เพื่อเสริมศักยภาพในการทำงาน และคุณภาพชีวิตที่ดี ตอกย้ำทรู ดีแทค เครือข่ายอันดับ 1 เพื่อพี่น้องชาวพม่าและกัมพูชาในไทย

  • NVDIA ผู้ผลิตชิปเซตยักษ์ใหญ่ของโลก หุ้นขึ้นกว่า 250%
  • KResearch คาดการณ์ว่า ไทยจะมีเม็ดเงินการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ราว 7,800 ล้านดอลลาร์ในอีก 3 ปีข้างหน้า
  • McKinsey&Co ประมาณการณ์ว่า การพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัดเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจโลกมูลค่าราว 13 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2573

ข้อมูลดังกล่าว สะท้อนถึงการเติบโตด้านการลงทุนในอีโคซิสเต็มที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงกลยุทธ์ขององค์กรที่ต่างใช้ AI เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรบุคคล

“การประยุกต์ใช้ AI นั้นประกอบด้วยหลากหลายมิติและปัจจัย ไม่ใช่เพียงการลงทุนในฮาร์ดแวร์หรือทุ่มเงินดึงตัวผู้เชี่ยวชาญใน AI เท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว การประยุกต์ใช้ AI ในธุรกิจเริ่มต้นจาก “วัฒนธรรมองค์กร” ต่างหาก ทัศนคติที่เชื่อว่าองค์กรสามารถเปลี่ยนผ่านจากองค์กรแบบ AI-Ready เป็น AI-First” ศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฉายภาพการแข่งขันบนสมรภูมิ AI ในงาน AI Gets Real

เธอขยายความว่า ปัจจุบัน มีบริษัทจำนวนมากที่นำ AI มาใช้พัฒนา ‘บางส่วน’ ของธุรกิจ นั่นคือ AI-Ready Organization อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาเรื่อง “บทบาทของ AI เพื่อการเติบโตทางธุรกิจ” จาก McKinsey Analytics แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อบริษัททั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ จำนวนราว 1,000 บริษัท มีเพียง 8%  เท่านั้นที่มีแนวทางการปรับใช้ AI อย่าง “ถ้วนทั่ว” ทั้งองค์กร และนี่จึงเป็นเหตุผลว่า “ทำไมองค์กรจึงต้องเปลี่ยนทิศทางต่อการใช้ AI จาก AI-Ready สู่ AI-First”

“AI-First เป็นกรอบแนวคิดตั้งต้นของทรู เพื่อรับมือและใช้ประโยชน์จากการเกิดขึ้นของ AI อย่างเต็มศักยภาพ โดยมีรากฐานสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงในระดับมายด์เซ็ตและวัฒนธรรมองค์กร” ศรินทร์รา กล่าว

3 วิถีการทำงานแบบ AI-First

ทั้งนี้ การเปลี่ยนรูปแบบสู่องค์กร AI-First นั้นจำเป็นต้องทรานสฟอร์มวิถีการทำงาน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

  1. เปลี่ยนจากการทำงานแบบแยกส่วนสู่การทำงานแบบบูรณาการ (From Siloed Work to Interdisciplinary Collaboration) ตัวอย่างเช่น ในการพัฒนาผู้ช่วยบริการลูกค้า มะลิ (Mari) ที่มีเทคโนโลยี AI อยู่เบื้่องหลังนั้น ได้มีการจัดตั้งทีมงานในรูปแบบ Squads ทำงานแบบ Agile โดยระดมขุนพลจากแผนกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นแผนกวิเคราะห์ข้อมูล ไอที ประสบการณ์ลูกค้า บริการลูกค้า
  2. เปลี่ยนจากการตัดสินใจผ่านประสบการณ์ของผู้นำ สู่การตัดสินใจด้วยดาต้าโดยคนหน้างาน (From Experience-based to Data-driven Decision Making) กรณีศึกษาในกลุ่มทรัพยากรบุคคล ที่ได้คัดเลือกและตั้งทีมนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในรูปแบบดาต้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้กลุ่มงานรับมือกับการเปลี่ยนผ่านองค์กรขนาดมหึมาได้อย่างราบรื่น อันเป็นผลมาจากการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค ผ่านการใช้ดาต้าในการประเมินศักยภาพพนักงานผ่านทักษะและตัวชี้วัดด้านองค์กร เพื่อให้ได้มาซึ่งการบ่งชี้กลุ่มคนที่มีศักยภาพ ระบุช่องว่างทักษะ และการจัดทีมให้เหมาะสม ซึ่งผลปรากฏว่า ทรูสามารถพิชิตเป้าหมายเชิงการจัดการทรัพยากรบุคคลในปี 2566 ที่ผ่านมาได้เร็วกว่ากำหนด
  3. เปลี่ยนจากการทำงานที่เข้มงวด ไม่กล้าเสี่ยง สู่การทำงานแบบเอไจล์ เปิดโอกาสให้ทดลอง ปรับปรุงเมื่อผิดพลาด (From rigid and risk-averse to agile, experimental, and adaptable) การทดลองถือเป็นความท้าทายที่คงอยู่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมาช้านาน เนื่องด้วยความคาดหวังจากลูกค้าต่อบริการที่ต่อเนื่อง ความผิดพลาดต้องเป็นศูนย์ ถึงเช่นนั้น ก็ไม่สามารถหยุดความพยายามในการพัฒนาเพื่อสิ่งที่ดีกว่าได้ กรณีของ “มะลิ” ที่ทีมเปิดให้ทดลองทำงานภายใต้ “ขอบเขต” ที่กำหนดไว้ ทั้งการเข้าถึงข้อมูล กลุ่มลูกค้าที่ได้รับบริการจากมะลิ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานก่อนให้บริการเต็มรูปแบบ

“หลักการทำงานทั้ง 3 ข้อขององค์กรแบบ AI-First จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการปรับกระบวนทัศน์ทางวัฒนธรรมองค์กรและทักษะ ซึ่งจะเกิดขึ้นในลักษณะบนลงล่าง (Tone from the Top) หรือ “ผู้นำ” และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมองค์กรแบบ AI-Ready จำเป็นต้องมีผู้บริหารที่มีมายด์เช็ตแบบ AI-First เพื่อนำพาองค์กรสู่อีกขั้นของการทรานสฟอร์ม” หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เน้นย้ำ

ผู้นำแบบ AI-First

แล้วผู้บริหารแบบ AI-First เป็นอย่างไร?

ศรินทร์รา อธิบายว่า ผู้บริหารแบบ AI-First ในแบบของทรู ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 4 ประการ ได้แก่

  1. Big Picture Visionary เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ พร้อมแผนกลยุทธ์ภาพใหญ่ที่เห็นถึงการเติบโตและโอกาสในอนาคต
  2. Action Ignitor เป็นผู้ผลักดัน เปลี่ยนกลยุทธ์บนกระดาษสู่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการบริหาร ตั้งแต่การสื่อสาร การติดอาวุธให้คนทำงาน การให้ผลตอบแทน
  3. Talent Magnet เป็นผู้ที่สามารถดึงดูดและรักษาทาเลนท์ไว้ได้ผ่าน 3 หลักการ Build-Buy-Borrow สร้างคนในองค์กร ซื้อตัวจากตลาด และยืมความเชี่ยวชาญจากผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นเครือเจริญโภคภัณฑ์ เทเลนอร์กรุ๊ป หรือไชน่าโมบาย
  4. Ethical Guardian ที่สำคัญ ผู้บริหารแบบ AI-First จะต้องยึดมั่นในจริยธรรม การใช้ AI และเข้าถึงข้อมูลตามหลักธรรมาภิบาลและกฎหมาย ซึ่งภายใต้ AI Strategy ของทรู ได้มีการประกาศใช้ธรรมนูญปัญญาประดิษฐ์เป็นองค์กรเอกชนแรกของไทย รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมการใช้ AI อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ลักษณะผู้บริหารแบบ AI-First นั้น อาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่มุมมองและการนิยามของแต่ละองค์กร สำหรับทรู เราได้จัดเตรียมกลไกต่างๆ ที่ช่วยลับคมมุมมองผู้บริหารระดับสูงให้สามารถรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจาก AI ได้ ตัวอย่างเช่น

  1. โครงการ Venture Capital Investors โดยนำผู้บริหารระดับสูง 20 คนมาอบรมบ่มเพาะมายด์เช็ตแบบนักลงทุนโดย Global Innovation Catalyst ที่มี Kamran Elahain ผู้ประกอบการระดับโลกที่เคยร่วมก่อตั้ง 10 สตาร์ทอัพและ 3 ใน 10 ประสบความสำเร็จเป็นยูนิคอร์น โดยปัจจุบัน ผู้บริหารทั้ง 20 คนกำลังทำหน้าที่เมนทอร์ให้กับ 10 โปรเจ็คธุรกิจที่ดำเนินการแบบสตาร์ทอัพภายในทรู
  2. Reverse Mentoring โปรแกรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้บริหารและทาเลนท์รุ่นใหม่ (True Next Gen) แลกเปลี่ยนมุมมอง เมนทอร์ซึ่งกันและกัน

AI เพิ่มโอกาสพัฒนาขีดความสามารถมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ในระยะแรก ทรูใช้กลยุทธ์ลักษณะ “บนลงล่าง” เป็นสำคัญ เพราะผู้บริหารเหล่านี้เปรียบเสมือนผู้ทำหน้าที่คัดท้ายเรือ ขณะเดียยวกัน การเปลี่ยนแปลงจาก “ล่างขึ้นบน” ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ภายในสิ้นปีนี้ ทรูตั้งเป้าในการเพิ่มขีดความสามารถทางดิจิทัลที่สำคัญแก่พนักงาน 2,400 คนในปีนี้ และเพิ่มเป็น 5,000 คนในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะที่สำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจแก่พนักงานทุกคน เช่น การวิเคราะห์ดาต้า นวัตกรรมธุรกิจ การตลาดดิจิทัล และระบบออโตเมชั่น

ทั้งนี้ คอร์สเรียนนี้ได้รับการออกแบบโดย General Assembly สถาบันฝึกอบรมระดับโลกสัญชาติอเมริกา มีจุดมุ่งหมายให้พนักงานสามารถนำทักษะเชิงเทคนิคมาผนึกกับความรู้ทางธุรกิจ แก้ไขปัญหาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรและลูกค้าต่อไป โดยพนักงานทุกคนจะต้องผ่านการอบรมภาคบังคับ Digital Foundation (12 ชม.) ตามด้วยการทำบททดสอบ สำหรับผู้ที่มีคะแนน 60% ขึ้นไป จะได้รับสิทธิเข้าอบรมในขั้นถัดไปภายใต้โปรแกรม Digital Citizen (35 ชม.) และสำหรับผู้ที่มีคะแนนมากกว่า 70% จะมีสิทธิเข้าอบรมระดับ Expert ซึ่งเนื้อหาก็จะเข้มข้นมากขึ้น เช่น คอร์สสำหรับผู้ประกอบอาชีพ Data Scientist ที่กินระยะเวลา 6 เดือนเต็ม ซึ่งทรูตั้งเป้าในการพัฒนาพนักงานให้อยู่ในระดับ Expert จำนวน 1,000 คน ภายในปี 2568

ที่ผ่านมา ทรูได้มีการประกาศวิสัยทัศน์องค์กรผ่าน “AI Strategy” โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า การเติบโตด้านดิจิทัล และผลประกอบการที่แข็งแรง แต่ไม่ว่ากลยุทธ์อะไรก็ตาม หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นที่ “คน” นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทรูให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรสมรรถนะสูง (Performance-driven Culture) ผ่านองค์ประกอบ 4C ได้แก่ Compassion, Credibility, Co-creation และ Courage

“AI ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อมาทดแทนแรงงานมนุษย์ ในทางกลับกัน AI เป็นโอกาสของมนุษย์ให้พัฒนาความสามารถไปอีกขั้น โดยทักษะที่สำคัญที่นำไปสู่ AI First ได้แก่ การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) การแก้ไขปัญหา (Problem-solving) และการคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking)” ศรินทร์รา กล่าวทิ้งท้าย

ทรู คอร์ปอเรชั่น นำทีมโดย นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี พร้อมคณะผู้บริหารและทีมวิศวกรเยือนสงขลา ตรวจสอบคุณภาพสัญญาณทรู 5G ให้ดีที่สุด เน้นแลนด์มาร์ค และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของจังหวัด เช่น หาดสมิหลา เมืองเก่าสงขลา จุดชมวิวเขาคอหงส์ พระพุทธมงคลมหาราช ให้ดีที่สุด และครอบคลุมทั่วภาคใต้ ชูความโดดเด่นเน็ตเวิร์คคุณภาพ รองรับการท่องเที่ยว ภาคใต้ ทรู 5G ใช้ดีทุกย่าน ครบทุกคลื่น แรงลื่นทุกที่ทุกจุดท่องเที่ยวอันซีนต้องไม่อันสัญญาณ เพื่อร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ชูแคมเปญ “ทรูทั่วไทย” ทั่วไทย ทั่วถึง ทุกคน เช็คสัญญาณถึงที่ 4 ภาคทั่วไทย เช็คอินความสุขให้คนไทย เช็คสปีดเน็ตไม่สะดุด ชัวร์ทุกพื้นที่ ร่วมสร้างประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสเพื่อลูกค้าทั้งทรูและดีแทค นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ พร้อม สินค้าบริการ และสิทธิพิเศษ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวยุคดิจิทัลอย่างครบครัน   

ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ชูแคมเปญ “ทรูทั่วไทย” ทั่วไทย ทั่วถึง ทุกคน : เช็คสัญญาณถึงที่ 4 ภาคทั่วไทย เช็คอินความสุขให้คนไทย เช็คสปีดเน็ตไม่สะดุด ชัวร์ทุกพื้นที่ นำคณะผู้บริหารเยือนขอนแก่นตรวจสอบคุณภาพสัญญาณทรู 5G ให้ดีที่สุด ทั่วภาคอีสาน  ชูความโดดเด่นเน็ตเวิร์คคุณภาพ รองรับการท่องเที่ยว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกจุดท่องเที่ยวอันซีนต้องไม่อันสัญญาณ สร้างประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสเพื่อลูกค้าทั้งทรูและดีแทค  นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ พร้อมคัดสรรสินค้าบริการ และสิทธิพิเศษ เพื่อรักษาฐานลูกค้า สร้างความแตกต่าง และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวยุคดิจิทัลอย่างครบครัน   

ขยายเน็ตเวิร์ค ยกระดับเครือข่ายทรู 5G  ให้ความเร็วสูงสุดเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่า รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมให้ความมั่นใจกับคนไทย และนักท่องที่ยวทุกคน ว่า ทรู 5G  เป็นเครือข่ายที่ดีที่สุด โดยเฉพาะภายหลังการรวมกัน  ทำให้มีเสาสัญญาณเพิ่มมากขึ้น คลื่นความถี่เพิ่มมากขึ้น ความครอบคลุมกว้างไกลยิ่งขึ้น ทีมงานวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและระดับโลกที่ผ่านมากขึ้น รวมทั้งการนำ AI  เข้ามาเสริมศักยภาพเครือข่ายให้อัจฉริยะยิ่งขึ้น  อีกทั้งยังเดินหน้ายกระดับเครือข่ายทรู 5G ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น (Network Modernization)  ทยอยอัปเกรดเสาสัญญาณทั่วประเทศมาตั้งแต่ปลายปี 2566 นำร่องไปแล้วหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองที่เป็นสมาร์ท ซิตี้อย่าง ขอนแก่น เชียงใหม่ นครราชสีมา ภูเก็ต และสงขลา ตลอจนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อีกด้วย ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจมากคือคุณภาพสัญญาณและความเร็วสูงสุดในการใช้งานบนมือถือ ทั้ง 5G และ 4G เพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งจะเสริมศักยภาพการใช้งานเน็ตในทุกจุดท่องเที่ยวให้ได้รับประสบการณ์ระดับเวิล์คลาสได้อย่างแน่นอน  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning มาใช้ตรวจดูการใช้สัญญาณ ทำให้เรารู้ถึงปริมาณการใช้งานในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว หรือช่วงเทศกาลที่มีคนใช้งานเยอะ และแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วหากเกิดกรณีฉุกเฉิน เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีที่สุด จากข้อมูล* พบว่า อัตราการใช้งานดาต้าเฉลี่ยทั่วประเทศ15.59 % ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 13.14 % จึงทำให้ทีมเร่งขยายเน็ตเวิร์ค ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น  ทั้งนี้การันตีจากสถาบันทดสอบคุณภาพระดับโลก nPerf ฝรั่งเศสกับรางวัลเครือข่ายที่ดีที่สุด 8 ปีซ้อน

รักษาฐานลูกค้า สร้างความแตกต่างและเติมเต็มความสุขทุกไลฟ์สไตล์

นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ด้วยพันธกิจของทรู คอร์ปอเรชั่น ตั้งแต่ไตรมาส 2 ไปจนถึงสิ้นปีนี้ เป้าหมายหลักคือ  ดูแลลูกค้าคนสำคัญด้วยการมุ่งสร้างประสบการณ์ระดับเวิล์ดคลาส  ด้วยกลยุทธ์หลัก 5 ด้าน 1. เครือข่ายคุณภาพที่ดีที่สุด  2. การให้บริการและดูแลลูกค้าด้วยหัวใจ ทั้งหน้าช็อป และ Call Center 3. เติมเต็มด้านสิทธิประโยชน์ และสิทธิพิเศษให้ลูกค้า ทั้งอิ่ม ช้อป เพลิน กับพาร์ทเนอร์ชั้นนำ 4. ตอบรับวิถีดิจิทัลด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น แอปไอเซอร์วิส แอปดีแทค “มะลิ AI” เพื่อให้ลูกค้าสามารถเช็คข้อมูลการใช้งานได้ง่ายๆด้วยตัวเอง และ 5. สร้างความแตกต่างให้ลูกค้ารู้สึกว่า ใช้บริการทรู คุ้มค่าที่สุด  สามารถรับชมความบันเทิงระดับโลก ทั้งพรีเมียร์ลีก หนังดัง ซีรีส์ฮิต และแอปดัง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำความพร้อมด้านเครือข่ายคุณภาพของทรู จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “ทรูทั่วไทย”  ที่จะนำคณะผู้บริหารเดินทางไป 4 ภาคทั่วประเทศตลอดทั้งปี 2567  เพื่อร่วมพิสูจน์สัญญาณทรู 5G  เช็คสปีดเน็ตทุกพื้นที่ และยกระดับประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เน็ต ทั่วไทย ทั่วถึง ทุกคน ทุกพื้นที่ ทั้งในเมืองหลวง เมืองหลักและเมืองรอง  โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาที่จังหวัดขอนแก่น เน้นแลนด์มาร์ค และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของจังหวัด ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เช่น ศาลหลักเมืองขอนแก่น บึงแก่นนคร พระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น วัดเก่าแก่ดั้งเดิมของขอนแก่น มีอายุมากว่า 200 ปี นอกจากนี้ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะสัมผัสกับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาส พร้อมทั้งจัดเตรียมแพ็กเกจที่ดีที่สุดและได้รับความนิยมสูงจากพี่น้องชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” 

  • ซิมฮัลโหล จากทรูมูฟ เอช แบบเติมเงิน
  • โทรฟรีไม่อั้น เม้าส์ได้ทั้งวันทั่วไทย เพียง 49 บาท
  • เปิดเบอร์ วันนี้ ใช้ฟรี 5 วัน (หลังจากนั้นหักค่าบริการอัตโนมัติ 49 บาท ทุกๆ 5 วัน)
  • เน็ตเร็ว 15Mbps 5GB (FUP 384 Kbps)
  • โทรฟรีทุกเครือข่าย 30 นาที
  • WiFi ฟรี ไม่อั้น
  • รับโบนัสโทรฟรีในเครือข่ายเพิ่ม นาน 30 วัน เพียงเติมเงินสะสมครบ 150 บาท/เดือน และกดรับสิทธิ์ *900*9815# โทรออก ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พ.ค. 2567

หมายเหตุ :

  • กดรับสิทธิ์ ภายใน 7 วันนับจากวันที่ได้รับ SMS แจ้งสิทธิ์
  • รับสิทธิ์ต่อเนื่องได้นานสูงสุด 12 เดือน เมื่อเติมเงินสะสมครบทุกเดือน และกดรับสิทธิ์ทุกครั้ง
  • ซิมโซเชียล 4G+ จากทรูมูฟ เอช แบบเติมเงิน
  • เล่นโซเชียลแอปดัง ฟรีไม่อั้นทั้งปี เพียง 49 บาท
  • เปิดเบอร์ วันนี้ ใช้ฟรี 5 วัน (หลังจากนั้นหักค่าบริการอัตโนมัติ 49 บาท ทุกๆ 5 วัน)
  • เน็ตเร็ว 15Mbps 5GB (FUP 384 Kbps)
  • โทรฟรีทุกเครือข่าย 30 นาที
  • WiFi ฟรี ไม่อั้น
  • รับโบนัสเพิ่มฟรี นาน 30 วัน เพียงเติมเงินสะสมครบ 150 บาท/เดือน และรับสิทธิ์ต่อเนื่องได้นานสูงสุด 12 เดือน เมื่อเติมเงินสะสมครบทุกเดือน เล่นฟรีโซเชียล 6 แอปฮิตไม่อั้น ไม่เสียค่าเน็ต 30 วัน (เฟชบุ๊ค, แมสเซนเจอร์, ไลน์, ไอจี, ทวิตเตอร์, วอตส์แอปป์) ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พ.ค. 2567

*ข้อมูล YoY เดือนกุมภาพันธ์ 2566 : กุมภาพันธ์ 2567

“ความรู้คู่คุณธรรม” (Knowledge and Morality) ถือเป็นแนวคิดทางปรัชญาที่ปรากฏอย่างแพร่หลายบนพื้นที่อารยธรรมหลักของโลกมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นกรีก-โรมัน อินเดีย และจีน สะท้อนถึงคุณค่า ความเชื่อ และวัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกันที่แต่ละสังคมยึดถือ

กรอบคิดดังกล่าวเป็นที่พูดถึงอย่างมากในสังคมไทยช่วงปี 2540 เมื่อคณะกรรมการศึกษาวิจัยปัญหาสังคม เปิดเผยว่า ครอบครัวไทยในสังคมเมือง นอกจากไม่อบรมให้ความรู้แก่บุตรหลานในทางที่ถูกต้องแล้ว ยังสร้างค่านิยมในทางตรงข้ามให้เด็ก ท่ามกลางการพัฒนาทางสังคมและเทคโนโลยีล้ำสมัย

เพื่อร่วมส่งเสริมให้เยาวชนไทย ได้เติบโตเป็นคนดี พร้อมเป็นแบบอย่างให้แก่คนรอบข้าง คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงมีแนวคิดมุ่งเผยแพร่ความรู้ ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และนำไปปฏิบัติพัฒนาตนเอง สร้างสังคมที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน จนเกิดเป็นโครงการ “สามเณร ปลูกปัญญาธรรม” รายการเรียลลิตี้ธรรมะเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ โดยปัจจุบันล่วงเข้าปีที่ 10

True Blog มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆ อดีตสามเณร 10 คน ถึงแรงบันดาลใจในการเข้าร่วม การเปลี่ยนแปลงทางความคิดและพฤติกรรม รวมถึงเหตุการณ์ที่น่าประทับใจ

มองปัญหาผ่านการคิดเชิงเหตุผล

อภิภู เตชะอาภรณ์ชัย หรือ เพชร เข้าร่วมโครงการฯ เป็นรุ่นแรก ขณะนั้นมีอายุเพียง 10 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยเขาตัดสินใจเข้าร่วมโครงการด้วยตัวเอง เพราะตระหนักถึงลักษณะนิสัยส่วนตัวที่มีความหุนหันพลันแล่น อารมณ์ร้อน โมโหง่าย ซึ่งอาจนำมาสู่การยั้งคิด ขาด “สติ” และนำมาซึ่งภยันตรายตามมา คิดได้ดังนั้น เพชรจึงน้อมนำคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าสู่ทางธรรมด้วยการบวชเรียน ขัดเกลาให้เป็นคนที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เป็นเวลา 1 เดือนเต็มที่เพชรได้เรียนรู้และฝึกตนภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก โดยมีพระพรหมวชิรสุธี เจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เป็นพระอาจารย์ใหญ่ เพชร บอกว่า การเข้าร่วมโครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรมนำมาสู่ “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญของชีวิตวัยเด็ก โดยในช่วงแรกของการบวชเรียน เพชรต้องปรับตัวกับระเบียบและกฎเกณฑ์แบบบรรพชิต ซึ่งแตกต่างจากคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง รวมถึงเข้าร่วมบททดสอบทางจิตใจต่างๆ

แต่ด้วยการฝึกตนเพียง 1 เดือน ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่ จากเดิมเป็นคนใจร้อน หุนหันพลันแล่น ก็กลายเป็นคนที่ใจเย็นลง มีสติ และใช้เหตุผลการในการดำเนินชีวิตมากขึ้น โดยพิจารณาถึงผลลัพธ์แห่งการกระทำ และการฝึกใจปล่อยวาง

ด้วยแนวทางการพัฒนาตัวเองตามหลักพุทธศาสนาที่ศึกษาผ่านโครงการฯ เพชรได้นำมาปรับใช้กับการทำงาน โดยพินิจพิเคราะห์ถึง “ปัญหาและอุปสรรค” ที่เกิดขึ้นจากปัจจัยแวดล้อมอันมีเหตุและผลเป็นเครื่องบ่งชี้ รวมถึงการปล่อยวางต่อสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งถือเป็นการฝึกจิตให้สงบ ไม่ยึดมั่นถือมั่น

ปัจจุบัน เพชร กำลังศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมข้อมูล วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะด้วยความสนใจด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนโลก ขณะเดียวกัน ยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอยู่มาก

“ผมมองว่าวิทยาศาสตร์และธรรมะมีจุดร่วมสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาเป็นสิ่งที่ดีขึ้น นั่นคือ การคิดเชิงเหตุผล ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาและวิทยาการ ช่วยแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์สรรพสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ได้นานัปการ” เพชร อธิบาย

ธรรมะในชีวิตประจำวัน

ปัญญ์ เทอดสถีรศักดิ์ หรือ ปัน อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมรุ่น 2 บอกเล่าถึงเหตุผลที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่า ส่วนตัวมีความสนใจด้านธรรมะอยู่แล้ว ด้วยเพราะครอบครัวปลูกฝัง-อธิบายหลักธรรมมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อได้ติดตามชมรายการของรุ่น 1 ก็รู้สึกชื่นชอบในเนื้อหาคำสอนของพระอาจารย์ และกิจกรรมภายในโครงการ จึงยื่นใบสมัครอย่างไม่ลังเล และท้ายที่สุดก็ได้รับการคัดเลือก

“พระอาจารย์มีเทคนิคการถ่ายทอดธรรมะที่เข้าใจง่าย โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน พร้อมให้เราเลือกวิธีการรับมือกับปัญหา ซึ่งสุดท้าย พระอาจารย์จะค่อยๆ อธิบายหลักธรรม เข้าใจถึงหลักคิด ทำให้เรานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันต่อไปได้” ปัน เล่า

ปัจจุบัน ปันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (ภาคอินเตอร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ความกดดัน ความทุกข์ที่เป็นวัฏฏะของโลกทุนนิยม แต่ด้วย“หลักธรรม” ที่เรียนรู้จากโครงการฯ ทำให้ปันสามารถแก้ไขกับปัญหาและผ่านอุปสรรคอย่างเต็มประสิทธิภาพมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สติและสมาธิ” ตั้งจิตอยู่กับปัจจุบันเพื่อมองอนาคต

ใช้ “สติ-สมาธิ” นำทาง

ศุภฤกษ์ กอธงชัย หรือ แบ็งค์ชาติ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ 2 ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเรื่องราวแรงบันดาลใจของรุ่นพี่ปี 1 ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองอย่างชัดเจน ประกอบกับตัวโปรแกรมกิจกรรมฝึกตนที่น่าสนใจอีกด้วย

ภายใต้โปรแกรมการฝึกฝนขัดเกลาตัวเองระยะเวลา 1 เดือนเต็ม ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ทำให้แบ็งค์เข้าใจหลักในการพัฒนาชีวิตอย่างบูรณาการผ่านหลักธรรม “ไตรสิกขา” ซึ่งประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในแง่ของการต่อยอดทางการเรียนรู้

ปัจจุบัน แบ็งค์ชาติ กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ยิ่งทำให้เขาต้องใช้ “สมาธิและสติ” อย่างมาก เพราะอาชีพแพทย์เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของชีวิต ต้องอาศัยความละเอียด รอบคอบ ความผิดพลาดต้องเป็นศูนย์

“ตอนที่กำลังจะสึก พระอาจารย์ให้สามเณรทุกรูปสรุปคำสอนที่ผ่านมาแบบง่ายๆ ทำให้ผมคิดได้ว่า ทุกการกระทำ ทุกย่างก้าวของชีวิต มนุษย์ต้องใช้ ‘สติและสมาธิ’ นำอารมณ์อยู่เสมอ ซึ่งผมยังคงน้อมนำหลักคำสอนนั้นมาใช้เป็นแก่นในการดำเนินชีวิตประจำวันในทุกวันนี้” แบ็งค์ชาติ กล่าว

นอกเหนือจากการขัดเกลาและพัฒนาตัวเองแล้ว แบ็งค์ชาติยังได้เรียนรู้ถึงการมีเมตตา เอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ และนั่นได้จุดประกายเป้าหมายใหญ่ในชีวิตที่ต้องการกระจายโอกาสในการรักษา เข้าถึงระบบสาธารณสุขให้ดียิ่งขึ้น เพื่อโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน

ความละอายต่อบาป

พชรณัฏฐ์ เยียระติกานต์ หรือ เป้ยเป้ย อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 3 เล่าถึง เหตุผลการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ว่าเดิมที เขาต้องการบวชให้คุณปู่ที่เพิ่งเสียชีวิตเป็นหลัก แต่เมื่อเข้ากระบวนการฝึกตน ผลลัพธ์ที่กลับมามากมายเหลือคณานับ โดยเฉพาะวิธีการควบคุมอารมณ์ โดยใช้ “สติ” เป็นเครื่องจับอารมณ์ ทำให้จากเดิมที่เป็นคนอารมณ์ร้อน เสี่ยงต่อการมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ก็กลายเป็นคนที่นิ่งขึ้น

นอกจากนั้น เป้ยเป้ยยังได้เรียนรู้มุมมองด้าน “ความรัก-ความเมตตา” โดยเริ่มจากรักตัวเอง แผ่ขยายออกเป็นวงกว้างสู่เพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง ทำให้เขารู้จักถึง “การให้-การแบ่งปัน” พร้อมกับที่จะกระทำหากมีโอกาส

“ที่สำคัญ การที่ผมได้เรียนรู้เรื่องบาป บุญ คุณ โทษ ทำให้เรารู้ซึ้งถึงความละอายต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) ตระหนักถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรกระทำ ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ทุกคนในสังคมควรมี และจะทำให้สังคมอยู่กันอย่างสันติขึ้น” เป้ยเป้ย กล่าว

เป้ยเป้ยยังบอกอีกว่า เป้าหมายในวันนี้ของเขาคือการเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศแคนนาดา ซึ่งแน่นอนว่ามีปัญหาและอุปสรรครออยู่เบื้องหน้า แต่เขาเชื่อว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากโครงการฯ จะเป็นเครื่องนำทางให้เขาใช้ชีวิตต่างถิ่นได้อย่างราบรื่น

รู้ทันความปรุงแต่งของจิต

เทรเวอร์ ทารา โรวเลย์ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรม นานาชาติ ลูกครึ่งเชื้อสายไทย-นิวซีแลนด์ เผยถึงการร่วมโครงการฯ ว่า ตัวเขาเองต้องการเรียนรู้ ทำความเข้าใจหลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธให้ลึกซึ้งขึ้น ที่สำคัญ การถ่ายทอดผ่านรายการเรียลลิตี้ยังเป็นอีกช่องทางที่ให้คนรอบตัวเขาได้ศึกษาธรรมะไปพร้อมกันด้วย

เดิมที เทรเวอร์เป็นคนที่มีสมาธิสั้น แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการฝึกทำสมาธิกับพระอาจารย์ ทำให้ตอนนี้ เขามีจิตใจจดจ่อและสมาธิต่อการกระทำหนึ่งๆ มากขึ้น จนปัจจุบัน การฝึกทำสมาธิได้กลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน โดยจะต้องทำสมาธิและสวดมนต์ไหว้พระทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน ส่งผลให้มีสมาธิและสติกับการเรียนมากขึ้น

“กิจกรรมหนึ่งที่วัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี พระอาจารย์ได้ฝึกเรากำหนดจิตให้มีสติตั้งมั่นโดยการนอนอยู่ที่หน้าเชิงตะกอน ซึ่งแปลกใหม่สำหรับผมมากและใจหนึ่งก็แอบกลัว แต่สุดท้ายแล้ว ความตายเป็นสิ่งธรรมดา มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป” เทรเวอร์ เล่าถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจ

รัก-รอ-พอ-ให้

ปวเรศ แอนโทนี ปราณีประชาชน หรือ ป๊อบ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 5 บอกว่า ขณะนั้น ทีมงานฯ ได้ไปประชาสัมพันธ์โครงการฯ ที่โรงเรียน เขาสนใจอยากศึกษาหลักธรรมมากขึ้น จึงร่วมกิจกรรมค่ายธรรมะ 3 วัน 2 คืนก่อน จากนั้นเกิดความเลื่อมใสและสมัครร่วมบรรพชาสามเณรปลูกปัญญาธรรมเป็นเวลา 1 เดือน ณ วัดเขาวง จ.สระบุรี

ด้วยเมตตาจากพระราชภาวนาพัชรญาณ เจ้าอาวาสวัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์) ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ท่านมีสอนหลักธรรมและบทสวดมนต์ที่แฝงไว้ด้วยความหมายและกุศโลบายที่ลึกซึ่ง พร้อมด้วยเทคนิคการสอนธรรมะที่เข้าใจง่าย ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องสมาธิและความอดทน ตัวอย่างเช่น อาการหิวตอนดึกที่ต้องอาศัยความอดทนล้วนๆ เลย

“ผมมีโอกาสได้ขึ้นเทศน์และบรรยายหลักธรรมตามเข้าใจของผม ซึ่งอาจมีติดขัดบ้าง แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้พัฒนาตัวเอง และยังได้ส่งต่อรอยยิ้มให้แก่ญาติโยมอีกรูปแบบหนึ่งครับ” ป๊อบ เล่าถึงเหตุการณ์ประทับใจ

ธรรมะคือพื้นฐานสังคมที่น่าอยู่

 

อาชว์ วรรธนะภัฏ หรือ ปุณณ์ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 6 เล่าถึงแรงบันดาลในการบรรพชาสามเณรว่า เดิมทีเขาต้องการบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เพิ่งสวรรคตไป ในเวลาเดียวกัน ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 8 ขวบ ความตื่นเต้นปนประหม่าจึงเกิดขึ้นจากการที่ต้องห่างอกพ่อแม่เป็นระยะเวลา 1  เดือนเต็ม

แต่เมื่อผ่านกิจกรรมต่างๆ นานาของโครงการฯ ทั้งวัตรปฏิบัติแบบบรรพชิตและกิจกรรมขัดเกลาตนเอง ทำให้เขาได้เปิดโลกกว้าง รู้จักใช้ชีวิตกับคนหมู่มาก ทั้งเณรเพื่อน พระพี่เลี้ยง ทีมงาน ซึ่งจำต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎกติกา รวมถึงการตระหนักถึงความสำคัญของการให้-การแบ่งปัน ที่สำคัญ ยังได้เรียนรู้และฝึกตน เพื่อการเจริญสติ รู้จักคุมอารมณ์ในยามที่เขากำลังเปลี่ยนผ่านสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นบนโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุ

“ผมมีความฝันอยากให้ทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมะมากขึ้น เพราะธรรมคือความสุข ทางออก ความพอดี ความเท่าเทียม ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานของสังคมที่น่าอยู่” ปุณณ์ ในวัย 14 ปี เล่า

สันติ-อหิงสา

จิรวัชร หอมเกตุ  หรือ ท็อป อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมรุ่นที่ 7 บอกว่า เขาเป็นแฟนรายการมานานแล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาสนใจในหลักธรรมคำสอน และเมื่อมีโอกาสเขาจึงส่งใบสมัครและได้รับการคัดเลือก

“ผมดีใจมากครับที่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งหลังจากนั้นผมก็รีบเตรียมตัวหาข้อมูลศึกษาเกี่ยวกับสายพระป่า หาหนังสือหลวงปู่ชามาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ เพราะต้องไปอยู่วัดป่าไทรงาม วัดสาขาของวัดหนองป่าพง โดยมีพระราชภาวนาวัชรมุนี  เมตตาเป็นพระอาจารย์ใหญ่” ท็อป กล่าว

เหตุการณ์ที่ผมประทับใจและทดสอบจิตใจมากที่สุดคือ “การฝึกธุดงควัตรริมเชิงตะกอน” ซึ่งเขาเป็นคนกลัวผีมาแต่เดิม แต่ด้วยวิธีการฝึกจิตของพระอาจารย์ ทำให้ท็อปตระหนักรู้ถึงความปรุงแต่งในใจของตัวเอง หลังจากนั้น ทำให้เขาเข้าใจถึงธรรมะแห่งการมี “สติ” รู้ตนเอง รู้ปัจจุบัน เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น

และด้วยการฝึกสมาธิ เจริญสติ ภาวนานี้เอง ช่วยเปลี่ยนท็อปจากคนอารมณ์ร้อน-ฉุนเฉียวง่าย เป็นคนที่นิ่ง-เท่าทันอารมณ์ตัวเอง สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ก่อเกิดความมั่นใจและทักษะความเป็นผู้นำ ที่เเต่เดิมเขาไม่มีเลย

“ผมมีเป้าหมายในการทำหน้าที่ทูต อยากเป็นผู้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาคมโลก อยากเห็นสังคมอยู่อย่างสงบสุข เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจากหลัก Compassion and  Kindness ที่เป็นตัวจุดประกายแนวคิดเรื่องสันติ-อหิงสาตามหลักศาสนาพุทธ” ท็อป อธิบาย

เมตตา-กรุณา: กุญเเจแห่งความสุข

กฤษิกร เศรษฐวรากร หรือ นะโม อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปีที่ 8 บอกว่า เขาตัดสินใจยื่นใบสมัครบรรพชาเป็นสามเณรกับโครงการฯ ทันที เมื่อเปิดรับสมัคร เพราะจากการติดตามรายการฯ พบว่ากิจกรรมน่าสนใจ  บวกกับลักษณะนิสัยที่เป็นคนสนใจใครรู้ ทำให้ยื่นใบสมัครอย่างไม่ลังเล ไม่มีคำว่ากลัวหรือกังวลอยู่ในหัวเลย และเมื่อผลการคัดเลือกประกาศ ชื่อของนะโมติด ก็ยิ่งดีใจกระโดดโลดเต้นไปใหญ่

สำหรับปีที่ 8 นี้ ได้รับเมตตาจากพระราชวัชรโพธิคุณ เจ้าอาวาสวัดสวนโมกข์ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นอาจารย์ใหญ่ ผ่านแนวคิดหลัก “เมตตา-กรุณา” อันเป็นกุญแจเปิดใจให้พบกับความสุข ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินจงกรม การทำวัตร การสนทนาธรรม ทำให้นะโมรู้สึกตื่นเต้นกับกิจกรรมที่ได้เรียนรู้ในแต่ละวันพร้อมกับเรียนรู้หลักธรรมอย่างง่าย ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเข็มทิศนำทางเส้นทางเดินชีวิตในอนาคต

“ทุกครั้งที่ผมเจอกับปัญหาการเรียนหรือต้องตัดสินใจ ผมจะยึดหลักธรรมะเป็นพื้นฐานทางจิตใจเสมอ เพื่อให้มั่นใจการแก้ไขหรือตัดสินใจเป็นไปตามครรลองคลองธรรม” นะโม กล่าว

และด้วยหลักธรรมที่เขาได้เรียนรู้ นะโมวัยเพียง 10 ปีจึงมาพร้อมกับฝันใหญ่ที่ต้องการทำงานจิตอาสา ช่วยเผยแผ่หลักธรรมแก่พุทธศาสนิกชนได้เรียนรู้อย่างเข้าใจง่าย เพื่อเป็นพื้นฐานทางใจในการดำเนินชีวิตในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ธรรมะคือพื้นฐานของมนุษย์

ณัฐชานนท์ ยงกฤตยา หรือ ปอนด์ อดีตสามเณรปลูกปัญญาธรรมปีที่ 9 บอกว่า เขาต้องการตอบแทนคุณพ่อแม่ อากงอาม่า ตามคติความเชื่อเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ เพิ่มเติมจากความสนใจในธรรมะ-เข้าคอร์ปฏิบัติธรรมเป็นทุนเดิม

“การบวชเณรครั้งนี้ ทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น ทั้งนิสัย การยอมรับและปรับปรุงตน การพัฒนาตัวเอง รวมถึงความเข้าใจในพุทธประวัติอย่างลึกซึ้ง เป็นโชคดีที่โครงการฯ ในปีนั้นจัดขึ้น ณ พุทธโบราณสถาน วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยความเมตตาของพระราชภาวนาวชิรญาณ เจ้าอาวาสเป็นพระอาจารย์ใหญ่ ทำให้ผมมองเห็นความเชื่อมโยงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่มีมาอย่างยาวนานครับ” ปอนด์ บอกเล่าความรู้สึก

ธรรมะคือพื้นฐานที่มนุษย์ควรมีในทุกขณะ เป็นนักเรียนก็ต้องมีธรรมะ ฝึกสติและสมาธิเพื่อไตร่ตรองสิ่งใดเป็นกุศลหรืออกุศล ฝึกตนให้มีความใจกว้าง มีเหตุผล รับฟังผู้อื่น เมื่อต้องเข้าสังคม และนี่คือเป้าหมายของเด็ก ม.1 อย่างปอนด์ที่ต้องการเรียนให้ได้ความรู้และเป็นคนดีมีคุณธรรม

ติดตามเรื่องราวของเหล่าสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปี 10 ขณะบรรพชา ได้ทางช่องเรียลลิตี้ ทรูวิชั่นส์ ช่อง 60, 99 และช่องเรียลลิตี้ เอชดี ทรูวิชั่นส์ ช่อง 119, 333 หรือทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน TrueID หรือ www.truelittlemonk.com พร้อมรับชมช่วงไฮไลท์ประจำวัน ที่จะออกอากาศทาง TNN ช่อง 16, ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และช่องทรูปลูกปัญญา (ทรูวิชั่นส์ 37) ตั้งแต่วันนี้ถึง 18 พฤษภาคม 2567 นี้

X

Right Click

No right click