รองศาสตราจารย์ ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า (NIDA) กล่าวถึงความสำคัญของการเรียน MBA ในการบรรยายพิเศษ เรื่อง MBA in "Smart" Era ในงาน Thailand MBA Forum 2018 ภายใต้แนวคิด The Next Chapter of Tech & Management เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ณ โรงละครเคแบงก์ สยามพิฆเนศ ชั้น 8 สยามสแควร์วัน
รศ.ดร.ประดิษฐ์ กล่าวถึงการเรียนหลักสูตร MBA ในยุคที่คลื่นของเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง 5G และเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ในอนาคต กำลังจะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม และรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าในช่วงเวลาที่ธุรกิจต้องเผชิญกับการแข่งขันทางการตลาด หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้ MBA ก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นตามลำดับ สำหรับธุรกิจในยุค 5G ก็เช่นกัน
การดำเนินธุรกิจในรุ่นพ่อรุ่นแม่เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นเรื่องง่าย เพราะเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นในที่หนึ่งกว่าเรื่องราวนั้นที่จะสะท้อนมาถึงเราหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็จะใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่วันนี้หากเกิดอะไรขึ้นที่ใดก็ตามของโลกเช่น เกิดภาวะตลาดหุ้นที่นิวยอร์กล่ม เพียงไม่กี่วินาทีข่าวนี้ก็รู้มาถึงตลาดหุ้นไทย นอกจากเรื่องของการสื่อสารแล้ว การทำธุรกรรมทางการค้า การซื้อขายสินค้าในวันนี้ ก็เริ่มมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ดังจะเห็นจากการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ห้างสรรพสินค้าใดยังไม่ปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ตลาดออนไลน์ก็อาจจะอยู่ไม่รอด
ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยูนิลิเวอร์ ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่า จะไม่มีองค์กรใดอยู่รอดได้เลยในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยี IT ซึ่ง รศ.ดร.ประดิษฐ์ มองว่ามาถึง ณ วันนี้คงไม่ต้องรอให้ถึง 10 ปี เพราะภายในระยะเวลา 5 ปีนี้หากองค์กรไหนก็ตามที่ไม่สามารถดึงเอาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ IT เข้ามาใช้ได้องค์กรนั้นจะอยู่ไม่ได้เลย
“อยากให้สังเกตพฤติกรรมของคนที่ไปเดินห้างสรรพสินค้าในทุกวันนี้ แล้วลองตั้งคำถามกันดูว่า คนไปทำอะไรกันบ้างในห้างสรรพสินค้า สำหรับผมสิ่งที่เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ คือ คนมาเดินห้างส่วนใหญ่ไม่ได้มาห้างสรรพสินค้าด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการเข้ามาเลือกซื้อสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันเหมือนดังเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว เราจะพบว่าคนมาห้างสรรพสินค้าด้วยเหตุผลอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น อาทิ หลบร้อน พักเหนื่อยจากการเดินทาง รับ-ประทานอาหาร นัดเพื่อน เลี้ยงสังสรรค์ คุยธุรกิจ เดินดูสินค้าแบบที่ตนเองอยากได้ ไปเช็กราคา ไปทดสอบการใช้งาน ไปดูของจริง แล้วกลับบ้านไปซื้อผ่านออนไลน์เพราะราคาต่ำกว่า ดังนั้นนอกจากห้างต้องปรับตัวแล้ว ธุรกิจที่พึ่งพิงการขายสินค้าผ่านห้างสรรพสินค้าเองก็ยิ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองและหากก้าวไปถึงยุค 5G เราก็สามารถทำทุกอย่างได้หลาก-หลายมากขึ้นซึ่งวันนี้หลายสิ่งหลายอย่างก็ได้เกิดขึ้นแล้ว” รศ.ดร.ประดิษฐ์ ยกตัวอย่าง พร้อมกล่าวถึงการเรียนและรูปแบบของหลักสูตร MBA ในยุค 5G ว่า
ความรู้และทักษะหลักๆ ของหลักสูตร MBA ที่ออกแบบและสอนกันมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันทั้งในส่วนที่เป็น วิชาพื้นฐาน (Foundation Courses) ที่ประกอบด้วยวิชาทักษะพื้นฐานได้แก่ เรื่องของตัวเลข (Business Statistic) ระบบฐานข้อมูล (MIS: Management Information System) เศรษฐศาสตร์ (Economic) การจัดการ (Management) กฎหมายธุรกิจ (Business Law) และวิชาแกนหลักของการเรียนบริหารธุรกิจ (Core Courses) ที่คนเรียน MBA ทั่วโลกต้องเรียน 5 วิชาได้แก่ การตลาด (Marketing) บัญชี (Accounting) การเงิน (Finance) การปฏิบัติการ (Operations Management) การจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) และรวมถึงประมวลองค์ความรู้ MBA (Capstone Course) อย่างวิชาการจัดการกลยุทธ์ (Strategic Management) ทั้งหมดนี้ยังคงมีความจำเป็นต้องเรียนรู้กันอยู่เพราะวิชาเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะและความรู้ไปบริหารธุรกิจ แต่รูปแบบการเรียน MBA ในยุค 5G ก็จะมีบริบทบางแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้
รูปแบบการเรียนการสอน MBA ในประเทศไทยต่อไป จะต้องถูกปรับเปลี่ยนตามเทคโนโลยีที่เข้ามา นักศึกษาแทบจะไม่ต้องเข้าห้องเรียนเพราะสามารถหาความรู้ที่อยู่รอบตัวได้ตลอดเวลาจากอินเทอร์เน็ต หรือ E-Learning หรือโปรแกรมพิเศษต่างๆ ที่สามารถนั่งศึกษาจากที่ไหนของโลกก็ได้
ในอนาคตการเรียนการสอนจะเป็นระบบการเรียนการสอนที่ดึงเอาเทคโนโลยีทุกส่วนเข้ามาใช้ในการมีการประยุกต์นำเอาองค์ความรู้ในแขนงต่างๆ เข้ากับเทคโนโลยี ฐานข้อมูลความรู้ต่างๆ จะมีความเป็น Interactive ที่มากขึ้น จะมีการนำเอาเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยในการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนของแต่ละวิชามากขึ้น เช่น
การเรียนการตลาดจะไม่มีการมาเรียนแบบ Traditional Marketing หรือการเรียนแบบในอดีต ที่มาศึกษาเพียงแค่ว่าพฤติกรรมหรือปัจจัยอะไรที่มีผลต่อการที่จะซื้อของหรือไม่ซื้อของลูกค้าอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกวันนี้ด้วยระบบ AI นั้นสามารถจะช่วยวิเคราะห์และหาคำตอบให้ได้หมดแล้วว่า ทำไมพฤติกรรมคนจึงเป็นแบบนี้ และการที่คนแสดงพฤติกรรมการซื้อของแต่ละอย่างนั้นมันสะท้อนถึงอะไร และสิ่งที่เขาจะต้องซื้อต่อไปคืออะไร
ดังนั้นมหาวิทยาลัยไหนก็ตามที่สอน MBA หากสอนแบบเดิมจะไม่สามารถสร้างคนที่มีความรู้เข้าไปต่อสู้ในโลกความจริงในอนาคตได้เลย
รศ.ดร.ประดิษฐ์ กล่าวถึง MBA ของนิด้าว่า “นิด้าเราก็ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้ (เทคโนโลยี) จะมาเร็วกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำเมื่อสองปีที่แล้วเรายังคิดว่าภายในอีก 5-10 ปี ถึงเวลานั้นเราคงต้องปรับปรุงระบบของการเรียนการสอน แต่มาถึงวันนี้ไม่ใช่แล้ว ผมให้อีกแค่ 3 ปี ถ้าหากเราไม่สามารถดึงพวกนี้มาใช้ได้ก็คงจะล้าหลังไปมาก ตอนนี้เราลงทุนงบประมาณไปกว่า 30 ล้านเพื่อที่จะสร้างห้องปฏิบัติการหรือห้อง LAB ขึ้นมาเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนบริหารธุรกิจ การเรียนการสอนในอนาคตจะต้องเป็นระบบการเรียนการสอนที่ดึงเอาเทคโนโลยีทุกส่วนเข้ามาใช้ใน การที่เราจะประยุกต์ความรู้ของเราให้มันเห็นจริงจะใช้ระบบ Interactive ที่มากขึ้น ใช้ AI ให้มากขึ้น”
ในประเทศไทยปัจจุบันมีการเปิดสอนหลักสูตร MBA ราว 160 สถาบันการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งในยุค 5G ที่จะมาถึงนี้ อาจจะเหลือหลักสูตร MBA ที่เปิดสอนได้อย่างมีคุณภาพ ไม่ถึง 10 แห่ง ทั้งนี้ความหมายของหลักสูตร MBA ที่มีคุณภาพในมุมมองของ รศ.ดร.ประดิษฐ์ คือเป็นหลักสูตรที่ต้องสามารถดึงเอาความรู้และประโยชน์จากเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งการจัดการการเรียนการสอนและเนื้อหาหลักสูตรที่สอน ครูอาจารย์ที่สอนในแต่ละวิชานอกจากจะมีความรู้ในทักษะเฉพาะด้านแล้วยังต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยีและสามารถประยุกต์ได้ว่าเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทหรือสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือหรือใช้ประโยชน์ในวิชานั้นๆ ได้อย่างไร นอกจากนี้ ตัวของนักศึกษาเองก็จะต้องรู้จักใช้เครื่องมือในการเรียนด้วย และที่สำคัญในแง่ของตัวมหาวิทยาลัยเองจะต้องมีความร่วมมือกับนานาชาติ มีความร่วมมือหรือเครือข่ายที่จะสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ
รศ.ดร.ประดิษฐ์ ยังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีที่จะพิจารณาเลือกสถาบันการศึกษา MBA ที่มีคุณภาพว่า หลักสูตร MBA ที่มีคุณภาพจะต้องมีครบ 5 องค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. พิจารณาจากตัวคณาจารย์ผู้สอนในหลักสูตรว่ามีความรู้ทางวิชาการ คือเป็นอาจารย์ระดับปริญญาเอกมากน้อยเพียงใด มีประสบการณ์ในสายวิชาชีพที่สอนอย่างไร เป็นสมาชิกชมรมหรือการวิชาชีพในสายที่สอนหรือไม่ รวมทั้งการเป็นที่ปรึกษาหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน เพราะการเรียน MBA ไม่ได้เป็นการเรียนแค่ทฤษฎี แต่การปฏิบัติหรือแนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้ก็สำคัญไม่แพ้กัน
2. การออกแบบหลักสูตรของแต่ละสถาบัน บางแห่งเน้นทฤษฎี บางแห่งเน้นปฏิบัติ บางแห่งเน้นผสมผสานในสัดส่วนเท่าๆ กัน ต้องดูความตามความเหมาะสมของกลุ่มผู้เรียน เช่น ผู้ที่เพิ่งจบปริญญาตรีมา ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนก็ควรเลือกเรียน MBA หลักสูตรที่เน้นทฤษฎี แต่ถ้าเคยผ่านประสบการณ์ทำงานมานานแล้ว อยากเรียน MBA เพื่อหาประสบการณ์เพิ่มก็อยากแนะนำให้เรียนหลักสูตรที่เน้นเรื่องการปฏิบัติ
3. กระบวนการรับนักศึกษา ว่าอัตราส่วนที่รับกับการสมัครเป็นอย่างไร ถ้าผู้สมัครจำนวนมากและจำนวนรับน้อยก็แสดงถึงโอกาสในการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ดี
4. ดูจากศิษย์เก่า ศิษย์เก่าที่ออกไปสร้างชื่อเสียงในองค์กรธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกคือส่วนหนึ่งที่เข้ามารับรองถึงคุณภาพของหลักสูตร
5. Accreditation การรับรองมาตรฐานที่เป็นสากล
สามารถรับชมคลิปวิดีโอ หัวข้อ MBA in “Smart” Era โดย รศ.ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) จากงาน Thailand MBA Forum 2018 ได้ที่นี่