October 22, 2024

กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองระดับมหานครหรือ ​Mega City หนึ่งของโลก เป็น Strategic Location ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีความเป็นพลวัต ภายใต้กระแสธารแห่งการเปลี่ยนผ่าน

การเปลี่ยนผ่านที่เห็นได้ชัดอย่างยิ่งคือ การขยายตัวของเมือง (Urbanization) โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย True Digital Group พัฒนาเมกะโปรเจกต์ True Digital Park (TDPK) ทรานสฟอร์มพื้นที่ชานเมืองสู่ “ฮับแห่งสตาร์ตอัพ” กับเป้าหมาย Silicon Valley เมืองไทย

ในโอกาสที่ TDPK ย่างเข้าสู่ปีที่ 6 True Blog ได้มีโอกาสสนทนากับ “ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์” ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงที่รั้งตำแหน่ง General Manager ของ TDPK ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังโครงการ แนวทางการบริหารที่นำมาสู่การพลิกเมือง ตลอดจนวิธีคิด-การใช้ชีวิตในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ประสบการณ์ขยายเลนส์ความคิด

ธาริตเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางชาวไทยเชื้อสายจีน เกิดและอาศัยในย่านทรงวาดของกรุงเทพฯ ที่คลาคล่ำไปด้วยธุรกิจค้าส่ง รวมถึงเคมีภัณฑ์ที่คุณพ่อเขาก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา และนั่นจึงนำมาสู่แรงบันดาลใจของธาริตที่มีความฝันประกอบอาชีพวิศวกรเคมี ตามสมัยนิยมของเด็กยุค 80 ที่มักเห็นพ่อแม่ของตัวเองเป็นไอดอล

ด้วยความเป็นเด็กขยันเรียน ใฝ่รู้ และมุมานะ ธาริตสอบติดและจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และออกไปเก็บประสบการณ์การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ จ.ระยอง เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะได้รับทุนรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Fulbright Scholarship ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอกที่ University of California, Davis ในสาขาวิศวกรรมเคมี ก่อนที่จะไปทำงานด้านวิจัยในฐานะ Postdoctoral Research Fellow ที่ MIT และห้องเแล็บของบริษัทด้านเทคโนโลยีพลังงานระดับโลก Topsoe ที่ประเทศเดนมาร์กรวมเป็นเวลากว่า 2 ปีก่อนเดินทางกลับประเทศไทย

“ผมเป็นคนที่ค่อนข้างมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนตั้งแต่แรก โดยต้องการเรียนให้สูงที่สุด ด้วยความที่เราชอบเรียนหนังสือ และเรียนได้ดี เมื่อมีโอกาส ผมก็ทำมันให้ดีที่สุด ซึ่งนั่นก็คือ นักวิทยาศาสตร์” ธาริต เล่าถึงภูมิหลังในวัยเด็ก

เส้นทางชีวิตของธาริตดูราบรื่น สวยหรู เป็นเส้นตรง และคาดเดาได้ หากไม่กลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็เป็นนักวิจัยในแล็บของหน่วยราชการ แต่ระหว่างทาง เขาได้พบกับ “ทางเลือก” ที่ช่วยขยายเลนส์และทางเดินในอนาคต นั่นคือ การได้รับคัดเลือกเข้าโปรแกรม Bridge to BCG ของ Boston Consulting Group ทำให้เขาได้รู้จักงานที่ปรึกษาอย่างลึกซึ้งและค้นพบศักยภาพในตัวเอง

เมื่อกลับมายังมาตุภูมิ ธาริตเริ่มต้นการทำงานแรกที่ไทยในฐานะ Management Consultant ที่ Roland Berger บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกสัญชาติเยอรมัน โดยโปรเจกต์แรกที่มีส่วนร่วมคือ แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งเขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของ “ปลาคนละน้ำ” จาก “นักวิจัยสู่ที่ปรึกษา” ที่สามารถทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมทีมที่ต่างหิ้วดีกรี MBA มาทั้งนั้น เหนือไปกว่านั้น กรอบคิดแบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Mindset) ที่บ่มเพาะมาจากการคลุกคลีกับกิจการของที่บ้าน กลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างของความเป็นที่ปรึกษาให้เขา เรียกได้ว่า เป็นที่ปรึกษาที่มีทั้ง “บู๊และบุ๋น”

ในห้วงเวลา 2-3 ปีบนสนามที่ปรึกษา ธาริตมีโอกาสร่วมคิด-สร้างในโปรเจกต์ต่างๆ มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ True Digital Park

 

หินก้อนแรก จากแผนบนกระดาษสู่การปฏิบัติจริง

บรีฟแรกที่ได้มาในโจทย์ TDPK คือ การทำให้ TDPK พิชิตเป้าหมายสถานะ “ฮับของสตาร์ทอัพเมืองไทย” เพื่อเติมเต็มอีโคซิสเต็มดิจิทัลของประเทศผ่านโครงสร้างพื้นฐานเชิง Community Hub โดยธาริตและทีมใช้เวลาร่วมปี ทำการค้นคว้าวิจัย ลงสนาม ดูงาน เทียบเคียงกับต่างประเทศ วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จนสำเร็จเป็น Blueprint ที่พร้อมนำไปปรับใช้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแผนบนกระดาษให้เกิดเป็นผลสัมฤทธิ์ จำเป็นต้องมีผู้นำหรือผู้ที่เป็นเรี่ยวแรงในการส่งไม้ต่อ และธาริตก็ได้รับการทาบทามให้ทำหน้าที่นั้น โดยประเดิมในตำแหน่ง Head of Commercial และได้รับโปรโมทเป็น General Manager ในเวลาต่อมา

“เดิมทีเราทำงานเชิงแผนงานเสียมาก แต่พอต้องลงมือทำด้วยตัวเองจริงๆ ก็ท้าทายมากเช่นเดียวกัน ตอนแรกที่เข้ามาช่วงปี 2561 ซึ่งเป็นเฟส Pre-Leasing โจทย์สำคัญคือ การหาลูกค้าศักยภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเทคสตาร์ตอัพ มีเทคทาเลนท์อย่างโปรแกรมเมอร์หรือวิศวกรข้อมูลเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ TDPK เดินหน้าอย่างมีกลยุทธ์และเติบโตตามที่ตั้งเป้าไว้ ด้วยมายด์เซ็ตและการมูฟแบบสตาร์ทอัพของทีมที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ ทำให้ปีแรกของ TDPK มีอัตราเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของเฟสแรกหรือตึก East อยู่ที่ 70% ซึ่งถือว่ารวดเร็วและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดบริเวณ CBD

ฮันนีมูนพีเรียดเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน บททดสอบหน้าใหม่สุดหินทีชื่อว่า “โควิด-19” ก็ได้เข้ามาทักทายผู้บริหารหนุ่มคนนี้เข้าอย่างจัง

“ความไม่แน่นอนเชิงพื้นที่และเวลา” จากวิกฤตโควิด-19 ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น Risk Management ที่ TDPK เทคแอ็คชั่นเป็นลำดับแรก คือ “การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า” เพื่อสร้างความสบายใจท่ามกลางความไม่แน่นอน ทั้งการให้ความช่วยเหลือ การจัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ รวมถึงการปรับพื้นที่เป็นศูนย์ฉีดวัคซีน ซึ่งจากวิกฤตในครั้งนั้น ทำให้ธาริตเห็นโอกาสทางธุรกิจและกรุยทางสู่แหล่งรายได้ใหม่ๆ จนปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ถึง 6 กลุ่ม ได้แก่

  1. Office and retail space leasing
  2. Co-working space membership
  3. Event space rental and organizing service
  4. Workspace design and project management
  5. White-label incubation and training service
  6. Ecosystem tour

โดยยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้สอดรับกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ อีกมากมาย

มากกว่าพื้นที่ แต่คือประสบการณ์

ธาริต เล่าว่า TDPK เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของทรู ที่ต้องการสร้างความแตกต่างในตลาดโทรคมนาคมให้กับแบรนด์ทรู ซึ่งสะท้อนบทบาทความเป็น ”ผู้นำแห่งอนาคต” ด้วยการเดินหน้าเปลี่ยนผ่านดิจิทัลสู่ Telco Tech Company  ด้วยเหตุนี้ ทรูจึงต้องเท่าทันและเข้าใจกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และสภาวการณ์ของโลกให้มากขึ้น ทั้งยังต้องใกล้ชิดกับคู่ค้าและคู่แข่งมากขึ้น

นอกจากนี้ TDPK ยังได้ทำหน้าที่คู่ขนานกับทรู ในฐานะ “แพลทฟอร์ม” แต่แพลทฟอร์มที่ว่านี้ ทำหน้าเที่เป็นสะพานเชื่อมผู้คนที่มีใจมุ่งมั่น ต้องการทำฝันให้เป็นจริง สร้างธุรกิจให้เติบโต ได้มาพบกันภายใต้บรรยากาศแห่งการตื่นรู้ พร้อมทั้งใช้ชีวิตในทุกมิติได้อย่างสมดุล  สอดคล้องกับ motto ของ TDPK ที่ยึดถือมาตลอด นั่นคือ “One Roof, All Possibilities ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้”

จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้เกิดความเป็นคอมมูนิตี้ เกิดเป็นบทสนทนาระหว่างลูกค้ากันเอง และเกิดเป็นแบรนด์ที่แตกต่าง ถือเป็น Center of Gravity ในรูปแบบใหม่ ต่างจากการพัฒนาที่ดินในรูปแบบดั้งเดิมที่มองแต่เพียงอาคารเท่านั้น ดังนั้น “การสร้างคอมมูนิตี้” จึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของ TDPK

“คนทั่วไปอาจจะมองว่า TDPK คือตึก แต่สำหรับผม TDPK คือ แคมปัสและผู้คน” ธาริตกล่าวและเสริมว่า “ตึกในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะผุดขึ้นมาอีกมาก แต่...ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเช่าพื้นที่ต่อจากนี้ คือ Proximity ของทั้งพาร์ทเนอร์และเพื่อนฝูง เพื่อลดเวลาในการเดินทางไปมาหาสู่กัน ดังนั้น คีย์สำคัญของการสร้าง TDPK คือ Dynamics จากกิจกรรมในสังคมมนุษย์ผ่านความเป็น Campus พูดง่ายๆ คือ การสร้างเมือง”

และด้วยจุดเเข็งความเป็นคอมมูนิตี้ของ TDPK ที่ประกอบด้วยฟังก์ชันพื้นที่ที่หลากหลาย นั่นจึงเป็น “จุดขาย” ที่เหนือกว่าผู้ให้บริการพื้นที่อื่นๆ ทำให้ค่าบริการเชิงพื้นที่ของ TDPK สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยเฉพาะจุดเด่นที่สะท้อนความเป็นคอมมูนิตี้ของชาวสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์ อีเว้นท์ที่เกิดขึ้นที่นี่จึงเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเกือบทั้งสิ้น

ที่ผ่านมา TDPK ทำหน้าที่ให้บริการด้านพื้นที่เป็นสำนักงานของสตาร์ทอัพทั้งขนาดเล็กและใหญ่หลายร้อยบริษัท รวมถึงยูนิคอร์นถึง 4 ตัว ทั้งจากไทยและต่างชาติ จะเห็นได้ว่าเทคสตาร์ทอัพที่ให้ความสำคัญกับความเป็น “คอมมูนิตี้” ล้วนตั้งอยู่ที่ TDPK ทั้งสิ้น โดยผลลัพธ์ดังกล่าวมาจากความเชื่อมั่นใน TDPK จนเกิดเป็นการบอกต่อและชักชวนให้มาใช้บริการแบบปากต่อปาก

“เราพัฒนา TDPK จากหมวกหลายใบ ทั้งในฐานะผู้พัฒนาโครงการ เจ้าของธุรกิจ และลูกค้า” ธาริตย้ำ พร้อมอธิบายว่า เพื่อให้มั่นใจว่า TDPK ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะความเป็นคอมมูนิตี้ ทั้งยังสามารถนำเสนอบริการใหม่ๆ ที่ตอบรับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่สะท้อนจากผลลัพธ์ทางการเงิน” ”

 

ก้าวถัดไปของ TDPK

ประเทศไทยมีการถกเถียงถึงความสำคัญของการวิจัยมาช้านานหลายทศวรรษ แต่ในทางปฏิบัติ ไทยยังไม่สามารถใช้การวิจัยให้เกิดผลกระทบเชิงประจักษ์ได้ โดยเฉพาะการเข้าถึงต่อสาธารณะ ส่งผลต่อการขาดแคลน “Role Model” หรือต้นแบบที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลังให้ก้าวสู่สนามแห่งการวิจัยให้มากขึ้น ทำให้รากฐานของประเทศเเข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งการให้ความสำคัญกับการวิจัยจะเป็นหนทางที่สำคัญในการต่อสู้และอยู่รอดของเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความท้าทายจากสินค้าจีน ขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ต่ำลง การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของโลก

“ที่ผ่านมา ไทยใช้เม็ดเงินมหาศาลในการซื้อเทคโนโลยีต่างประเทศเข้ามา ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยควรหันมาให้ความสำคัญกับการวิจัย” ธาริตเอ่ยความในใจในฐานะเด็กที่มีฝันเป็นนักวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงวาดฝันให้ TDPK เป็นกลไกหนึ่งของสังคมที่ช่วยผลักดันงานวิจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

จากประสบการณ์ในสนามงานวิจัยของธาริตนับสิบปี ทั้งที่ยุโรปและสหรัฐฯ เขามองว่า “ความตระหนักรู้ด้านการวิจัย” ต่อสาธารณะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างมาก ทั้งยังเป็นปัจจัยพื้นฐานที่นำมาสู่ความสำเร็จของประเทศที่พัฒนาแล้ว นำมาสู่การพูดคุยเจรจาทั้งในมหภาคและจุลภาค การระดมทุน การพัฒนาห้องแล็บ การนำเสนอ รวมถึงการจับคู่ทางธุรกิจก็จะเกิดขึ้นตามมา

“ตึกๆ นี้ ไม่ได้สร้างเพื่อหาผู้เช่าให้เต็มแล้วไปพัฒนาที่ดินผืนใหม่ต่อไป แต่ TDPK ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น Engine for Change สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อทั้งองค์กร ลูกค้า และสังคม ซึ่งทั้ง 3 ภาคี ล้วนมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ไม่สามารถแยกออกจากกันได้” เขาอธิบาย

ทั้งนี้ สถานะ Engine for Change ของ TDPK สะท้อนออกมาจากหลายมิติ อย่างการบริหารพื้นที่โซนต่างๆ ด้วยดาต้า การออกแบบพร้อมที่จะเปลี่ยนฟังก์ชั่นการทำงานของพื้นที่ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น พื้นที่ที่เคยเป็นออฟฟิศสามารถทรานส์ฟอร์มเปลี่ยนพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมอื่นๆ เพื่อคอมมูนิตี้หรือ co-working space ได้ในระยะเวลาอันสั้น

 

รักษาโมเมนตัม: คีย์สำคัญวงการสตาร์ทอัพ

ปัจจุบัน การระดมทุนในวงการสตาร์ทอัพไทยจะไม่ดูสดใสเหมือนในอดีต ทั้งยังมีข่าวที่ไม่สู้ดีนักผุดขึ้นมาอยู่เนืองๆ ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่จำกัดเพียงวงการสตาร์ตอัพเท่านั้น แต่ขยายไปสู่ธุรกิจ SMEs ซึ่งธาริตมองว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลกระทบจากวัฏจักรทางเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงถดถอย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ภาวะสงคราม รวมถึงโมเดลธุรกิจของสตาร์ทอัพที่เน้นการลงทุนอย่างมากในระยะเริ่มต้น ที่อาจไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่รุมเร้าด้วยปัจจัยลบ แต่ด้วยพันธกิจ TDPK เพื่อการเป็นฮับของสตาร์ทอัพ การรักษาโมเมนตัม สร้างแรงบันดาล ดึงดูดทาเลนท์ให้เข้าสู่วงการ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

“หากไฟมอดหรือดับลงแล้ว การจะจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งเป็นเรื่องยาก เราจึงต้องรักษาไฟนั้น อย่าให้ดับมอดลง ฉันใดฉันนั้น เช่นเดียวกับหน้าที่ของ TDPK ต่อสตาร์ทอัพไทย”

ปัจจุบัน TDPK เป็นฐานที่สตาร์ทอัพใช้ทำงาน สร้างนวัตกรรมอยู่ทั้งสิ้นกว่า 260 รายและมีสมาชิกกว่า 13,000 คน  ซึ่งถือว่าไม่น้อย ขณะเดียวกัน แนวโน้มที่ชาวต่างชาติใช้ไทยเป็นฐานในการปฏิบัติการด้านสตาร์​ทอัพก็มีมากขึ้น โดยความร่วมมือระหว่าง TDPK และ BOI ผ่านโปรแกรม Long-Term Resident Visa

ผลงานที่ประจักษ์ของ TDPK ในขวบปีที่ 6 ภายใต้การนำของธาริต เกิดขึ้นจากดีเอ็นเอ 3 ประการ 1. ความสมดุล 2. ความคิดสร้างสรรค์ และ 3. ความกล้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาบ่มเพาะและเรียนรู้จากการเป็นนักบริหารที่คิดแบบนักวิทยาศาสตร์ โดยเขาค้นพบว่า ทักษะและแนวคิดจากพาณิชยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ต่างเติมเต็มช่องว่างซึ่งกันและกัน ปิดจุดบอด อุดรูรั่ว รู้ลึกและรู้กว้าง เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส ผลิดอกออกผลเป็นสิ่งที่เรียกว่า “นวัตกรรม”

25 กันยายน 2567 - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เริ่มให้บริการส่งข้อความ SMS แจ้งเตือนภัยถึงมือถือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว โดยเจาะจงพื้นที่ระดับตำบลและหมู่บ้าน

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ทรูห่วงใยประชาชน จึงร่วมมือกับ ปภ. และ กสทช. ส่ง SMS แจ้งเตือนภัยฉุกเฉิ โดยเริ่มนำร่องแจ้งเตือนภัยระดับ 3 กรณีแม่น้ำวังล้นตลิ่งในพื้นที่ 3 ตำบลของอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างทันท่วงที"

ข้อความแจ้งเตือนจะส่งจากชื่อผู้ส่ง "DDPM" ซึ่งย่อมาจาก Department of Disaster Prevention and Mitigation หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล โดยจะแจ้งรายละเอียดครบ ทั้งวัน เวลา สถานที่ ระดับความรุนแรง และวิธีปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย

ระบบ SMS มีข้อดีคือ ประชาชนสามารถรับข้อมูลได้ทันทีโดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใดๆ และใช้งานได้สะดวก

ปภ. เป็นหน่วยงานหลักในการเฝ้าระวัง รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนส่งแจ้งเตือนให้ทรู คอร์ปอเรชั่น ส่งต่อไปยังมือถือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยการแจ้งเตือนจะมี 2 รูปแบบ คือ แจ้งเตือนล่วงหน้า 12-24 ชั่วโมง และแจ้งเตือนฉุกเฉิน 6-12 ชั่วโมง

บริการนี้จะช่วยให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่จำเป็นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ลดความเสี่ยงและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประสบความสำเร็จในการปิดดีลเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan) เป็นครั้งแรก มูลค่ารวม 141.3 พันล้านเยน (ประมาณ 33 พันล้านบาท) เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เดิม (Refinancing) และถือเป็นบริษัทแรกของไทยในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ที่ได้รับสินเชื่อความยั่งยืนดังกล่าว

การปิดดีลเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนครั้งแรกของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ เป็นการเข้าสู่ตลาดเงินเยนของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเป็นสินเชื่อความยั่งยืนสกุลเงินเยนที่บริษัทไทยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารญี่ปุ่นและธนาคารต่างประเทศชั้นนำมากที่สุด บริษัทฯ จึงตัดสินใจขยายวงกู้เพิ่มขึ้นจากเริ่มแรก 109.9 พันล้านเยน เป็น 141.3 พันล้านเยน เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เดิม

ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีรายแรกของไทยที่ได้รับวงเงินกู้ซึ่งเชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan) และถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท อีกทั้งวงเงินกู้ที่ได้รับนี้ยังมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับเป้าหมายการบริหารทางการเงินและการลดต้นทุนของบริษัท สำหรับเกณฑ์การวัดผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ (1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ Scope 2 และ (2) การเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในสถานีฐาน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่นในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ใน Scope 1 และ Scope 2 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่เป้าหมาย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ตามแนวทาง Science-Based Target Initiative (SBTi)

วงเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด รวมถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยในปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก จากทั้งหมด 166 บริษัทในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมสำหรับการประเมินความยั่งยืนขององค์กรโดย S&P Global เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน วงเงินกู้สกุลเงินเยนเชื่อมความยั่งยืนนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นระยะยาวในการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและการนำเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้เพื่อลดการใช้พลังงานของบริษัท

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "บริษัท มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารชั้นนำทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศให้การสนับสนุนอย่างดียิ่งสำหรับวงเงินกู้สกุลเงินเยนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนในครั้งนี้ และถือเป็นอีกก้าวสำคัญของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขยายฐานการระดมเงินไปยังตลาดต่างประเทศที่มีสภาพคล่องสูงและอัตราดอกเบี้ยเหมาะสม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารการเงิน ลดความเสี่ยงตลอดจนเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน อีกทั้งยังสอดคล้องและส่งเสริมเป้าหมายของทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน

ทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนผ่านการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า การเติบโต และผลประโยชน์จากการควบรวม ทั้งนี้ เรามั่นใจว่าปี 2567 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่การเติบโตที่มีกำไร ในขณะที่ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการทำกำไรอย่างยั่งยืนและการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า อุตสาหกรรม ตลาด และประเทศไทยโดยรวม การเติบโตอย่างยั่งยืนนี้มาจากผลประโยชน์จากการควบรวม การมีวินัยทางการเงิน การควบคุมต้นทุน การใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับบริการให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด และการให้ความสำคัญสูงสุดกับคุณภาพเครือข่าย”

วงเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ เป็นการร่วมปล่อยกู้จากกลุ่มธนาคารชั้นนำ โดยมี Bank of China (Hong Kong) Limited, BNP Paribas (ดำเนินการผ่านสาขาสิงคโปร์), DBS Bank Ltd, Mizuho Bank, Ltd., Natixis สาขาสิงคโปร์, Oversea-Chinese Banking Corporation Limited, Standard Chartered Bank (Singapore) Limited และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation เป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วม (Mandated Lead Arrangers and Bookrunners) Mizuho Bank, Ltd. ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานการจัดอันดับเครดิตกับบริษัทจัดอันดับเครดิต JCR ของญี่ปุ่น และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านความยั่งยืน

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประสบความสำเร็จในการปิดดีลเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan) เป็นครั้งแรก มูลค่ารวม 141.3 พันล้านเยน (ประมาณ 33 พันล้านบาท) เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เดิม (Refinancing) และถือเป็นบริษัทแรกของไทยในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ที่ได้รับสินเชื่อความยั่งยืนดังกล่าว

การปิดดีลเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนครั้งแรกของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ เป็นการเข้าสู่ตลาดเงินเยนของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเป็นสินเชื่อความยั่งยืนสกุลเงินเยนที่บริษัทไทยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารญี่ปุ่นและธนาคารต่างประเทศชั้นนำมากที่สุด  บริษัทฯ จึงตัดสินใจขยายวงกู้เพิ่มขึ้นจากเริ่มแรก 109.9 พันล้านเยน เป็น 141.3 พันล้านเยน เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เดิม

ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีรายแรกของไทยที่ได้รับวงเงินกู้ซึ่งเชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan) และถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท  อีกทั้งวงเงินกู้ที่ได้รับนี้ยังมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับเป้าหมายการบริหารทางการเงินและการลดต้นทุนของบริษัท  สำหรับเกณฑ์การวัดผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสำคัญ 2 ประการ ได้แก่  (1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ Scope 2 และ (2) การเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในสถานีฐาน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่นในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ใน Scope 1 และ Scope 2 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่เป้าหมาย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ตามแนวทาง Science-Based Target Initiative (SBTi)

วงเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด รวมถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยในปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก จากทั้งหมด 166 บริษัทในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมสำหรับการประเมินความยั่งยืนขององค์กรโดย S&P Global เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน วงเงินกู้สกุลเงินเยนเชื่อมความยั่งยืนนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นระยะยาวในการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและการนำเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้เพื่อลดการใช้พลังงานของบริษัท

นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "บริษัท มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารชั้นนำทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศให้การสนับสนุนอย่างดียิ่งสำหรับวงเงินกู้สกุลเงินเยนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนในครั้งนี้  และถือเป็นอีกก้าวสำคัญของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขยายฐานการระดมเงินไปยังตลาดต่างประเทศที่มีสภาพคล่องสูงและอัตราดอกเบี้ยเหมาะสม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารการเงิน ลดความเสี่ยงตลอดจนเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน  อีกทั้งยังสอดคล้องและส่งเสริมเป้าหมายของทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน

ทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนผ่านการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า การเติบโต และผลประโยชน์จากการควบรวม  ทั้งนี้ เรามั่นใจว่าปี 2567 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่การเติบโตที่มีกำไร ในขณะที่ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการทำกำไรอย่างยั่งยืนและการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า อุตสาหกรรม ตลาด และประเทศไทยโดยรวม การเติบโตอย่างยั่งยืนนี้มาจากผลประโยชน์จากการควบรวม  การมีวินัยทางการเงิน การควบคุมต้นทุน การใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับบริการให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด และการให้ความสำคัญสูงสุดกับคุณภาพเครือข่าย”

วงเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ เป็นการร่วมปล่อยกู้จากกลุ่มธนาคารชั้นนำ โดยมี Bank of China (Hong Kong) Limited, BNP Paribas (ดำเนินการผ่านสาขาสิงคโปร์), DBS Bank Ltd, Mizuho Bank, Ltd., Natixis สาขาสิงคโปร์, Oversea-Chinese Banking Corporation Limited, Standard Chartered Bank (Singapore) Limited และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation เป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วม (Mandated Lead Arrangers and Bookrunners) Mizuho Bank, Ltd. ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานการจัดอันดับเครดิตกับบริษัทจัดอันดับเครดิต JCR ของญี่ปุ่น และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านความยั่งยืน

ทรูชวนลูกค้าทั่วไทย รวมน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วม... จากสถานการณ์วิกฤตอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมเป็นอีกหนึ่งร่วมสนับสนุนการฟื้นฟูผู้ประสบภัยในครั้งนี้ โดยได้ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา อำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมช่วยเหลือพี่น้องที่กำลังประสบภัยทางภาคเหนือ ร่วมบริจาคโดยไม่ต้องใช้เงินสด เปิดโอกาสให้ลูกค้าทรู และดีแทค สามารถใช้ทรูพอยท์ หรือ ดีแทคคอยน์ แลกเป็นเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยสามารถแลกพอยท์บริจาคเริ่มต้นได้ที่ 50 ทรูพอยท์ หรือ 150 ดีแทคคอยน์  ดังนี้

ลูกค้าทรู ใช้ทรูพอยท์ แลกเงินบริจาคผ่านแอปทรูไอดี หรือ คลิก https://ttid.co/OiLl/ziagnbji

  • ใช้ทรูพอยท์ 50 คะแนน แทนเงิน 5 บาท
  • ใช้ทรูพอยท์ 100 คะแนน แทนเงิน 10 บาท
  • ใช้ทรูพอยท์ 150 คะแนน แทนเงิน 15 บาท

ลูกค้าดีแทค ใช้ดีแทคคอยน์ แลกเงินบริจาคผ่านดีแทคแอป หรือ คลิก https://s.dtac.co.th/dOdu/i0hqcpj6

  • ใช้ 150 ดีแทคคอยน์แทนเงิน 5 บาท
  • ใช้ 350 ดีแทคคอยน์  แทนเงิน10 บาท
  • ใช้ 450 ดีแทคคอยน์ แทนเงิน 15 บาท

ร่วมส่งน้ำใจสู่พี่น้องผู้ประสบอุทกภัย โดยบริจาคทรูพอยท์และดีแทคคอยน์ได้ไม่จำกัด ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 4 ตุลาคม 2567 เพิ่มเติมทางแฟนเพจ TrueYou และ dtac reward

X

Right Click

No right click