December 15, 2025

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ (กลาง) รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหาร SCB WEALTH จัดงานแถลงข่าว SCB WEALTH Holistic Experts หัวข้อ “2023 Investment Strategy Framing a Future After a Perfect Storm” โดยมีนายศรชัย สุเนต์ตา (ที่3จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO ) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นายสุกิจ อุดมศิริกุล (ที่3จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) และดร.สาธิต ผ่องธัญญา (ที่2จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส Estate Planning & Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าว พร้อมทีมผู้บริหาร SCB WEALTH ให้การต้อนรับสื่อมวลชน ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ เมื่อเร็วๆนี้

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ตอบรับความนิยมการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ เปิดเสนอขายหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง สกุลเงินบาท ประเภท Quanto (Quanto Structured Note) ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับผลการดำเนินงานของหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่างประเทศ

เพื่อปิดความผันผวนด้านค่าเงิน  และมีรูปแบบการจ่ายผลตอบแทนที่หลากหลาย ทั้งแบบที่มีการคุ้มครองเงินต้นทั้งหมด ,บางส่วน หรือแบบ Yield Enhancement เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนให้สอดคล้องกับมุมมองการลงทุน และผลตอบแทนที่คาดหวัง โดยผลิตภัณฑ์แรกในกลุ่มที่เปิดขายคือ Quanto Booster Note ซึ่งเป็นหุ้นกู้มีอนุพันธ์แฝงประเภทคุ้มครองเงินต้นบางส่วน ด้วยจุดเด่นการเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้สูงขึ้นด้วยอัตราการมีส่วนร่วม หรือ Participation Rate (PR) ที่สูงกว่า 100%

ดร.วีรวิชย์ ฤกษ์จำนง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายตลาดการเงิน ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ผู้ลงทุนแสวงหาโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาหลักทรัพย์ในต่างประเทศจะปรับตัวสูงขึ้นตามที่คาดหวัง แต่ผู้ลงทุนยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงของค่าเงิน ซึ่งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนในรูปเงินบาทลดลง ยิ่งค่าเงินมีความผันผวนมาก การลงทุนก็ยิ่งเผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้น ธนาคารเกียรตินาคินภัทรเล็งเห็นถึงข้อจำกัดและความต้องการของผู้ลงทุน รวมถึงพัฒนาการของตลาดหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงซึ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปัจจุบัน โดยมีมูลค่าการเสนอขายในปี 2565 สูงเกิน 1 แสนล้านบาท ธนาคารจึงได้นำเสนอหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง สกุลเงินบาท ประเภท Quanto (Quanto Structured Note) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงของค่าเงิน

Quanto Structured Note ที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรเสนอขายมีรูปแบบการจ่ายผลตอบแทนที่หลากหลาย ทั้งแบบที่มีการคุ้มครองเงินต้นทั้งหมด บางส่วน หรือแบบ Yield Enhancement เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนให้สอดคล้องกับมุมมองการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวัง และความเสี่ยงที่รับได้ของผู้ลงทุน” ดร.วีรวิชย์ กล่าว

นายจุฬวิชช์ ชัยธชวงค์ ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า Quanto Structured Note คือหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง สกุลเงินบาท ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับผลการดำเนินงานของหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยไม่ได้รับความเสี่ยงค่าเงิน เช่น ในกรณีที่ผู้ลงทุนลงทุนใน Quanto Note ด้วยเงินต้น 1 ล้านบาท เมื่อหุ้นอ้างอิงปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% ผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนพร้อมผลตอบแทน 10% เป็นเงินบาทเท่ากับ 1 ล้าน 1 แสนบาท

ผลิตภัณฑ์แรกในกลุ่ม Quanto Structured Note ที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรเปิดเสนอขายคือ Quanto Booster Note ที่อ้างอิงบนผลการดำเนินงานของหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่างประเทศตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์อ้างอิงต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด หรือเรียกว่าดู Worst Performance ระหว่างหลักทรัพย์อ้างอิงต่างประเทศนั้น โดยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นี้คือการเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม หรือ Participation Rate (PR) ที่สูงกว่า 100% เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น ในกรณีที่กำหนดอัตราการมีส่วนร่วม(PR) = 200% หากผลการดำเนินงานของหุ้นที่ Worst Performance ปรับเพิ่มขึ้น 10% ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็น 2 เท่า ซึ่งเท่ากับ 20% ในทางกลับกันกรณีที่ราคาของหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดปรับตัวลดลงจากราคาวันแรก ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินต้นบางส่วนแต่จะไม่เกินระดับการคุ้มครองเงินต้นตามระดับที่กำหนด ซึ่งไม่ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวไปในทิศทางไหนผู้ลงทุนก็จะไม่ได้รับผลกระทบของความเสี่ยงค่าเงิน” นายจุฬวิชช์ กล่าว

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจผลิตภัณฑ์ Quanto Booster Note ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://youtu.be/O2LU16RubQI

หรือติดต่อสอบถามข้อมูลและเงื่อนไขการลงทุนได้ที่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) สายตลาดการเงิน 

มินเทล ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยความต้องการของผู้บริโภคและปัจจัยขับเคลื่อน ได้เผยแพร่รายงานภาพรวมตลาดความงามและการดูแลร่างกายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยครอบคลุมถึงแนวโน้มผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงช่วงก่อนหน้านั้นอีกด้วย

ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น และนี่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญให้ผู้บริโภคหันมาใช้แนวทางเชิงรุกในการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของตนเองในช่วงที่ผลกระทบของการระบาดใหญ่ยังคงอยู่ ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคได้ตระหนักว่าสุขภาพที่ดีจะเป็นไปไม่ได้เลยหากเราอยู่ในโลกที่ถูกทำร้าย

คุณ Chiara Zen ผู้อำนวยการข้อมูลเชิงลึก แผนกความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย และของใช้ในบ้านของมินเทลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวถึงผลกระทบของการผสมผสานกันอย่างรวดเร็วของความงาม สุขภาพ และความยั่งยืน ที่แบรนด์ต่าง ๆ พบเจอ ผ่านการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญของมินเทลในประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศไทยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ไร้น้ำ

“ผู้คนกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาตระหนักว่าสภาพแวดล้อมนั้นส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ รูปแบบผลิตภัณฑ์ไร้น้ำ (waterless format) มอบโอกาสให้แบรนด์นำเสนอตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่แบรนด์ยังจำเป็นต้องสร้างความสมดุลระหว่างคุณสมบัติการดูแลผิวกาย (เช่น ความเข้มข้นของส่วนผสมออกฤทธิ์ดูแลผิว) และความปลอดภัย (เช่น การไม่ใช้วัตถุกันเสีย) โดยพยายามมอบประสบการณ์อันน่าพึงพอใจให้ได้มากที่สุด"

ปรับปรุงระบบนิเวศผิวกายและการทำงานตามธรรมชาติ

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าได้พยายามตอบโจทย์ความกังวลของผู้บริโภคต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกเช่นมลพิษ และได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีสรรพคุณ ‘ช่วยต้าน’ มลพิษได้มาเป็นเวลาหลายปี และในช่วงที่ผ่านมา แบรนด์มีการนำเสนอคุณสมบัติอื่น ๆ ที่มุ่งสนับสนุนเกราะป้องกันของผิวมากขึ้น

ข้อมูลแนวโน้มด้านความอยู่ดีมีสุขของมินเทลพบว่าผู้บริโภคมองว่าร่างกายของตัวเองเป็นระบบนิเวศ และเสาะหาผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยปรับปรุงสุขภาพของพวกเขา

เราเห็นการเพิ่มขึ้นของนวัตกรรมที่มอบวิธีการในการช่วยให้ผิวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หรือเปลี่ยนจากการ ‘ช่วยต้าน’ เป็นการปรับปรุงเกราะป้องกันของผิว

ส่วนประกอบเช่นโปรไบโอติกหรือพรีไบโอติกกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ข้อมูลจากฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ออกใหม่ของมินเทลพบว่าการนำเสนอการบำรุงไมโครไบโอมหรือระบบนิเวศของผิวนั้นยังคงเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม โดยมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าทั้งหมดที่เปิดตัวระหว่างเดือนมกราคม 2561 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 แต่สัดส่วนนี้ก็กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โอกาสสำคัญในการเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับไมโครไบโอมจะอยู่ที่การบำรุงและปรับสมดุลเกราะป้องกันของผิวและช่วยแก้ปัญหาผิวทั่วไปเช่นสิวเสี้ยน ผสมฟังก์ชันในผลิตภัณฑ์ความงาม กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อในคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ และเราสามารถใช้แนวคิดนี้ในการทำให้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับแบคทีเรียดี แบคทีเรียเลว และความสำคัญของสมดุลไมโครไบโอมบนผิวซึ่งเป็นพื้นฐานของผิวไร้สิว

พัฒนาส่วนผสมเพื่อประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เทรนด์ความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย “สรรค์สร้างธรรมชาติ” ของมินเทล ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดเกี่ยวกับส่วนผสมความงามจากธรรมชาติที่ครอบคลุมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี ในโลกอนาคตที่มีทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง สภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ มลพิษและยาฆ่าแมลงที่เพิ่มขึ้น วิศวกรรมห้องปฏิบัติการจะเป็นตัวเลือกสำคัญในการจัดหาส่วนประกอบที่ยั่งยืน ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ตัวอย่างที่จัดการกับปัญหาสำคัญในเอเชีย-แปซิฟิกนั้นมาจาก C16 Biosciences พวกเขาได้พัฒนาเทคโนโลยีการหมักชีวภาพเพื่อเสนอทางเลือกของน้ำมันปาล์มที่ผลิตขึ้นในห้องแล็บ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่มีความยั่งยืน ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตน้ำมันปาล์ม และช่วยปกป้องผืนดินธรรมชาติ สัตว์ป่า และทรัพยากรอันล้ำค่าในเวลาเดียวกัน

 ทาเคดา ประเทศไทย บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและพัฒนา ได้รับการรับรองสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับปี 2565-2566 (ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 - ธันวาคม 2566) จาก Great Place To Work®

โดยการรับรองในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการสร้างองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายเท่าเทียมและการมีส่วนร่วม รวมถึงการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี เพื่อให้พนักงานสามารถแสดงศักยภาพและเติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นถึงการใส่ใจขององค์กรที่มีต่อ “พนักงาน” ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ และยังเป็นผู้ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อสานต่อเจตนารมย์ของบริษัทฯ ในการส่งมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนและสร้างอนาคตที่สดใสให้กับโลก หรือ Better Health for people and a Brighter Future for the world

นายปีเตอร์ สไตรบัล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “ทาเคดา มุ่งมั่นส่งเสริมให้พนักงานได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงโอกาสในการเติบโตในสายงานได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งตลอดกว่า 50 ปีที่ทาเคดา ได้ดูแลสุขภาพคนไทย เราให้ความใส่ใจต่อพนักงานที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการส่งมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนและสร้างอนาคตที่สดใสให้กับโลก การรับรองนี้ สะท้อนถึงการเป็นองค์กรที่เป็นที่บุคลากรคุณภาพล้วนอยากร่วมงานด้วย และเป็นสถานที่ที่น่าทำงานของพนักงานทุกคน”

ในฐานะบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ระดับโลก ทาเคดา ให้ความสำคัญกับความหลากหลายเท่าเทียม ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการรักษาและดูแลสุขภาพ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจะทำให้พนักงานมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และจะยังคงสานต่อการเสริมสร้างประสบการณ์การทำงานที่ดีให้แก่พนักงานต่อไปในอนาคต

Great Place To Work® เป็นหน่วยงานระดับโลกที่ทำการวิจัยด้านวัฒนธรรมองค์กรมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 สำรวจพนักงานมากว่า 100 ล้านคนทั่วโลก ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อค้นหาหัวใจสำคัญของการเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม Great Place To Work® ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถประเมินวัฒนธรรมองค์กรในแบบแผนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นและสร้างผลผลิตทางธุรกิจที่ดีขึ้น ผ่านสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีพื้นฐานอยู่บนความไว้วางใจซึ่งกันและกัน Great Place To Work® มีวิสัยทัศน์ให้ทุกคนได้ทำงานในองค์กรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ภายในปี พ.ศ. 2573

บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จํากัด ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สานต่อโครงการ ‘SBITO Joystick Click to Win จับเกมเมอร์ เจอเกมหุ้น’ ในปีที่ผ่านมา เดินหน้าปรับรูปแบบกิจกรรมหวังสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ด้านการเงินการลงทุนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ด้วยการสร้างสรรค์โครงการ ‘SBITO GAME OF TRADE ร่ายเวทย์ เทรดหุ้นให้เป็นโปร’ เกมออนไลน์ที่ตั้งเป้าช่วยให้กลุ่มนักลงทุนมือใหม่ ได้เข้าใจขั้นตอนและช่องทางการเทรดหุ้นขั้นพื้นฐานแบบครบครัน โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ชั้นแนวหน้าของไทย ประกอบด้วย เอไอเอส, ยามาฮ่า ไรเดอร์ส คลับ และ เอส พลัส เปิดลงทะเบียนรับสมัครแล้ววันนี้ – 10 มี.ค. 2566 

 

มร.คาซึนาริ โอกาวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จํากัด หรือ SBITO ผู้ให้บริการธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบออนไลน์ชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า ความสำเร็จจากการริเริ่มนำเกมออนไลน์มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเทรดหุ้นที่ SBITO ได้จัดทำโครงการร่วมกับ ตลท. ในปีที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้แก่วงการเทรดหุ้นของไทย เพราะสามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ให้เข้ามาสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งยังช่วยสร้างให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับความสะดวกและความคุ้มค่า ด้วยการเลือกเทรดหุ้นผ่านระบบออนไลน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของนักลงทุนในปัจจุบันได้อย่างลงตัว

ล่าสุด SBITO ในฐานะผู้ให้บริการด้านการซื้อขายหุ้นผ่านออนไลน์ ได้สร้างสรรค์โครงการใหม่ในชื่อ ‘SBITO GAME OF TRADE ร่ายเวทย์ เทรดหุ้นให้เป็นโปร’ โดยได้ประสานความร่วมมือกับแบรนด์พันธมิตรชั้นแนวหน้า เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่แก่นักลงทุนในไทยให้ได้เปิดโลกการลงทุนยุคใหม่ผ่านโลกออนไลน์ “สำหรับคนไทยแล้วการใช้อินเทอร์เน็ตถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ดังนั้น โอกาสในการใช้เวลาบนโลกออนไลน์เพื่อการลงทุนจึงมีความเป็นไปได้อย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับการลงทุนในแบบ Day Trade ที่มีความรวดเร็วและน่าสนใจและมีโครงสร้างคล้ายกับการเล่นเกมออนไลน์ SBITO จึงเชื่อว่าหากคนรุ่นใหม่หรือผู้ที่สนใจได้เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ น่าจะเกิดความตระหนักและเห็นโอกาสว่าการลงทุนซื้อขายหุ้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก โดยเรามั่นใจว่าการรุกหนักเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง ช่วยเพิ่มพูนทักษะความรู้ความสามารถในการลงทุนเพื่อสร้างนักลงทุนคุณภาพสู่ตลาด จะส่งผลให้ตลาดหุ้นและตลาดทุนไทยเกิดการพัฒนาได้อย่างมาก ดังเช่นในหลายประเทศที่การซื้อขายหุ้นผ่านออนไลน์เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มร.คาซึนาริ กล่าว

ทั้งนี้ โครงการ ‘SBITO GAME OF TRADE ร่ายเวทย์ เทรดหุ้นให้เป็นโปร’ เปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจด้านการลงทุนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปเข้าร่วมโครงการได้ โดยลงทะเบียนผ่าน https://www.sbito.co.th/game-of-trade ตามเวลาที่กำหนด ตั้งแต่วันนี้ – 10 มีนาคม 2566

และจะทำการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 31 มีนาคม 2566 ที่ AIS eSports Studio ชั้น 2 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์

โดยผู้สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sbito.co.th/ หรือ https://www.facebook.com/Sbithaionline/

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์นั่งไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังค่ายผู้ผลิตเร่งปรับแผนธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อมุ่งสู่ยานยนต์พลังงานสะอาด (Zero Emission Vehicle : ZEV) เร็วกว่าที่คาดไว้มาก ทำให้ตัวเลือกรถยนต์นั่งไฟฟ้าทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ส่งผลให้ปริมาณรถยนต์นั่งมือสองถูกผลักออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากตามวัฏจักรการใช้รถที่สั้นลงจากอัตราการยอมรับของผู้บริโภคต่อรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และมีผลต่อราคาขายต่อที่ตกลงอย่างรวดเร็ว เหล่านี้จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจเต็นท์รถยนต์นั่งมือสองที่ถือสต็อกรถในมือสูง สวนทางกับต้นทุนการถือครองรถที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปและไฮบริดที่จะถูกลดบทบาทลงในไม่ช้

ผู้ผลิตรุกคืบ-มาตรการรัฐอุดหนุน ปลุกตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้าในประเทศคึกคัก

ปัจจุบัน ตลาดรถยนต์นั่ง EV ทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งได้แรงขับเคลื่อนจากดีมานด์ของฝั่งผู้บริโภค (Demand-Driven) ตามกระแสความกังวลต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่เด่นชัดขึ้น ซึ่งแตกต่างจากพัฒนาการยานยนต์โลกในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาที่ได้แรงขับเคลื่อนจากกลยุทธ์ของฝั่งผู้ผลิต (Supply-Driven) เป็นหลัก ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มเปลี่ยนผ่านจากระยะบุกเบิก (Introduction Stage) ไปสู่ระยะขยายตัว (Expansion Stage) อย่างรวดเร็ว จึงทำให้เราน่าจะเห็นความเคลื่อนไหวจากฝั่งของผู้ผลิตอย่างมากนับจากนี้ และมองว่าในอนาคตจำนวนรุ่นยานยนต์ไฟฟ้าที่จะออกสู่ท้องตลาดอาจมากถึง 500 รุ่น เมื่อเทียบกับปัจจุบันอยู่ที่ราว 300 รุ่น ส่งผลให้ส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2578 คาดว่าจะสูงถึงเกือบ 60% ของยอดขายรถยนต์นั่งทั้งหมด เช่นเดียวกับตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้าในไทยที่เติบโตสูง หลังค่ายผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกจากทั้งสัญชาติจีน ยุโรป และญี่ปุ่นต่างเปิดตัวรถยนต์นั่งไฟฟ้าในไทยพร้อมแผนเดินหน้าลงทุนผลิตในประเทศเพื่อขานรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ ส่งผลให้รถยนต์นั่งไฟฟ้าในประเทศมีให้เลือกหลากรุ่นหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะกลุ่ม SUV ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด และด้วยสมรรถนะของรถที่สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลขึ้น การใส่เทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงรุก (Active Safety) และออปชันเสริมที่สดใหม่กว่า ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดังตัวเลขยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งไฟฟ้าป้ายแดงทั้งปี 25665 ที่สูงถึง 9,678 คัน หรือเพิ่มขึ้น 400.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY) ใกล้เคียงกับ ttb analytics ได้ประเมินไว้ขณะที่ยอดจองรถยนต์นั่งไฟฟ้าในงานมหกรรมมอเตอร์เอ็กซ์โปที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็สูงถึง 5,800 คัน เช่นเดียวกับยอดจองโดยตรงผ่านค่ายรถทางฝั่งจีนและสหรัฐอเมริกาที่หันมาบุกทำตลาดเองอีกไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นคัน

ค่าครองชีพเพิ่ม-ดอกเบี้ยขาขึ้น กดดันลิสซิ่งปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อยากขึ้น

แม้ความต้องการรถยนต์นั่งโดยรวมจะเพิ่มขึ้นตามเทรนด์โลกและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป แต่การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด โดย ttb analytics ประเมินสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในระบบธนาคารพาณิชย์ปี 2566 จะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ภายหลังจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ทยอยสิ้นสุดลง (ข้อมูล ณ ไตรมาส 3/2565 สัดส่วน NPLs ของกลุ่มนี้อยู่ที่ 1.7% ของยอดสินเชื่อรวม หรือราว 2 หมื่นล้านบาท) โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ที่ค้างชำระค่างวด 1-2 เดือน ที่อาจเปลี่ยนมาเป็นหนี้เสียเพิ่มเติม ท่ามกลางแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของแต่ละภาคส่วนที่ไม่เท่ากัน (Uneven Recovery)

ยิ่งไปกว่านั้น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่จะทยอยปรับขึ้น ทำให้ลิสซิ่งต้องเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อกลุ่มสัญญาใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อจะเป็นอัตราคงที่ตลอดอายุสัญญา (Flat Rate) ส่งผลให้ผู้ปล่อยกู้ (Leasing) จำเป็นต้องทบทวนเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อให้มีความรัดกุมขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเน้นปรับลดพอร์ตความเสี่ยงในกลุ่มรถแบรนด์รองที่ไม่เป็นที่นิยมหรือรถมือสองที่มีอายุมาก การเรียกวงเงินดาวน์เพิ่มขึ้นเป็น 10-30% จากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ที่มีต้นทุนทางการเงินสูงกว่าธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้เป็นไปตามกำหนดเพดานดอกเบี้ยใหม่ที่ไม่เกิน 10% สำหรับรถยนต์ใหม่ และไม่เกิน 15% ต่อปี สำหรับรถยนต์มือสอง

ชี้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบูม-ดันอุปทานรถมือสองบวม

ttb analytics มองว่าการเร่งปรับตัวของบริษัทผู้ผลิตจะดันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกให้เติบโตเต็มที่ในปี 2573 หรือในอีก 7 ปีข้างหน้า หลังจากที่การผลักดันมาตรการภาครัฐเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มเศรษฐกิจหลักเดินหน้าบังคับใช้ไปบ้างแล้วตั้งแต่ปี 2558 ทำให้ในปัจจุบันจะเห็นในหลายประเทศต่างออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งกระตุ้นให้ค่ายผู้ผลิตดั้งเดิมต่างเร่งปรับแผนธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อมุ่งสู่ยานยนต์ ZEV ได้เร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าสั้นลงมาก เมื่อเทียบกับการผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาป โดยชิ้นส่วนการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าหลักจะเกี่ยวข้องกับระบบส่งกำลังที่มีเพียงงานผลิตและประกอบแบตเตอรี่ ทำให้รถยนต์นั่งไฟฟ้าพึ่งพาชิ้นส่วนเฉลี่ยเพียง 2,000 ชิ้น เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่อาจต้องใช้มากถึง 30,000 ชิ้น จึงทำให้ผู้ผลิตสามารถควบคุมสายพานการผลิตในระดับ Mass Production ได้ไม่ยากนัก เหล่านี้เลยทำให้บริษัทผู้ผลิตน้องใหม่มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด (Barrier to Entry) น้อยลงกว่าในอดีตมาก และทำให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายใหม่หรือรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ฉะนั้นแล้ว การทยอยเปิดตัวรถยนต์นั่งไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ จะยิ่งทำให้รถยนต์นั่งรุ่นเก่ามีโอกาสตกรุ่นเร็วขึ้น โดยรถยนต์นั่งไฟฟ้ารุ่นใหม่มักจะนำเสนอสมรรถนะและความปลอดภัยที่ดีกว่า ที่สำคัญราคามือหนึ่งยังมีแนวโน้มถูกลงตามพัฒนาการของแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งคิดเป็นต้นทุนเกิน 50% ของราคารถ จนอาจทำให้รถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นใกล้เคียงกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปหรือไฮบริดรุ่นใหม่ใน Segment ระดับบน ซึ่งจะกดดันให้ความต้องการซื้อรถยนต์มือสองชะลอตัว โดยเฉพาะรถยนต์นั่งหรูมือสองจากฝั่งยุโรปที่ราคาตกลงมากกว่าค่าเฉลี่ยอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ต้นทุนการถือครองรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปและไฮบริดที่สูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้ากว่าเท่าตัวก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาพิจารณาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเร็วขึ้น เนื่องจากต้นทุนการถือครองรถ (Total Cost of Ownership) ซึ่งหมายรวมถึงราคารถ ค่าเชื้อเพลิง และค่าบำรุงรักษาระบบเครื่องยนต์สันดาปที่สูงกว่าระบบแบตเตอรี่ไฟฟ้าล้วนถึง 2-3 เท่า สวนทางกับราคาขายต่อ (Resale) ที่อาจลดลงเฉลี่ยสูงถึงปีละ 10-15% อย่างไรก็ดี แม้ว่าปัจจุบัน ผู้บริโภคส่วนหนึ่งอาจมองว่ารถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นเพียงตัวเลือกลำดับรอง เนื่องจากความกังวลเรื่องระยะในการวิ่ง (Range Anxiety) และความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ แต่หากตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้าในประเทศเข้าสู่ช่วงที่เติบโตเต็มที่ (Maturity Stage) ก็จะทำให้การยอมรับ (Adoption) ของผู้บริโภคต่อการพิจารณาใช้รถยนต์นั่งไฟฟ้าเร็วขึ้น และจะทำให้ยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปและไฮบริดถูกลดบทบาทลงในที่สุด

แนะผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองลดสต็อก-ทำตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และเสริมสภาพคล่อง

เมื่ออุตสาหกรรมรถยนต์นั่งไฟฟ้าทั่วโลกยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก แน่นอนว่าในระยะต่อไป ปริมาณรถยนต์มือสองในตลาดจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสอง (เต็นท์รถ) ที่สต็อกรถไว้เป็นจำนวนมากได้รับผลกระทบจากอุปทานรถที่เพิ่มสูงขึ้นและจะกดราคา Resale ให้ตกเร็วขึ้น

ยิ่งกว่านั้น ผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองยังเจอคู่แข่งจากค่ายผู้ผลิตเองที่ผันตัวไปเป็นดีลเลอร์ซื้อขายรถยนต์มือสอง ตลอดจนการเข้ามาของธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ที่นำเสนอบริการแบบ Subscription ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์นั่งมือสองจากเต็นท์รถลดลง โดยเฉพาะการให้บริการแบบ Subscription หรือ “การเช่าใช้รถ” ที่ครอบคลุมไปถึงการบำรุงรักษา การประกันภัย บริการรถทดแทนระหว่างซ่อม และหากต้องการเปลี่ยนรุ่นรถ หรือแม้แต่เปลี่ยนจากสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าซื้อก็สามารถทำได้เช่นกัน ทำให้ผู้บริโภคสามารถทดลองขับรถได้อย่างอิสระจนกว่าจะพอใจในยุคที่มีรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดอย่างไม่ขาดสาย

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ประกอบการเต็นท์รถในประเทศจึงต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับอุปทานรถยนต์นั่งมือสองที่จะเข้ามาในตลาดมากขึ้นด้วยการทยอยลดการสต็อกรถยนต์จำนวนมาก โดยเฉพาะรถยนต์นั่งมือสองที่ผ่านการใช้งานหนัก รวมไปถึงแบรนด์รถหรือรุ่นนอกกระแสที่ราคาตกเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่องของผู้ประกอบการ นอกเหนือจากนั้น การหันมาขายรถบนช่องทางออนไลน์ที่ได้มาตรฐานก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ซึ่งแม้ว่าการทำตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ของเต็นท์รถมือสองจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ด้วยภาวะการแข่งขันในปัจจุบันที่รุนแรงขึ้นจากการรุกคืบของแพลตฟอร์มซื้อขายรถมือสองออนไลน์จากต่างประเทศ เช่น CAR24 (อินเดีย) CARSOME (มาเลเซีย) และ Carro (สิงคโปร์) ฉะนั้นแล้ว การเพิ่มช่องทางขายบนสื่อสังคมออนไลน์หรือการฝากขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ซื้อขายรถมือสองจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการรถ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้า ซึ่งช่วยลดช่องโหว่จากการรับรู้ข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกัน (Asymmetric Information) ระหว่างสองฝ่ายได้อีกด้วย

“บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) เดินหน้าปูพรมเสริมแกร่งความรู้กลยุทธ์บริหารความมั่งคั่งให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (UHNWIs และ HNWIs) ของเมืองไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ล่าสุด สานต่อซีรีส์สัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ SCB Julius Baer Advisory Series ภายใต้หัวข้อ "Building your Family Legacy" โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนชั้นนำระดับสากล จากธนาคารจูเลียส แบร์ และบริษัท เมอร์เซอร์ จำกัด (Mercer Pte. Ltd.) มาให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครอบคลุมเนื้อหาในทุกมิติเกี่ยวกับการส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน อาทิ การให้คำแนะนำด้านการวางแผนบริหารทรัพย์สินครอบครัว (Family Office) ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อรักษาคุณค่าและส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน รวมถึงวิเคราะห์เจาะลึกทุกแง่มุมเกี่ยวกับภาษีมรดก เพื่อให้ลูกค้าคนสำคัญสามารถเริ่มต้นวางแผนบริหารจัดการภาษีมรดก และส่งมอบความมั่งคั่งอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมของแต่ละบุคคลด้วยการทำประกันชีวิต สร้างความอุ่นใจ และความมั่นคงให้กับครอบครัวในทุกสถานการณ์

การจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ SCB Julius Baer ในการมุ่งมั่นต่อยอดธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย ด้วยมาตรฐานระดับโลกของ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) ไพรเวทแบงกิ้งชั้นนำจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้ลูกค้าคนสำคัญสามารถวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยมี มร.เอเดรียน เมซนาวเออร์ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด และดร.สาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส Estate Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมงานสัมมนา เมื่อเร็วๆ นี้

ปลัดอว.ย้ำบทบาทของมหาวิทยาลัยดิจิทัลในการขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว  โดยต้องมุ่งผลิต “มนุษย์ดิจิทัล” และเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างนวัตกรรมและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในทุกมิติ

ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการการสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “การสำรวจความพร้อมการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล” Digital Maturity Model (DMM), Transformation Readiness towards Digital University โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเครื่องมือ DMM รวมถึงประสบการณ์การสำรวจความพร้อมสู่ความก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยดิจิทัล

ปลัด อว.กล่าวระหว่างปาฐกถา  แนวนโยบายการพัฒนามหาวิทยาลัยไทยสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ว่า "การพัฒนาของโลกทั้งปัจจุบันที่อยู่ในยุคดิจิทัล มูลค่าของเศรษฐกิจและบริษัทชั้นนำของโลกมักเกี่ยวข้องกับดิจิทัล เทคโนโลยีเกินครึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับดิจิทัล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยเป็นกลไกหนึ่งของโลกจึงต้องให้ความสำคัญกับการก้าวสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล โดยเตรียมบทบาทของมหาวิทยาลัยให้มีความพร้อมมุ่งสู่ดิจิทัลในฐานะที่เป็นคลังความรู้ของประเทศในการผลิตบุคลากรเพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2580 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประเทศไทยจะต้องเป็นประเทศดิจิทัล ดังนั้นดิจิทัลจึงมีสองมิติทั้งเป็นเครื่องมือและเป็นเป้าหมายปลายทาง"

มหาวิทยาลัยจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ประเทศดิจิทัล ในมุมของกระทรวง อว. เห็นว่ามหาวิทยาลัยจะต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด เพื่อลดระยะเวลาและค่าใช้จ่าย จึงต้องเตรียมความพร้อมที่จะทำให้องค์กรบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพได้ดีขึ้น มหาวิทยาลัยมีหน้าที่จำเพาะในการใช้ดิจิทัลในภารกิจจัดการเรียนการสอนให้ได้มากที่สุด เช่น การสอนออนไลน์ นอกจากนี้ยังต้องมองไปข้างหน้าถึงกลไกการให้การศึกษาในรูปแบบอื่น เช่น การเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงภารกิจในการวิจัยโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สร้างนวัตกรรม และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในทุกมิติและทุกภารกิจ

“มหาวิทยาลัยยังมีหน้าที่สำคัญมากในการสร้างคนไทยให้เป็น “มนุษย์ดิจิทัล” เพื่อเป็นอนาคตของประเทศที่สามารถใช้และพัฒนาดิจิทัลได้ต่อไปในอนาคต ดังนั้นบทบาทในการสอน ให้ความรู้และประสบการณ์ในการใช้ดิจิทัลของมหาวิทยาลัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ประการสุดท้ายมหาวิทยาลัยมีบทบาทเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล โดยควรจะมีความพร้อมล่วงหน้า 10 ปี ขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการพัฒนา และเน้นความประหยัด มีประสิทธิผลสูงขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง”

ขณะที่ ดร.วันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึงการใช้เครื่องมือ DMM กับการพัฒนาประเทศในนิเวศดิจิทัล ว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติตามหลักการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) เป็นรูปธรรมมากขึ้น ภายใต้แผนแม่บท แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงฯ ทั้งนี้ โจทย์สำคัญภายใต้ 13 หมุดหมายเพื่อพลิกโฉมประเทศ คือ ต้องทำน้อยได้มาก ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ประเทศ การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัลสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้ เป็นคนไทยที่มีสมรรถนะสูง อยู่ได้ด้วยตนเองและไปต่อได้ในภาวะวิกฤต

การทำ DMM อย่าอยู่แค่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ต้องออกมานอกรั้ว ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาและบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ทุกคนเป็นตัวจักรสำคัญในการผลิตบัณฑิตและใช้ดิจิทัลเพื่อพัฒนาประเทศ มี Digital Mindset มุ่งมั่นที่จะสร้างตัวเองให้เป็นดิจิทัล รวมถึงการสร้างวิชาการที่ประยุกต์สากลให้เข้ากับภูมิสังคมไทยในแต่ละพื้นที่ได้ การวิจัยและพัฒนา การบริการสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งนี้ DDM เป็นเครื่องมือบอกสถานะ โจทย์ วิเคราะห์สิ่งที่ควรทำและไปต่อ อีกทั้งช่วยติดตามประเมินผลเพื่อให้เกิดการเดินหน้าและยั่งยืน ซึ่งจะต้องมีความพร้อมในการใช้ข้อมูล โดยเป้าหมายสุดท้ายคือประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สุดท้ายขอฝากข้อคิดในการใช้ DMM บนหลัก 6 ประการ คือ มีความรู้ในสิ่งที่ทำ มีคุณธรรม มีความเพียรล้มแล้วลุกให้ได้ ตัดสินใจบนหลักความพอประมาณ มีเหตุและผล และมีภูมิคุ้มกันที่หาทางออกได้เสมอ

ด้าน อ.ดนัยรัฐ ธนบดีธรรมจารี ผู้ดูแลโครงการมหาวิทยาลัยไทยสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) เผยถึงเครื่องมือ DMM เป็นเครื่องมือสำคัญในการสะท้อนถึงความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล ให้ผู้บริหารและระดับปปฏิบัติการเห็นภาพตรงกันต่อการดำเนินงานในมหาวิทยาลัย รวมถึงกำหนดประเด็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร ทำให้เกิดการนำไปใช้ แบ่งปันข้อมูลและเทคโนโลยีร่วมกัน ต้องร่วมกันสร้างนิเวศแห่งการพัฒนาร่วมกันทุกภาคส่วน ในมุมมองความต้องการของสังคมที่เชื่อมโยงกับทิศทางของโลกและบริบทของประเทศสู่การกำหนดเป้าหมายของตนเอง และขับเคลื่อนองค์กรอย่างเป็นระบบโดยใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้อง

นายศิริชัย สมบัติศิริ (ที่ 5 จากขวา) ประธานกรรมการ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR และนายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ (ที่ 4 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการ ผู้บริหารและที่ปรึกษา ในงานประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในการประชุมรูปแบบไฮบริด ณ ห้องอินฟินิตี้ บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 และผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM)

โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯจำนวน 2 ชุด คือ BRR-W1 จำนวนไม่เกิน 162,419,969 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (ซึ่งไม่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ และกำหนดราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิเท่ากับ 7.50 บาทต่อหุ้น อายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ 6 เดือน

และ BRR-W2 จำนวนไม่เกิน 81,209,984 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (ซึ่งไม่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ และกำหนดราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิเท่ากับ 13.00 บาทต่อหุ้น อายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี รวมทั้งอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 243,629,953 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 812,099,845 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 1,055,729,798 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 243,629,953 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ BRR-W1 และ BRR-W2 โดยการออกวอร์แรนต์ครั้งนี้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและรองรับโครงการลงทุนในอนาคต

โดยแผนกลยุทธ์ปี 2566 บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้ของกลุ่มธุรกิจ BRR เติบโต 70% จากปัจจัยด้านราคาน้ำตาลที่มีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง และคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย สนับสนุนให้ก้าวสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับกิจการที่ดี โดยมีแผนผลักดันโครงการเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (Wood Pellet) และโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของบริษัทอย่างเต็มที่

บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จํากัด หรือ SBFT   หนึ่งในผู้นำอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณภาพให้กับคนไทยควบคู่กับการตอบแทนสิ่งดีๆ คืนกลับสู่สังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง (Giving Back to Society)

ล่าสุด มอบผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” (BRAND’S) ให้กับโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ ภายใต้โครงการ “สร้างสุขภาพดีไปกับแบรนด์” เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลและมูลนิธิ รวมไปถึงผู้พักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิ รวมมูลค่า 9,694,192 บาท

นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯ ตระหนักถึงภาระหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆที่ต้องทำงานกันอย่างหนักจึงได้ส่งมอบความปรารถนาดีทั้งในด้านกำลังใจและสุขภาพที่ดีให้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุข ด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” (BRAND’S) ให้กับโรงพยาบาล มูลนิธิ รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขต่างๆ มาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันแม้สถานการณ์โรคโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลายแต่ก็ยังพบจำนวนผู้ป่วยอยู่ในหลายพื้นที่ บุคลากรทางการแพทย์และมูลนิธิต่างๆ ยังคงต้องทำหน้าที่กันอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด เพื่อเป็นการสานต่อค่านิยม ‘Giving Back to Society’ บริษัทฯ จึงได้ริเริ่มโครงการ “สร้างสุขภาพดีไปกับแบรนด์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและส่งต่อกำลังใจให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ ตลอดจนผู้ป่วยพักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิ เดินสายมอบผลิตภัณฑ์ทั้งแบรนด์ซุปไก่สกัดสูตรต่างๆ ได้แก่ แบรนด์ซุปไก่สกัดสูตรต้นตำรับ ที่ช่วยเติมความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย เพิ่มความพร้อมให้กับบุคลากรที่ทำงานหนัก แบรนด์จูเนียร์ซุปไก่สกัดผสมนม ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยเพิ่มความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ของเด็กๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์แบรนด์กลุ่มต่างๆ เช่น แบรนด์เบอร์รี่พลัส ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและบำรุงดวงตา เป็นต้น ให้กับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ (รพ.เด็ก) โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์การแพทย์กาญจนาฯ มหิดล และมูลนิธิเด็ก รวม 8 แห่ง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 199,456 ขวด คิดเป็นมูลค่ารวม 9,694,192 บาท ซึ่งบริษัทฯ มุ่งหวังว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยพักฟื้นและเด็กๆในมูลนิธิมีสุขภาพและกำลังใจที่ดี เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งใหม่ๆ ในปีนี้ ไปด้วยกัน

X

Right Click

No right click