังให้ออกมาไม่เหมือนใครก่อนลงสนามเพื่อต่อสู้ในสนามประลอง นอกจากนี้ ยังมีระบบนักขับ (piloting system) ที่เพิ่มความสะดวกและเรียลไทม์ ให้ผู้เล่นสามารถเช่า NFT จากเจ้าของในการเล่นและรับผลตอบแทนได้อีกด้วย

อีกเกมที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ Superior จาก Drifter Entertainment เป็นเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 3 แนว co-op roguelite กับเรื่องราวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ที่กลายเป็นปีศาจร้ายทำลายล้างโลก ทั้งนี้ได้เปิดให้เล่นทาง Steam เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกมนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เล่นได้ก้าวเข้าสู่อนาคตของการเล่นเกม มีความเชื่อมโยงเกม Web 2.0 ‘แบบดั้งเดิม’ ที่ไม่มีความเป็นเจ้าของ สู่ระบบนิเวศที่สามารถเป็นเจ้าของได้เต็มรูปแบบของ Web 3.0 โดยเกม Superior จะเปิดระบบ Play-and-Earn ในไตรมาสแรกของปีนี้เช่นกัน

Gala Music เตรียมเปิดตัวเต็มรูปแบบ ในไตรมาสแรกของปีนี้

Gala Music จะเป็นแหล่งในการค้นพบดนตรีและศิลปินหน้าใหม่ ซึ่งกำลังจะเปิดตัวแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบ (รวมถึงโทเคนมิวสิค) ในไตรมาสแรกของปี 2566 หลังจากที่ Gala ได้ประกาศเปิดตัวธุรกิจมิวสิคที่ LA Forum เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้งแต่นั้นมา Gala Music ได้ทำงานร่วมกับศิลปินชื่อดังอย่าง Kings of Leon และ Snoop Dogg รวมถึงค่ายเพลงของเขา Death Row Records และได้เปิดตัวศิลปินไปแล้ว 32 คนบนแพลตฟอร์ม พร้อมเพลงมากกว่า 150 เพลง นอกจากนี้ Gala Music ยังมุ่งเน้นการมองหาศิลปินหน้าใหม่ ทั้งในอเมริกาและยังวางแผนขยายไปในยุโรปและเอเชียตะวันออกอีกด้วย โดยทีม Gala Music เตรียมพร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบพร้อมโหนดจำนวน 25,000 โหนดที่พร้อมไลฟ์ในไตรมาสแรกของปีนี้บนเกียริ (GYRI) บล็อกเชนของ Gala

Gala Film มีภาพยนตร์ 7 เรื่องอยู่ระหว่างการผลิต ซึ่งมีอยู่ 3 เรื่องที่จะพร้อมสตรีมโดยเครือข่ายโหนดเร็ว ๆ นี้

โดย Gala Film มีพันธมิตรอย่าง Seven Bucks Productions บริษัทโปรดักชันที่ก่อตั้งขึ้นโดย ดเวย์น จอห์นสัน (เดอะร็อก), Stick Figure ก่อตั้งโดยผู้สร้างภาพยนตร์ได้รับรางวัลอย่างสตีเฟน แคนเตอร์ และยังมี Unrealistic Ideas ซึ่งเป็นบริษัทโปรดักชันก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 โดย อาร์ชี กิปส์ ผู้คร่ำหวอดในการสร้างภาพยนตร์สารคดี/ผู้จัดรายการ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก และสตีเฟน เลวินสัน ผู้จัดการ/หุ้นส่วนการผลิตที่รู้จักกันมานานของมาร์ค

ด้วยพันธมิตรฟอร์มยักษ์ Gala Film มาเพื่อยกระดับความบันเทิง โดยการแสดงให้เห็นถึงสิทธิประโยชน์ของการเป็นเจ้าของคอนเทนต์ด้วยการเข้าถึงผลตอบแทนและสินทรัพย์ เช่น บทร่าง ของที่ระลึก รวมถึงฟุตเทจ โครงเรื่องพิเศษ/ลับ เรื่องเล่าของตัวละคร และให้ผู้ถือคอนเทนต์ได้มีส่วนในการผลิต ทั้งนี้ Gala Film วางแผนเริ่มสตรีมภาพยนตร์และใช้ระบบ Watch and Earn ในไตรมาส 2 ของปีนี้ พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบบนเกียริ (GYRI) บล็อกเชนของ Gala

VOX เมตาเวิร์สของ Gala จะนำเกม เพลง และฟิล์ม เข้ามาอยู่ด้วยกัน

VOX เป็น NFT คาแรกเตอร์ 3 มิติที่มีเอกลักษณ์และมีหนึ่งเดียวในโลก ได้รับการออกแบบโดยผู้สร้างในตำนานของ The Sims อย่างวิลล์ ไรต์ โดยทีม VOX ให้ความสำคัญกับการสร้าง VOXverse เพื่อให้เป็นเมตาเวิร์สที่มีความไดนามิก ทั้งนี้ได้มีการเปิดตัว VOX ไปแล้วทั้งหมดมี 4 ซีรีส์ เมื่อ VOXverse เปิดตัว ผู้ถือ VOX ทั้ง 4 ซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็น ทาวน์สตาร์ มิแรนดัส เดอะวอล์คกิ้งเดด และ โทรลส์ จากดรีมเวิร์คส์ จะสามารถนำ VOX ของตนเข้ามาเล่นและสร้างสิ่งต่าง ๆ ในโลกเปิดของเมตาเวิร์สเพื่อสะสมผลตอบแทน

ในครึ่งปีแรกของปี 2566 Gala จะเปิดจำหน่ายที่ดินที่ดีที่สุด ซึ่งจะพาผู้เล่นเข้าไปใน VOXverse อย่างที่ไม่เคยมาก่อน รวมถึงจะมีเพลย์เทสด้วย ซึ่งทางทีมจะมีการแชร์กลไกหลักในการเล่นและความคืบหน้าของทีมสร้างต้นแบบที่มาพร้อมเทคเดโมและ AMA กับคุณวิลล์ ไรต์ ตลอดช่วงไตรมาส 1 และ 2

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ พิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล และจัดพิธีถวายพานพุ่มสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ผู้ทรงก่อตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ ในวาระครบรอบ 116 ปี 

เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ โดยมี ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) คุณอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) คุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยกรรมการ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร และพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ รวมถึงบริษัทในกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ ร่วมในพิธี ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ในโอกาสนี้ธนาคาร ฯ ได้แจกต้นไม้ในโครงการ “1 ต้นเพื่อโลก 1 ต้นเพื่อเรา” ให้แก่พนักงานนำไปปลูก ร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับโลกของเราในวันสำคัญนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนหลักของธนาคารในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม

ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งมั่นดำเนินงานในปีที่ 117 สู่บริบทใหม่ของการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ภายใต้กลยุทธ์การก้าวไปสู่ธนาคารที่ดีขึ้น (Be a Better Bank) ต่อลูกค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงาน ร่วมสร้างความมั่นคง ความเจริญ และการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่ระบบการเงิน การธนาคาร เศรษฐกิจ ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยคำนึงถึงการดำเนินงานภายใต้บรรษัทภิบาลเป็นสำคัญ

เปิดตัว FRIENDGENCY มาร์เก็ตติ้งเอเจนซี่ผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดและการทำแบรนด์ครบวงจร ด้วยการรวมทีมงานคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ พร้อมมอบบริการด้านการสื่อสารการตลาดและการทำแบรนด์แบบโทเทิลโซลูชัน เชี่ยวชาญทั้งสื่อดิจิทัลและสื่อออฟไลน์

ภายใต้ความมุ่งมั่นต้องการสร้างความแตกต่าง นำเทรนด์ ด้วยการดึงนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ร่วมกับประสบการณ์ของทีมที่ทำงานในฐานะลูกค้ามาก่อน ทำให้มีความเข้าใจมุมลูกค้าที่ต้องการทำแคมเปญให้คุ้มค่า เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สู่ผลลัพธ์ที่สะท้อนมาต่อแบรนด์ จากข้อมูล NIELSEN เม็ดเงินโฆษณารวมในประเทศกลับมาเติบโตหลังวิกฤตโควิด-19 ปี 2565 ที่ผ่านมา เติบโต 9.12% หรือมีมูลค่ารวม 118,678 ล้านบาท ประกอบกับพบเทรนด์องค์กรมีแนวโน้มมองหาพันธมิตรด้านสื่อสารการตลาดในรูปแบบเอาท์ซอร์สแทนการมีทีมอินเฮ้าส์ เพื่อไอเดียการสื่อสารแบรนด์ด้วยการตลาดที่สดใหม่ แตกต่าง และเพิ่มความยืดหยุ่นกับการบริหารทรัพยากร ตั้งเป้าให้บริการการตลาดที่เน้นทำงานร่วมกับ KOLs หรือ Influencers เพื่อมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพกับแบรนด์ การตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์มดิจิทัลของคนรุ่นใหม่แบบเรียลไทม์ กับองค์กรและแบรนด์ชั้นนำ

 

นางศิวลี บูรณสงคราม ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟรนด์เจนซี่ จำกัด หรือ FRIENDGENCY เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ทำงานด้านการสื่อสารการตลาดและแบรนด์ให้กับองค์กรที่เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือของประเทศมากกว่า 20 ปี ทำให้เห็นเทรนด์ของการบริหารองค์กรธุรกิจ ที่ต้องการความยืดหยุ่น แต่ตอบโจทย์เป้าหมายของธุรกิจในการทำสื่อสารการตลาดและแบรนด์ที่สด ใหม่ และแตกต่าง ที่ผ่านมาองค์กรจึงมีการมองหาเอาท์ซอร์สที่หลากหลายร่วมเป็นพันธมิตรในการทำงาน แทนที่จะต้องสร้างทีม หรือขยายทีมอินเฮ้าส์ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน พร้อมด้วยไอเดียที่หลากหลายในการสร้างสรรค์แคมเปญ รวมถึงทำการการสื่อสารแบบ real-time Marketing เพื่อสอดรับความไดนามิกของการแข่งขันในตลาด

นอกจากนี้ จากข้อมูล NIELSEN ภาพรวมของการใช้งบประมาณการโฆษณาในประเทศช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา เม็ดเงินโฆษณาในปี 2563 ได้ลดลงถึง 12.91% แต่ปี 2564 ปรับตัวขึ้น 1.02% ขณะที่ปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้น 9.12% หรือมีมูลค่ารวม 118,678 ล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลข้างต้น ทำให้เห็นโอกาสในการเข้ามาเติบโต เพื่อขานรับเทรนด์ดังกล่าว ด้วยปัจจัยเชิงบวกนี้ เราจึงมองเห็นโอกาส จึงก่อตั้ง บริษัท เฟรนด์เจนซี่ จำกัด หรือ FRIENDGENCY ขึ้น โดยตั้งเป้าเป็นมาร์เก็ตติ้งเอเจนซี่ผู้ให้บริการด้านการตลาด แบรนด์ และการสื่อสารแบบครบวงจร โดยรวบรวมผู้มีประสบการณ์ทำงานด้านสื่อสารการตลาดและแบรนด์ในฝั่งลูกค้ามาเป็นทีมงาน เพื่อการทำงานที่เข้าใจความต้องการและวิธีทำงานของแบรนด์อย่างไร้รอยต่อ พร้อมนวัตกรรมในการทำงานใหม่ ๆ ที่จะสร้างความแตกต่างอย่างลงตัว” นางศิวลีกล่าว

การเข้าใจวิธีคิดและวิธีการทำงาน รวมทั้งความต้องการของลูกค้าปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาด บวกกับเงื่อนไขด้านกระแสนิยม เทรนด์ปัจจุบันที่มาไวไปไวในระยะเวลาอันจำกัด การมีทีมงานสื่อสารการตลาดที่เชี่ยวชาญ เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ เป็นเพื่อนคู่คิดที่พร้อมรับมือกับกลไกการตลาดในยุคปัจจุบัน มุ่งซัพพอร์ตเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมาย เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จของแบรนด์ เฟรนด์เจนซี่พร้อมที่จะร่วมทำงานเป็นทีม Marketing Outsource ที่ให้บริการแบบครบจบในที่เดียว ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยให้น้ำหนักกับการตลาดออนไลน์แบบ People Based Marketing สร้างสรรค์บนผลงานที่แปลกใหม่ เพื่อให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่าง ดึงดูดทุกความสนใจ ครอบคลุมในทุกแพลตฟอร์ม สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่มได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายแบรนด์มองหา โดยเฉพาะด้านการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้กับแคมเปญ เพื่อสร้างความทันสมัยและแตกต่างให้กับแบรนด์ รวมทั้งการทำงานออนไลน์แบบ Real-time Marketing ที่ทันต่อตลาดและกระแสต่าง ๆ ในปัจจุบัน” นางศิวลี กล่าวเพิ่มเติม

ในปัจจุบัน แบรนด์ต่าง ๆ นิยมใช้ KOLs และ Influencers มาช่วยสร้างการรับรู้ แต่กลยุทธ์การตลาดดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับ KOLs หรือ Influencers ในรูปแบบ People Based Marketing โดยเป็นการบริหารจัดการที่ต้องเน้นการทำงานกับ “คน” เพื่อสร้าง “ความว้าว” ให้กับแคมเปญ นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้บริโภครุ่นใหม่นิยมใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่แตกต่าง อย่าง Tiktok และ Twitter หรือแพลตฟอร์มใหม่อื่น ๆ ในอนาคต ดังนั้น แบรนด์จึงจำเป็นต้องเพิ่มช่องทางในการสื่อสารแบรนด์ไปตามแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายนิยมด้วยเช่นกัน

FRIENDGENCY ให้บริการสื่อสารการตลาดและแบรนด์แบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางธุรกิจ การกำหนดกลยุทธ์การสื่อสาร รวมทั้งกลยุทธ์ด้านสื่อ การสร้างแบรนด์ และการตลาด การทำแคมแปญแบบ IMC การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย อีเว้นท์ การสร้างนวัตกรรม และบริการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ FRIENDGENCY มีความเชี่ยวชาญด้านการทำงานร่วมกับ KOLs หรือ Influencers เพื่อมอบโซลูชันใหม่ ๆ ที่สร้างความจำจดและว้าวกับแบรนด์ รวมทั้งการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์มดิจิทัลของคนรุ่นใหม่ ด้วยการตลาดแบบเรียลไทม์ ที่ทันกระแส ไม่ตกยุค

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FRIENDGENCY: FACEBOOK: Friendgency / INSTAGRAM: @friendgency / ติดต่อสอบถาม : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

Esri ผู้นำด้าน Location Intelligence การวิเคราะห์ภูมิสารสนเทศในมุมมองใหม่ ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนา ArcGIS ซอฟต์แวร์ชั้นนำระดับโลก ล่าสุด Esri ได้รับรางวัล The Forrester New Wave™:Climate Risk Analytics, 2022 จากบริษัทวิจัย Forrester จากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ GIS ในการช่วยแก้ปัญหาด้านความเสี่ยงของสภาพอากาศ ตอกย้ำประสิทธิภาพเทคโนโลยี GIS ด้านการนำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้วิเคราะห์ ประมวลผลขั้นสูง และนำเสนอข้อมูลปัญหาที่เกี่ยวกับภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่างๆ จากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกที่มีผลกระทบโดยตรงกับความยั่งยืนในภาพรวมของทุกภาคส่วน

 

นางสาวธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธานบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้นทุกปี โดยรายงานจากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) เผยว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่อุณหภูมิโลกสูงสุดเป็นครั้งที่ 6 ตั้งแต่ที่องค์การได้บันทึกสถิติ ทำให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น เหตุการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน คลื่นความร้อนที่ทำให้เกิดภัยแล้งรุนแรงจนทำให้เกิดไฟป่าเป็นวงกว้างในหลายประเทศ และในภูมิภาคเอเชียเกิดวิกฤตการณ์คลื่นความร้อนและฝนตกหนักกว่าปกติ นับเป็นประเด็นหลักของโลก สิ่งที่เป็นปัญหาในการแก้ปัญหาภัยพิบัติ คือการเข้าไปช่วยเหลือไม่ทันเวลา หรือไม่มีข้อมูลในการเข้าถึงและแก้ปัญหาได้เร็ว เทคโนโลยี GIS จึงเข้ามาช่วยทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมด มอนิเตอร์เหตุการณ์ และวางแผนรับมือแก้ปัญหา รวมถึงบริหารจัดการด้านภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุมมากขึ้น โดย Esri เชื่อว่าการมองอะไรด้วยภาพหรือ Location ช่วยทำให้วิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีกว่าการเห็นแค่ตัวเลข หรือตัวหนังสือทั่ว ๆ ไป

“เทคโนโลยี GIS ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ให้สอดคล้องไปตามเทรนด์เทคโนโลยี และบูรณาการร่วมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยมีการพัฒนาให้ใช้งานง่ายและรวดเร็วขึ้น เตรียมพร้อมในการแก้ปัญหาได้อย่างทันเวลาและทั่วถึง ซึ่งหนึ่งในจุดเด่นของการทำงานของเทคโนโลยี GIS ที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาด้านภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่าง ๆ คือความสามารถในการรวบรวมข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและนำมาวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยง สามารถสร้างแบบจำลองการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการนำเทคโนโลยีด้าน Deep Learning และ Machine Learning รวมทั้ง AI เข้ามาทำงานร่วมกัน ทำให้วิเคราะห์ข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วและแม่นยำ สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบระหว่างปัจจุบันและอดีต เพื่อคาดการณ์แนวโน้ม วางแผนป้องกัน และหาโซลูชันแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและยั่งยืน” นางสาวธนพรอธิบาย

นอกจากนี้ เทคโนโลยี GIS มีเครื่องมือที่พร้อมใช้งาน สะดวกต่อการพัฒนาต่อยอด สามารถมอนิเตอร์ติดตามสถานการณ์จริงแบบเรียลไทม์ เพื่อหาแนวทางเข้าควบคุม แก้ไข หรือวางแผนตอบสนองในพื้นที่ที่ต้องการแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีผ่านเว็บแอปพลิเคชันที่สามารถสร้างได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม หรือ โค้ดดิ้ง พร้อมการนำเสนอข้อมูลด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็น Dashboard หรือแผนที่ 3 มิติ ที่แสดงผลได้ทั้งบน Mobile และ Desktop ทำให้ประชาชนหรือผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อวางแผนหรือเตรียมความพร้อมสำหรับดำเนินการได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา รวมถึงสามารถแบ่งปันข้อมูลร่วมกันในรูปแบบ Open Data ที่เป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ

ล่าสุด Forrester บริษัทด้านการวิจัยและวิเคราะห์เทคโนโลยี IT ชั้นแนวหน้าในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศให้ Esri เป็นผู้นำด้านการทำรายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ ประจำปี 2565 จากรายงาน The Forrester New Wave™: Climate Risk Analytics, 2022 รายงานของ Forrester ยังกล่าวถึงจุดเด่นของแพลตฟอร์ม Esri ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการนำเสนอข้อมูล และการประมวลผลขั้นสูง

อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ให้บริการข้อมูลสภาพอากาศ (NASA, NCAR, NOAA ฯลฯ) และการดำเนินงานในภาคธุรกิจ

นางสาวธนพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของในประเทศไทยได้มีการนำเทคโนโลยี GIS มาใช้ในการพยากรณ์ด้านภัยพิบัติ โดย Esri ได้ขยายความร่วมมือกับ ”ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ” ด้วยการนำเทคโนโลยี GIS ไปใช้งานด้านภัยพิบัติและด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การนำเสนอฮับสภาพแวดล้อมเพื่อพยากรณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดกับ ‘กรุงเทพฯ’ ในช่วง 100 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ เทคโนโลยี GIS สามารถนำไปใช้ในการพยากรณ์ด้านภัยพิบัติอื่น ๆ อาทิ มลพิษทางอากาศ รวมทั้ง ติดตามเหตุการณ์สึนามิ ไฟป่า แผ่นดินไหว ภัยแล้ง พายุ น้ำท่วม จำนวนยอดผู้ป่วยจากโรคระบาดทั่วโลก COVID-19 ฯลฯ ให้ภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน สามารถนำข้อมูลจากแอปพลิเคชันไปช่วยยกระดับการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมคาดการณ์ภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตนเอง ชุมชนเมือง และประเทศ ได้แม่นยำกว่า

ในฐานะผู้ให้บริการด้าน Location Intelligence อันดับหนึ่ง Esri มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศ ที่ล้วนมีผลกระทบต่อความยั่งยืนในอนาคต โดยการใช้เทคโนโลยี GIS ที่อัปเดต เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่วยแสดงรูปแบบ ความสัมพันธ์ของข้อมูลให้เห็นมุมมองที่แตกต่าง เชื่อมโยงและสร้างความเข้าใจแบบองค์รวมอย่างครอบคลุม เพื่อจัดการกับความท้าทายที่ต่างกำลังเผชิญอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ สู่การวางแผนดำเนินการแก้ปัญหาให้ตรงจุดและยั่งยืนด้วยข้อมูลที่รวบรวมไว้ในแพลตฟอร์ม เพื่ออนาคตที่ดีกว่า นางสาวธนพร กล่าวทิ้งท้าย

ดอลฟิน วอลเล็ท จับคู่กับพันธมิตร ‘ฟู้ดแพชชั่น’ สนับสนุนสังคมไร้เงินสดให้ลูกค้าสแกนจ่าย ง่ายๆ ที่ร้านบาร์บีคิวพลาซ่า (Bar B Q Plaza)

กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เจดี ฟินเทค ผู้ให้บริการ ดอลฟิน วอลเล็ท ผู้ให้บริการการชำระเงินบนช่องทางดิจิทัล (E-Payment) มุ่งมั่นผลักดันสังคมไร้เงินสดให้เกิดขึ้นครอบคลุมทั่วประเทศไทย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า ให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็วด้วยการสแกนจ่าย ง่าย คุ้ม ร่วมกับ บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ผู้นำธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ออกโปรโมชั่นสุดว้าว รับส่วนลดถึง 100 บาท เมื่อกดรับคูปองและสแกนจ่ายด้วย ดอลฟิน วอลเล็ท ที่ร้านบาร์บีคิวพลาซ่า (Bar B Q Plaza) ครบ 1,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 66 - 31 มี.ค. 66

คุณอุษณีย์ เลาหะวรนันท์ ผู้อำนวยการแผนกการตลาด กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เจดี ฟินเทค ผู้ให้บริการดอลฟิน วอลเล็ท กล่าวว่า “ทุกวันนี้คนไทยใช้เงินสดน้อยลงและคุ้นเคยกับการชำระเงินผ่านการสแกนจ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสะดวก ปลอดภัย ไร้สัมผัส ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้ใช้งานดอลฟิน วอลเล็ท เติบโตอย่างต่อเนื่อง มากกว่า 4 ล้านคนทั่วประเทศ อีกทั้งดอลฟินยังได้ขยายจุดรับชำระให้ครอบคลุมมากกว่า 7 ล้านจุด รวมไปถึงการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบความสะดวก ปลอดภัย และความคุ้มค่าในการใช้จ่ายแบบไร้สัมผัสให้แก่ลูกค้า

ล่าสุดดอลฟิน วอลเล็ท ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ ฟู้ดแพชชั่น เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพด้านการขยายร้านอาหารที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยเพิ่มความสะดวกสบายในการชำระเงินผ่านการสแกนจ่ายไร้สัมผัสให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการร้านในเครือฟู้ดแพชชั่น ได้แก่ ร้าน Bar B Q Plaza ร้าน GON Express และร้าน Chana ให้สามารถสแกนจ่ายด้วย ดอลฟิน วอลเล็ท และยังได้สะสมคะแนน The 1 พิเศษได้ พร้อมกันนี้ สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้าน Bar B Q Plaza ยังจะได้รับส่วนลดถึง 100 บาท สำหรับเมนูใดก็ได้ เมื่อกดรับคูปองและสแกนจ่ายด้วย ดอลฟิน วอลเล็ท ครบ 1,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ ดอลฟินมั่นใจว่านอกจากลูกค้าจะอิ่มอร่อยกับอาหารมื้อโปรดแล้ว ยังจะได้รับความคุ้มค่าจากโปรโมชั่นที่เรามอบให้ พกพาความสุขกลับบ้านไปอย่างแน่นอน”

ด้านผู้บริหารบาร์บีคิวพลาซ่า คุณรัฐ ตระกูลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กล่าวเสริมว่า “ในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา หลังการแพร่ระบาดของโควิด ส่งผลให้ลูกค้ามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเว้นระยะห่าง ลดการสัมผัสมากขึ้น จึงทำให้การใช้บริการชำระเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ที่เข้ามาตอบโจทย์พฤติกรรมเหล่านี้เกิดการใช้อย่างแพร่หลาย จนปริมาณธุรกรรมเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) อย่างเต็มตัว ทางบริษัทฟู้ดแพชชั่นของเรา ที่ให้บริการในธุรกิจอาหารมากว่า 35 ปี โดยเฉพาะร้าน Bar B Q Plaza ซึ่งมีสาขารวมกว่า 145 สาขา ดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิด “ทำมื้อนี้ให้ดีที่สุด” ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสนับสนุนให้เกิดสังคมไร้เงินสด จึงได้ร่วมมือกับทางดอลฟิน วอลเล็ท เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีช่องทางชำระเงินที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งดอลฟิน วอลเล็ทเองก็สามารถเข้ามาตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี พร้อมรับส่วนลดถึง 100 บาท เมื่อกดรับคูปองและสแกนจ่ายด้วย ดอลฟิน วอลเล็ท ที่ร้านบาร์บีคิวพลาซ่า (Bar B Q Plaza) ครบ 1,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 66 - 31 มี.ค. 66

 

จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศ จังหวัดฮอกไกโด (The Hokkaido International Trade & Industry Promotion Association) จัดงานแฟร์ผลิตภัณฑ์อาหารระดับพรีเมียม ตรงจากฮอกไกโด “FOODIE ISLAND HOKKAIDO”  ณ “โดะซังโกะ พลาซา” สาขากรุงเทพฯ สยาม ทาคาชิมะ ชั้น G (ไอคอนสยาม) ถึงวันที่ 5 กพ 65

เพื่อให้ชาวไทยทุกท่านสัมผัสเสน่ห์และคุณค่าของอาหารจากฮอกไกโด ผืนแผ่นดินทางตอนเหนือที่มีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ให้มากยิ่งขึ้น ตอบสนองความต้องการในการรับประทานอาหารนอกบ้านซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งทางจังหวัดฮอกไกโดมีความภูมิใจและตื่นตัวในการเตรียมความพร้อมในการจัดงานครั้งนี้เป็นอย่างมากหลังจากที่ได้ไม่ได้จัดมา 3 ปีแล้ว

โดยภายในงานวันแรก เสาร์ที่ 28 มกราคม 2566 เวลา 15.00 น. มร.สึจิยะ ซุนซุเกะ รองผู้ว่าจังหวัดฮอกไกโด (Mr. Tsuchiya Shunsuke) ได้มาทำกิจกรรมการทุบโมจิ เพื่อแจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชิมกันสดๆ ด้วย นอกจากนั้นยังมีการออกบูธจัดแสดงผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำและขนมยอดนิยม ของดี ของอร่อยนำเข้าจากฮอกไกโดมากมายมารวมพลที่ประเทศไทย เพลิดเพลินกับการจับคู่อาหารกับไวน์ “GI HOKKAIDO” ที่ทางจังหวัดฮอกไกโดภูมิใจนำเสนอ เหล้าสาเกจาก HOKKAIDO ชีสหลากชนิด อาหารทะเลแปรรูปต่างๆ ผลิตภัณฑ์ตามนโยบายของฮอกไกโด ฯลฯ

สำหรับการจัดงานแฟร์ในครั้งนี้ผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ที่คุณไม่ควรพลาดในงานนี้มีมากมาย อาทิ ข้าวหน้าหมู Tokachi Butadon Special เป็นเมนูพิเศษที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบุกเบิกโทคาจิและโอบิฮิโระ มาพร้อมซอสสูตรพิเศษของ Sorachi ผู้ผลิตซอสชื่อดังของฮอกไกโด รวมทั้งมีการสาธิตการทำเมนู Sorachi Butadon ให้ทุกท่านได้ลิ้มลอง Seafood Bento ที่รับรองความสดอร่อยของหอยเชลล์และปูขนส่งตรงจากฮอกไกโด Hokkaido Daruma Soba เส้นโซบะแบบเส้นเล็กที่ทำจากแป้ง Buckwheat 100% ผสมกับแป้งที่ดีที่สุดจากเมือง Mukawa และมันเทศที่ปลูกในฮอกไกโด Camembert Cheese Hayakita ชีสที่ใช้นมฮอกไกโดในการผลิต เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งได้รับCertificated จากหมู่บ้าน Camemebert ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของชีสชนิดนี้ และได้รับรางวัลในงาน "Central Dairy Council" ในปี 1998 อีกด้วย White Black Thunder หนึ่งในของฝากชื่อดังของฮอกไกโด ตัวขนมเคลือบด้วย White chocolate รสนมซึ่งใช้นมฮอกไกโดซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย หอม มัน และรสชาตินี้มีขายเฉพาะที่ฮอกไกโดเท่านั้น Soft Daifuku ไดฟุกุนุ่มจากร้าน Furen Tokusen Kan โดดเด่นด้วยแป้งโมจิที่เนียนนุ่มละมุนลิ้นจากเมืองนาโยโระ ถือเป็นผู้ผลิตข้าวเหนียวอันดับหนึ่งในฮอกไกโด มีทั้งรสสตรอว์เบอร์รี งา ถั่วเค็ม ฟักทอง โยโมกิ Tsukisamu Anpan เป็นร้านขนมปังไส้ถั่วแดงขึ้นชื่อในซัปโปโร เกาะฮอกไกโดที่คงวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมกว่า 100 ปี และเป็นสินค้าขายดีที่ใช้ถั่วแดง Adzuki ที่ปลูกเฉพาะที่ฮอกไกโดเท่านั้น Shiroi Koibito ขนมคุกกี้แสนอร่อยสอดไส้ไวท์ช็อคโกแลตที่ได้รับความนิยมและครองใจชาวญี่ปุ่นมากว่า 45 ปี เป็นหนึ่งในของฝากขึ้นชื่อของฮอกไกโด Nama Caramel คาราเมล 4 รสชาติแสนอร่อย ผลิตจากนมฮอกไกโด เนยรสชาติเข้มข้นที่ทำมาจากนมฮอกไกโด ไม่ว่าจะเป็นรสดั้งเดิม,ช็อคโกแลต, สตรอเบอร์รี่ และนมมัทฉะ KIKUNOYA SWEETS ร้านคาเฟ่ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1949 ในเมือง Nopporo-cho เมือง Ebetsu ในฮอกไกโด เป็นเวลากว่า 70 ปีแล้วที่ทางร้านได้จำหน่ายแพนเค้กหนานุ่มที่ทำจากนมถั่วเหลืองโฮมเมดและตรงกลางเป็นครีมรสละมุน

หลังจากหมดงานแฟร์ครั้งนี้ ชาวไทยทุกท่านสามารถสัมผัสกับความเป็นฮอกไกโดอย่างแท้จริงได้ ผ่านการ ช้อปและชิมรสชาติผลิตภัณฑ์อาหารแบบฮอกไกโดได้โดยไม่ต้องบินไปเที่ยวถึงฮอกไกโดได้ที่“ฮอกไกโด โดะซังโกะ พลาซา” สยาม ทาคาชิมะ ชั้น G (ไอคอนสยาม) ร้านขายของฝากและสินค้าท้องถิ่นแท้ๆ จากฮอกไกโด ที่มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย

X

Right Click

No right click