รายงาน Quarterly Global Outlook ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ของธนาคารยูโอบี เผย 10 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศในอาเซียนสามารถรับมือความผันผวนของตลาดในอนาคต
ปี 2565 ถูกรุมเร้าด้วยผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 ความขัดแย้งทางทหารระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน การหยุดชะงักของอุปทานในกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราเงินเฟ้อสูงในรอบหลายทศวรรษทั่วโลก การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเฟดและธนาคารกลางอื่นๆ และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ แต่เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถต้านทานความผันผวนของตลาดการเงินในปี 2565ไว้ได้
รายงานของยูโอบี ได้สรุป 10 ปัจจัยสำคัญที่สะท้อนความยืดหยุ่นของประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับความผันผวนของตลาดตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการรับมือกับความผันผวนของตลาดในอนาคตด้วยเช่นกัน
1. เศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 2-3 ของปี 2565 จากการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยมาเลเซียมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในอาเซียนในไตรมาส 3 ปี 2565
2. ผลผลิตของประเทศในอาเซียน (ยกเว้นประเทศไทย) กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิดแล้ว จากอุปสงค์การส่งออกและการเปิดเศรษฐกิจใหม่ที่กระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ
3. การค้าในอาเซียนยังแข็งแกร่ง โดยในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ผู้ส่งออกและภาคการผลิตในอาเซียนเป็นผู้ได้ประโยชน์หลัก แต่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอุปสงค์ทั่วโลกคาดว่าจะอ่อนตัวลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและกิจกรรมทางธุรกิจ
4. การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การยกเลิกข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และการเปิดเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ในอาเซียนอีกครั้งตั้งแต่กลางปี 2565 ทำให้อาเซียนฟื้นตัวเร็วขึ้นจากกระแสนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและตลาดภาคบริการที่ดีดตัวขึ้น ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะเป็นเสาหลักสำหรับเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2566 และเมื่อจีนผ่อนคลายนโยบายปลอดโควิดและเปิดพรมแดนอีกครั้งจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนให้การท่องเที่ยวในอาเซียนฟื้นตัว
5. อัตราเงินเฟ้อในอาเซียนโดยทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วในปี 2565 ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
6. การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน สัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จากอาเซียนโดยเฉพาะเวียดนามเพิ่มขึ้น ในขณะที่การนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีนลดลงหลังจากปี 2559 ซึ่งโดยรวมจะส่งผลดีต่ออาเซียนในฐานะศูนย์กลางการผลิตและการส่งออก
7. จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานส่งผลให้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอาเซียนเพิ่มขึ้น 44% ในปี 2564 ทำสถิติสูงสุดที่ 175.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอาเซียนมี FDI ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐฯ และจีน
8. ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่สะสมเพิ่มขึ้นตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ทำให้มีเกราะป้องกันมากขึ้นจากความผันผวนของตลาดการเงิน
9. ความสามารถในการชำระค่านำเข้าเป็นอีกปัจจัยที่สะท้อนความแข็งแกร่ง โดยประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่มีเงินสำรองเพียงพอสำหรับการชำระค่านำเข้า 3 เดือน
10. ประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่มีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเงินสำรอง
เศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตช้าลงในปี 2566
นายเอ็นริโก้ ทานูวิดฮาฮา นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารยูโอบี สิงคโปร์ เผยว่า “แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นช่วยให้ตลาดอาเซียนสามารถต้านทานความผันผวนของตลาดการเงินในปี 2565 ได้ แต่คาดว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ท้าทายและมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ภาวะการเงินที่ตึงตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ตึงเครียดมากขึ้น และความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงปัจจัยเสริมอื่นๆ เนื่องจากเศรษฐกิจของอาเซียนมุ่งเน้นการส่งออกเป็นหลักตลอดจนเป็นแหล่งรองรับเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก เราจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้”
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงเหล่านี้อาจถูกลดทอนลงบ้างจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมภายในประเทศ การผ่อนคลายข้อจำกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเปิดการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม การเดินทาง ที่พัก และอื่นๆ ภายในประเทศ และเมื่อจีนเปิดพรมแดนอีกครั้งจะช่วยฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม
“โดยรวมแล้วเราคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของ GDP ทั่วโลกจะลดลงในปี 2566 โดยตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และอังกฤษ มีอัตราการเติบโตที่ลดลงทั้งปี ในขณะที่ประเทศเศรษฐกิจหลักในอาเซียน (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และ เวียดนาม) คาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงต่ำกว่า 5% ในปี 2566 จากที่สูงกว่า 6% ในปี 2565” นายเอ็นริโก้ กล่าวปิดท้าย
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดตัว “ยูโอบี พลาซา กรุงเทพ” สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ตอกย้ำความมุ่งมั่นระยะยาวในการให้บริการลูกค้า พนักงาน คู่ค้าทางธุรกิจ และชุมชนในประเทศไทย
สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ ยูโอบี ประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจบนถนนสุขุมวิท โดยเป็นอาคาร 30 ชั้น ที่มีพื้นที่มากกว่า 27,000 ตารางเมตร เป็นสำนักงานที่มีพนักงานประมาณ 2,000 คน นอกจากนี้ยังเป็นอาคารสีเขียวที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยซึ่งช่วยลดผลกระทบโดยรวมต่อสิ่งแวดล้อม ยูโอบี ประเทศไทย เป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองในเครือของกลุ่มธนาคาร ยูโอบี และเป็นธนาคารต่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย โดยมีพนักงานเกือบ 10,000 คนในประเทศ
นาย วี อี เชียง ประธานกรรมการ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และรองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับยูโอบี ตั้งแต่ปี 2542 เราได้ช่วยเหลือเพิ่มความมั่งคั่งกับให้ลูกค้าและช่วยให้องค์กรธุรกิจในประเทศไทยขยายการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”
“วันนี้เรายังเป็นธนาคารเดียวจากสิงคโปร์ที่มีการดำเนินธุรกิจด้านการธนาคารอย่างเต็มรูปแบบในประเทศ การลงทุนใน “ยูโอบี พลาซา กรุงเทพ” ถือเป็นตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อประเทศไทย จากการผสมผสานความเชี่ยวชาญของเราทั้งในระดับภูมิภาคและในตลาดท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของยูโอบี เราพร้อมที่จะสนับสนุนลูกค้าในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระดับภูมิภาค ตลอดจนขยายธุรกิจของพวกเขาในภูมิภาคอาเซียนที่เปี่ยมไปด้วยพลวัตนี้
ภายในงานเปิดสำนักงานแห่งใหม่ของ ยูโอบี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศไทย นายกัน กิมหยง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ และนายเควิน ชุก เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยมีลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจมากกว่า 200 รายเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ
นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้นับเป็นก้าวสำคัญของยูโอบีที่ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาแล้ว 23 ปี และเรากำลังขยายธุรกิจให้เติบโตผ่านการลงทุนต่างๆ ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในประเทศไทยที่เสร็จสมบูรณ์แล้วตามกฎหมายในวันที่ 1 พฤศจิกายน และการเปิดตัว ยูโอบี พลาซา กรุงเทพฯ”
“ในขณะที่เรากำลังวางรากฐานทางธุรกิจใหม่พร้อมๆไปกับการเสริมความแข็งแกร่งของฐานธุรกิจในประเทศไทย ยูโอบี ตอกย้ำจุดยืนของเราในฐานะธนาคารชั้นนำในประเทศไทยที่พร้อมนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่เหมาะกับความต้องการของลูกค้า และด้านความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัลและการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ด้วยความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งของธนาคาร เราพร้อมแล้วที่จะช่วยลูกค้าของเราเชื่อมต่อและขยายโอกาสทางธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน”
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เป็นธนาคารจากสิงคโปร์ที่ดำเนินการด้านการธนาคารเต็มรูปแบบในประเทศไทย นอกเหนือไปจากนั้น นับตั้งแต่ปี 2542 ธนาคารยังได้จัดกิจกรรมเพื่อคืนสู่สังคมมากมาย รวมถึงงานประกวดจิตรกรรมยูโอบี หรือ UOB Painting of the Year เพื่อส่งเสริมศิลปินไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับภูมิภาคมาต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในปีนี้ศิลปินจากประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศ ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ยูโอบีประกาศคำมั่นที่ท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 หรือปีพ.ศ. 2593