December 17, 2025

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้จ่ายในยุค “ดิจิทัล” ทำให้การใช้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ช่วยให้กลายเป็นสังคมไร้เงินสดอย่าง

กระทรวงดีอี โดย ดีป้า แถลงผลสำเร็จโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย เผยครู นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนที่สนใจจากทั่วประเทศให้การตอบรับดีเยี่ยม โชว์ผลงานยกระดับห้องเรียนโค้ดดิ้ง 1,500 โรงเรียนทั่วประเทศ นักเรียน ครู ร่วมยกระดับทักษะโค้ดดิ้งเข้มข้นผ่านกิจกรรม Coding Bootcamp กว่า 3,200 คน ประชาชนเกิดความตระหนักรู้เกี่ยวกับโค้ดดิ้งผ่านกิจกรรม Coding Roadshow กว่า 1.16 แสนคน เกิดผลงานโค้ดดิ้งที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยครู นักเรียนจากทั่วประเทศผ่านโครงการ Coding for Better Life มากกว่า 900 ผลงาน

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า โครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย คือโครงการในแผนงานระยะยาวที่มุ่งสร้างครูผู้สอนที่พร้อมถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านโค้ดดิ้งแก่นักเรียนรุ่นต่อรุ่น พร้อมดำเนินการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมรองรับการเรียนการสอน ซึ่งทั้งหมดจะช่วยสร้างเมล็ดพันธุ์ดิจิทัลที่มีความพร้อมต่อการสร้างรากฐานอนาคตของประเทศ และบรรเทาปัญหาการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัล สอดคล้องกับเป้าหมายในการเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ ตามนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี)

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีป้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้งแก่เยาวชนไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวางรากฐานทักษะดิจิทัลแห่งอนาคต และบรรเทาปัญหาการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัลของประเทศ สำหรับโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ที่ กระทรวงดีอี โดย ดีป้า บูรณาการการทำงานกับเครือข่ายพันธมิตรมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่พร้อมรองรับการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้งแก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา ผ่านการยกระดับห้องเรียนโค้ดดิ้ง ภายใต้แนวคิด ‘ทักษะโค้ดดิ้งเพื่อต่อยอดสู่การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน’ โดยการสนับสนุนหลักสูตรพิเศษจากเครือข่ายพันธมิตรกว่า 20 หลักสูตร และอุปกรณ์ดิจิทัลประกอบการเรียนการสอน ซึ่งดำเนินการใน 1,500 โรงเรียนทั่วประเทศ

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังมีการดำเนินกิจกรรม Coding Bootcamp & Coding Roadshow และ Coding War ใน 8 ภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น กรุงเทพมหานคร อุบลราชธานี พิษณุโลก เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และสงขลา โดยมีครูและนักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการรวมกว่า 3,200 คนร่วมกิจกรรม Coding Bootcamp เพื่อเรียนรู้ทักษะโค้ดดิ้งเข้มข้น ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของประเทศ และสร้างสรรค์ผลงานด้านโค้ดดิ้ง พร้อมกันนี้ยังมีพ่อแม่ ผู้ปกครอง และประชาชนที่สนใจร่วมกิจกรรม Coding Roadshow ที่จัดควบคู่กับ Coding Bootcamp ทั้งในรูปแบบ On-site และ Online รวมกว่า 1.16 แสนคน ขณะที่กิจกรรม Coding War มีครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษาร่วมกิจกรรมกว่า 5,000 คน หรือ 1,250 ทีมจากทั่วประเทศ จากนั้นคัดเหลือ 100 ทีมเข้าสู่กิจกรรมพัฒนาศักยภาพด้านโค้ดดิ้งเข้มข้น ก่อนร่วมแข่งขันในรายการ Coding War รอบชิงชนะเลิศ โดยมีเพียง 10 สุดยอดทีมในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาได้รับทุนการศึกษาและอุปกรณ์ดิจิทัล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาทเป็นรางวัล และเกิดผลงานโค้ดดิ้งที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยครู นักเรียนจากทั่วประเทศผ่านโครงการ Coding for Better Life กว่า 900 ผลงาน

ทั้งนี้ โครงการ Coding for Better Life ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ แบรนด์ซุปไก่สกัด โดย บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมสนับสนุนโครงการต่อเนื่อง ตั้งแต่การมอบ Micro:bit ให้โรงเรียนภายใต้กิจกรรมอัปเกรดห้องเรียนโค้ดดิ้ง มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และสนับสนุนกิจกรรม AI Roadshow สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับ AI ในสาขาอาชีพต่าง ๆ ให้กับเยาวชน ครู ผู้ปกครอง และบุคคลทั่วไปใน 8 จังหวัด อีกทั้งสนับสนุนเงินรางวัลและผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดฟรีตลอด 1 ปี สำหรับทีมผู้ชนะในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา พร้อมรางวัลพิเศษ จำนวน 2 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 600,000 บาทในกิจกรรม Coding War บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนหลักสูตร HUAWEI CLOUD DEVELOPER บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สนับสนุนคูปองการเรียนรู้ผ่าน TRUE DIGITAL ACADEMY เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนงบประมาณให้กับโรงเรียนในโครงการ และ เทโร เพอร์ฟอร์แมนซ์ คอร์ส ที่มีเป้าประสงค์เดียวกันคือ การปลูกฝังความรู้ด้านโค้ดดิ้งแก่ประชาชนตั้งแต่ระดับเยาวชน ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้เด็กไทยเติบโตไปเป็นกําลังคนดิจิทัลที่มีคุณภาพเป็นกําลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กระทรวงดีอี และ ดีป้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ Coding for Better Life จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเยาวชนไทยสู่การเป็นกำลังคนและบุคลากรดิจิทัลของประเทศ และขอขอบคุณคุณครูที่ช่วยฟูมฟักน้อง ๆ เยาวชน ซึ่งถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่จะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนไทยก้าวต่อไปท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงด้วยดิจิทัล” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

สำหรับรางวัลการแข่งขัน Coding War รอบชิงชนะเลิศ แบ่งเป็น 2 ระดับ ประกอบด้วย ระดับประถมศึกษา และ ระดับมัธยมศึกษา  โดยผลการแข่งขัน มีรายละเอียด ดังนี้

ระดับประถมศึกษา

รางวัลชนะเลิศ   ได้แก่ ทีม KP Robot โรงเรียนขจรเกียรติพัฒนา จ.ภูเก็ต

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  ได้แก่  ทีม โรงเรียนเทศบาลคุ้มหนองคู โรงเรียนเทศบาลคุ้มหนองคู จ.ขอนแก่น

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2  ได้แก่ ทีม KT KRUB โรงเรียนขจรเกียรติถลาง จ.ภูเก็ต

-  รางวัลชมเชย ได้แก่ ทีม Watmai Robotic โรงเรียนวัดใหม่เนินพยอม จ.ชลบุรี และ ทีม KT GEN IT โรงเรียนกวางตง จ.สุโขทัย

- Popular Vote ได้แก่  ทีม KT GEN IT โรงเรียนกวางตง  จ.สุโขทัย

- BEST IDEA ได้แก่ ทีม Jomkiri Novices (จอมคีรีโนวิคซ์) โรงเรียนเทศบาลวัดจอมคีรีนาคพรต จ.นครสวรรค์

ระดับมัธยมศึกษา

- รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร

- รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Sense Vision โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ และ ทีม COOK3R โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จ.นครพนม

- รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม หลานม่าบ๊อกซ์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร, ทีม หม่ำ เท่ง โหน่ง โรงเรียนศรียานุสรณ์ จ.จันทบุรี, ทีม E-Care โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา  และ ทีม Catch Me by the ACR โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง จ.ระยอง

- รางวัลชมเชย ได้แก่ ทีม TNNJ โรงเรียนสตรีภูเก็ต จ.ภูเก็ต  และ ทีม ปลากระดี่แม่น้ำฮวงโห  โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก

- POPPULAR VOTE ได้แก่ ทีม E-Care โรงเรียนมารีย์วิทยา  จ.นครราชสีมา

- BEST IDEA ได้แก่ ทีม Innotech โรงเรียนวัดป่าประดู่ จ.ระยอง

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.depa.or.th, CodingforBetterLife.com และเฟซบุ๊กเพจ depa Thailand และCodingThailand by depa

เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้องประชุมชั้น 1 สิรินพลา รีสอร์ท จังหวัดระยอง นางสุดา สุหลง รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เป็นประธานเปิดกิจกรรมเสวนาสัญจรพลังบวกสาม ภาครัฐ สื่อ และประชาสังคมเพื่อสตรีและครอบครัว ระหว่าง วันที่ 15 - 16 กันยายน 2567 วัตถุประสงค์เพื่อบรรยายผลการดำเนินงานตามนโยบายและภารกิจสำคัญ ในปี พ.ศ. 2567 ตามนโยบาย พม. 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร และการพัฒนาของเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ทำให้พฤติกรรมการรับข่าวสารของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การปรับตัว /การรับมือ หรือผลกระทบเชิงบวก-เชิงลบ ที่มีต่อการสื่อสารในมุมมองการนำเสนอข่าว กับประเด็นที่ว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" โดยสื่อมวลชน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อตอบสนองความต้องการในการรับรู้ข่าวสารสำหรับประชาชนในอนาคต พร้อมทั้งกิจกรรม “เสริมทักษะการสื่อสาร” : บุคลิกภาพและทักษะการสื่อสาร การพูดอย่างมืออาชีพ การ live อย่างมืออาชีพ และ “เสริมการใช้สื่อออนไลน์” : เทคนิคการสร้าง Content การสร้างตัวตนบนสื่อ TikTok เทคนิคการขายออนไลน์ โดย อาจารย์อัญพิมพิดา ภูวิชญาพิมุกข์ วิทยากรจากภาคเอกชน

ติดตามข่าวสาร สค.ได้ที่

เว็บไซต์: https://www.dwf.go.th/ 

Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/sorkor026596776/ 

TikTok : https://www.tiktok.com/@dwf_tiktok?_t=8Zl3GRosGXq&_r=1 

เพื่อนครอบครัว: http://www.xn--42ca5dfr6ac6azcd1c9c9f0e.com/ 

LINE Official : @linefamily

YouTube: https://www.youtube.com/channel/UCXtsy6w-fx3fkESr-C6UaAA 

กองทุนประกันวินาศภัยได้รับเชิญจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในการเข้าร่วม โครงการยกระดับความคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในสังคมผู้สูงอายุ ครั้งที่ 4 และร่วมจัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และภารกิจของกองทุนประกันวินาศภัย ซึ่งจัดขึ้นโดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ณ ห้อง opaz room ชั้น 2 อาคาร NW โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี

ภายในงานกองทุนประกันวินาศภัยได้มีการออกบูธประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และภารกิจของกองทุนประกันวินาศภัย รวมถึงสถานการณ์ในปัจจุบันในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย ซึ่งกองทุนประกันวินาศภัยได้เปิดให้ยื่นขอรับคำทวงหนี้ทางช่องทางออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2567 ถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 (เป็นระยะเวลา 60 วัน) พร้อมทั้งความคืบหน้าการชำระบัญชีของบริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยในปัจจุบัน ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าและประโยชน์ของการประกันภัย สามารถใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สินให้กับตัวเองและครอบครัวได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งมีการตอบประเด็นข้อซักถามต่างๆ เพื่อให้กลุ่มประชาชนที่เข้าร่วมงาน ได้นำข้อมูลและข้อเท็จจริงของกองทุนประกันวินาศภัยไปใช้เพื่อประชาสัมพันธ์ต่อให้แก่ผู้เอาประกันภัย และยังมีกิจกรรมให้เข้าร่วมเพื่อรับของที่ระลึกมากมายภายในงาน

นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า จากผลกระทบของพายุ "ยางิ" ทำให้ภาคเหนือมีฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมและดินถล่ม โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยเป็นการเร่งด่วน โดยสำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงราย และภาคธุรกิจประกันภัย ได้แก่ สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน (THAIFA) บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) รวมไปถึงบริษัทประกันวินาศภัย บริษัทประกันชีวิตอีกหลายแห่ง ได้เร่งระดมให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยกระจายลงไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีผู้ได้รับความเดือดร้อนในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อมอบถุงยังชีพ น้ำดื่ม อาหารแห้ง เชือก อุปกรณ์ทางด้านความปลอดภัย รวมถึงจัดตั้งครัวทำอาหารบรรจุกล่องแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย

รองเลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในเบื้องต้นแล้ว สำนักงาน คปภ. และธุรกิจประกันภัยได้เตรียมแผนรับมือในการเยียวยาให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยในหลายมิติ โดยจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัยขึ้นในแต่ละจังหวัด เพื่อเปิดรับแจ้งเหตุ ให้ข้อมูลด้านการประกันภัย และชี้แจงสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยในทุก ๆ ช่องทาง รวมถึงสนับสนุนด้านการซ่อมแซมยานพาหนะ การฟื้นฟูที่พักอาศัย สถานประกอบการที่ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งติดตาม เร่งรัดการตรวจสอบความเสียหายของทรัพย์สินที่ถูกน้ำท่วม ดังนั้น ขอให้ประชาชนที่ได้จัดทำประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยที่อยู่อาศัย ประกันภัยทรัพย์สิน ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล รวมไปถึงผู้ที่ทำประกันชีวิต ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ รีบแจ้งเหตุให้บริษัทประกันภัยทราบ เพื่อเข้าไปดูแลและจัดการ Claim อย่างทันท่วงที โดยเบื้องต้นสำนักงาน คปภ.ขอแนะนำให้ประชาชนที่ได้รับความคุ้มครองจากประกันภัย จัดเก็บข้อมูลความเสียหายขั้นต้นเอาไว้ด้วย เพื่อความสะดวกในการแจ้ง Claim เช่น ภาพถ่ายรถยนต์ หรือทรัพย์สินที่เสียหาย ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จังหวัดในพื้นที่ พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการยื่นขอรับค่าสินไหมทดแทนกับบริษัทประกันภัย รวมถึงให้คำแนะนำขั้นตอนการขอรับค่าสินไหมทดแทน โดยเปิดให้บริการผ่านหลายช่องทาง ได้แก่ สายด่วน คปภ. 1186 และ Line Official Account รวมทั้ง Facebook Page หรือเข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.oic.or.th 

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดการบริหารจัดการการนำทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการ อนุรักษ์อย่างยั่งยืน BEDO ได้ขับเคลื่อนการทำงานด้านทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพ ควบคู่กับการ บริหารจัดการข้อมูลทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบของระบบฐานข้อมูลความหลากหลายทาง ชีวภาพ โดยเริ่มต้นจากการค้นหาของดีจากความหลากหลายทางชีวภาพ และได้รับการสนับส นุนข้อมูลจาก นักวิชาการที่ร่วมกันจัดทำข้อมูลบัญชีรายการทรัพยากรชีวภาพ ข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้อมูลเศรษฐกิจ ข้อมูล องค์ความรู้ออนไลน์ และข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำเข้าข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจน สพภ. ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลด้วย ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อนำใช้ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นวิสาหกิจชุมชน ภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ ภาคการศึกษา ไปต่อยอดเชิงคุณค่าเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ของสังคม  เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ในการพัฒนาธุรกิจ การผลิตสินค้าและบริการในรูปแบบใหม่จากความหลากหลาย ทางชีวภาพ ที่ถือเป็น “วัตถุดิบในเชิงเศรษฐกิจ” นำไปสู่การพัฒนาเป็น Soft Power สร้างฐานรายได้ใหม่เป็น  

New Engine of Growth ในอนาคต 

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567สพภ. ได้จัดประชุมเผยแพร่ความหลากหลายทางชีวภาพกับการสร้างโอกาส ทางธุรกิจด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ ในหัวข้อ “AI กับโอกาสทางธุรกิจชีวภาพ” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอน เวนชั่น โดยมีนางสุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ เป็นประธานใน พิธีพร้อมด้วยคณะกรรมการ สพภ. คณะผู้บริหาร สพภ. และวิทยากรทุก ๆ ท่าน และมีผู้เข้าร่วมที่มีความสนใจ เป็นจำนวนมากกว่า 100 คน โดยภายในงานได้มีการแนะนำระบบของ สพภ. และให้ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ หัวข้อ“AI กับโอกาสทางธุรกิจชีวภาพ”คือ 

1) แนะนำระบบงานบริการของ สพภ. โดย ดร.ธนิต ชังถาวร รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจ จากฐานชีวภาพ 

2) แนะนำระบบฐานงานบริการข้อมูลฐานชีวภาพด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการนำไปใช้ ประโยชน์โดย นายสัณห์ อุทยารัตน์ ที่ปรึกษาโครงการบริษัท เกรซ เทคโนโลยี แอนด์ คอนซัลแตนท์ 3) ให้ความรู้เกี่ยวกับ AI กับเศรษฐกิจชีวภาพ (BCG) โดย ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ ผู้อำนวยการสถาบัน ส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล 

4) ให้ความรู้เกี่ยวกับ AI กับ เศรษฐกิจ โดยนายสืบศักดิ์ สืบภัคดี กรรมการบริหารและเลขาธิการ สมาคม โทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ 

5) ให้ความรู้เกี่ยวกับ AI กับ เกษตรที่ยังยืน โดย รศ.ดร.มงคล รักษาพัชรวงศ์ผู้อำนวยการสถานี  รับสัญญาณดาวเทียมจุฬาภรณ์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

6) ให้ความรู้เกี่ยวกับ AI กับ สิ่งแวดล้อม โดย ดร.ไชยวัฒน์ กล่ำพล ภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ  คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

สพภ. จัดประชุมเผยแพร่ “AI กับโอกาสทางธุรกิจชีวภาพ” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลฐานชีวภาพเพื่อนำ ความหลากหลายทางชีวภาพไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจและสังคม โดยอาศัยข้อมูลเชิงนิเวศ  ข้อมูลภูมิปัญญา ข้อมูลการนำไปใช้ประโยชน์ และส่งเสริมความรู้การพัฒนาศักยภาพของข้อมูลฐานชีวภาพ ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการประมวลผลข้อมูลในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา เป็น Soft Power สร้างฐานรายได้ใหม่เป็น New Engine of Growth 

“การสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้า” ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม เมื่อสินค้าแตกต่างจากคู่แข่ง ผู้บริโภคจะรับรู้ถึงคุณค่าเฉพาะตัวของสินค้า ทำให้เกิดความสนใจและต้องการซื้อสินค้า นำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ความแตกต่างที่ชัดเจนจะช่วยให้แบรนด์มีความโดดเด่น เมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ส่งเสริมให้ลูกค้าเกิดการทดลอง และเมื่อถูกใจก็กลับมาซื้อซ้ำและแนะนำต่อ สร้างการเติบโตในระยะยาว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้าคือ “นวัตกรรมและงานวิจัยด้านการตลาด” ที่เมื่อนำมาผสมผสานกันก็จะทำให้สินค้าธรรมดาๆ กลายเป็นสินค้าไม่ธรรมดาได้ในทันที เช่น SME 3 รายนี้ได้แก่ บริษัท บราวน์โว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตขนมไทยแนวคิดใหม่แบรนด์ “BrownVo” บริษัท ฟูลเกิ้ล จำกัด ผู้ผลิตธัญพืชอบกรอบแบรนด์ “โอพัพ” และบริษัท ลิลลี่อุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวแบรนด์ “ถั่วเขาช่อง” ที่นำเอานวัตกรรมและงานวิจัยด้านการตลาดมาปรับใช้ เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ล่าสุดสินค้าใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าใหม่เหล่านั้นจะเป็นอะไร เหตุใดถึงได้รับการตอบรับที่ดี และมีการนำ “นวัตกรรมและงานวิจัยด้านการตลาด” ไปปรับใช้อย่างไรบ้าง

บราวโว เครปเบื้องกรอบ : คิดค้นนวัตกรรมเฉพาะตัว

“บราวโว” เป็นขนมขบเคี้ยวที่มีแนวคิดในการอัปเลเวลจากขนมไทยสไตล์ Street Food มาต่อยอดพัฒนาด้วยนวัตกรรมเฉพาะของบริษัท โดยมีสินค้าที่วางจำหน่ายอยู่ในเซเว่นฯ คือ บราวนี่แผ่นอบกรอบรสคลาสสิก และรสช็อกโกแลตชิพ ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี บริษัทจึงเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ต่อเนื่อง และเครปเบื้องกรอบก็เป็นสินค้าตัวถัดมา เหตุผลที่เลือกเป็นเครปเบื้องกรอบ เนื่องจากมองว่าขนมเบื้องเป็นขนมไทยที่ไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างชาติก็ชื่นชอบ แต่หาซื้อได้ยาก และเมื่อทิ้งไว้นานแป้งจะไม่กรอบ บริษัทจึงให้แผนกวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ทำการวิจัยและพัฒนาตัวแป้งให้รักษาความกรอบได้นานถึง 1 ปี และไส้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ จนได้ออกมาเป็นเครปเบื้องกรอบไส้เค็ม ที่โดดเด่นด้วยไส้มะพร้าวคลุกเคล้าเครื่องเทศในสูตรชาววัง และไส้ฝอยทองที่ทำจากไข่แดงล้วน คงเสน่ห์ความเป็นไทยได้อย่างลงตัว

บราวโว เครปเบื้องกรอบมีความโดดเด่นคือ เนื้อแป้งเครปมีความกรอบ ทานง่าย ตัวไส้ขนมเบื้องถูกพัฒนาให้ออกมาเป็นสูตรเฉพาะ โดยยังคงความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของขนมเบื้องได้ครบถ้วน เหมาะแก่การเป็นของฝากหรือทานเล่น ในราคา 24 บาท บรรจุซองขนาด 20 กรัม พกพาง่าย โดยเริ่มวางจำหน่ายเมื่อเดือนสิงหาคม และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

โอพัพ : แก้ Pain Point สินค้าในตลาด คอลแลปส์แบรนด์ดังจับซีเรียลคู่ช็อกโกแลต

โดยปกติแล้วขนมครีมช็อกโกแลตมักจะทำมาทานคู่กับบิสกิต ซึ่งตัวบิสกิตมักจะอ่อนตัวเมื่อเจอกับครีมช็อกโกแลต ถือเป็น Pain Point สำคัญ บริษัทจึงทำการศึกษาตลาดเพิ่มเติมถึงความต้องการของตลาดว่าชื่นชอบสินค้าแบบไหน หากทานคู่กับครีมช็อกโกแลต เพื่อหาวัตถุดิบอื่นมาทดแทน และมองว่า ซีเรียล น่าจะตอบโจทย์เพราะสามารถอมน้ำได้ดีกว่า โดยที่เนื้อไม่อ่อนตัว อีกทั้ง Texture ยังมีความกรุบกรอบตลอดการรับประทาน จึงได้นำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักใน โอพัพช็อกโกแลตผสมซีเรียลรสโอวัลติน และ โอพัพช็อกโกแลตผสมซีเรียลโอวัลตินไวท์มอลต์ โดยเริ่มวางจำหน่ายได้เพียง 3 เดือน ก็สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าคือ 200,000 ชิ้น ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลักอายุ 8-15 ปี นอกจาก Texture ที่ตอบโจทย์ความต้องการแล้ว รสชาติและแพ็กเก็จจิ้งก็ตอบโจทย์ด้วยเช่นกัน บริษัททำสินค้าให้มีขนาดเหมาะสมต่อการรับประทานครั้งเดียวหมด พกพาง่าย ในราคาที่เข้าถึงได้เพียง 12 บาท และการได้ร่วมกับพันธมิตรทางการค้าที่เป็นที่รู้จักก็จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้า ทำให้คนรุ่นใหม่อยากลอง

 

ถั่วเขาช่องซีเล็ค : วิจัยผสาน 2 รสชาติ อัปเลเวลความอร่อยที่แตกต่าง

“ถั่วเขาช่อง” เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะต้นตำรับถั่วรสกาแฟ มาวันนี้ ถั่วเขาช่อง ได้เพิ่มสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด 2 รายการ ได้แก่ ถั่วเขาช่องซีเล็ค ถั่วผสมเพรทเซลรสวาซาบิ และ ถั่วเขาช่องซีเล็ค อัลมอนด์ผสมพริกกรอบโรยงา โดยสินค้าทั้ง 2 ตัวเกิดขึ้นจากการวิจัยตลาดทั้งในและต่างประเทศทำให้พบว่า ปัจจุบันสินค้ากลุ่มถั่ว Snack โดยทั่วไปจะจำหน่ายเพียงรสชาติใดรสชาติหนึ่ง ไม่มีความหลากหลาย ทำให้มีแนวคิดที่จะผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายในสินค้าแพ็กเก็จจิ้งเดียว เมื่อรวมกับแนวความคิดการตลาดที่ว่า “ถั่วกินกับอะไรก็อร่อย” จึงเกิดเป็นสินค้าทั้ง 2 ชนิดขึ้นมา

สำหรับถั่วผสมเพรทเซลรสวาซาบิ เป็นการนำเอาเพรทเซลรสวาซาบิจากแหล่งคุณภาพมาผสมผสานกับถั่วอัลมอนด์และแมคคาเดเมีย ทำให้ได้ทั้งรสเผ็ดและความหอมของวาซาบิ เมื่อรวมกับความมันของถั่วก็จะทำให้ได้รสสัมผัสที่หลากหลาย สำหรับถั่วเขาช่องซีเล็คอัลมอนด์ผสมพริกกรอบโรยงา เป็นการนำอัลมอนด์มารวมกับพริกคั่วกรอบและผสมกับเครื่องเทศหลากหลายชนิด โรยด้วยงาขาว ตรงกับความต้องการกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย คนรุ่นใหม่ Gen Y, Z ที่ชอบความหลากหลาย ไม่ซ้ำจำเจ

ทั้ง 3 แบรนด์สินค้า SME ทำให้เห็นแล้วว่า “การสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้า” โดยใช้ “นวัตกรรมและงานวิจัยด้านการตลาด” เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยสร้างการความโดดเด่นให้กับตัวสินค้า ซึ่งจะนำมาสู่ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น และสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ในระยะยาว เพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

มุ่งพัฒนาระบบนิเวศ Big Data และ AI ดันไทยก้าวเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) โดย วิจัยกรุงศรี วิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มอุทกภัยในประเทศไทยปี 2567 ชี้ความเสี่ยงเพิ่มสูงในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี โดยเฉพาะเดือนกันยายนและตุลาคม เนื่องจากการเข้าสู่ภาวะลานีญาและอิทธิพลของมรสุม อย่างไรก็ตาม คาดว่าอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในปีนี้จะไม่รุนแรงเท่ามหาอุทกภัยปี 2554

วิจัยกรุงศรีได้วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ดัชนีสมุทรศาสตร์ ทั้งดัชนี ONI ที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ภาวะลานีญาอย่างรวดเร็วหลังจากเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงต้นปี และดัชนี PDO และ IOD ที่แสดงแนวโน้มพายุในภูมิภาคที่มีผลอย่างมากต่อปริมาณฝนในไทย ตลอดจนอิทธิพลจากพายุประจำปี ทั้งพายุที่จะเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรงและเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านแต่ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อประเทศไทย ทำให้คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ปริมาณฝนในไทยจะมีแนวโน้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยราว 15-16% และคาดการณ์ว่าจะเข้าสู่ภาวะลานีญาอย่างเต็มตัวในเดือนตุลาคม 2567 ทำให้ในเดือนกันยายน-ตุลาคมเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงอุทกภัยในทุกภูมิภาค โดยพื้นที่เสี่ยงสูงได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบางส่วนของภาคใต้ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่างซึ่งเป็นทางน้ำผ่าน และภาคกลางซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำและเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตลอดจนทรัพย์สิน อาทิ ครัวเรือน โรงงาน เครื่องจักร สินค้าเกษตร ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคได้

ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีได้จำลองสถานการณ์ไว้ 3 กรณี โดยในกรณีฐาน คาดว่าจะมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 8.6 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 4.65 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 0.27% ของ GDP อย่างไรก็ตาม ความพร้อมในการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐที่ดีขึ้น และการพัฒนาระบบป้องกันของภาคเอกชนโดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม จะช่วยลดทอนผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2554

ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (จำกัด) มหาชน กล่าวว่า “แม้ว่าความเสี่ยงอุทกภัยในปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้น แต่วิจัยกรุงศรีคาดว่าจะไม่รุนแรงเท่ามหาอุทกภัยปี 2554 เนื่องจากในปี 2567 นี้มีปริมาณน้ำฝนที่น้อยกว่า มีพื้นที่รองรับน้ำมากกว่า รวมถึงความพร้อมด้านการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐและการเตรียมความพร้อมของภาคเอกชนที่พัฒนาขึ้น”

“อย่างไรก็ตาม เรายังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมที่มีความเสี่ยงสูงสุด เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อีกหลายประการ โดยเฉพาะจำนวนพายุที่เคลื่อนที่เข้าสู่ไทยที่จะส่งผลต่อปริมาณฝนและพื้นที่ที่เกิดฝนตกหนัก อันเนื่องมาจากภาวะโลกรวนในปัจจุบันที่ทำให้สภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว หรือ Extreme weather เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้นและรุนแรงมากขึ้น" ดร.พิมพ์นารา กล่าวสรุป

X

Right Click

No right click