December 17, 2025

นายวิสุทธ จงเจริญกิจ กรรมการบริหาร บริษัท เอสซีไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จำกัด (SCIeco) (คนที่ 3 จากขวา) นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานกรรมการ บริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (UACE) (คนที่ 3 จากซ้าย)  และ Mr. Widiyo Buntoro ผู้บริหารบริษัท PT Terang Hidup Energy (THE) ร่วมลงนามสัญญาการร่วมทุนในบริษัท PT Cahaya Yasa Cipta (CYC) โดยบริษัท SCIeco ถือหุ้นในสัดส่วน 10% ร่วมกับสองผู้ร่วมทุน ได้แก่ บริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (UACE) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ UAC และบริษัท PT Terang Hidup Energy (THE) ถือหุ้นในสัดส่วน 60% และ 30% ตามลำดับ

บริษัท PT Cahaya Yasa Cipta (CYC) เป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย (RDF3) ตามแนวคิด Turn Waste to Value ที่มีกำลังการผลิต 150 ตันต่อวัน จากการกำจัดขยะสด และขยะในหลุมฝังกลบของชุมชน ซึ่งช่วยกำจัดขยะ 300 ตันต่อวันหรือประมาณ 110,000 ตันต่อปี เพื่อทดแทนการใช้พลังงานถ่านหิน 70 ตันต่อวัน ทำให้ช่วยลดคาร์บอนทั้งระบบได้ 30,000 ตันคาร์บอนต่อปี โดยเชื้อเพลงขยะมูลฝอย (RDF3) ที่ได้จากการผลิต นำมาใช้สำหรับจัดจำหน่ายให้กับโรงปูนซีเมนต์ในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น บริษัท PT SEMEN JAWA ในเครือเอสซีจี ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจที่ประเทศอินโดนีเซียแล้ว ยังดำเนินการตามแนวทาง ESG มุ่งสู่ธุรกิจสีเขียวก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำด้วย

นายทะกุมิ คะซะริโมะโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด (ขวามือ) มอบผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตรา ยำยำ จำนวน 300 ลัง มูลค่ารวม 201,600 บาท แก่มูลนิธิกระจกเงา โดยนายอุเทน นึกถึง เจ้าหน้าที่โครงการแบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง มูลนิธิกระจกเงา (ซ้ายมือ) เป็นตัวแทนในการรับมอบ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคเหนือ พร้อมเตรียมบริจาคเพิ่มเติมให้กับหลายหน่วยงาน องค์กร และมูลนิธิ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นขณะนี้

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่นเดลิเวอรี่ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2567 โดยสถาบันไทยพัฒน์

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มบริการ และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน (พ.ศ.2561-2567)

“ซีพี ออลล์ ได้กำหนดกรอบกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน 2024-2025 (CP ALL Sustainability framework) ด้วย 2-ลด 4-สร้าง 1-DNA ได้แก่ ลดการใช้พลาสติก - ลดการใช้พลังงาน สร้างคน - สร้างงาน - สร้างอาชีพ - สร้างชุมชนอุ่นใจ และ DNA ความดี 24 ชั่วโมง โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นเป็นองค์กรที่อยู่เคียงคู่ชุมชน สร้างสรรค์สังคมยั่งยืน ผ่านแนวคิด ESG ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่า จนได้รับการรับรองให้อยู่ในทำเนียบ ESG100 มาอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ การจัดอันดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน

สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบในปีนี้

ขณะที่ การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมแบ่งปันน้ำใจบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมาก รวมถึงยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ยังรอการช่วยเหลือและยังติดอยู่ในพื้นที่

ทิพยประกันภัย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อความห่วงใย เปิดจุดรับบริจาคสิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง ยารักษาโรค เสื้อผ้า และของใช้ประจำวันอื่น ๆ โดยทิพยประกันภัยจะรวบรวมและนำสิ่งของต่างๆ ที่ได้รับบริจาคไปกระจายให้กับพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อนและศูนย์ช่วยเหลือต่างๆต่อไป โดยท่านสามารถนำสิ่งของมาบริจาคที่

 

  • ทิพยประกันภัย สำนักงานใหญ่ ถนนพระราม 3 กรุงเทพฯ (จ - อา เวลา 8.30 - 18.00 น.)
  • ทิพยประกันภัย สาขาเชียงใหม่ ถนนเจริญเมือง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (จ - อา เวลา 6.00 - 20.00 น.)
  • ทิพยประกันภัย สาขาลำปาง ถนนไฮเวย์ลำปาง-งาว อ.เมือง จ.ลำปาง (จ - อา เวลา 6.00 - 20.00 น.)

นอกจากการเปิดรับบริจาคแล้ว ทิพยประกันภัยยังส่งทีม TIP Smart Assist และหน่วยหนุมานทิพยจิตอาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องในจังหวัดเชียงรายโดยตรง รวมถึงให้บริการยกรถฟรีแก่ลูกค้าและประชาชนที่ประสบภัย อีกทั้งจะเร่งดำเนินการตรวจสอบความเสียหาย และจ่ายค่าสินไหมให้แก่ลูกค้าทิพยประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมนี้ ทั้งที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินอื่นๆ โดยลูกค้าสามารถแจ้งเคลมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านสายด่วน 1736 กด 1

“ทิพยประกันภัยขอส่งกำลังใจและความห่วงใยไปยังผู้ประสบภัยทุกคน เราจะผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน”

 

Green Together – Growth Together สร้างห่วงโซ่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน

เป็นครั้งแรกของ โก โฮลเซลล์ (GO Wholesale) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร จุดหมายใหม่เพื่อผู้ประกอบการ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ในการออกบูทโชว์ศักยภาพความพร้อมและนำเสนอโซลูชั่นต่างๆ ให้ตอบโจทย์ผู้ประกอบการทุกกลุ่มธุรกิจ ในงาน Restech 2024 ณ อิมแพค เมืองทองธานี โดยมี นายโอลิเวอร์ ก็อตชัลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG และคณะผู้บริหาร เบทาโกร ให้การเยี่ยมชมบูทในฐานะ Strategic Partner สำคัญ ที่สร้างการเติบโตร่วมกัน ภายใต้แนวคิด “The New Choice for All” โดยมี นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยและต่างประเทศ, นายริคาร์โด้ โบอารอตโต้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจเซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซล ประเทศไทย และ นางซันนี่ ชิดิด รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบริหารสินค้าธุรกิจค้าส่ง พร้อมคณะผู้บริหาร โก โฮลเซลล์ ให้การต้อนรับ

ทั้งนี้ “เบทาโกร” เป็นหนึ่งในพันธมิตรทางธุรกิจ ที่ร่วมกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตทางธุรกิจของ โก โฮลเซลล์ ล่าสุด กำลังจะเปิดสาขาใหม่ “โก โฮลเซลล์ สาขาเมืองภูเก็ต” จังหวัดภูเก็ต เป็นสาขาลำดับที่ 9 ในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการทางการเงินที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ส่งบริการสำหรับธุรกิจ "TrueMoney Gift Card" ซึ่งเป็นการ์ดของขวัญออนไลน์แทนเงินสดไว้ใช้แลกเข้าแอปทรูมันนี่ โดยเป็นบริการที่เจาะกลุ่มองค์กรเพื่อใช้มอบให้ลูกค้าเป็นของขวัญหรือแจกพนักงานเป็นของรางวัล เพื่อความสุขที่มากกว่า คนรับดีใจ คนให้สะดวกดี ชูจุดเด่น โอนและใช้จ่ายได้หลากหลายช่องทาง จัดการง่าย ไม่ต้องกลัวสูญหาย โดยองค์กรที่สนใจสามารถใช้บริการได้อย่างสะดวก ปลอดภัย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้ให้และผู้รับ

นางสาวมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ กล่าวว่า “ปัจจุบัน ภาพรวมของตลาดบัตรของขวัญออนไลน์ (Online Gift Card) ในประเทศไทย กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 24.8% ตั้งแต่ปี 2563 - 2567 โดยประมาณการว่าตลาดบัตรของขวัญออนไลน์มีมูลค่าสูงถึง 3 หมื่น 9 พันล้านบาทในปี พ.ศ. 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของบัตรของขวัญในฐานะตัวเลือกสำหรับการมอบของขวัญที่สะดวก ซึ่งมักเป็นที่นิยมในองค์กรต่าง ๆ เพื่อมอบให้ลูกค้าในเทศกาลสำคัญ วันพิเศษ หรือเป็นของรางวัลจากการจัดแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ตลอดทั้งมอบให้เป็นสวัสดิการหรือเพื่อส่งมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่พนักงาน ทรูมันนี่ จึงเล็งเห็นโอกาสตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ และต่อยอดขยายบริการที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของลูกค้าแต่ละองค์กร โดย “TrueMoney Gift Card” ได้ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวก มอบสิทธิพิเศษ และประโยชน์ให้ลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ เพราะสามารถซื้อและมอบให้ผู้รับผ่านทางออนไลน์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการบริหารองค์กร ขับเคลื่อนแรงจูงใจ พร้อมทั้งเติมเต็มความประทับใจให้กับลูกค้าหรือพนักงานขององค์กร”

สำหรับการเปิดตัว TrueMoney Gift Card ในครั้งนี้ ทรูมันนี่ ได้ร่วมกับ โวกิ (Wogi) ผู้ให้บริการด้านบัตรของขวัญดิจิทัลชั้นนำ เพื่อส่งเสริมประสบการณ์ในการใช้บริการ TrueMoney Gift Card ได้อย่างราบรื่นผ่านโซลูชันที่ล้ำสมัยและตอบโจทย์ผู้ใช้งาน พร้อมกับ 3 จุดเด่น ได้แก่

  • โอนและใช้จ่ายได้หลากหลายกว่า TrueMoney Gift Card สามารถอำนวยความสะดวกและตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างครอบคลุมผ่านแอป ทรูมันนี่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของใช้จำเป็นในร้านสะดวกซื้อ จ่ายค่าอาหารตามสั่ง ช็อปออนไลน์ จ่ายบิลค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ
  • จัดการง่าย ไม่เสี่ยงสูญหาย ด้วยจุดเด่นที่เป็น E-Voucher ทำให้การใช้งานนั้นสะดวกสบาย ไร้กังวล ลดต้นทุนและความยุ่งยากในการเก็บรักษาและการจัดส่ง ปลอดภัย หมดปัญหาเรื่องการสูญหาย หรือถูกทำลาย เพิ่มความมั่นใจ สะดวกทั้งผู้ให้และผู้รับ
  • ตอบโจทย์แคมเปญการตลาดให้ทุกองค์กร เพราะ TrueMoney Gift Card สามารถนำไปใช้งานได้อย่างง่ายดาย จึงเหมาะสำหรับการใช้ในแคมเปญการตลาด ทั้งการเพิ่มยอดขายหรือการสร้าง Brand Loyalty ให้กับลูกค้า

องค์กรที่สนใจสั่งซื้อ TrueMoney Gift Card สามารถติดต่อฝ่ายขายของทรูมันนี่ที่ https://www.truemoney.com/business-partner/giftcard/ โดยเลือกรูปแบบ Gift Card ที่ต้องการได้ เช่น แบบโค้ด หรือ ลิงก์ พร้อมทั้งมีเครื่องมือจัดการ Gift Card และอำนวยความสะดวกในการจัดส่ง Gift Card ให้ลูกค้าบนช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ตรงกับความต้องการขององค์กรในการนำ Gift Card ไปแจกให้กับลูกค้าหรือพนักงานต่อไป

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เผยความสำเร็จใช้โซลูชันจาก Zoom ให้บริการลูกค้ารายใหญ่พิเศษ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยให้พนักงานทำงานร่วมกันสร้างประสิทธิผลที่ดีมากยิ่งขึ้น

นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เดินหน้าวิสัยทัศน์การเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่บริษัทหลักทรัพย์ที่สามารถรับมือกับ “ดิสรัปชัน” ในภาคการเงิน และโมเดลทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ Zoom นำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ช่วยให้หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ เชื่อมต่อกับทีมงานเมย์แบงก์ทั่วโลก รวบรวมข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำมาให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ใช้โซลูชันจาก Zoom เพื่อช่วยรับมือกับความท้าทายต่างๆ เช่น การประชุมผ่าน Zoom ของพนักงานของบริษัทฯ ที่มีเกือบ 1,000 คนและทำงานอยู่ในสถานที่ต่างๆ ในช่วงการระบาดของโควิด 19นอกจากโซลูชันการประชุมเสมือนจริงเพื่อใช้ในการประชุมงานของพนักงานแล้ว หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ยังใช้ Zoom เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมขายที่มีที่ปรึกษาด้านการลงทุนเกือบ 600 คน หากขาดการวิเคราะห์ที่เหมาะสม ทีมงานจะขาดข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

Zoom Phone ถือเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทได้ดีที่สุด นอกจาก Zoom Phone จะช่วยให้บริษัทปฏิบัติตามข้อบังคับด้านการบันทึกการโทรแล้ว ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการโต้ตอบกับลูกค้า ความสามารถของ Zoom Phone ในการติดตามการโทร วิเคราะห์การมีส่วนร่วมของลูกค้า และค้นหารูปแบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความท้าทายด้านประสิทธิภาพการทำงาน ช่วยให้บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) สามารถปรับปรุงกลยุทธ์การขายและมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานและประสิทธิภาพโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ปัจจุบัน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้ Zoom Phone เพื่อช่วยเรื่องการโทรมากกว่า 100,000 สายต่อเดือน โดยเน้นที่การได้ผลลัพธ์ที่เป็นบวกจากการโทรแต่ละครั้ง เพิ่มประสิทธิภาพในการโต้ตอบกับลูกค้า และเพิ่มสัดส่วนการใช้จ่ายของลูกค้าให้มากขึ้น

ความร่วมมือระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) และ Zoom ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่บริการทางการเงินที่มีการพัฒนาอยู่เสมอ โดยความร่วมมือเชิงลึกระหว่าง หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) และ Zoom ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเกรดซอฟต์แวร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานร่วมกันระหว่างการใช้งาน พอร์ทัลที่ใช้ร่วมกัน และการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป้าหมายคือการใช้ซอฟต์แวร์อย่างมีประสิทธิภาพที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา “เช็กสัญญาณโรคหัวใจ รักษาอย่างไรให้หาย - บรรเทา” แก่ลูกค้าทิสโก้เวลธ์ ณ โรงแรม เลอ แคสเซีย จังหวัดขอนแก่น โดยได้รับเกียรติจาก นพ.ยุทธพงษ์ เต็มธนะกิจไพศาล แพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลกรุงเทพขอนแก่น (กลาง) ให้ข้อมูลเรื่องนวัตกรรมการรักษาโรคหัวใจ พร้อมด้วยนายสรัฐพงศ์ เบญจชินาภรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายฝึกอบรมช่องทางการขาย บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (ขวา) อธิบายถึงความสำคัญของประกันโรคร้ายแรง ที่จำเป็นต้องมีควบคู่กับประกันสุขภาพ โดยมีนางอัจฉรา เพชรแสงโรจน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายธนกิจส่วนบุคคล 2 ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (ซ้าย) ให้การต้อนรับ

ภายในงาน โรงพยาบาลกรุงเทพขอนแก่น ได้มอบชุดตรวจสุขภาพหัวใจ ‘Heart Screening Programs’ มูลค่า 10,900 บาท แก่ลูกค้าทิสโก้ทุกท่านที่เข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ การจัดงานสัมมนาดังกล่าวเป็นการจัดสัมมนาให้ความรู้ลูกค้าธนาคารทิสโก้ทั้ง 4 ภาค ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ถือเป็นอีกหนึ่งพันธกิจความร่วมมือระหว่างกรุงเทพประกันชีวิตและธนาคารทิสโก้ ในการสร้างความมั่นคงและปกป้องความมั่งคั่งให้ชีวิตคนไทยอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งการเสริมสร้างความรู้ในเรื่องวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณ การดูแลสุขภาพทั้งก่อนและหลังเกษียณ รวมถึงการคิดค้นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่เพื่อการเกษียณที่มีคุณภาพ ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เป็นต้น     

เอสซีจี เผยแผนรุก Future Forward เร่งปรับตัว เสริมแกร่งธุรกิจ คล่องตัว ลดคาร์บอน ตามแนวทาง Inclusive Green Growth สร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว รับวัฏจักรปิโตรเคมีผันผวนยาว เตรียมเพิ่มออปชันวัตถุดิบปิโตรเคมีเวียดนาม LSP ด้วยก๊าซอีเทน ดันปูนคาร์บอนต่ำส่งนอก คว้าโอกาสจากนโยบายหนุนนวัตกรรมกรีน ดึงเทคโนโลยียกระดับการอยู่อาศัย สร้างชีวิตกรีน&สมาร์ท ขยายธุรกิจพลังงานสะอาดสู่อาเซียน สร้าง New S-curve พร้อมเดินหน้า ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ เข้มข้น ดันเศรษฐกิจเติบโตแบบโลว์คาร์บอน

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า เมื่อมองสถานการณ์โลกปัจจุบันและทิศทางอนาคต ในระยะ 2-5 ปี จะมีความผันผวนมากขึ้น ทั้งความท้าทายจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมทั้งกฎเกณฑ์และโอกาสใหม่ ๆ จากเทรนด์รักษ์โลก ทุกธุรกิจของเอสซีจีจึงเดินหน้าปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมลดคาร์บอนไดออกไซด์ ตามแนวทาง Inclusive Green Growth เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันระยะยาว

สำหรับ เอสซีจี เคมิคอลส์ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ ร้อยละ 39 ของรายได้รวมเอสซีจี เร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวน ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับสูง ธุรกิจจึงเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) ให้มีความยืนหยุ่นด้านต้นทุนการผลิตมากขึ้น จากการเพิ่มทางเลือกใช้วัตถุดิบในการผลิต เพื่อให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้เหมาะสมกับจังหวะตลาดและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ โดยจะเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติอีเทน (Ethane) เป็นวัตถุดิบเพิ่มเติมจากการใช้แนฟทา (Naphtha) และก๊าซธรรมชาติโพรเพน (Propane) เนื่องจากราคาเฉลี่ยอีเทนต่ำกว่า ร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยราคาของแนฟทาและโพรเพนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การปรับเพิ่มการใช้ก๊าซอีเทนยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และลดการเกิดผลิตภัณฑ์พลอยได้ (By-product)

การเสริมแกร่งครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดจุดแข็งของ LSP ที่ถูกออกแบบให้สามารถรองรับวัตถุดิบประเภทก๊าซอยู่แล้ว โดยมีระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางที่มีความพร้อมในการติดตั้งถังเก็บวัตถุดิบและท่อนำส่งก๊าซอีเทน คาดการณ์ใช้ระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 3 ปี เพื่อเดินหน้าการผลิตโอเลฟินส์ และพอลิโอเลฟินส์ อย่างพอลิเอทิลีน และพอลิโพรพิลีน ตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกสำหรับผลิตสินค้าอุปโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในตลาดเวียดนาม ซึ่งมีความต้องการสูง ภายใต้การบริหารต้นทุนที่เหมาะสม ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ LSP จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567

นอกจากนี้ ความพร้อมของ LSP ยังสามารถรองรับการผลิตนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก SCGC GREEN POLYMERTM ในอนาคต ซึ่งเป็นนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูงที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตอบรับเทรนด์รักษ์โลก ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั้งในประเทศเวียดนามและภูมิภาคอาเซียนต่อไป

ด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน มุ่งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้มาตรการภาษีคาร์บอนที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศ โดยธุรกิจได้ดำเนินการลดคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดกระบวนการของธุรกิจล่วงหน้ามาอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองกับทิศทางธุรกิจ และยังเป็นโอกาสสร้างการเติบโตจากนโยบายสนับสนุนการใช้ปูนคาร์บอนต่ำเป็นหลักในหลายโครงการทั้งของภาครัฐและเอกชน ที่ผ่านมา เอสซีจีสามารถส่งออกปูนคาร์บอนต่ำไปสหรัฐอเมริกาได้แล้วมากกว่า 1 ล้านตัน รวมทั้งยังสามารถขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ ทั้งในอาเซียน ออสเตรเลีย และแคนาดา จึงเร่งผลักดันด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ต่อเนื่อง ปัจจุบันกำลังพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชัน 3 ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการทดแทนปูนเม็ดในการผลิต ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ร้อยละ 40-50 เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์ประเภทเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการปูนคาร์บอนต่ำที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเร่งขยายกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสามารถเป็นฐานการส่งออกในอนาคต

ทิศทางของ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า สินค้าหลักอย่างกลุ่มวัสดุก่อสร้างจะมุ่งพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำมากขึ้น ตอบโจทย์ตลาดรักษ์โลก เน้นการลดคาร์บอน พร้อมมีดีไซน์สวยและแข็งแรงทนทาน นอกจากนี้มีแผนใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ออกแบบผลิตภัณฑ์ เพิ่มความรวดเร็วและปรับได้ตามความต้องการลูกค้า ควบคู่กับพัฒนากระบวนการผลิต เพิ่มหุ่นยนต์ เพื่อลดของเสีย บริหารต้นทุนให้แข่งขันได้กับผู้เล่นรายใหม่ ๆ ที่เข้ามา เช่น จีน และเตรียมขยายตลาดวัสดุก่อสร้างไปยังตลาดอินเดีย และตะวันออกกลางซึ่งเติบโตสูงมากขึ้น นอกจากนี้ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินค้างานระบบ ตอบโจทย์การก่อสร้างเร็วและใช้งานดีขึ้น โดยเฉพาะระบบผนังที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ช่วยกันร้อนและกันเสียง รวมไปถึงระบบหลังคา ดีไซน์หลากหลาย ปรับได้ตามความต้องการและแบบบ้าน พร้อมฟังก์ชันกันร้อน และช่วยประหยัดพลังงาน

เดินหน้าสมาร์ทโซลูชัน New S-curve จากแบรนด์ ‘ออนเนกซ์ (ONNEX)’ ที่ผสานความเชี่ยวชาญของเอสซีจีและเทคโนโลยีล้ำสมัย ยกระดับการอยู่อาศัยทุกมิติ ทั้งประหยัดพลังงาน ด้วยระบบบำบัดอากาศเสีย ‘Air Scrubber’ และโซลูชันพลังงานสะอาด ‘Solar Hybrid Solutions’ ดูแลคุณภาพอากาศในบ้านและอาคาร ‘Bi-on’ ในอนาคตจะเพิ่มโซลูชันดูแลผู้สูงอายุ ตอบเทรนด์สังคมผู้สูงอายุ พร้อมเตรียมเชื่อมต่อกับทุกโซลูชันของออนเนกซ์ให้สามารถบริหารจัดการได้ในแพลตฟอร์มเดียว ผ่าน ระบบปฏิบัติการดิจิทัล ‘Trinity’ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งานมากขึ้น

เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มและ AI ยกระดับระบบจัดจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าและคู่ค้าเข้าถึงสะดวกขึ้น ช่วยลดระยะเวลาการเก็บสินค้าคงคลัง และสามารถคาดการณ์ความต้องการสินค้าในอนาคต ช่วยให้ธุรกิจแข่งขันได้ดียิ่งขึ้นภายใต้ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชัน ‘Prompt Plus’ สำหรับระบบค้าส่ง สามารถช่วยวิเคราะห์และนำเสนอสินค้าตามความต้องการ (Personalized Recommendations) เพื่อการบริหารจัดการสินค้าคงคลังของผู้แทนจำหน่ายและร้านค้ารายย่อยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะเดียวกัน ขยายการก่อสร้างและที่อยู่อาศัยรักษ์โลกสู่ตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง อาทิ นำเสนอคอนกรีตผสมแบบพร้อมใช้ ‘CPAC Ready Mix’ และ ‘CPAC 3D Printing Solution’ เข้าสู่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการก่อสร้าง ลดของเสียหน้างาน

ธุรกิจ New S-Curve เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เดินหน้าขยายสู่อาเซียน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มุ่งสู่เป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 3,500 เมกะวัตต์ในปี 2573 ด้วยจุดแข็งด้านนวัตกรรมและโซลูชันพลังงานสะอาดครบวงจรระดับโลก ทั้งระบบบริหารจัดการ การผลิต การจัดเก็บ (Energy Storage System) และจำหน่ายไฟฟ้าจากแพลตฟอร์มพลังงานสะอาด ‘Smart Micro Grid’ ตลอดจน ‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด (Heat Battery)’ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างยูนิตแรกของโลกสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ที่โรงงานปูนซีเมนต์ เอสซีจี จ.สระบุรี นอกจากนี้ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยการลงทุนในบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง 'นวัตกรรมการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์แบบ Tandem Perovskite' โดยบริษัทนี้มีจำนวนสิทธิบัตรอันดับต้น ๆ ของโลก เพื่อช่วยผลิตเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงถึงร้อยละ 30 ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเข้าถึงพลังงานสะอาดได้สะดวกยิ่งขึ้น

แผนรุกครั้งนี้ เอสซีจีเดินหน้าบนมาตรการคุมเข้มทางการเงิน โดยจะพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ ภายใต้งบประมาณการลงทุนปีละ 40,000 ล้านบาท และมุ่งลดเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ ร้อยละ 10-15 จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งโฟกัสในธุรกิจที่มีศักยภาพ ปิดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร โดยหมุนทรัพยากรและกำลังคนมาโฟกัสในธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต ครึ่งแรกของปี มีเงินสดคงเหลือ 78,907 ล้านบาท

นายธรรมศักดิ์ เสริมถึงทิศทางติดปีกธุรกิจต่อไปว่า เอสซีจีกำลังเร่งขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยี นำ AI มาขับเคลื่อนธุรกิจทุกมิติ สนับสนุนให้พนักงานทุกคนทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างเข้าใจ ทำจริง และขยายผลต่อยอด เพื่อปูทางสู่ศักยภาพธุรกิจระยะยาว วันนี้มีหลายโครงการเริ่มเดินหน้าและอยู่ในแผนพัฒนา เช่น การดึง AI เป็นเพื่อนคู่คิดลูกค้าช้อปปิ้งเรื่องบ้านโดนใจ หรือ AI ดูแลเครื่องจักรและซ่อมบำรุงเพื่อการทำงานอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เอสซีจี ร่วมกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ขับเคลื่อน ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 ด้าน ได้แก่ 1) เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด​จากศักยภาพพื้นที่​และสายส่ง​ด้วยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Grid​ Modernization)  2) มุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ผลิตสินค้ารักษ์โลกและคาร์บอนต่ำ 3) สร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือใช้ 4) การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ลดใช้น้ำ ลดคาร์บอน  5) เพิ่มพื้นที่สีเขียว ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พร้อมทั้งหาทุนสีเขียว (Green Funding) จากต่างประเทศมาพัฒนานวัตกรรมคาร์บอนต่ำ อาทิ เทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS) เพื่อมุ่งสร้างเศรษฐกิจเติบโตแบบโลว์คาร์บอน ตั้งเป้าปี 2573 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจังหวัดสระบุรี 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หนุนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์บรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593​

“เอสซีจี ติดตามสถานการณ์ไทยและโลกทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม เพราะต่างส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันยังนำมาวิเคราะห์ล่วงหน้า จัดทำแผนที่เหมาะสมกับแต่ละจังหวะ และนำมาใช้ปรับตัวอย่างทันท่วงทีให้ธุรกิจดำเนินต่อเนื่องและมั่นคง นอกจากจะสร้างความสามารถทางการแข่งขันที่เข้มแข็งทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว ยังรักษาเสถียรภาพทางการเงิน พร้อมขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง ตอบทุกโอกาสและความท้าทายที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง" กรรมการผู้จัดการใหญ่ สรุปปิดท้าย

X

Right Click

No right click