December 15, 2025

จุดพลิกผัน:   มีจำนวนรถยนต์แบบไร้คนขับโลดแล่นบนท้องถนนของสหรัฐฯ ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์

ภายในปี 2025:  79 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น

  

บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง เริ่มทดลองเดินรถยนต์ไร้คนขับบนท้องถนนสาธารณะกันบ้างแล้ว เช่น Audi และ Google และมีบริษัทอื่นอีกมากมายกำลังทุ่มเทเพื่อพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ พาหนะดังกล่าวสามารถขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่ารถยนต์ ที่มีคนคอยควบคุมพวงมาลัย นอกจากนี้แล้ว มันยังช่วยลดความคับคั่งของการจราจรและการปล่อยแก๊สพิษ อีกทั้งยังเป็นการสิ้นสุดของโมเดลการขนส่งคมนาคมและระบบโลจิสติกส์แบบปัจจุบันอีกด้วย

 

ผลกระทบเชิงบวก

- มีความปลอดภัยสูงขึ้น

- มีเวลาโฟกัสกับการทำงาน และ/หรือการบริโภคคอนเทนต์ของสื่อมากขึ้น

- ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม

- ความเครียดและการบันดาลโทสะระหว่างขับขี่บนท้องถนนลดลง

- ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเคลื่อนย้ายของผู้สูงอายุ และคนพิการ

- มีการนำรถพลังงานไฟฟ้ามาใช้

 

ผลกระทบเชิงลบ

- การสูญเสียงาน (คนขับแท็กซี่และรถบรรทุก อุตสาหกรรมรถยนต์) 

- การสิ้นสุดของการประกันภัยและความช่วยเหลือข้างทาง (“จ่ายมากกว่าเพื่อการขับขี่ด้วยตัวเอง”

- รายได้จากการฝ่าฝืนกฎจราจรลดลง

- การเป็นเจ้าของรถยนต์ลดลง

- โครงสร้างทางกฎหมายสำหรับการขับขี่

- การวิ่งเต้นต่อต้านระบบการทำงานอัตโนมัติ (คนไม่ได้รับอนุญาตให้ขับขี่บนทางหลวง) 

- การแฮก/ การโจมตีไซเบอร์

 

การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์

เดือนตุลาคม ปี 2015 บริษัท Tesla ผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ เมื่อปีก่อนหน้าเป็นแบบกึ่งขับเคลื่อนอัตโนมัติ ผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งในตัวรถ (จาก Platform ส่วนกลางของบริษัทโดยอัตโนมัติ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้) 

ที่มา:  HYPERLINK “http://www.wired.com/2015/10/tesla-self-driving-over-air-update-live” http://www.wired.com/2015/10/tesla-self-driving-over-air-update-liveGoogle วางแผนที่จะผลิตรถยนต์แบบขับเคลื่อนได้โดยอัตโนมัติเพื่อจำหน่ายแก่สาธารณชนภายในปี 2020

ที่มา: Thomas Halleck, January 14, 2015, “Google Inc. Says Self-Driving Car Will Be Ready by 2020,” International Business Times:  HYPERLINK “http://www.ibtimes.com/google-inc-says-self-driving-car-will-be-ready-2020-1784150” http://www.ibtimes.com/google-inc-says-self-driving-car-will-be-ready-2020-1784150

 

ฤดูร้อนปี 2015 แฮกเกอร์สองคนแสดงความสามารถของตนในการแฮกเข้าสู่ระบบของรถยนต์ที่กำลังวิ่ง ควบคุมการทำงานของแผงหน้าปัด พวงมาลัย เบรก ฯลฯ ทั้งหมดนี้ทำผ่านระบบความบันเทิง (เช่น ระบบที่ใช้ดูหนังฟังเพลงและเล่นเกม) ที่ติดตั้งในรถยนต์คันนั้น

ที่มา:  HYPERLINK “http://www.wired.com/2015/07/hackers-remotely-kill-jeep-highway/” http://www.wired.com/2015/07/hackers-remotely-kill-jeep-highway/

 

รัฐเนวาดาเป็นรัฐแรกของสหรัฐอเมริกาที่ผ่านกฎหมายอนุญาตให้ใช้รถยนต์แบบไร้คนขับ (ขับขี่อัตโนมัติ) ในปี 2012

ที่มา: Alex Knapp, June 22, 2011, “Nevada Passes Law Authorizing Driverless Cars,” Forbes: HYPERLINK “http://www.forbes.com/sites/alexknapp/2011/06/22/nevada-passess-law-authorizing-driverless-cars/” http://www.forbes.com/sites/alexknapp/2011/06/22/nevada-passess-law-authorizing-driverless-cars/

เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา 

‘เทคโนโลยีอุบัติใหม่’ คือคำที่ รศ.ดร.สิริวุฒิ บูรณพิร คณบดี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้อธิบายภาษาอังกฤษคำว่า Technology Disruption ซึ่งได้ยินได้ฟังกันอย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยมองว่าไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่เกิดการอุบัติใหม่ขึ้นมา จากองค์ความรู้ที่คณะบริหารธุรกิจทั้งหลายสั่งสมกันมาทำให้เห็นว่ามีรูปแบบการเกิดซ้ำของพัฒนาการและการรับมือเมื่อมีสิ่งแปลกใหม่กำเนิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน 

 

“การเปลี่ยนแปลงจะมาเป็นชุด ทีแรกจะเกิดเทคโนโลยีมีนวัตกรรม มีทรัพย์สินทางปัญญาเกิดขึ้น หลังจากนั้นจะทำให้ความต้องการของผู้บริโภคสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงเพราะผู้บริโภคจะมีทางเลือกใหม่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่สามคือการเปลี่ยนแปลงทางด้านเงื่อนไขทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทางด้านกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลให้กติกาการทำธุรกิจเปลี่ยนไปในที่สุด”
รศ.ดร.สิริวุฒิอธิบาย

 

ขณะเดียวกันในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดความไม่แน่นอนขึ้นอย่างน้อยสองประการหลักๆ ได้แก่ ความไม่แน่ใจว่าเทคโนโลยีที่อุบัติขึ้นนี้จะไปสุดปลายทางที่ไหนและคนจะนำไปใช้กันสุดโต่งอย่างไร กับความไม่แน่นอนว่าเทคโนโลยีแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นใหม่นั้นจะส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและแง่ลบอย่างไร ต่อใคร มากน้อยเพียงใด จากปรากฏการณ์ที่มักเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนโฉมหน้าของเทคโนโลยี คณะบริหารธุรกิจได้เรียนรู้กันมาว่า จะเกิดรูปแบบการรับมือแบบลองผิดลองถูกอย่างมากมาย ปรากฏการณ์ยุคทองแห่งสตาร์ตอัพที่เกิดขึ้นมาทั่วโลกเป็นตัวอย่างหนึ่งของการลองผิดลองถูก...ทำไม? ไม่ใช่เพื่อค้นหาสินค้าใหม่ แต่เพื่อค้นหาสูตรสำเร็จของการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่ หรือ Innovative Business Model และเป็นหน้าที่ของคณะบริหารธุรกิจที่จะสร้างคนให้สอดรับกับสูตรสำเร็จใหม่ที่ว่า ตั้งแต่การร่วมมือกับศาสตร์อื่นในการสร้างความรู้ใหม่ เป็นผู้กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมด้วยการเป็นโซ่ข้อกลางเชื่อมโยงผู้ใช้กับผู้สร้างเข้าด้วยกัน จนถึงติดตามไปถอดองค์ความรู้ค้นหาว่ารูปแบบธุรกิจแบบใดที่เหมาะกับยุคสมัยนี้

 

รศ.ดร.สิริวุฒิอธิบายบทบาทของคณะบริหารธุรกิจในยุคการลองผิดลองถูกว่าจะต้องให้นักศึกษาเรียนรู้จากความล้มเหลว Fail Faster Fail Smarter “เราอยากจะพัฒนาสินค้าตัวหนึ่งเข้าสู่ตลาด เราอยากจะรู้ให้ไวที่สุดว่าทำได้หรือไม่ เขาต้องรู้เร็วที่สุด และเขาจะได้รู้จักปรับปรุงตัวเอง และเขาต้องล้มเหลวอย่างฉลาดขึ้น คือล้มแล้วก็มี Learning Ability มีความสามารถที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเขาและปรับตัวแก้ไขได้ไว จะเห็นว่ายุคนี้จะพูดถึงทักษะทางด้านการปรับตัว Adaptability การกล้าที่จะเสี่ยง นี่คือเราบ่มเพาะนักศึกษาผ่านกิจกรรมการปฏิบัติจริง ซึ่งชัดเจนว่าไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยเลกเชอร์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีศึกษาแบบฝึกหัดหรือโปรเจ็กต์ที่เราให้นักศึกษาทำแผนธุรกิจและทดลองลงมือทำแผนนั้นกับชุมชนก็คือให้เขาได้เห็นว่าเวลาทำแล้วจะมีข้อบกพร่องและข้อที่จะล้มเหลว แต่ให้เขาค้นพบข้อล้มเหลว ตั้งแต่เนิ่นๆ โอกาสที่จะเจ็บตัวก็จะมี แต่น้อย และประสบความสำเร็จได้ไว นี่เป็นตัวอย่าง” 

 

 

ความท้าทายของคณะบริหารธุรกิจในยุคนี้ส่วนหนึ่งจึงเป็นการขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อเรียนรู้และถอดองค์ความรู้ออกมาในรูปแบบที่เรียกว่า Action Learning เพื่อใช้ในการเรียนการสอน และเป็นประโยชน์ต่อองค์กรธุรกิจในการรับมือกับสิ่งอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้น

“การทำหน้าที่ของเราทุกวันนี้ ทำให้เอาไปใช้งานได้จริงๆ เราไม่ได้เป็นซัพพลายเออร์เหมือนเมื่อก่อนที่ซัพพลายแรงงาน แต่เราเป็น Learning Partner หรือหุ้นส่วนของการเรียนรู้ ถ้าแบบนี้เราจะรับมือกับยุคของ Disruption ได้ความร่วมมือจะนำไปสู่โลกใหม่ที่เสถียรขึ้น คือไปสู่ Stable Stage ซึ่งตอนนั้นองค์ความรู้เทคโนโลยีต่างๆ จะค่อนข้างอยู่ตัวเป็นมาตรฐาน และแต่ละคนจะรู้บทบาทของตัวเอง ดำเนินชีวิตของตนอย่างเป็นปกติสุขมากขึ้น”

 

รศ.ดร.สิริวุฒิ ให้มุมมองต่อว่า เทคโนโลยีอุบัติใหม่ไม่ใช่ภัยคุกคามที่มากวาดล้างธุรกิจดั้งเดิม แต่มีคุณูปการที่ช่วยทำให้เราทำหน้าที่หลักดั้งเดิมของการบริหารธุรกิจได้ดีขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น หน้าที่สำคัญของการตลาดตั้งแต่วันที่วิชาการตลาดก่อกำเนิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบันและอนาคตยังไม่หนีไปจากการตอบสนองความพึงพอใจของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด โดยปัจจุบันเทคโนโลยีเช่น Big Data และ AI ทำให้นักการตลาดทำหน้าที่เดิมของตนได้ดีขึ้นอย่างอัศจรรย์ คือทำให้เราเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคได้ลึกซึ้งและหลากหลายมิติมากขึ้น จึงสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตอบสนองรองรับความพึงพอใจของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น ดังนั้น การเรียนการสอนจึงต้องทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ก่อนว่าหน้าที่หลักคืออะไรที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยี และขั้นต่อมาจึงเรียนรู้ที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ทำหน้าที่เดิมให้ดีขึ้น กล่าวอย่างย่อที่สุด คือเรียนรู้ที่จะหาสมดุลด้วยการผสมผสานโลกดิจิทัลให้เข้ากับโลกอนาล็อก 

 

“Ask the Right Question ตั้งคำถามให้เป็น ตั้งคำถามให้ถูก ตั้งคำถามให้เหมาะ จะทำให้เขา Make the Right Decision ตัดสินใจได้ถูก เพราะว่าพอเขาตั้งคำถามเป็น เขาก็จะได้คำตอบไปประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง และเรื่องที่สามที่คณะให้คือ Do It Right in the First Time คือทำถูกใช้ได้ทันที ทำแล้วใช้ได้เลยตั้งแต่ทีแรก นี่คือหน้าที่ดั้งเดิมของ Business School อยู่แล้วเพียงแต่ว่าเทคโนโลยีมาช่วยทำให้เราทำหน้าที่เหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ฝึกให้นักศึกษาตั้งคำถามได้เก่งขึ้น ตัดสินใจแล้วเห็นผลได้ไวขึ้น เลยทำให้เขาตรวจสอบได้เลยว่าที่ทำแล้วได้ผลเลยตั้งแต่แรกจริงหรือไม่ แต่ทั้งสาม Right ที่กล่าวมาจะสมบูรณ์ไม่ได้เลยถ้าขาด Right ที่สี่คือ Do the Right Thing ทำสิ่งที่ถูกต้องต่อสังคม”  คณบดีคณะบริหารธุรกิจอธิบายสิ่งที่คณะให้กับนักศึกษา

 

Learning Platform

รศ.ดร.สิริวุฒิ มองว่า การจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสม มีหลายรูปแบบและสามารถเลือกเครื่องมือที่จะใช้ได้อย่างหลากหลายจึงเป็นแนวคิดที่จะทำเป็น Learning Platform ในคณะบริหารธุรกิจ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับการเรียนการสอนที่สามารถสร้างทักษะให้กับผู้เรียน

 

“วิชาที่ไม่วัดผลด้วยการสอบก็ต้องมี วิชาที่เน้นความรู้ทางเทคนิค อาจจำเป็นต้องวัดด้วยการสอบก็ได้ อย่างบัญชีซึ่งมีมาตรฐานแน่ชัดต้องวัดกันว่าเข้าใจและทำตามมาตรฐานได้ไหม บางครั้งก็มีเครื่องมืออื่นๆ เช่น การเรียนการสอนแบบการสร้างสรรค์ความรู้ด้วยปัญญาหรือ Constructionism ก็เป็นแบบหนึ่งที่เราใช้ บางวิชาก็เหมาะกับทำ Flip Classroom ก็ใช้ไป บางวิชาก็เหมาะกับ Project-Based Learning ก็ใช้ได้ หรือแม้แต่การเลกเชอร์และสอบก็ไม่เสียหายไม่โบราณ เพราะการบรรยายก็มีข้อดี คือส่งต่อความรู้ได้ไวและเรียนลัดได้ กล่าวคือเราต้องยืดหยุ่นพอที่จะเลือกและปรับรูปแบบการเรียนการสอนตลอดจนการวัดผลที่เหมาะกับธรรมชาติของการเรียนรู้ไม่ยึดติดแบบเดียว เทคโนโลยีมาช่วยเราได้มากในเวลานี้ที่ทำให้เราติดตามผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ได้ ทำให้เลือกได้ว่าวิธีการใดเหมาะที่สุดกับวิชาแบบไหน” 

 

 

รศ.ดร.สิริวุฒิ อธิบายหนึ่งในกลยุทธ์การเรียนการสอนของ Learning Platform สำหรับบางวิชาแบบ Flipped Classroom ง่ายๆ ว่า อะไรที่เคยอยู่ในห้องเรียนก็เป็นการบ้าน อะไรที่เคยเป็นการบ้านก็เอากลับมาเรียนในห้องเรียน “เรากลับข้างใหม่ว่าความรู้พื้นฐาน ที่เราต้องเลกเชอร์เราเอาไปใส่ไว้ในอินเทอร์เน็ต แล้วนักศึกษาเรียนผ่าน e-Learning นักศึกษาก็จะสามารถใช้เวลาว่างเข้าไปศึกษาความรู้พื้นฐาน พอกลับเข้ามาเรียนในห้องก็มาทำแบบฝึกหัดมาทำโจทย์ ซึ่งเดิมเขาต้องไปนั่งคิดเองอยู่คนเดียวหรือทำเป็นกลุ่ม โดยที่ไม่มีอาจารย์อยู่ในนั้น กว่าที่จะเข้ามาในห้องเจออาจารย์ กว่าจะรู้ว่าคิดถูกคิดผิด คิดครบถ้วนหรือเปล่ามันผ่านไปตั้งนานแล้ว แต่อันนี้พอเขามีความรู้พื้นฐานที่เขาศึกษาด้วยตัวเอง พอเข้ามาถึงทุกคนมีความรู้พื้นฐานในระดับที่พอเพียง ที่จะทำกิจกรรมกลุ่มที่จะต้องตัดสินใจร่วมกัน หรือว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทำได้เลยในห้องเรียนซึ่งเป็น Smart Classroom ที่เรามีอยู่ นักศึกษาสามารถแชร์สิ่งที่ตัวเองมีอยู่ขึ้นไปและคนอื่นสามารถช่วยปรับปรุงได้ การเรียนรู้ เห็นได้ชัด Visible ทั้งฝั่งผู้เรียนและฝั่งผู้สอนด้วย ผู้สอนก็เห็นว่าผู้เรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ เมื่อก่อนจะไปรู้เอาตอนสอบ ไม่ต้องส่งรายงาน และในเวลาเดียวกัน บทเรียนทั้งหลายหรือสิ่งที่อาจารย์ปรารถนาจะให้นักศึกษารู้ ก็ชัดเจนกับผู้เรียนด้วย ผมคิดว่าเทคโนโลยีใหม่มาทำให้เราทำหน้าที่ดั้งเดิมของเรา ได้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น ในเชิงการเรียนรู้ของนักศึกษาดีมากขึ้นด้วย หรืออย่างวิชาที่ใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงหรือ Action Learning เมื่อก่อนทำยาก สมัยนี้พอมี Social Media สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนตอบข้อซักถาม การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ผมไม่ได้มองว่าสิ่งเหล่านี้จะมาแทนที่ Business School ผมกลับมองว่า จะช่วยเสริมให้เราทำหน้าที่คลาสสิคของเราได้ดีขึ้น” 

 

ในเรื่องของ Project-Based Learning คณบดีคณะบริหารธุรกิจ บอกว่าจะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการถอดองค์ความรู้ จากเดิมที่อาจารย์ต้องไปฝังตัวตามองค์กรธุรกิจ หรือไปทำหน้าที่ที่ปรึกษา แต่ด้วย PBL ที่ในหนึ่งโครงการมีทั้งนักศึกษา อาจารย์และบุคลากรขององค์กร รวมถึงอาจจะมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยให้คำแนะนำ ทำให้ขั้นตอนการเรียนรู้และการถอดองค์ความรู้สามารถรวมมาอยู่ในที่เดียวกันได้ 

 

การเรียนแบบ Action Learning ในปัจจุบันก็ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสื่อสารที่ดีขึ้น จากอดีตที่นักศึกษาไปช่วยชุมชนในวันเสาร์อาทิตย์ แต่เมื่อมีแอปพลิเคชันที่ช่วยให้สื่อสารกันได้สะดวกมากขึ้น นักศึกษากับชุมชนก็สามารถพูดคุยกันได้ต่อเนื่อง ทำให้โครงการต่างๆ มีความลึกซึ้งมากขึ้น ขณะเดียวกันการวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ก็ทำได้ชัดเจน รวดเร็วมากขึ้น ในการประเมินผลการเรียนรู้รูปแบบเดิมคือการสอบจะลดความสำคัญลงไปในวิธีการศึกษาใหม่นี้ โดยเปลี่ยนเป็นการถอดบทเรียนผ่านกระบวนการสะท้อนความคิด (Reflection) ทางด้านทฤษฎี ด้านการแก้ปัญหา ด้านการทำงานเป็นทีม และด้านกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษาสะท้อนทัศนคติต่อการเรียนรู้ของตนเองอย่างสร้างสรรค์ 

 

รศ.ดร.สิริวุฒิ ยกตัวอย่างว่า “เวลาสะท้อนเรื่อง Team Effectiveness ประสิทธิผลในการทำงานเป็นทีม คือการทำงานทุกอย่างมีปัญหาจะทำอย่างไร เขาถึงจะข้ามพ้นปัญหาส่วนตัว ทำให้งานเสร็จได้ตามเวลาและเป้าหมายของตัวเอง เขามีวิธีแก้ปัญหานั้นอย่างไร เขาต้องมีมุมมองต่อการทำงานเป็นทีม ต่อโลกทัศน์รอบตัวเขา ต้องฝึกไปเรื่อยๆ พอเขาเจอแบบนี้บ่อยๆ เขาจะได้ทักษะขึ้นมาเอง จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต”

 

บทบาทของคณะบริหารธุรกิจในโลกยุคอุบัติใหม่ตามที่รศ.ดร.สิริวุฒิ ให้ภาพมาข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า การบ่มเพาะบุคลากรเพื่อรองรับธุรกิจในโลกยุคใหม่จำเป็นต้องพัฒนาทักษะที่หลากหลาย ผ่านกระบวนการเรียนการสอนที่ไม่จำกัดอยู่เพียงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่ให้ความสำคัญกับเป้าหมาย คือการสร้างผู้ที่มีความรู้และทักษะสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใด

 

เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้สามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันห้องเรียนในคณะบริหารธุรกิจก็เป็นเวทีที่สำคัญซึ่งการเรียนรู้ด้วยตัวเองออนไลน์อย่างเดียวไม่สามารถให้ได้ เช่น การถกแถลงแบ่งปันมีความร่วมมือกับอาจารย์และเพื่อนนักศึกษาในห้อง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ยังคงมีความสำคัญ และโรงเรียนธุรกิจอย่างคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือเวทีที่ดีในการแสวงหาความรู้ ทดสอบความคิด และเพิ่มคุณค่าการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยการบูรณาการเทคนิควิธีในโลกอนาล็อกกับเทคโนโลยีอุบัติใหม่แห่งโลกดิจิทัล 

 

เรื่องและภาพ : กองบรรณาธิการ 

จุดพลิกผัน: มีรัฐบาลแห่งแรก ที่จะประกาศเลิกการสำรวจสำมะโนประชากรแบบเดิม โดยเปลี่ยนมาใช้จากแหล่งข้อมูลแบบบิ๊กดาต้าแทน (Big-Data Sources) 

ภายในปี 2025:  85 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดภายในปีนั้น

   

มีข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนเกิดขึ้นมากกว่าที่เคยมีมา และความสามารถในการทำความเข้าใจและจัดการกับข้อมูลดังกล่าว ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นตลอดเวลา รัฐบาลอาจเริ่มค้นพบว่าวิธีรวบรวมข้อมูลแบบเดิมๆ ไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้ว และอาจหันไปหาเทคโนโลยีบิ๊กดาต้า เพื่อเปลี่ยนโปรแกรมปัจจุบันให้เป็นแบบอัตโนมัติ และให้บริการแก่พลเมืองและลูกค้าด้วยวิธีการใหม่ๆ มีนวัตกรรมมากขึ้น การนำบิ๊กดาต้ามาใช้จะช่วยให้สามารถตัดสินใจในอุตสาหกรรมและแอปพลิเคชันของธุรกิจได้ดีขึ้นและเร็วขึ้นอย่างกว้างขวาง การตัดสินใจแบบอัตโนมัติสามารถลดความยุ่งยากแก่พลเมือง ช่วยให้ธุรกิจและรัฐบาลสามารถจัดหาบริการและการสนับสนุนแบบเรียลไทม์ในทุกๆ เรื่อง เช่น ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า การยื่นและการชำระภาษีอัตโนมัติ เป็นต้น

 

ความเสี่ยงและโอกาสในการใช้บิ๊กดาต้า เพื่อประกอบการตัดสินใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการสร้างความเชื่อมั่นในข้อมูลและอัลกอริธึ่ม (ขั้นตอนวิธี) ที่ใช้เพื่อการตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากพลเมืองมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว และการสร้างความรับผิดชอบในส่วนของภาคธุรกิจและโครงสร้างทางกฎหมาย จะต้องมีการปรับเปลี่ยนความคิด รวมถึงมีแนวทางที่ชัดเจนในการจัดเก็บโปรไฟล์ของข้อมูลด้านต่างๆ เพื่อป้องกันผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด การใช้ประโยชน์จากบิ๊กดาต้าได้เข้ามาแทนที่กระบวนการ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยตัวเองนั้น อาจทำให้งานบางอย่างกลายเป็นสิ่งล้าสมัย แต่ขณะเดียวกันก็อาจสร้างงานกลุ่มใหม่ และโอกาสซึ่งปัจจุบันยังไม่มีอยู่ในตลาดได้

 

ผลกระทบเชิงบวก

- การตัดสินใจได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น

- การตัดสินใจแบบเรียลไทม์มากขึ้น

- ข้อมูลที่เปิดกว้างเพื่อสร้างนวัตกรรม

- งานสำหรับนักกฎหมาย/ ทนายความ

- ลดความยุ่งยากและสามารถให้บริการแก่พลเมืองอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

- ประหยัดต้นทุน

- เกิดหมวดงานใหม่

 

ผลกระทบเชิงลบ

- การสูญเสียงาน

- ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว

- ความรับผิดชอบ (ใครเป็นเจ้าของอัลกอริธึ่ม?) 

- ความเชื่อถือ (จะเชื่อถือข้อมูลได้อย่างไร?) 

- การแย่งชิงอัลกอริธึ่ม

 

ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง

- การจัดทำโปรไฟล์

- การเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบ โครงสร้างธุรกิจและกฎหมาย

 

การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์

ปริมาณข้อมูลธุรกิจทั่วโลก ของบริษัททุกแห่งเพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ 1.2 ปี

ที่มา: “A Comprehensive List of Big Data Statistics,” Vincent Granville, October 21, 2014:

 HYPERLINK “http://www.bigdatanews.com/profiles blogs/a-comprehensive-list-of-big-data-statistics” http://www.bigdatanews.com/profiles/blogs/a-comprehensive-list-of-big-data-statistics

 

“เกษตรกรจากไอโอวาจนถึงอินเดียต่างก็ใช้ข้อมูลจากเมล็ดพันธุ์ ดาวเทียม เซนเซอร์ และแทรกเตอร์เพื่อช่วยเรื่องการตัดสินใจว่าจะปลูกอะไร ปลูกเมื่อไร จะขนส่งความสดของอาหารจากฟาร์มสู่ช้อนส้อม และจะปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปให้ดีขึ้นได้อย่างไร” 

ที่มา: “What’ s the Big Deal with Data,” BSA   The Software Alliance,

 

“เพื่อให้ข้อมูลแก่ลูกค้าร้านอาหารเกี่ยวกับร้านที่ไม่ถูกหลักอนามัยได้ดีขึ้น ทางการของซานฟรานซิสโก จึงเริ่มประสานงานเป็นการนำร่องกับ Yelp ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลการตรวจสอบสุขอนามัยของร้านอาหารในเมือง บนหน้าเพจรีวิวร้านอาหารของเว็บไซต์ดังกล่าว เช่น ถ้าคุณเปิดไปที่หน้าเพจร้านอาหาร Tacos El Primo มันจะแสดงคะแนนด้านสุขอนามัย 98 จาก 100 คะแนน การจัดอันดับของ Yelp เป็นประโยชน์ค่อนข้างมาก เพราะนอกจากจะทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแก่เมือง ในการป่าวประกาศแก่ผู้อยู่อาศัยเกี่ยวกับอันตรายในอาหารแล้ว การประสานความร่วมมือดังกล่าว ยังเป็นวิธีทำให้ร้านอาหารที่ทำผิดซ้ำซากรู้สึกละอายใจและหันมาปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยมากขึ้น” 

ที่มา:  HYPERLINK “http://www.citylab.com/cityfixer/2015/043-cities-using-open-data-in-creative-ways-to-solve-problems/391035/” http://www.citylab.com/cityfixer/2015/043-cities-using-open-data-in-creative-ways-to-solve-problems/391035/

 

บทสรุปของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทั้ง 17 Sustainable Development Goals ที่ UN ได้กำหนดไว้นี้ ดูเหมือนว่าจะมาอยู่ในหัวใจสำคัญของภารกิจพิชิต Goal สุดท้ายนี้เอง นั่นคือ การรวมพลังสานเครือข่ายจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม โดยทุกฝ่ายมุ่งมั่นแชร์หลักการเดียวกัน ในวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อสร้างพลังยิ่งใหญ่ที่จะนำพาทุกองคาพยพให้เข้าถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกันนั่นเอง

 

โดยการดำเนินการที่ควรทำอย่างเร่งด่วน คือ การปลอดล็อกเงินทุนจำนวนมหาศาลกว่าล้านล้านบาทที่กระจุกตัวอยู่ในภาคเอกชน ให้กระจายไปยังภาคส่วนของการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยความถูกต้องและเหมาะสม โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องส่งเสริมให้เกิดการลงทุนระยะยาวด้านการพัฒนาประเทศ เพิ่มอัตราการลงทุนในการส่งออกสู่ต่างประเทศ ซึ่งหมายรวมทั้ง การลงทุนด้านพลังงาน การวางระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และการคมนาคมที่ทันสมัย ไปจนถึงระบบการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า 

 

ภารกิจที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องเป็นเสาหลักในการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน ควบคู่ไปกับการตรวจสอบกรอบและกำหนดกฎหมายที่เข้มแข็ง เพื่อนำไปบังคับใช้ในการลงทุนที่นำไปสู่ความยั่งยืน นอกจากนั้น เพื่อความสำเร็จของภารกิจยิ่งใหญ่นี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงาน องค์กร สนับสนุน ดังที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากภาครัฐ เอกชนแล้ว องค์กรภาคประชาสังคมก็มีบทบาทเคียงข้างภาครัฐในการมีส่วนร่วมและผลักดันโครงการดีๆ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยสถาบันไทยพัฒน์ นับเป็นองค์กรภาคประชาสังคมต้นแบบ ที่มีจุดมุ่งหมายดำเนินการให้เกิดความยั่งยืนขึ้นในสังคมไทย โดยได้ลงนามเข้าเป็นภาคีในข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact) เมื่อปี พ.ศ. 2555 และได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการลงทุนทางสังคม โดยสำนักงานเลขาธิการว่าด้วยหลักการลงทุนทางสังคม (Principles for Social Investment: PSI) ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มที่สนับสนุนโดยสหประชาชาติ

 

ขอยกตัวอย่างบทบาทสำคัญล่าสุด ที่นำสู่การขับเคลื่อนอย่างยั่งยืนในทุกองคาพยพในเวลาต่อมา นั่นคือ เมื่อครั้งที่มีการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (UNCSD) หรือ Rio+20 ณ เมืองรีโอเดจา-เนโร ประเทศบราซิล ถือเป็นจุดตั้งต้นของกระบวนการหารือเพื่อกำหนดวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. 2015 โดยมีความคิดริเริ่มที่สำคัญ คือ การจัดทำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งยกร่างโดยคณะทำงานของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Open Working Group on SDGs) สถาบันไทยพัฒน์ เป็น 1 ใน 4 องค์กรภาคประชาสังคมของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองเป็นองค์กรในกลุ่มภาคผนวกที่ 1 จากสมัชชาสหประชาชาติ ให้เข้าร่วมการประชุม Rio+20 อย่างเป็นทางการ โดยในการประชุมเต็มคณะ (Plenary Meeting) ได้มีการให้ความเห็นชอบในเอกสารผลลัพธ์ การประชุม (Outcome Document) ที่ใช้ชื่อว่า “The Future We Want”

 

ต่อมา หลังจากที่ชาติสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ 193 ประเทศ ได้จัดประชุมเพื่อให้การรับรองวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ซึ่งรวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ข้อ เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558 สถาบันไทยพัฒน์ก็ได้แถลงถึงการจัดตั้งคณะกรรมการเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Develop-ment Network Board (SDNB) ในวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2558 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนการทำงานส่งเสริม สนับสนุน และสานเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ภายใต้วาระสังคม 2020 หรือ Society 2020 ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล  

 

 

คณะกรรมการเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือเรียกสั้นๆ ว่า “บอร์ดยั่งยืน” ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภาคเอกชน ภาคสังคม ภาควิชาการ และสื่อมวลชน ที่ผลักดันงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ คุณศิริชัย สาครรัตนกุล ดร.วัฒนา โอภานนท์อมตะ ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล ดร.สุนทร คุณชัยมัง คุณสุกิจ อุทินทุ รศ.ทองทิพภา วิริยะพันธุ์ และดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ รวม 7 ท่าน โดยมีสถาบันไทยพัฒน์ ทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการ  โดยบทบาทของคณะกรรมการเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืน เน้นการทำหน้าที่เป็นกลไกประสานหน่วยงาน โดยหลีกเลี่ยงการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่จะทำงานในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือเพื่อตอบโจทย์ SDGs ในลักษณะที่เป็น Collective Impact เรียกว่าเป็น ‘หุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืนสู่สังคม 2020’ หรือ Partnership for Sustainable Development towards Society 2020 ตามเจตนารมณ์ของเป้าหมาย SDG ข้อที่ 17 นั่นเอง

 

Society 2020 เป็นวาระที่บอร์ดยั่งยืนริเริ่มขึ้น เพื่อสร้างขบวนเคลื่อนไหวทางสังคมต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการทำงานในรูปของกลุ่มความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย (Multi-Stakeholder Group) ที่ต้องการเห็นภาคประชาชนทำหน้าที่ (Perform) ของตนเองอย่างมีประสิทธิผล ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านหรือแปรรูป (Transform) ไปสู่การยกระดับการประกอบธุรกิจที่ทำให้สังคมได้รับการดูแลตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน และภาครัฐมีการปฏิรูป (Reform) หน่วยงานอย่างจริงจัง เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและความคาดหวังของสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ตามวิสัยทัศน์ “People -> Perform, Business -> Transform, State -> Reform” มุ่งไปสู่ “สังคมที่เราต้องการ” (The Society We Want) ในอีก 15 ปีข้างหน้า โดยมีกรอบเวลา 5 ปี ในระยะแรก (สิ้นสุดปี ค.ศ. 2020) และจะมีการประเมินการดำเนินงาน เพื่อพิจารณาสู่การขับเคลื่อนในกรอบเวลา 10 ปี (สิ้นสุดปี ค.ศ.2030) ในระยะต่อไป

 

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนวาระสังคม 2020 จะมีการจัดกลุ่มการพัฒนาในแต่ละด้าน ในรูปของคณะกรรมการหรือคณะทำงานผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย นำโดยหน่วยงานหรือองค์กรที่เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีแผนงานหรือความริเริ่ม หรือมีโครงการที่ริเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2015 เป็นต้นไป และมีระยะเวลาการดำเนินโครงการอย่างน้อยจนถึงปี ค.ศ. 2020 โดยสามารถตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อพร้อมกัน วาระสังคม 2020 ถูกออกแบบให้เป็นความเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) ที่มุ่งให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในสังคมในลักษณะเครือข่าย บูรณาการเป้าหมายการพัฒนาที่มีความหลากหลายและแตกต่างกัน ให้สามารถเชื่อมโยงกับการตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยในการออกแบบการร่วมดำเนินงาน ได้คำนึงถึงการนำทรัพยากรและความเชี่ยวชาญหลักของหน่วยงานที่เข้าเป็นหุ้นส่วนการดำเนินงานมาใช้ในการขับเคลื่อนวาระสังคม 2020 เพราะในทุกหน่วยงานจะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะตน ที่มีความโดดเด่นและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา และที่สำคัญ คือ การทำงานตามวาระสังคม 2020 จะเน้นที่การต่อยอดการทำงานของแต่ละหน่วยงาน โดยไม่เริ่มจากศูนย์ และพร้อมเปิดรับการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เพื่อขยายผลการดำเนินงานของหน่วยงานในเชิงปัจเจก มาสู่ผลลัพธ์ในเชิงท้องถิ่น ภูมิภาค และโลกโดยรวม

 

 

การร่วมขับเคลื่อนวาระสังคม 2020 สามารถดำเนินการได้ใน 2 ระดับ คือ ระดับที่เป็น “องค์กรริเริ่ม” และระดับที่เป็น “องค์กรเข้าร่วม” ดำเนินงาน

องค์กรริเริ่ม หมายถึง หน่วยงานที่มีความประสงค์จะเป็นผู้ริเริ่มและนำการดำเนินงาน โดยอาจมีการตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานในรูปของกลุ่มความร่วมมือผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย นำโดยองค์กรริเริ่ม ซึ่งได้มีการเสนอแผนงานหรือโครงการที่มีระยะเวลาการดำเนินงานอย่างน้อยจนถึงปี ค.ศ. 2020 ในอันที่จะตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อพร้อมกัน

องค์กรเข้าร่วม หมายถึง หน่วยงานที่มีความประสงค์จะเป็นผู้เข้าร่วมดำเนินงานที่หน่วยงานอื่นเป็นผู้ริเริ่ม โดยอาจเข้าร่วมในคณะกรรมการหรือคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่องค์กรเข้าร่วมมีความสนใจและสามารถให้การสนับสนุนทุน ทรัพยากร หรือความเชี่ยวชาญที่องค์กรมีอยู่ในเบื้องต้น ธนาคารออมสิน ได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืนสู่สังคม 2020 ซึ่งนับเป็นองค์กรในหมวดธุรกิจธนาคารรายแรกที่ได้นำเอาเป้าหมายโลกว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ข้อไปใช้เป็นกรอบการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในสังคมไทย และ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค ก็ได้เข้าร่วมมือเป็นเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามกรอบ SDGs ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อเสริมสร้างให้เกิดความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโลก

 

นี่เป็นหนึ่งในต้นแบบองค์กรภาคประชาสังคมของไทย ที่ดำเนินการจนกระทั่งเห็นผลไปในทิศทางก่อให้เกิดความยั่งยืน ทว่าในส่วนของ Goals ที่ UN ตั้งไว้ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิด the global partnership for sustainable development ให้ได้ภายในปี 2030 นั้น ยังแบ่งออกเป็น การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน สร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงผสานความช่วยเหลือจากองค์กรนานาชาติที่จะเข้าไปสนับสนุนการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบการจัดเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ การสนับสนุนให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึงแหล่งเงินทุนคุณภาพที่จะใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนได้มากยิ่งขั้น ขณะเดียวกัน ยังต้องพัฒนาด้านการเข้าถึงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอาจจัดตั้งศูนย์กลางการเรียนรู้ ที่จะมาเป็นสื่อกลางนำเสนอนวัตกรรมและเครื่องมือที่เหมาะสมในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเรื่องนี้ UN ตั้งเป้าไว้ว่าต้องทำให้เห็นผลภายในปี 2017 ที่จะถึงนี้ด้วย

 

เผยแพร่    นิตยสาร MBA ฉบับครบรอบ เดือนมีนาคม 2016

เรื่อง : กองบรรณาธิการ 

แค่กล่าวถึงข้อเท็จจริงเดียวที่อ่านเจอใน Goal 16 ของ Sustainable Development Goals อาจทำให้หลายคนตกใจโดยไม่รู้ตัวว่า ทุกวันนี้ ปัญหาการคอร์รัปชัน การรับสินบน การโจรกรรม ไปจนถึงการหลบเลี่ยงภาษีในโลกเรานั้น ยังคงเป็นปัญหาใหญ่โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา จากตัวเลขล่าสุดของมูลค่าจากการได้มาโดยมิชอบนี้ สูงถึง 1.26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้าเงินจำนวนนี้ถูกนำไปใช้ให้ผู้คนที่มีรายได้ไม่ถึง 1.25 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว พวกเขาจะพอมีพอกินไปถึง 6 ปีเต็มทีเดียว

 

ที่หยิบยกมากล่าวเป็นเรื่องแรก เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า จากปัญหาคอร์รัปชันทั้งหลายนี่เอง ที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งขัดขวางการสร้างสังคมที่สงบสุข ยุติธรรม อย่างที่ทุกคนวาดหวังไว้ในอีกมุมหนึ่ง สาเหตุของความเสื่อมถอยในสังคมที่เราอยู่ ยังเกิดขึ้นเนื่องจากบนโลกใบนี้ยังคงมีการกระทำรุนแรงต่อผู้ด้อยโอกาสอย่างเด็กและสตรี ยืนยันได้จากเว็บไซต์ UNICEF#ENDviolence against children ที่ระบุไว้ว่า ทุกๆ 5 นาที สักแห่งหนบนโลกใบนี้ จะต้องมีเด็กเสียชีวิตเพราะความรุนแรง ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ UN มุ่งที่จะขจัดเพื่อพิชิต Goal ที่ 16 ว่าด้วย Peace Justice and Strong Institutions ให้ได้

 

 

มองในมุมประเทศไทย ปัญหาการคอร์รัปชันนับเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคม โดยสถิติล่าสุดจากมูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทยระบุว่า การจัดอันดับดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชัน พ.ศ. 2557 พบว่า ประเทศไทยได้คะแนน 38 คะแนน จาก 100 คะแนน อยู่ลำดับที่ 85 จากทั้งหมด 175 ประเทศทั่วโลก นี่จึงแสดงให้เห็นว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันยังเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน เริ่มจากภาครัฐ ตั้งแต่เข้ามาดูแลประเทศก็เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสงครามกับการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ที่จะบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันของทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมเข้าด้วยกัน โดยคณะกรรมการนี้ จะทำงานควบคู่ไปกับคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ซึ่งนี่เป็นความตั้งใจที่จะจัดระบบปราบปรามคอร์รัปชันของ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถึงแม้ตอนนี้ ดูเหมือนว่าผลจากความตั้งใจอันดีของรัฐบาลชุดนี้ ยังไม่ได้ปรากฏออกมาเป็นดอกผลให้ เห็นชัด แต่ก็ถือว่ามีส่วนกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนหันมาจริงจังกับปัญหาการคอร์รัปชันมากขึ้น ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประเทศชาติ ในยุคที่ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้

 

ส่วนตลาดทุนก็มีความตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัด พิสูจน์ได้จากการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดทำโรดแมปการพัฒนาความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน ระยะ 5 ปี ( พ.ศ. 2557-2561 ) โดยหนึ่งในแผนงานหลัก คือ การให้ความสำคัญกับการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ด้วยการแบ่งระดับการประเมินเป็น 5 ระดับ ในรูปแบบ Progress Indicator เพื่ออัพเดตความคืบหน้าของการดำเนินงานในเชิงที่เอื้อให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายในองค์กรของตนเอง การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทจดทะเบียนได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมแห่งการปลอดคอร์รัปชันให้ภาคธุรกิจไทยอย่างเห็นผลด้วย

 

 

ต่อมา ขอพูดถึงอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อความสงบสุขของสังคมโดยรวม นั่นคือ ความพยายามที่จะยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมให้ได้ อย่างในสังคมไทยก็เกิดแคมเปญรณรงค์ทำนองนี้จำนวนไม่น้อย ต้องยอมรับว่าหลายแคมเปญมีแนวคิดในการนำเสนอที่โดนใจและทำให้ทุกคนในสังคมคล้อยตาม หากแต่ยังไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้ข่าวคราวรายวันในสังคมไทยที่เกี่ยวกับการกระทำรุนแรงต่อเด็ก สตรี หรือแม้กระทั่งสัตว์ ลดลงได้ ซึ่งปัญหานี้ มีผู้วิเคราะห์ไว้ตรงกันว่า ถ้าจะแก้ปัญหา ต้องแก้ในระดับทัศนคติหรือความเชื่อ เพราะในหลายกลุ่มคนยังคงมีทัศนคติความเชื่อว่า การใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการแก้ไขปัญหา หรือ สามีเป็นใหญ่ ลูกและภรรยาคือผู้อ่อนแอ เป็นสมบัติของสามีหรือบิดามารดา เป็นต้น นอกจากนั้น ยังเกิดจากปัจจัยที่อยู่ในตัวผู้ใช้ความรุนแรงเอง เช่น ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก จากบิดามารดาที่ชอบใช้ความรุนแรง หรือเรียนรู้จากสื่อ อย่างอ่านการ์ตูน ดูภาพยนตร์ที่มีเนื้อหารุนแรง ยิ่งถ้าผู้นั้นได้กระทำรุนแรงแล้วได้ผล ไม่มีใครว่า ก็ย่อมจะทำบ่อยครั้งขึ้น หรือลักษณะนิสัยที่ชอบดื่มเหล้า และสาเหตุจากการป่วยทางจิตก็เป็นอีกปัจจัยที่พบเห็นได้ว่าเป็นต้นเหตุของความรุนแรงในสังคมไทย

 

ทางออกของปัญหาความรุนแรง โดยเฉพาะในครอบครัวนั้น จึงไม่ใช่การแก้ไขในจุดจุดเดียว หากแต่ต้องได้รับการแก้ไขแบบครบวงจร รอบด้าน ตั้งแต่แนวทางป้องกันแก้ไขเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยม ซึ่งต้องเริ่มจากการศึกษาในโรงเรียน จัดให้มีหลักสูตรให้ความรู้ เสริมสร้างทัศนคติที่ดี ไปจนถึงการสอดแทรกกิจกรรมเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนไม่เปิดรับการแก้ปัญหาในครอบครัวด้วยความรุนแรง ไปจนถึงการกำหนดแนวทางการป้องกันแก้ไขในระดับกฎหมาย ให้เป็นไปในทางเพิ่มโทษ เพื่อให้ผู้ที่คิดจะกระทำรุนแรงเกรงกลัว รวมทั้งกำหนดตัวบทกฎหมายให้ครอบคลุมความผิด ที่ตอนนี้มีหลากรูปแบบมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีช่องว่างกฎหมายที่ทำให้ผู้กระทำผิดพ้นโทษไปได้

 

เช่นกันกับปัญหาระดับโลก ที่เป็นอุปสรรคของการสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นบนโลก นั่นคือ ปัญหาการก่อการร้าย ที่ UN เห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้มาตั้งแต่ปี 2001 จึงได้ก่อตั้ง The Counter-Terrorism Committee (CTC) เพื่อสอดส่องดูแลและจัดการปัญหาก่อการร้ายในโลกอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า การก่อตั้งหน่วยงานมากมายที่มาต่อสู้กับภัยก่อการร้าย ก็ไม่ได้ทำให้ภัยก่อการร้ายลดลง มิหนำซ้ำ ดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ ในยุคนี้ ตัวอย่างของเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นและไม่มีใครลืมลง นั่นคือ การก่อการร้ายใจกลางกรุงปารีส ด้วยการใช้ระเบิดและกราดยิงผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเหตุการณ์เลวร้ายนี้ช็อกผู้คนทั่วโลก ให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวบนโลกใบนี้เสียแล้ว 

 

 

จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ปัญหาการก่อการร้ายได้กลายเป็นประเด็นหนึ่งในการประชุม World Economic Forum ที่จัดขึ้นล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา โดยโฟกัสไปที่การเกิดขึ้นของลัทธิหัวรุนแรง (extremism) ตัวการของการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่หลายแห่งทั่วโลก และทางออกของปัญหานี้ก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ทุกประเทศทั่วโลกต้องร่วมมือร่วมใจกันเป็นหูเป็นตา โดยเฉพาะการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ตรวจสอบผู้ที่เดินทางเข้า-ออกประเทศของตนว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่ เพื่อสกัดกั้นได้แต่แรกก่อนจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง โดยโฟกัสไปที่กลุ่มประเทศที่เป็นผู้ต้องหาของโลกในขณะนี้อย่างประเทศมุสลิม ส่วนในประเทศไทย รัฐบาลชุดนี้แถลงชัดเจนว่ากำลังจัดเตรียมเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการก่อการร้าย อาทิ กล้องจับภาพใบหน้าความละเอียดสูงให้พอเพียงเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะมีชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หลายคนคงอดคิดไม่ได้ว่า แต่ละเรื่องดูจะต้องใช้เวลายาวนานที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี หรือดูว่าหนทางแห่งการสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นบนโลกดูจะเป็นแสงสว่างอยู่ลิบๆ ตรงปลายอุโมงค์ แต่เชื่อเหลือเกินว่า หากทุกความเข้าใจที่กล่าวมาได้นำมาปรับเปลี่ยนและปฏิบัติในรูปแบบทางออกของปัญหา อย่างน้อยย่อมจะสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยได้ตามอัตภาพได้ไม่ยาก

 

เผยแพร่     นิตยสาร MBA ฉบับครบรอบเดือนมีนาคม 2016 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ 

วันนี้โลกกำลังตื่นตัวกับปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในวงการต่างๆ ด้วยการทำให้เครื่องจักรสามารถคิดวิเคราะห์คำนวณแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เช่นเดียวกันกับสิ่งที่มนุษย์เคยทำกันมา

คนมีกิน...ก็เพราะมีผืนดินให้เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีที่อยู่...ก็เพราะมีผืนดินให้ปลูกบ้าน สร้างอาคารพักอาศัย แต่เมื่อมีคนมากขึ้น ต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น พื้นที่ป่าหลายแห่งก็ถูกรุกล้ำ ป่าไม้ถูกแผ้วถางทำลาย ดินเสื่อมคุณภาพ สัตว์ป่าถูกล่า ถูกฆ่า บ้างเพื่อเป็นอาหารยังชีพ บ้างเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อการกีฬา เพื่อทำเครื่องประดับ และส่วนหนึ่งก็ถูกส่งเป็นสินค้าออก

 

• มหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เปิดเผยงานวิจัยว่า ปี 2010-2012 ช้างแอฟริกา ถูกฆ่าเอางาไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัว 

• กระทรวงสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลแอฟริกาใต้ระบุว่า เฉพาะในปี 2014 เพียงปีเดียว มีแรดสายพันธุ์ต่างๆ ถูกล่าในเขตแดนของแอฟริกาใต้ไปถึง 1,215 ตัว ส่งผลให้ปี 2014 เป็นปีที่มีสถิติแรดถูกล่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของแอฟริกาใต้ โดยการถูกคุกคามอย่างหนักนี้เกิดจากขบวนการลักลอบล่าสัตว์ป่าที่ต้องการนำ “นอ” ไปสนองความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยังมีค่านิยมในการนำนอแรดไปประดับตกแต่งและเป็นส่วนผสมของยาบำรุงกำลังทางเพศ

• ในวันช้างโลกประจำปี 2558 มีข้อมูลว่า ปัจจุบันทั้งช้างแอฟริกาและช้างเอเชียกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก การสำรวจขององค์กรอนุรักษ์ช้าง (Save the Elephants) เมื่อปี 2557 พบว่ามีช้างแอฟริกาเหลืออยู่ประมาณ 400,000 ตัว แต่พวกมันกำลังถูกล่าอย่างหนักและหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ คาดว่าช้างแอฟริกาจะสูญพันธุ์ภายในปี 2568 หรือในอีก 10 ปี ขณะที่ช้างเอเชียมีประชากรเหลืออยู่เพียง 40,000 ตัว และได้รับการขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์โดยสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN)

• ช้างป่ายังถูกคุกคามเพื่อธุรกิจทางการค้า เช่น การลักลอบฆ่าช้างเพื่อเอางา เนื่องจากงาช้างมีราคาสูง หรือความเชื่อที่ว่าหากครอบครองงวงช้างจะทำให้มีศิริมงคล รวมถึงการลักลอบนำลูกช้างป่ามาเป็นช้างเลี้ยง ปัจจุบันช้างในประเทศไทยเหลือประมาณ 7,000-8,000 ตัว ในจำนวนนี้เป็นช้างป่าประมาณ 2,000-3,000 ตัว ที่เหลือเป็นช้างเลี้ยง

• ต้นปี 2559 ป่าไม้ที่อยู่บนภูดินแดง เทือกเขาภูพานน้อย บ้านโพนไฮ ต.หนองแคน อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ถูกขบวนการตัดไม้ลักลอบตัดต้นพะยูงขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยเฉพาะต้นพะยูงขนาดใหญ่ที่มีอายุ 100-200 ปี 

• กลุ่มเกษตรกรกาแฟบริเวณ Central Aceh อินโดนีเซีย ได้รับผลกระทบจากอากาศที่อุ่นขึ้นซึ่งส่งผลให้มีการระบาดของศัตรูพืช เกษตรกรจึงเคลื่อนย้ายที่ทำกินไปเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตรเพื่อผลิตกาแฟอะราบิกาชื่อก้องโลก โดยเกษตรกรได้บุกรุกเข้าไปในพื้นที่คุ้มครอง หักร้างถางป่าพื้นที่เพื่อใช้ทำการเกษตร

 

 

 

โลกของเราจัดเป็นระบบนิเวศที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่า โลกของสิ่งมีชีวิตหรือชีวภาค (Biosphere) ซึ่งรวมระบบนิเวศหลากหลายระบบไว้ด้วยกัน ซึ่งหากจำแนกจากระบบนิเวศตามธรรมชาติ ก็จะมี ระบบนิเวศทางบก (Terrestrial Ecosystem) เช่น ป่าไม้ บึง ทุ่งหญ้าทะเลทราย ระบบนิเวศทางน้ำ (Aquatic Ecosystem) เช่น แม่น้ำลำคลอง ทะเล หนอง บึง มหาสมุทร ป่าครอบคลุม 30% ของพื้นผิวโลก และนอกเหนือจากการให้ความมั่นคงด้านอาหารและที่อยู่อาศัย ยังเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และที่อยู่อาศัยของประชากรในประเทศ ด้วยผลจากการกระทำของมนุษย์ อย่างลักลอบตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำไม้ไปขาย เพื่อเปิดพื้นที่ทำการเกษตร เป็นการทำลายระบบนิเวศและทำลายแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนได-ออกไซด์ที่สำคัญ จากป่าที่อุดมสมบูรณ์ หลายแห่งก็กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ความเสื่อมโทรมของที่ดินในขณะนี้ก็เกิดขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติ เกิดน้ำท่วม เกิดภัยแล้ง เพราะไม่มีป่าเข้ามาช่วยอุ้มน้ำเหมือนในอดีต การแปรสภาพผืนดินเป็นทะเลทรายก็เพิ่มขึ้นทุกปี หากพิจารณาตั้งแต่ปี 2000-2010 รวมจำนวนการสูญเสียที่ดินถึง 12 ล้านเฮกเตอร์ 

 

 

ในด้านสายพันธุ์สัตว์ จากสัตว์ที่เป็นที่รู้จัก 8,300 สายพันธุ์ มีจำนวน 8% ที่กำลังจะสูญพันธุ์ และอีก 22% เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ หลายประเทศจึงมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์และฟื้นฟูประโยชน์จากระบบนิเวศทางบก อาทิ ป่าไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่กึ่งแห้งแล้ง และภูเขา แต่ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนกิจกรรมของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นความท้าทายที่สำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนเป็นล้านๆ ในเมื่อเรายืนบนผืนดินเดียวกัน อยู่ร่วมกันบนโลกกลมๆ ที่นับวันจะยิ่งร้อนขึ้น แล้งขึ้น หนาวมากขึ้น สิ่งที่อยู่ใกล้ชิดเราอย่าง ระบบนิเวศทางบก (Terrestrial Ecosystems) จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกคน ทุกชาติ ต้องใส่ใจ ปกป้อง ฟื้นฟู ดูแล และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบกอย่างยั่งยืน และเพื่อให้ธรรมชาติยังคงอยู่ สิ่งมีชีวิตนานาชนิดดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้และไม่สูญพันธุ์ UN จึงประกาศขอความร่วมมือจากนานาชาติด้วยเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ว่า

• ภายในปี 2020 สร้างความมั่นใจให้ได้ว่ามีการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนของระบบนิเวศทางบก ระบบนิเวศของแหล่งน้ำจืดบนดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ป่า พื้นที่ชุ่มน้ำ ภูเขา และพื้นที่แห้งแล้ง โดยบริหารจัดการให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบภายใต้ข้อตกลงระหว่างประเทศ

• ส่งเสริมให้เกิดการดำเนินงานด้านการจัดการป่าทุกประเภทอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยับยั้งการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อฟื้นฟูผืนป่าที่เสื่อมโทรม และร่วมมือร่วมใจกันปลูกป่าเพื่อให้พื้นที่ป่าทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2020

• ต่อจากนี้ไปจนถึงปี 2030 จะเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ไม่ให้พื้นที่ใดในโลกแปรสภาพเป็นทะเลทราย ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูผืนดิน ดิน รวมถึงฟื้นสภาพผืนดินที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะการเปลี่ยนเป็นทะเลทราย และอุทกภัย ตลอดจนมุ่งมั่นที่จะพลิกฟื้นให้ทุกผืนดินทั่วโลกได้รับการพัฒนาให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป 

• ภายในปี 2030 ต้องทำให้เกิดการอนุรักษ์ระบบนิเวศ รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพของภูเขา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน 

• ก่อนจะถึงปี 2020 จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและมุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้สภาพแวดล้อม แหล่งพักพิงตามธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพถูกทำลาย รวมถึงต้องพิทักษ์และป้องกันสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ให้สูญพันธุ์

• ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดจากการใช้แหล่งพันธุกรรมอย่างยุติธรรม รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นไปตามข้อตกลงนานาชาติร่วมกัน

• ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติการบุกรุกเข้าไปล่าสัตว์ การค้าสัตว์ป่า ปกป้องสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ทุกสายพันธุ์ และจัดการกับความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ป่าทุกชนิด

• ภายในปี 2020 ต้องมีมาตรการที่จะปรับใช้เพื่อป้องกันผลกระทบจากการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ที่แปลกปลอม ทั้งระบบนิเวศทางบกและในน้ำ รวมถึงควบคุมหรือกำจัดสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงที่จะกลายพันธุ์ด้วย

• รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับคุณค่าของระบบนิเวศ ความหลากหลายทางพันธุกรรม เข้ากับการกำหนดแผนพัฒนาประเทศชาติและท้องถิ่น และยุทธศาสตร์การขจัดความยากจนของชาติ ให้ได้ภายในปี 2020

• ขับเคลื่อนและเพิ่มจำนวนแหล่งเงินทุนให้มีความหลากหลาย เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาให้เกิดการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศและความหลากหลายทางพันธุกรรมอย่างยั่งยืน 

• ขับเคลื่อนให้เกิดการระดมทุนจากทุกแหล่งเข้าสู่การสร้างระบบการจัดการและดูแลผืนป่าอย่างยั่งยืน และทำให้เกิดสิ่งจูงใจที่ช่วยในการพัฒนาประเทศ ช่วยในการทำให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการอนุรักษ์และฟื้นฟูที่เหมาะสม

• ส่งเสริมให้เกิดการสนับสนุนและช่วยเหลือในการต่อสู้กับการล่าสัตว์ป่าและการค้าสัตว์ป่าเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าหายาก รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นที่จะเข้าถึงโอกาสในการดำรงชีพได้อย่างสงบสุข โดยยังคงความสมบูรณ์ของผืนป่า ระบบนิเวศและความหลากหลายทางพันธุกรรมของโลกไว้ได้อย่างยั่งยืน

 

 

 

Case

ในปี 2558 มีแรดประมาณ 1,175 ตัว ถูกฆ่าเพื่อเอานอและเนื้อในแอฟริกาใต้ ลูกแรดขาวถูกทิ้งให้กำพร้า เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจึงพาพวกมันไปอยู่ในสถาบันเลี้ยงแรด ภายในอุทยานสัตว์อุมโฟโลซี ในมณฑลควาซูลู-เนทัล ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแอฟริกา เพื่อป้องกันการลักลอบล่าสัตว์ แอฟริกาใต้เริ่มใช้โดรนตามแหล่งอนุรักษ์สัตว์ป่าต่างๆ โดยองค์การต่อต้านลักลอบล่าสัตว์ของสหรัฐอเมริกา Air Shepherd Initiative ได้จัดส่งโดรนที่ควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรลที่ติดกล้องตรวจจับเวลากลางคืนและกล้องตรวจจับความร้อน หรือที่เรียกว่า Thermal Camera เพื่อติดตามกลุ่มลักลอบล่าสัตว์จำพวกแรดและช้าง เมื่อไรที่โดรนพบกลุ่มลักลอบล่าสัตว์จะส่งสัญญาณถึงเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเพื่อสกัดจับก่อนที่สัตว์จะถูกล่า ซึ่งเจ้าหน้าที่หวังว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นจะช่วยชีวิตสัตว์โลกจากการถูกล่าได้อีกมาก

 

เคยได้ยินไหมว่า เสือโคร่งเป็นสัตว์ป่าที่อยู่บนยอดพิระมิดของห่วงโซ่อาหาร ป่าที่มีเสือโคร่ง จึงเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์สำหรับประเทศไทย เสือโคร่ง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2546 ประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปี 2553 ไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมเสือโลกร่วมกับกลุ่มประเทศที่มีเสือในป่าธรรมชาติจำนวน 13 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการประชุมดังกล่าวได้มีการให้สัตยาบันร่วมกันว่าภายในปี 2565 ทุกประเทศจะต้องทำให้ประชากรเสือโคร่งในป่าอนุรักษ์เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวของปริมาณที่มีอยู่เดิม ซึ่งหมายถึงเพิ่ม 100-125 ตัว จากที่มี 200-250 ตัวในประเทศไทย

 

ไทยมีปัญหาเรื่องการบุกรุกทำลายป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเสือโคร่ง และคนล่าสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อของเสือซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มปริมาณเสือในป่าธรรมชาติ ในด้านป่าที่มีเสือโคร่งอาศัยอยู่มากที่สุด พบว่าอยู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยมีการพบประมาณ 70 ตัว แสดงให้เห็นว่า ป่าในพื้นที่ดังกล่าวยังอุดมสมบูรณ์อยู่เพราะมีเหยื่อให้เสือกินอย่างพอเพียง แต่ในพื้นที่อุทยานแห่งขาติเขาใหญ่ มีข่าวออกมาว่าอาจจะไม่เหลือเสือโคร่งในป่าแล้ว เนื่องจากไม่พบร่องรอยของเสือ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงเกิดความคิดว่าจะนำเสือโคร่งที่ห้วยขาแข้งไปปล่อยในเขาใหญ่เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบนิเวศ อย่างไรก็ตาม ยังต้องใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ เนื่องจากเขาใหญ่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และการเพิ่มจำนวนเสือได้ ต้องดูแลที่อยู่และเหยื่อของเสือให้ดีและอุดมสมบูรณ์ไปพร้อมๆ กัน

 

 

อีกตัวอย่างในด้านการบุกรุกพื้นที่ป่า จากสถิติพบว่า ป่าน่านหายไปปีละ 50,000 ไร่ และ 5 ปีหลังสุดมีอัตราการสูญเสียป่าเร็วขึ้นปีละ 1-1.5 แสนไร่ เนื่องจากเกษตรกรไม่มีที่ดินทำกินจึงบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตัดไม้ ถางป่า เพื่อปลูกข้าวโพด บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งลงพื้นที่สำรวจป่าที่เป็นแหล่งต้นน้ำ มองเรื่องนี้ว่า การคืนผืนป่าโดยการปลูกป่า ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่การปลูกป่า แต่อยู่ที่ไม่มีผืนป่าคืนมาให้ปลูกเนื่องจากป่าถูกถางเตียนไปแล้วอย่างน้อย 25% ทางแก้คือต้องหาพืชหรือหาวิชาชีพอื่นให้ชาวบ้านมีกินมีใช้ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็จะลดการบุกรุกพื้นที่ป่า ทั้งป่า สัตว์ป่า และชาวบ้านก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

 

เผยแพร่    นิตยสาร MBA ฉบับครบรอบ เดือนมีนาคม 2016

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ 

 

จุดพลิกผัน: เกิดเมืองแห่งแรก เป็นเมืองขนาดที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า 50,000 คน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีไฟจราจร

ภายในปี 2025:  64 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจที่คาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น 

  

เมืองหลายแห่งจะเชื่อมต่อบริการ สาธารณูปโภค และถนนเข้ากับอินเทอร์เน็ต เมืองอัจฉริยะดังกล่าวจะบริหารจัดการพลังงาน การไหลเวียนของวัตถุดิบ ระบบโลจิสติกส์ และการจราจรของตน เมืองหัวก้าวหน้าอย่างเช่น สิงคโปร์และบาร์เซโลนา ต่างก็เปิดให้บริการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแบบใหม่หลายอย่างแล้ว เช่น โซลูชั่นหรือการใช้ซอฟต์แวร์ควบคุมทีจอดรถอัจฉริยะ การเก็บขยะอัจฉริยะ และระบบแสงสว่างอัจฉริยะ เป็นต้น เมืองอัจฉริยะยังคงขยายเครือข่ายเทคโนโลยีเซนเซอร์และทำการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลของตนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแกนหลักสำหรับการเชื่อมต่อโครงการเทคโนโลยีต่างๆ และการเพิ่มบริการในอนาคต บนฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลและโมเดลเชิงพยากรณ์ทั้งหลาย

 

ผลกระทบเชิงบวก

- การใช้ทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

- ผลิตภาพเพิ่มขึ้น

- ความหนาแน่นมากขึ้น

- เพิ่มคุณภาพชีวิต

- ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม

- เพิ่มช่องทางเข้าถึงทรัพยากรแก่ประชาชนทั่วไป

- ต้นทุนของการให้บริการลดลง

- การใช้ประโยชน์และสภาพของทรัพยากรมีความโปร่งใสมากขึ้น

- อาชญากรรมลดลง

- มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายมากขึ้น

- การผลิตและการบริโภคพลังงานแบบกระจายอำนาจและเป็นมิตรต่อสภาพอากาศ

- การกระจายการผลิตสินค้า

- ความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น (ตามผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ) 

- มลภาวะลดลง (อากาศ เสียง) 

- การเข้าถึงการศึกษามากขึ้น

- ความสามารถในการเข้าถึงตลาดเร็วขึ้น

- มีการจ้างงานมากขึ้น

- รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่ฉลาดขึ้น

 

ผลกระทบเชิงลบ

- การสอดส่องความเป็นส่วนตัว

- ความเสี่ยงต่อการล่มสลายฉับพลัน (ทุกอย่างดับสนิท) ถ้าระบบพลังงานล้มเหลว

- มีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีบนโลกไซเบอร์

 

ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง

- ผลกระทบต่อวัฒนธรรมและอารมณ์ความรู้สึกของเมือง

- การเปลี่ยนแปลงจริตของคนในเมือง

 

การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์

จากรายงานที่ตีพิมพ์ใน The Future Internet บอกว่า : “เมืองซานตันเดร์ (Santander) ในสเปนทางตอนเหนือมีเซนเซอร์เชื่อมต่ออาคาร โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง เครือข่าย และสาธารณูปโภคต่างๆ ถึง 20,000 ตัว เมืองแห่งนี้มีพื้นที่สำหรับการทดลองและตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างๆ เช่น วิธีการปฏิสัมพันธ์ และการบริหารจัดการ (Interaction and Management Protocols) เทคโนโลยีของอุปกรณ์ (Devices Technologies) และบริการสนับสนุน เช่น การค้นหา การจัดการตัวตนหรืออัตลักษณ์ และความปลอดภัย” 

ที่มา: “Smart Cities and the Future Internet: Towards Cooperation Frameworks for Open Innovation,” H. Schaffers, N. Komminos, M. Pallot, B. Trousse, M. Nilsson and A. Oliveira, The Future Internet, J. Domingue et al., (eds) , LNCS 6656, 2011, pp. 431-446,  HYPERLINK “http://link.springer.com/chapter/10.1007%2F978-3-642-20898-0_31” http://link.springer.com/chapter/10.1007 2F978-3-642-20898-0_31

 

เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา 

จุดพลิกผัน:  มีความคับคั่งของจราจรทางอินเทอร์เน็ตที่เข้าถึงบ้านเรือนผู้คน ที่เป็นการเชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ในบ้านเรือนเหล่านั้น (ที่ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความบันเทิงหรือการสื่อสาร) ถึงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ (ของปริมาณจราจรทางอินเทอร์เน็ตที่เข้าสู่บ้านเรือนทั้งหมด) 

ภายในปี 2025:  70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น

  

ในศตวรรษที่ 20 พลังงานที่แจกจ่ายสู่บ้านเรือนส่วนใหญ่ เป็นการนำไปเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลโดยตรง (แสงสว่าง) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปริมาณของพลังงานที่ใช้เพื่อการดังกล่าวและความต้องการอื่นๆ ถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องล้างจาน โทรทัศน์ และเครื่องปรับอากาศ อินเทอร์เน็ตก็กำลังเป็นไปในทางเดียวกันคือ การจราจรทางอินเทอร์เน็ตที่เข้าสู่บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล เพื่อการสื่อสารหรือความบันเทิง นอกจากนั้นยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระบบการทำงานอัตโนมัติภายในครัวเรือนด้วย ทำให้คนสามารถควบคุมแสงสว่าง ร่มเงา การระบายอากาศ การปรับอากาศ เสียงและภาพ ระบบความปลอดภัย และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการสนับสนุนเพิ่มเติมอื่น ด้วยหุ่นยนต์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อให้บริการสารพัดอย่าง เช่น การดูดฝุ่น เป็นต้น

 

ผลกระทบเชิงบวก

- มีการใช้ทรัพยากรอย่างทรงประสิทธิภาพมากขึ้น (มีการใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายน้อยลง) 

- ความสะดวกสบาย

- ความปลอดภัย/ ความมั่นคงและการตรวจจับการบุกรุก

- ควบคุมการเข้าถึง

- Home sharing (การแชร์คอนเทนต์แบบไร้สายระหว่างคอมพิวเตอร์ กับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น สมาร์ตโฟน แทบเล็ต ทีวี ภายในบ้าน) 

- ความสามารถในการใช้ชีวิตอิสระ (คนหนุ่มสาว/ผู้สูงอายุ คนพิการ) 

- การโฆษณาตรงเป้าหมายมากขึ้นและมีผลต่อธุรกิจโดยรวม

- ต้นทุนของระบบการดูแลสุขภาพลดลง (การนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเยี่ยมคนไข้ของแพทย์ การติดตามดูกระบวนการรับยาลดลง) 

- การติดตามดู (แบบเรียลไทม์) และการบันทึกวิดีโอ

- การเตือน การแจ้งและการร้องขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน

- การควบคุมระบบภายในบ้านจากระยะไกล (เช่น การปิดหัวแก๊ส เป็นต้น) 

ผลกระทบเชิงลบ

- ความเป็นส่วนตัว

- การติดตามดูพฤติกรรม

- การโจมตี อาชญากรรม ความเสี่ยงบนโลกไซเบอร์

 

ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง

- ผลกระทบต่อแรงงาน

- การเปลี่ยนแปลงสถานที่สั่งการ (งานบ้านส่วนใหญ่จะทำจากภายนอกบ้าน) 

- ความเป็นส่วนตัว ความเป็นเจ้าของข้อมูล

 

การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์

ตัวอย่างหนึ่งของพัฒนาการนี้ต่อการใช้งานในครัวเรือนตามที่ CNET.com ได้อ้างถึงคือ :

“Nest ผู้ผลิตเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าและเครื่องตรวจจับควันแบบเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ประกาศ (เมื่อปี 2014) แผนการนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชื่อ “Works with Nest” ซึ่งช่วยให้แน่ใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่างๆ จะสามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของบริษัท ตัวอย่างเช่น การเป็นหุ้นส่วนกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ หมายความว่ารถยนต์ของคุณสามารถบอก Nest ให้เพิ่มความร้อนที่บ้าน เพื่อที่ว่าเมื่อคุณไปถึงบ้านแล้วอากาศจะได้อุ่นสบายพอดี ถึงที่สุดแล้วฮับที่เหมือนกับของ Nest จะช่วยให้บ้านตรวจจับสิ่งที่คุณต้องการ ปรับเปลี่ยนทุกอย่างได้โดยอัตโนมัติ ตัวอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เอง ก็น่าที่จะหายไปจากบ้านเรือน โดยทำหน้าที่เพียงแค่เป็นเซนเซอร์และอุปกรณ์ซึ่งถูกควบคุมจากฮับฮับเดียวเท่านั้น 

 

ที่มา: “Rosie or Jarvis: The Future of the smart home is still in the air,” Richard Nieva, January 14, 2015, CNET.com,  HYPERLINK “http://www.cnet.com/news/rosie-or-jarvis-the-future-of-the-smart-home-is-still-in-the-air/” http://www.cnet.com/news/rosie-or-jarvis-the-future-of-the-smart-home-is-still-in-the-air/

เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา 

มนุษย์เรามีความผูกพันกับท้องทะเลและมหาสมุทรมาเป็นเวลายาวนาน จนกล่าวได้ว่ามหาสมุทรหรือพื้นน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลบนโลกนี้เองที่ได้ขับเคลื่อนระบบต่างๆ ให้กับทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ผ่านความเชื่อมโยงกันทั้งในด้านอุณหภูมิ องค์ประกอบทางเคมี กระแสน้ำตลอดจนการดำรงชีวิต

X

Right Click

No right click