×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 802

คีย์เวิร์ดสำคัญของยุคสมัยในช่วงเวลานี้คงหนีไม่พ้นคำว่า ‘ดิสรัปชั่น’ คำสำคัญที่สืบเนื่องจากพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และสร้างความท้าทายต่อการตัดตอนความสำเร็จของอดีตที่เคยมีมา

หากพูดถึง AACSB International เชื่อว่า Business School ทั่วโลกต่างก็รู้จัก และมีจุดมุ่งหมายตรงกันที่จะได้ชื่อว่า ผ่านการรับรองมาตรฐานของ AACSB กันแทบทั้งสิ้น วันนี้เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกับ 1 ใน 2 Business School ในประเทศไทยที่ได้รับตรา AACSB มาครอบครองอย่าง NIDA Business School หรือคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จึงไม่ขอพลาดที่จะอัปเดต Goal ต่อไปของ Business School ชั้นนำของประเทศแห่งนี้กัน

Time to go Online

ผศ.ดร.วิพุธ อ่องสกุล คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เริ่มต้นกล่าวถึง ทิศทางในการพัฒนา Business School แห่งนี้ว่า

ขณะนี้การศึกษาทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับเทรนด์การศึกษาออนไลน์ซึ่งกำลังมาแรง แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของสังคมไทยโดยรวม เราอาจจะยังไม่พร้อมกับการศึกษาออนไลน์ แต่หากพิจารณาในบริบทของคนรุ่นใหม่ยุคนี้ ต้องยอมรับว่าพวกเขาคุ้นเคยกับสื่อออนไลน์กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อออนไลน์ อ่าน E - Book หรือฟังเพลง ดูคลิปผ่าน YouTube ไปจนถึงการสื่อสารกันในกลุ่มเพื่อน คนในครอบครัวผ่าน Social Media ทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น การเรียนผ่านสื่อออนไลน์ก็จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป 

ด้วยเหตุนี้ NIDA Business School จึงตกลงใจที่จะเดินหน้าเต็มที่กับการบุกเบิกและวางมาตรฐานการศึกษาออนไลน์ในประเทศไทย โดยได้จัดทำหลักสูตร International MBA เป็น ASEAN Perspective ในรูปแบบของ Double Degree โดยร่วมมือกับ Kelley School of Business Indiana University สถาบันที่เป็นต้นแบบและได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในด้านการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ โดยผู้เรียนหลักสูตรนี้จะได้รับปริญญา Master of Science in Specific Area อย่าง Marketing หรือ Finance จากทาง Kelly School และรับปริญญาในหลักสูตร MBA จากทางนิด้า ซึ่งหลักสูตรนี้คาดว่าจะเปิดรับสมัครนักศึกษาเป็นรุ่นแรกในปีการศึกษาหน้าเป็นรุ่นแรก

นอกจากนั้น ดร.วิพุธ ยังเปิดเผยถึงแนวทางการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนเพิ่มเติม ด้วยการนำแนวทาง Competency Development มาใช้เพื่อดึงศักยภาพแท้จริงของผู้เรียนออกมาและส่งเสริมให้ตรงจุด คู่ขนานไปกับการเรียนด้วย เพราะทางคณะต้องการให้ผู้เรียนได้รับทั้งความรู้ และทักษะในการพัฒนาศักยภาพที่โดดเด่นของตนเองให้เป็นประโยชน์ในหน้าที่การงานของตน และเป็นประโยชน์กับองค์กรและประเทศชาติด้วย โดย ดร.วิพุธ สรุปว่า ตอนนี้ Business School ของนิด้ามีภารกิจบริหารจัดการรถไฟ 3 ขบวน 3 Tracks ขบวนแรก เป็นการรักษาคุณภาพการเรียนการสอนในหลักสูตรปกติที่นิด้าไว้ ขบวนที่ 2 เป็นภาคส่วนของ Extra Curriculum ซึ่งก็คืองานด้าน Competency Development ที่ได้เซ็ทธีมไว้ ซึ่งจะมี HR Expert เข้ามามีส่วนร่วมในการบ่มเพาะ ปลูกฝัง ให้คำแนะนำนักศึกษาตั้งแต่วันแรกของการเรียน และขบวนที่ 3 ก็คือ Track Online ที่ผู้เรียนสามารถเรียนคู่ขนาน ทั้งที่นิด้า และเรียนออนไลน์ จนกระทั่งได้ดีกรีจาก 2 สถาบันชั้นนำในระดับประเทศและระดับโลกไปพร้อมกัน

Build Strong Internship Program

Internship หรือการฝึกงาน นับเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่ NIDA Business School ให้ความสำคัญ ดร.วิพุธ ได้กล่าวถึงนโยบายขยายโอกาสทางการศึกษาและขานรับกระแส ASEAN ร่วมกับการเสริมสร้างระบบ Internship ให้เข้มแข็งเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์สูงสุดว่า ตอนนี้ทางคณะฯ ได้เริ่มไป Recruit นักศึกษาชาวเมียนมาร์ โดยเสนอว่าจะมอบทุนการศึกษาให้ ซึ่งโปรเจคนี้คาดว่าจะขยายไปในประเทศ CLMV ทั้งหมดอย่างครอบคลุมได้ในเวลาไม่นาน

โดยทุนการศึกษาที่ทางคณะฯ มอบให้ คณบดีท่านนี้เชื่อว่าจะดึงดูดใจผู้รับทุนได้แน่นอน เพราะนอกจากนักศึกษาชาวเมียนมาร์จะได้เรียนฟรีแล้ว สิ่งที่จะมอบให้เพิ่มเติม คือ การมอบโอกาสให้เขาได้เรียนในภาคพิเศษ ส่วนในวันจันทร์-วันศุกร์ ก็จะให้เขาได้มีโอกาสไปฝึกงาน กับบริษัทที่มีแนวโน้มว่าจะขยายธุรกิจไปในเมียนมาร์ และเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ของเมียนมาร์ที่คาดว่าจะเปิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 ด้วย ซึ่งเท่ากับ 2 ปี ที่นักศึกษาชาวเมียนมาร์มาศึกษาที่นิด้า เขาจะได้รับทั้งปริญญา MBA จากนิด้า และมีโอกาสไปฝึกงาน ได้เรียนรู้ระบบงาน ซึ่งเมื่อมาบวกกับความได้เปรียบที่เขามี Local Knowledge ด้วยแล้ว เมื่อบริษัทที่เขาไปฝึกงานจะไปเปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์ที่พม่า บริษัทก็จะได้บุคลากรคุณภาพซึ่งเป็นคนท้องถิ่นไปด้วย ดร.วิพุธ จึงมั่นใจว่าการให้ทุนการศึกษาในรูปแบบนี้จะช่วยส่งเสริมทั้งขีดความสามารถในการขยายความร่วมมือและการพัฒนานักศึกษาของนิด้า และยังสอดคล้องกับการที่ประเทศของเราจะก้าวเข้าสู่ AEC ในปี พ.ศ. 2558 อีกด้วย

เสริมศักยภาพเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง

ตอนนี้ NIDA Business School ยังได้จัดตั้ง ศูนย์เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ขึ้น โดยการก่อตั้งศูนย์เป็นความร่วมมือกันระหว่าง Institute for Strategy and Competitiveness ของ ไมเคิล อี พอร์เตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ Harvard Business School โดยพันธกิจหลักของศูนย์ฯ เรา คือการมีบทบาทช่วยส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทย โดยล่าสุด เราได้จัดพิมพ์ Thailand in Doing Business 2014 ขึ้น ซึ่งเป็นการนำเสนอหลักเกณฑ์ในการทำธุรกิจในด้านความยาก ความง่าย ของการทำธุรกิจทุกสาขา โดยต้นตำรับเป็นของ World Bank ที่ทำ Review ในทำนองนี้ขึ้นมาทุกปี โดยทาง NIDA Business School คาดหวังว่าจะให้ Booklet เล่มนี้จะช่วยเผยแพร่ความรู้และให้เคล็ดลับตลอดจนแนวทางในการทำธุรกิจ ทั้งสำหรับ SMEs และผู้ที่อยากเริ่ม Start Up ธุรกิจใหม่ๆ ด้วย


เรื่อง : กองบรรณาธิการ

29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การศึกษาด้านบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะในระดับ MBA มีผู้บริหารองค์กรในทุกระดับ เข้ารับการศึกษา

ระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เรียนรู้ผ่านครู ตำรากับห้องเรียนถูกสร้างขึ้นมาเมื่อกว่า 500 ปีและยังคงเป็นรูปแบบหลักเพราะเป้าหมายคือการเพิ่มคุณวุฒิให้กับผู้เรียนด้วยการถ่ายทอดข้อมูลต่อๆ ไปจากผู้สอนสู่ผู้เรียนจากรุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนเราไปแล้วว่า การที่จะสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาด้านใด

ก็เป็นเพราะบุคคลนั้นได้เรียนผ่านวิชาแกน วิชาบังคับ หรือวิชาเลือกอะไรมาบ้างตามหลักสูตรที่กำหนดตายตัวไว้ล่วงหน้าแล้วสถาบันใดไม่สามารถทำให้ผู้ควบคุมคุณภาพการศึกษารับรองโครงสร้างและเนื้อหาหลักสูตรอย่างที่ว่าได้ก็จะถือว่า ไม่ได้มาตรฐาน พิจารณาโดยผิวเผิน ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จที่ลงตัวทางการศึกษา

อย่างไรก็ตาม หลักสูตรที่แม้จะได้การรับรองจากหน่วยงานของรัฐแล้ว ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้บัณฑิตเสมอว่าบัณฑิตที่ผ่านหลักสูตรต่างๆ จำนวนมากไม่มีความรู้ความสามารถและทักษะตามที่ผู้ทรงศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาบัตรนั้นๆ พึงจะมี ปริญญาจึงเป็นเพียงจุด เริ่มต้นที่ผู้ได้รับปริญญาต้องใช้เวลาอีก ชั่วชีวิตพิสูจน์ว่าตนเป็นผู้มีการศึกษา แน่แล้ว ฝรั่งจึงเรียกวันรับปริญญาว่า Commencement Day หรือวันแห่งการเริ่มต้น

เสียงเรียกร้องของสังคมมักแบ่งออกเป็น 2 มิติ ได้แก่ ฟากฝั่งตลาดแรงงาน ก็ต้องการบุคลากรที่พร้อมใช้งานได้อย่างมืออาชีพ สามารถทำงานที่ไม่เคยเจอมาก่อน มีความภักดีต่อองค์กร และมีความใส่ใจผูกพันต่อผลประโยชน์ของกิจการ และ มิติในฟากอุปสงค์ของผู้เรียนก็คาดหวังว่าจะมีระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จริง หลากหลายรูปแบบ เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดการเรียนรู้เฉพาะในห้องเรียน (Any Time Anywhere Education) ตลอดจนคาดหวังว่าผลสัมฤทธิ์จากการเข้าศึกษาจะทำให้สามารถไปทำงานที่ตนชอบได้หลากหลาย (Protean Career) อย่างมีสมดุลระหว่างความสำเร็จในอาชีพและความสุขในชีวิต (Balance of Work Life) ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วแห่งศตวรรษที่ 21

เมื่อนำสภาพการจัดการศึกษามาทาบทับกับเสียงเรียกร้อง ก็จะเกิดปรากฏการณ์อันท้าทายกับทุกสถาบัน เพราะการจัดการเรียนการสอนแบบหลักสูตรภายใต้บริบททางสังคมเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของศตวรรษนี้ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาด้านบริหารธุรกิจ ที่ต้องรองรับผลกระทบของเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Disruptive Tech-nology) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษนี้ สถาบันการศึกษาจำนวนไม่น้อยกำลังวิ่งตามกระแสของนวัตกรรมต่างๆ ให้ทัน ด้วยการทำหลักสูตรของตัวเองให้ทันสมัย สร้างจุดขายของหลักสูตรด้วยการเสนอวิชาใหม่ๆ ชื่อแปลกๆ บ้างก็นำเอาเทคโนโลยี Multimedia และ Social Media มาใช้จัดการการศึกษา แต่คำถามคือ การวิ่งตามเทคโนโลยีเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องจริงหรือ? ประการแรก การวิ่งตามกระแสของเทคโนโลยีอุบัติใหม่เป็นกลยุทธ์ที่แพง ในขณะที่สถาบันการศึกษาจำนวนมากอยู่ในสถานะทางการเงินที่จะเพิ่มต้นทุนการผลิตบัณฑิตไม่ได้อีกแล้ว เพราะต้นทุนจมสูงแต่ประชากรที่กำลังเดินเข้าสู่รั้วสถาบันกลับมีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อยๆ ประการที่สอง การสอนให้นักศึกษามีความคล่องแคล่วในเทคโนโลยีล่าสุดของวันนี้เป็นความน่าตื่นเต้นเพียงระยะสั้นเท่านั้นหรือไม่ เพราะไม่ทันที่นักศึกษาคนนั้นๆ จะสำเร็จการศึกษา  เทคโนโลยีที่เคยคุ้นเคยและคล่องแคล่ว ก็อาจพลันล้าสมัยไปเสียแล้ว

ดังนั้น สถาบันการศึกษาจึงควรทำหน้าที่ในระดับการสร้างรากฐานอันจำเป็นที่ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ได้เองในอนาคต บวกกับ การพัฒนาทักษะในฐานะผู้ใช้งานที่จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีได้เสมอ ตัวอย่างเล็กๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยตั้งหลักคิดก็ได้คือ ทำไมเราจึงสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือที่ต้องกดหลายปุ่มมาสู่การใช้จอสัมผัสทั้ง Android และ iOS ได้โดยไม่ยากลำบาก นั่นแสดงว่าที่ผ่านมาเราต้องสะสมทักษะอะไรบางอย่างมาพอสมควรจนสามารถปรับตัวได้ หรือในอีกด้านหนึ่ง ผู้สร้างเทคโนโลยีก็ต้องได้เรียนรู้ทักษะอะไรบางอย่างในโลกเก่า จนสามารถออกแบบเทคโนโลยีใหม่ที่สอดคล้องกับการใช้งาน แก้ปัญหา หรือเพิ่มระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้สมัยใหม่ได้

คำถามคือ จะจัดการศึกษาอย่างไรเพื่อพัฒนารากฐานอันมั่นคงและปีกอันแกร่งกล้า รากฐานที่จะต่อยอดความรู้ไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสังคม และปีกที่สามารถนำพาตนเองและโลกโบยบินไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้อย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บทความนี้กำลังจะอธิบายว่า การศึกษาที่จะสามารถลงลึกได้ถึงการสร้าง Roots and Wings ขนาดนั้นเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้ มีนักการศึกษาได้สร้างกลยุทธ์การสอน (Teaching Strategy) ไว้มากมายนอกเหนือจากการบรรยาย (Lecture) บ้างเกิดในห้องเรียน เช่น การระดมสมอง (Brainstorming) การถกแถลง (Discussion) กรณีศึกษา (Case Study) การเรียนที่เน้นการแก้ปัญหา (Problem-Based) สถานการณ์จำลอง (Simulation) เกม (Game) การสมมุติบทบาท (Role Play) การทำแบบประเมินเพื่อเข้าใจตนเอง (Self-Awareness Test) เป็นต้น บ้างก็เป็นการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติ  เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) สหกิจศึกษา (Cooperative Education) การฝึกงาน (Internship/ Externship) การเรียนผ่านการทำโครงงาน (Project-Based) การเรียนรู้จากการลงมือทำ (Action Learning) การทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Social Work Activity) จนพัฒนามาเป็นการเรียนแบบผสมผสานระหว่างกิจกรรมในกับนอกห้องเรียน เช่น Flipped Classroom ไปถึงการเรียนรู้บนโลกออนไลน์ เป็นต้น ในช่วงกว่าสอง
ทศวรรษที่ผ่านมาเริ่มกล่าวถึงการนำเรื่องสติ (Mindfulness) มาผสมผสานกับการพัฒนาปัญญา เช่น จิตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) การสร้างสรรค์ความรู้ด้วยปัญญาของผู้เรียน (Constructionism) เป็นต้น

กลยุทธ์การเรียนการสอนดังกล่าว มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป เช่นการระดมสมองเป็นกลยุทธ์พัฒนาทักษะการรู้คิดจากหลายมุมมองและการยอมรับความแตกต่างทางความคิดของคนที่เห็นไม่ตรงกับตนเอง แต่ก็มีข้อจำกัดที่ว่าหากโจทย์ปัญหามีคำตอบที่จำกัดโดยตัวมันเอง ก็ไม่เหมาะที่จะใช้วิธีดังกล่าว การบรรยายมีประสิทธิผลมากในการนำเสนอข้อมูลและทฤษฎีใหม่ แต่ก็ไม่สามารถให้หลักประกันได้ว่าผู้เรียนจะสามารถนำทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติได้ ส่วนการเรียนรู้จากการลงมือแก้ปัญหาเป็นทีมก็ทำให้เกิดทักษะการนำทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติ อีกทั้งพัฒนาภาวะผู้นำในตัวผู้เรียนได้ แต่โอกาสที่ผู้เรียนอาจจะไม่ได้พบเจอปัญหาเดิมอีกครั้งในชีวิต จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการถอดความรู้ (Reflection) ที่มีประสิทธิผลซึ่งต้องการครูที่ได้รับการอบรมมาเป็นพิเศษเพื่อมาอำนวยการสอนในลักษณะนี้ หรือการจัดหลักสูตรที่มีสหกิจศึกษาตามนโยบายของรัฐ แม้จะเป็นความพยายามตอบสนองข้อเรียกร้องของนายจ้างโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิต แต่ส่วนมากล้มเหลว เพราะไม่ได้เตรียมความพร้อมในด้านการปฏิบัติตนอย่างมืออาชีพ การบ่มเพาะทัศนคติแห่งวิชาชีพของผู้เรียนก่อนเข้าสู่ช่วงเวลาสหกิจศึกษา หลายหลักสูตรสอนด้วยการบรรยาย (Lecture) เกือบตลอดเวลาแล้วก็ส่งผ่านนักศึกษาเข้าสู่สหกิจศึกษาเลย โดยไปฝากความหวังไว้ว่าสหกิจศึกษาจะทำให้บัณฑิตครบเครื่องไปเอง เป็นต้น

ดังนั้น การจัดการศึกษาที่ดีจึงควรมีการออกแบบกลยุทธ์การสอนแบบ ผสมผสาน โดยยึดเอาจุดเด่น คุณลักษณะ คุณสมบัติ ความรู้และทักษะที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียนเป็นที่ตั้ง

เวทีเพื่อการเรียนรู้ (Platform) คืออะไร
คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำเอาจุดเด่นของกลยุทธ์การสอนทั้งหมดดังกล่าว มาจัดกระบวนการเรียนรู้เสียใหม่ เพื่อทำให้แน่ใจว่าการจัดการศึกษาจะสามารถลงลึกได้ถึงการสร้างรากฐานอันมั่นคงและปีกอันแกร่งกล้าในตัวผู้เรียน โดยเรียกการศึกษาแบบนี้ว่า เวทีเพื่อการเรียนรู้ (Learning Platform) แทนการเรียกว่าหลักสูตร (Program หรือ Curriculum)

คำว่า Platform หมายถึง การจัดการระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นพอที่จะรองรับกลยุทธ์การจัดการการเรียนการสอนที่หลากหลาย โดยที่ไม่ได้ตั้งหลักว่านักศึกษาต้องผ่านการเรียนวิชาอะไรบ้างจึงจะครบหลักสูตร แต่ตั้งเป้าหมายว่าผู้เรียนควรมีความรู้และทักษะอะไรบ้าง จึงจะสามารถประสบความสำเร็จในศตวรรษที่ 21 (The 21st Century Skills) และความรู้กับทักษะเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยกลยุทธ์การสอนแบบใด ถึงจุดนี้ หลายคนโดยเฉพาะนักการศึกษาอาจตั้งคำถามว่า ทุกหลักสูตรก็มีการตั้งเป้าหมายเพื่อศตวรรษที่ 21 กันทั้งสิ้น แล้วเวทีเพื่อการเรียนรู้ที่ว่านี้มีอะไรที่แตกต่าง? ตอบอย่างสั้นที่สุดคือ Platform เป็นการประมวลกลยุทธ์การสอนที่หลากหลายอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความชอบหรือความสามารถส่วนตัวของผู้สอนแบบในระบบหลักสูตร แต่เป็นการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ตลอดกระบวนการเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่นพร้อมที่จะปรับไปสู่กลยุทธ์การสอนใหม่ใดๆ ที่ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่มากขึ้นตามหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏในตัวผู้เรียน ส่วนคำตอบอย่างละเอียด เป็นดังที่จะได้กล่าวต่อไป

ตัวอย่างเวทีเพื่อการเรียนรู้
ประสบการณ์อันยาวนานที่ใช้กลยุทธ์การสอนที่หลากหลายดังกล่าวข้างต้น คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ค้นพบว่าปัจจัยความสำเร็จประการหนึ่งของการใช้กลยุทธ์เหล่านั้นอยู่ที่ผู้เรียนต้องสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (Self-Learning Capability) ไม่ใช่รอการป้อนความรู้จากผู้สอนแบบที่ตนเองอาจคุ้นเคยมาก่อน (โปรดดูภาพโครงสร้าง Learning Platform)

ดังนั้น ขั้นตอนแรกของเวทีเพื่อการเรียนรู้ คณะฯ จึงทุ่มไปที่การใช้กลยุทธ์การสอนที่จะทำให้ผู้เรียนกระหายใคร่รู้อีกทั้งยังถูกฝึกให้แสวงหาความรู้ด้วยตนเองภายใต้การกำกับดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา คณะฯ เลือกใช้การทำ Flipped Classroom กล่าวคือกิจกรรมการเรียนความรู้พื้นฐานถูกนำไปไว้นอกห้องเรียนด้วยการจัดทำบทเรียนความรู้พื้นฐานให้มีลักษณะที่นักศึกษาสามารถศึกษาด้วยตนเองนอกห้องเรียน จากสื่อการสอนที่จัดเตรียมไว้ให้และที่ต้องค้นคว้าตามความสงสัยใคร่รู้ของผู้เรียนเอง โดยอาจารย์มีหน้าที่ติดตามว่าผู้เรียนมีวินัยในการเรียนหรือไม่ มีปัญหาในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้อะไร เรียนได้เร็วหรือช้ากว่ากลุ่มอย่างไร หากมีใครที่เรียนช้าหรือมีปัญหาอาจารย์จะคอยจัดให้เกิดพื้นที่สำหรับเพื่อนสอนเพื่อน พี่สอนน้อง เพราะการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการสอนผู้อื่น นอกจากนี้ ผู้เรียนยังจะได้รู้จักการมีน้ำใจช่วยเหลือกันและกัน อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของส่วนที่สองของเวทีการเรียนรู้ในขั้นแรกนี้ กล่าวคือ การสร้างคุณลักษณะ (Character Building) ซึ่งคือสิ่งที่ถูกนำมาไว้ในห้องเรียนแทนการฟังบรรยายความรู้พื้นฐานเช่นที่เกิดขึ้นในระบบหลักสูตรทั่วไป คุณลักษณะที่ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาในขั้นนี้ ได้แก่ การคิดดีพูดดีมีวินัย การค้นพบเป้าหมายชีวิตและอาชีพในฝันของตนเอง การรู้จักแข่งขันกับตนเอง การทำตนให้ผู้อื่นรัก และการรักผู้อื่นให้เป็น นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาทักษะที่จะแสดงคุณลักษณะของตนเองอย่างสร้างสรรค์ เช่น ทักษะการสื่อสารอย่างมืออาชีพ ความคล่องแคล่วในการใช้เทคโนโลยี ภาวะผู้นำ เป็นต้น กลยุทธ์การสอนพัฒนาคุณลักษณะ ได้แก่ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การแสดงบทบาท การจำลองสถานการณ์ การฝึกใช้เทคโนโลยีในห้องปฏิบัติการ การนำเสนอและถกแถลง ฯลฯ บทบาทของอาจารย์ในเวทีส่วนนี้คือการเป็นครูฝึก (Coaching) การประเมินผลสำหรับด่านแรกของเวทีเพื่อการเรียนรู้ขั้นนี้ ได้แก่ การสอบวัดความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง และการวัดสมรรถภาพทักษะต่างๆ ข้างต้น ส่วนคุณลักษณะนั้นไม่เพียงแต่จะมีการประเมินผลจากการสะท้อนบทเรียน (Reflection) แล้ว ยังมีการติดตามผลทาง Line การทำ Focus Group และการสัมภาษณ์รายบุคคลหลังจากที่ผู้เรียนได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่าสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจนผ่านการสอบวัดความรู้พื้นฐาน พร้อมกับได้รับการปลูกฝังคุณลักษณะอันมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว  เขาก็พร้อมที่จะเข้าสู่ขั้นตอนที่สองของเวทีเพื่อการเรียนรู้ ได้แก่ การพัฒนาความกว้างของฐานความรู้จากสหสาขาวิชา (Breadth of Interdisciplinary) ตลอดจนการเรียนรู้เชิงลึกในวิชาชีพของตน (Depth of Core Discipline) ในขั้นนี้ บทบาทของอาจารย์ส่วนใหญ่จะใช้กลยุทธ์การสอน ด้วยการบรรยาย การวิเคราะห์กรณีศึกษา การค้นคว้าแบบอิสระ และการเรียนแบบ Problem-Based เป็นต้น

ในขั้นตอนที่สาม ผู้เรียนก็พร้อมที่จะเรียนรู้แบบ Action Learning ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านโครงการซึ่งเป็นโจทย์ปัญหาจริงที่สามารถทำสำเร็จได้ภายใน 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน จากประสบการณ์ของคณะฯ สามารถแบ่งโครงการ (Projects) ที่ผู้เรียนต้องผ่านการฝึกฝนออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

• โครงการเพื่อการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม (Team Effectiveness Project) โครงการประเภทนี้จะมีความท้าทายสูง ผู้ร่วมทีมจะมีปัญหาความขัดแย้ง (Conflict) เพราะความยากและแรงกดดันของเวลา แต่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การใช้ประโยชน์จากความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เห็นว่า ความขัดแย้งเป็นบ่อเกิดแห่งการพัฒนา ที่ใดไม่มีความขัดแย้งสิ่งต่างๆ มักจะกลายเป็นวงจรประจำ (Routine) จนยากจะยกระดับได้ ผู้เรียนต้องพยายามทำงานให้ลุล่วงตามกรอบเวลา ก้าวข้ามความขัดแย้งเพื่อการบรรลุเป้าหมายร่วมของทีม

• โครงการเพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ (Analytical Skill Project) เป็นโครงการที่ผู้เรียนถูกกำหนดให้ใช้กรอบแนวคิดเหมือนกันทั้งหมดทุกกลุ่มเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ขององค์กร เช่น โครงการประยุกต์ใช้ QCC เพื่อพัฒนาคุณภาพการดำเนินการในจุดต่างๆ ขององค์กรจริง เป็นต้น โครงการประเภทนี้มุ่งเป้าหมายที่การพัฒนาทักษะการนำทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติ

• โครงการเพื่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation Project) โครงการประเภทนี้อาศัยจุดแข็งของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่มีการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา เป็นจำนวนมาก ผู้เรียนจะต้องนำเทคโนโลยีมาพัฒนาอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปของแผนธุรกิจที่ตอบโจทย์ทั้งมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ เป็นมิตรต่อสิ่ง-แวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคม (Triple Bottom Line) เรียกได้ว่าตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อสังคมไทย 5.0 กล่าวคือเป็นสังคมที่สามารถจัดหาสินค้าและบริการให้กับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ในปริมาณที่สมเหตุผลภายในเวลาที่เหมาะสม (Provide goods and services to the people in need at the appropriate amount within a reasonable time.)

• โครงการเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship Project) ภายใต้โครงการประเภทนี้ ผู้เรียนต้องประกอบธุรกิจจริงและบรรลุเป้าหมายทางการตลาดและการเงินภายในเวลาที่กำหนด โครงการนี้ทำให้ผู้เรียนเห็นกระบวนการพัฒนาธุรกิจจากจุดเริ่มต้นการคิดจนถึงการทำกำไร/ขาดทุนอย่างครบวงจร

บทบาทของอาจารย์ผู้สอนในขั้นที่ 3 ของเวทีเพื่อการเรียนรู้ ได้แก่ เป็นผู้อำนวยการส่งเสริมการเรียนรู้ (Facilitator) ตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดขอบเขตของโครงการร่วมกับผู้บริหารองค์กรเจ้าภาพที่เป็นผู้มอบโจทย์สำหรับทำโครงการ กำหนดตัวบุคลากรขององค์กรเจ้าภาพที่จะร่วมกระบวนเรียนรู้ด้วยการแก้ปัญหาพร้อมกับทีมนักศึกษา จัดหาที่ปรึกษาเพิ่มเติมในกรณีที่โครงการเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อน เป็นต้น นอกจากนี้ อาจารย์ยังต้องเป็นที่ปรึกษาโครงการ (Project Advisor) ให้กับผู้เรียนตลอดโครงการ ซึ่งต้องทำหน้าที่ตั้งแต่การร่วมกับผู้เรียนในการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ กรอบทฤษฎีที่จะนำมาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาของโครงการ ติดตามความก้าวหน้า และประเมินผลการเรียนรู้เนื่องจากเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การเรียนรู้ของผู้เรียน ส่วนการแก้ปัญหาสำเร็จหรือไม่เป็นปัจจัยรอง เพราะแม้อาจแก้ปัญหาในกรอบเวลาไม่สำเร็จก็มิได้หมายความว่าการเรียนรู้ล้มเหลว ดังนั้นการวัดผลของขั้นนี้ ได้แก่การถอดบทเรียนผ่านกระบวนการสะท้อนความคิด (Reflection) 4 ด้าน ดังนี้

• การสะท้อนบทเรียนด้านทฤษฎี (Reflection on Theory vs. Practice) ได้แก่ การถอดบทเรียนว่ากรอบแนวคิด ทฤษฎีที่วางแผนไว้ก่อนลงมือทำสามารถใช้ได้ในการทำงานจริงๆ หรือไม่ เพราะเหตุใด บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการนำทฤษฎีเชิงวิชาการหนึ่งๆ ไปใช้คืออะไร เหตุใดโลกของทฤษฎีกับโลกของความเป็นจริงจึงอาจต่างกัน

• การสะท้อนบทเรียนด้านการแก้ปัญหา (Reflection on Problem Solving) ได้แก่ การถอดบทเรียนว่าผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด การตั้งโจทย์/ คำถามมีผลต่อการแสวงหาคำตอบอย่างไร

• การสะท้อนบทเรียนด้านการทำงานเป็นทีม (Reflection on Team Process) ได้แก่ การถอดบทเรียนเกี่ยวกับที่มาของประสิทธิผลของการทำงานเป็นทีม (Team Effectiveness) การสะท้อนบทเรียนด้านนี้อาจไม่ต้องรอให้จบสิ้นโครงการ แต่สามารถทำได้ทันทีเมื่อทีมประสบปัญหาความขัดแย้ง เพื่อการเรียนรู้ในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน การลดความขัดแย้ง ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งเพื่อการพัฒนา เป็นต้น

• การสะท้อนบทเรียนด้านกระบวนการเรียนรู้ (Reflection on Learning Process) ได้แก่ การถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ (Learning about Learning) ได้แก่การสะท้อนความคิดเห็นจากคำถามที่ว่า หากต้องทำโครงการนี้ใหม่อีกครั้ง มีสิ่งใดจะยังคงทำเหมือนเดิม มีสิ่งใดจะทำ
แตกต่าง เพราะเหตุใด 

เมื่อผู้เรียนผ่านเวทีเพื่อการเรียนรู้ทั้งสามขั้นตอนมาแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายได้แก่การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำงานจริง ได้แก่ การทำสหกิจศึกษา หรือแม้แต่การเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง (Startup) คณาจารย์ต้องเปลี่ยนบทบาทของตนเองอีกครั้งมาเป็นผู้นิเทศงาน และผู้ให้คำปรึกษาหารือ (Counselling) การวัดผลมุ่งที่ความพร้อมในการประกอบวิชาชีพอย่างมืออาชีพ (Professionalism) และความสมดุลที่จะประสบความสำเร็จในการงานและชีวิตส่วนตัว (Work Life Balance)

ปัจฉิมบทสู่การนำแนวคิดเวทีเพื่อการเรียนรู้ไปใช้
สถาบันการศึกษาใดที่เห็นประโยชน์ของการสร้าง Learning Platform ดังที่ยกตัวอย่างของคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาข้างต้นนั้น ไม่จำเป็นต้องลอกเลียนแบบรูปแบบและขั้นตอนที่กล่าวไปเสียทั้งหมด   แต่ควรที่จะออกแบบเวทีสั่งสมประสบการณ์การเรียนรู้ที่สามารถตอบเป้าหมายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสถาบัน โดยหัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ความสมดุลของพื้นที่ที่เป็นเวทีของการเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียน เวทีของการสั่งสมความรู้เชิงวิชาการ กับเวทีของการลงมือปฏิบัติ กระบวนการวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ไม่ใช่เพียงการสอบ และการนำผลลัพธ์มาปรับปรุงกลยุทธ์การสอน อย่างต่อเนื่อง โดยในที่สุดสถาบันอาจจะเรียกเวทีเพื่อการเรียนรู้ของท่านว่า “หลักสูตร” เหมือนเดิมก็ได้ ตราบที่ท่านทำให้แน่ใจได้ว่า ผลสัมฤทธิ์แห่งการเรียนรู้ในตัวผู้เรียนจะเกิดขึ้นได้จริงจากการออกแบบไม่ใช่เพราะความบังเอิญ (By Design Not By Chance)

 

เรื่อง : รศ.ดร.สิริวุฒ  บูรณพิร

          คณบดี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Page 7 of 7
X

Right Click

No right click