ที่แม้แต่เราเองก็ยังต้องพยายามไขปริศนาและค้นหาด้วยตนเอง บางคนมีภาพความฝันมองเห็นตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจร่ำรวยมั่งคั่ง บางคนอยากเป็นยูนิคอร์นเจ้าไอเดียสตาร์ทอัปรุ่นใหม่ไฟแรงที่มาพร้อมกับนวัตกรรมสุดล้ำ หรือบางคนอาจจะแค่เพียงต้องการได้ใช้วันหยุดจากการทำงานประจำไปกับการตระเวนรับประทานอาหารอร่อยๆ ในร้านบรรยากาศดีๆ จิบกาแฟยามบ่ายพร้อมกับอัปเดตไอจีสตอรี่หรือทำวีล็อกไลฟ์สไตล์สุดเก๋จากมุมที่คนอื่นไม่เคยไปมาก่อน พันธวิศ ผ่องอำไพ เด็กหนุ่มวิศวกรจากปัตตานีก็เป็นหนึ่งในคนที่มีความฝันเช่นกัน ความมุ่งมั่นตั้งใจได้พาเขาข้ามน้ำข้ามทะเลจากบ้านมาไกลถึงดินแดนจิงโจ้ ประเทศออสเตรเลีย
“ผมเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ย้อนกลับไปตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 3 ได้มีโอกาสไปฝึกงานบริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งที่จังหวัดสงขลา พนักงานส่วนใหญ่ในบริษัทมีแต่ชาวต่างชาติ ปัญหาในตอนนั้นคือเรื่องการสื่อสาร เพราะต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก หลังจากเรียนจบยังไม่ได้ทำงานก็คิดเลยว่าจะต้องไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นประเทศอะไร พอหาข้อมูลก็พบคนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะมาประเทศออสเตรเลีย จึงตัดสินใจลงคอร์สเรียนภาษาประมาณ 1 ปี ที่บริสเบน (Brisbane) หลังจากนั้นก็กลับเมืองไทยไปสมัครงาน ได้ทำงานในโรงงานเกี่ยวกับเครื่องดื่มที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำตำแหน่ง Operator ดูแลควบคุมเครื่องจักรอยู่ประมาณเกือบปี ก็กลับมาคิดกับตัวเองอีกครั้งว่าอยากจะเปิดประสบการณ์และโอกาสตัวเอง โดยอยากจะทำงานกับชาวต่างชาติ เพราะตอนที่มาเรียนภาษามีข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้ส่วนใหญ่นอกเหนือจากการเรียนก็จะได้ทำงานแค่ในร้านอาหารไทย เมื่อเห็นว่ามีโครงการ Work and Holiday ซึ่งเป็นโครงการระหว่างรัฐบาลออสเตรเลียและรัฐบาลไทยทำความร่วมมือกันเพื่อให้เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 18 – 30 ปี สามารถเดินทางไปทำงานและท่องเที่ยวในประเทศออสเตรเลียได้ระยะเวลา 1 ปี เลยคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดี
พอสมัครโครงการ จัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้วก็เดินทางมาที่นี่ ตอนแรกวางแผนว่าจะอยู่แค่ปีเดียว พยายามสมัครงานในบริษัทเกี่ยวกับเครื่องดื่ม แต่ยังไม่มีตำแหน่งว่าง ก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นจะทำเรื่องต่อวีซ่าเพื่อให้ได้อยู่ออสเตรเลียได้นาน 2 ปี หรือ 2nd Year Visa โดยปัจจุบันเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการสามารถทำเรื่องเพื่อต่อวีซ่าทุกๆ ปีและอยู่ในออสเตรเลียได้นานถึง 3 ปี หากทำงานในสายงานที่ทางโครงการกำหนดไว้ได้ครบตามระยะเวลาและพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจง เลยต้องมาที่แคนส์ (Cairns) และเริ่มหางานพวก Housekeeping งานฟาร์ม งานร้านอาหารหรืองานในกลุ่ม Hospitality ที่เขากำหนดจะได้สามารถเก็บชั่วโมงนำไปยื่นต่อขอวีซ่าปีที่สองได้”
พันธวิศเล่าว่าตอนที่มาใหม่ๆ เขาจะใช้วิธีการ Walk In ในการเข้าไปสมัครงาน เพราะอยากเจอเจ้าของหรือหัวหน้างาน นอกจากจะเป็นที่ที่ไกลจริงๆ ถึงจะส่งอีเมลไป เพราะการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติว่าทำไมถึงอยากทำงานที่บริษัทหรือองค์กรนี้ มีความตั้งใจอย่างไร เหล่านี้จะทำให้เขามองเห็นถึงความมุ่งมั่นและต้องการนำเอาประสบการณ์หรือความสามารถมาช่วยพัฒนาองค์กรหรือบริษัท
ตอนที่มาสัปดาห์แรก ก็ได้งานร้านอาหารไทยก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มยื่นใบสมัครตามโรงงาน พอได้ทำ ตารางเวลาการทำงานแต่ละวันก็จะต้องเริ่มตั้งแต่เช้ายันมืด ทำติดต่อกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ บางอาทิตย์แทบจะไม่มีวันหยุดเลย เหนื่อยแต่ก็ได้ประสบการณ์และเก็บเงินได้พอสมควร แต่สิ่งที่ต้องระวังเนื่องจากทำงานหนักคือเรื่องสุขภาพ ต้องพยายามดูแลและมีการเช็กร่างกายอยู่เรื่อยๆ
ทีนี้ถ้าจะพูดถึงเรื่องการแข่งขันในการหางานส่วนใหญ่เด็ก Work and Holiday ไม่ว่าจะเป็น Subclass 417 หรือ 462 แทบทุกคนอยากต่อ 2nd Year Visa เพราะจะได้ทำให้ได้อยู่ในประเทศออสเตรเลีย 2 ปี อย่างเด็กจีนมาโครงการนี้ปีละ 5,000 คน เด็กไทย 500 คน เด็กอินโดนีเซีย 1,000 เด็กมาเลเซีย 100 คน ส่วนเด็กญี่ปุ่นกับเกาหลีมาได้ไม่จำกัดจำนวน และยังมีประเทศอื่นๆ อีก ซึ่งจะเห็นว่าอัตราการแข่งขันค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับตำแหน่งงานที่มีอยู่ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือเรื่องของการเขียนเรซูเม่ และ Cover Letter ให้ดี ทำให้เขาเห็นว่าเราใส่ใจและตั้งใจจริงๆ และที่สำคัญคืออย่าท้อ ต้องพยายามยื่นใบสมัครให้หมดทุกที่เท่าที่จะทำได้ ยื่น 100 ที่อย่างน้อยต้องมี 1 ที่ที่รับเรา บางคนท้อง่ายเปลี่ยนใจก็ทำให้หมดโอกาส ทั้งๆ ที่ถ้าอดทนอีกนิดเดียวอาจจะได้งานดีๆ ก็ได้
“ทัศนคติเด็กไทยส่วนใหญ่มักจะคิดว่ายังไงก็ยังมีพ่อแม่คอยซัปพอร์ต ซึ่งถือเป็นข้อดี แต่กลับทำให้เราไม่ค่อยโตเป็นผู้ใหญ่ เด็กฝรั่งหรือเด็กญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แตกต่างกับเราที่เรียนอย่างเดียว ทำให้เขารู้จักตัวเอง มองเห็นลู่ทาง แต่เราเริ่มทำงานจริงๆ หลังจากจบมหาวิทยาลัย จุดนี้เองที่ทำให้เราล้าหลังจากเขาไป 4 ปี ในเรื่องของการใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง” พันธวิศกล่าว
สำหรับหนึ่งปีที่ผ่านมาพันธวิศผ่านการทำงานมาอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นงานในร้านอาหารไทย Housekeeping งานตำแหน่งลูกจ้างทั่วไปที่โรงงาน Laundry จากนั้นก็เริ่มไปเป็น Kitchenhand ในโรงแรม ทำ Gardening และถ้ามีเวลาว่างช่วงค่ำๆ ก็จะปั่นจักรยานส่งอาหาร Uber Eat สำหรับการทำงานกับชาวต่างชาตินั้นทำให้เขาได้เห็นไอเดียใหม่ๆ ฝึกความอดทน พัฒนาเรื่องภาษา ได้เข้าใจความรู้สึกของการเป็นลูกจ้างว่าเป็นอย่างไร เพราะเขาเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นนายจ้างที่ดีได้ และเขายังได้รับทักษะในการเรียนรู้ให้เร็ว คอยดู คอยสังเกตว่าคนอื่นๆ ทำงานอย่างไรแล้วนำมาปรับใช้ มีคำถามสงสัยตรงไหนต้องถามทันที สิ่งที่ทำให้พันธวิศต้องทำงานหนักขนาดนี้เพราะเขามีความคิดว่า
ตอนทำงานอยู่ที่โรงงานเครื่องดื่มในประเทศไทย ผมมองเห็นโอกาสทางธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม แต่การที่จะก่อตั้งบริษัทขึ้นมาได้ควรจะต้องมี 3 สิ่งด้วยกัน คือ เงินทุน Connection และประสบการณ์ ประเทศออสเตรเลียเองธุรกิจทางด้านเครื่องดื่มค่อนข้างมีความหลากหลายและมาตรฐานที่ชัดเจน เลยตั้งใจว่าจะใช้เวลาสองปีในออสเตรเลียทำงานเก็บเงิน สร้างเครือข่ายและมุ่งเรียนรู้ตามบริษัทเหล่านี้ไม่ในเมลเบิร์นก็ซิดนีย์ เพื่อที่จะสร้างเครือข่ายและเพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเอง
คนไทยหลายคนเรียนจบมาแล้วกลับพบว่าคณะหรือสาขาที่เรียนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง บางคนจบวิศวะมาแต่ในที่สุดก็ไปเป็นเจ้าของโรงงาน เจ้าของร้านอาหาร หรือร้านเบเกอรี่ เราต้องพยายามค้นหาความชอบของตัวเอง หลังจากพบแล้วก็ค้นหาว่าประเทศไหนที่มีชื่อเสียงหรือชำนาญในด้านนั้นๆ จากนั้นก็ออกเดินทางไปเรียนรู้พัฒนาทักษะของตัวเอง แล้วนำประสบการณ์ที่ได้มาปรับใช้กับตัวเองหรือธุรกิจที่ตั้งใจว่าจะทำ
บางคนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไร พยายามแข่งขันกันเข้าบริษัทใหญ่ๆ เพื่อจะได้เงินเดือนสูงๆ อย่างการมา Work and Holiday ที่ออสเตรเลียก็ต้องมีการวางแผนว่าภายในระยะเวลานี้อยากได้อะไรกลับไป ถ้าให้แนะนำอยากให้เด็กที่จบใหม่อาจจะลองทำงานที่เมืองไทยสักพักปีสองปีแล้วค่อยมา ถ้าจบหนึ่งปีในออสเตรเลียแล้วยังไม่ค้นพบตัวเอง อย่างน้อยพอกลับไปเมืองไทยก็ยังมีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน ถ้าหากมองประสบการณ์การทำงานตรงสายในเมืองไทยของผมอาจจะมีไม่มาก แต่ผมวางแผนและคิดมาแล้วว่าอยากจะเดินทางนี้ ผมเลยมุ่งมั่นและตัดสินใจมา ตอนที่มาใหม่ๆ พ่อก็เป็นห่วงว่าหลังจากกลับไปจะหางานยาก เพราะประสบการณ์ในเมืองไทยก็ยังไม่มากพอ แล้วก็ทิ้งช่วงมาอยู่ที่ออสเตรเลียนาน แต่ผมก็คิดแล้วว่า ถ้ามาตอนอายุมากกว่านี้เราอาจจะอยู่ในออสเตรเลียได้ไม่นานเท่าช่วงวัยนี้ และไม่แน่ต่อจากนี้เราอาจจะเห็นลู่ทางที่จะทำให้เราสามารถอยู่ต่อ เพื่อหาเงินและคอนเน็คชั่นมากขึ้นก็ได้
“ผู้ปกครองที่กำลังคิดว่าจะให้ลูกๆ เดินทางมาโครงการ Work and Holiday ที่ออสเตรเลียดีหรือไม่นั้น อาจจะต้องคุยกันก่อนว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร มาทำงานและหาประสบการณ์สักปีสองปี แล้วหลังจากนั้นกลับไปเมืองไทยจะทำอะไรต่อ เพราะการมาที่นี่อาจจะไม่ได้งานตรงสายที่จบมา กลับไปอาจจะต่อไม่ติดหรือต้องใช้เวลาในการรื้อฟื้นทักษะอีก อย่างไรก็ตามผมก็แนะนำให้มา อย่างเด็กคนหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เขาจะได้เห็นแง่มุมทางกฎหมาย การทำงาน สวัสดิการ ศักยภาพและมาตรฐานต่างๆ ที่ต่างจากบ้านเรา พอกลับไปเขาจะได้มีส่วนช่วยพัฒนาคนในชุมชนทำให้มี Quality of Life ที่ดีขึ้น ดีกว่าอยู่ที่เดิมแล้วไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกเลย ถ้าเรามาก็จะได้เห็นได้เจอเรื่องราวใหม่ๆ นำสิ่งที่ดีกลับไปแบ่งปันและส่งต่อให้คนภายในประเทศได้” คือความเห็นของ พันธวิศ ผ่องอำไพ.
เรื่อง : ณัฐพัชร์ สุมา