December 16, 2025

บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เผยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวม 17.1 พันล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 12% (จากเบี้ยประกันภัยรับรวม 15.3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566)และมีผลงานที่โดดเด่นจากเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) อยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 23% (จาก 4.0 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566)

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้บริษัทฯ จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ แต่ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย สามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและสร้างการเติบโตด้วยตัวเลขสองหลัก ถือเป็นบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของเราที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ที่ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตของคนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแผนประกันชีวิต สุขภาพ การออม หรือการลงทุน ที่มีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและความผันแปรทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ลูกค้า เรามีแผนประกันควบการลงทุนในกองทุนรวมที่หลากหลายมากถึง 73 กองทุน ที่ให้ลูกค้าบริหารการลงทุนได้ตามต้องการพร้อมโอกาสในการรับผลตอบแทน นอกจากนี้ เรายังมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น การขายผ่านพันธมิตรแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งล้วนแต่เป็นธนาคารชั้นนำของประเทศไทย ประกอบด้วย ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี), ธนาคารยูโอบี และ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย, ช่องทางตัวแทน, ช่องทางการขายผ่านทางโทรศัพท์ รวมถึงช่องทางดิจิทัล”

“เราพยายามทำให้ประกันเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นในการออกแบบแผนประกันที่หลากหลาย มีความครอบคลุมและยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นแผนประกันส่วนบุคคลหรือแบบครอบครัว ด้วยราคาที่เหมาะสม นอกจากการยึดลูกค้าเป็นเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจ เรายังให้คำมั่นสัญญาต่อผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมตลอดจน  การสร้างสรรค์สิ่งดีๆแก่สังคมและชุมชนผ่านโครงการต่างๆ โดยนำความเชี่ยวชาญและศักยภาพของเรามาสร้างสังคมให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น” นายบัณฑิต กล่าวเสริม

ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ที่ตอบรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลก จนสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ จากนี้ไป พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังคงเดินกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้า รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาด้านชีวิต สุขภาพ  การออม และการลงทุนที่สร้างความมั่นใจและไว้วางใจแก่คนไทย ข้อมูลเพิ่มเติม www.prudential.co.th 

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิด “งานสัมมนาผู้ประเมินวินาศภัย ปี 2567” ณ ห้องประชุมอัศวิน แกรนด์ A โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยมีนางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) นายปฏิภาณ สุดอารามนายกสมาคมผู้ประเมินวินาศภัย นายราเชนทร์ ดาวเรือง นายกสมาคมการค้าผู้สำรวจและประเมินวินาศภัยไทยผู้ตรวจสอบและประเมินวินาศภัย เข้าร่วมงานดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ประเมินวินาศภัย การให้บริการออกใบอนุญาตผู้ประเมินวินาศภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-licensing) การสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของ ผู้ประเมินวินาศภัย รวมถึงภาพรวม แนวโน้ม และสถิติการประเมินวินาศภัยในปัจจุบันโดยมีวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์บรรยายให้ความรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนามาตรฐานของผู้ประเมินวินาศภัยแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน

สำนักงาน คปภ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการประเมินวินาศภัย เนื่องจากปัจจุบันภาคธุรกิจประกันภัยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคธุรกิจประกันภัย อาทิ ไฟไหม้ น้ำท่วม และลมพายุ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย ดังนั้น การประเมินวินาศภัยจึงถือเป็นกระบวนการสำคัญต่อธุรกิจประกันภัยที่ช่วยให้สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น และกำหนดการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ได้มาตรฐานและเหมาะสมแก่ผู้เอาประกันภัย ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทประกันภัย แต่ยังส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้เอาประกันภัย และความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ประเมินวินาศภัยยังนับได้ว่าเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนระบบประกันภัย เนื่องจากผู้ประเมินวินาศภัยถือเป็นคนกลางประกันภัยที่มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการชดใช้สินไหมทดแทน โดยมีหน้าที่ตรวจสอบ วิเคราะห์สาเหตุและประเมินความเสียหายของวินาศภัย เพื่อให้การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกิดความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน และยังมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการป้องกันการฉ้อฉลด้านการประกันภัย ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัย

ดังนั้น การสัมมนาผู้ประเมินวินาศภัย ปี 2567 ในครั้งนี้ จึงเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประเมินวินาศภัยในตลาดมีมาตรฐานการดำเนินงาน และศักยภาพที่สามารถตอบรับการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาความรู้ของผู้ตรวจสอบและประเมินวินาศภัยในสังกัดสามารถตอบสนองการขยายตัวของตลาดประกันวินาศภัย และพร้อมรับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ การสัมมนาดังกล่าวได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญเป็นผู้บรรยายให้ความรู้ โดยมีผู้ประเมินวินาศภัยเข้าร่วมรับการสัมมนากว่า 200 คน

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยและคุ้มครองประชาชนด้านการประกันภัย ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนและพัฒนาการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564-2568) อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความพร้อมรับความท้าทายใหม่ ๆ ในอนาคตโดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้เปิดใช้ระบบการให้บริการออกใบอนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์ e-Licensing ซึ่งเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลของสำนักงาน คปภ. ที่เกี่ยวข้องกับคนกลางประกันภัยเข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูลของภาครัฐอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขอรับ/ขอต่ออายุใบอนุญาต อีกทั้งประชาชนยังสามารถเข้าถึงข้อมูลคนกลางประกันภัยได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง สะดวกรวดเร็ว นอกจากนั้นสำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินโครงการ OIC Gateway แพลตฟอร์มให้บริการข้อมูลด้านการประกันภัยอย่างครบวงจร ซึ่งเกิดจากการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงาน คปภ. กับภาคธุรกิจประกันภัย ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านการประกันภัยต่าง ๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว จบในที่เดียว และยังเป็นช่องทางที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนด้วยบริการตรวจสอบใบอนุญาตตัวแทน-นายหน้า ได้อีกด้วย ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 หรือสำนักงาน คปภ. ภาค/จังหวัด ทั่วประเทศ

อีกหนึ่งรางวัลการันตีองค์กรแห่งความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ล่าสุด บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด คว้ารางวัลใหญ่ระดับนานาชาติจากเวที HR Excellence Awards 2024 จัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ ในสาขา 'Best HR Team' ระดับ Bronze สะท้อนภาพของยูอาร์ซีในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการให้ความสำคัญกับบุคลากรสูงสุด เพราะบุคลากรควรเติบโตและพัฒนาควบคู่ไปกับองค์กรที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับหนึ่งในค่านิยมหลักอย่าง "Put People First"

สำหรับรางวัล HR Excellence Awards 2024 เป็นรางวัลระดับนานาชาติ ซึ่งนับเป็นเครื่องยืนยันแก่บริษัทชั้นนำในประเทศไทยที่มีแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ยอดเยี่ยม ครอบคลุมทั้งด้านการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ การมีส่วนร่วมของพนักงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยมีคณะกรรมการตัดสิน ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้านทรัพยการบุคคลจากหลากหลายธุรกิจ และมีหลักเกณฑ์การพิจารณาจากวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร การดำเนินธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรในมิติต่างๆ

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย ลาว และ กัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “เป็นอีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของยูอาร์ซี ที่ตอกย้ำประสิทธิภาพการดำเนินงานของทีม HR ในการบริหาร พัฒนา และการดูแลพนักงาน ซึ่งเราเชื่อว่าทรัพยากรบุคคลคือหัวใจสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้ ยังเป็นแรงผลักดันให้บริษัทต้องยกระดับงานด้านทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนธุรกิจ องค์กร และดูแลพนักงานให้มีความสุขและทำงานอย่างมืออาชีพ โดยเรามีเป้าหมายที่จะก้าวเป็นหนึ่งใน 20 ชั้นนำของประเทศไทยด้าน FMCG และให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานมากถึง 80% เพราะเชื่อว่าพนักงานที่มีคุณภาพจะสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภคได้”

ยูอาร์ซี เดินหน้าสร้างสรรค์สังคมตามวิสัยทัศน์องค์กร พร้อมเสริมสร้างบุคลากรทุกคนให้มีความเป็นเลิศ โดยเน้นไปที่ค่านิยมหลัก 4 ประการ (4Ps Core Values) ได้แก่

  1. People – ค่านิยมหลักของเรา นั่นคือ "Put People First" ให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับแรก เพราะพนักงานทุกคนเป็นศูนย์กลางของความสำเร็จและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต เราสนับสนุนการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และให้ความสำคัญกับการทำงานแบบ Work-Life Balance โดยให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ 2 วันต่อสัปดาห์และมีชั่วโมงการทำงานแบบยืดหยุ่น บริษัทฯ ยังสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมพนักงานให้มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง อาทิ การแข่งขันกีฬาประจำปี, การแข่งขัน eSports หรือการแข่งขันลดน้ำหนัก (60 days challenges) เป็นต้น
  2. Planet – ยูอาร์ซีให้ความสำคัญต่อธุรกิจสู่ความยั่งยืน ทีมทรัพยากรบุคคลของเราได้ริเริ่มโครงการหลายอย่างในการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและมอบอนาคตที่สดใสให้กับเด็กๆ ในชุมชน โดยเราได้ติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงเรียนต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้แก่นักเรียนเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่ยั่งยืน และร่วมผลักดันการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนให้ได้มากกว่า 5,000 คนภายในระยะเวลา 5 ปี และเพื่อเป็นการลดปริมาณคาร์บอนฟุตปริ้นท์ เรายังให้ความสำคัญกับเรื่องการรีไซเคิลด้วยการใช้วัสดุจากการรีไซเคิลมาผลิตชุดพนักงานโดยเครื่องแบบพนักงาน 1 ชุดผลิตจากขวด PET รีไซเคิล 14 ขวด
  3. Progress – บริษัทยูอาร์ซีให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะและเพิ่มขีดความสามารถให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานของเราเติบโตและก้าวหน้าไปพร้อมๆกับบริษัทฯ เรามีการเตรียมพร้อมสำหรับทักษะผู้นำในหลากหลายกิจกรรมซึ่งรวมถึงการโค้ชจากผู้บริหารระดับสูง เรามีการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ที่พนักงานสามารถเข้าเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา และมีค่าตอบแทนที่สามารถแข่งขันกับตลาดได้
  4. Purpose – ความสำเร็จของเรามีรากฐานมาจากจุดมุ่งหมาย, ค่านิยม และปณิธานขององค์กร เรา ตั้งใจส่งมอบความสุขและเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้แก่พนักงานผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ เช่น การรวมตัวกันของตัวแทนพนักงานจากส่วนงานต่างๆ ในทีมเพื่อก่อตั้งโครงการที่มีชื่อว่า Fun Club เพื่อเสนอความคิดสร้างสรรค์และร่วมกันจัดกิจกรรมสร้างความสนุกและความสัมพันธ์ให้กับเพื่อนพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบความสุขประจำเดือน หรือการสอบถามความพึงพอใจของพนักงานประจำเดือนในกิจกรรม ER Kok Kok Kok เป็นต้น

          รางวัลเหล่านี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าบริษัทยูอาร์ซี มุ่งมั่น ทุ่มเทและให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ เราสนับสนุนให้พนักงานของเราได้แสดงศักยภาพที่แท้จริง เพราะเราเชื่อว่าพนักงานคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดและเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราประสบความสำเร็จเสมอมา

"บิ๊กซี" พลิกโฉมธุรกิจเดินหน้ารีโนเวทสาขารูปแบบใหม่ จำนวน 18 สาขาทั่วประเทศ จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 นี้ พร้อมขยายเปิดสาขาเพิ่ม 3 สาขาในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ภายในปี 2568 และมีการขยายเปิดสาขาบิ๊กซีมินิอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปี 2567 บิ๊กซี ทุ่มงบ 5,000 ล้านบาท เดินหน้ารีโนเวทจำนวน 18 สาขา โดยจะมีการปรับโฉมใหม่ ด้วยงบประมาณ 1,700 ล้านบาท และเปิดเพิ่ม 1 สาขา ภายในปี 2567 นอกจากนี้เราวางแผนขยายเพิ่ม 3 สาขาภายในสิ้นปี 2568 และจะขยายสาขาบิ๊กซีมินิอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคใหม่ที่เปลี่ยนไป ที่ไม่ใช่แค่มาเดินซื้อของอย่างเดียวแต่ยังต้องการพื้นที่แฮงเอาต์และพักผ่อน รวมถึงเพื่อเป็นพื้นที่ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับลูกค้าบิ๊กซีเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน บิ๊กซีมีสาขาทั้งสิ้นกว่า 1,800 สาขา ในไทยและยังขยายไปยังต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฮ่องกง กัมพูชา ลาว และเวียดนาม”

ในขณะเดียวกัน ในปีนี้ มีบิ๊กซีจำนวน 2 สาขา หมดอายุสัญญาเช่าพื้นที่ ซึ่งบิ๊กซีตัดสินใจไม่ต่อสัญญาเช่า ได้แก่ บิ๊กซี สาขาสุขาภิบาล 3-2 (แยกบ้านม้า) โดยจะเปิดให้บริการวันสุดท้าย 15 ก.ย. นี้ และบิ๊กซี สาขารังสิต 2 (ใกล้กับตลาดสี่มุมเมือง) โดยจะเปิดให้บริการวันสุดท้าย 30 ก.ย. นี้ เช่นกัน ทั้งนี้บิ๊กซีได้มีนโยบายดูแลพนักงาน  ทุกคน รวมถึงสามารถโอนย้ายไปทำงานได้ที่บิ๊กซีสาขาใกล้เคียง หรือที่ภูมิลำเนาของพนักงานตามสมัครใจ และสำหรับร้านค้าเช่า ได้มีการเจรจาตกลงร่วมกันกับทางผู้เช่า โดยทางบิ๊กซีได้ดูแลและจัดหาพื้นที่เพื่อไปเปิดในสาขาอื่นๆ ของบิ๊กซีทั่วประเทศ

นอกจากนี้ บิ๊กซี สาขาราษฎร์บูรณะ จะเปิดให้บริการวันสุดท้าย 31 ต.ค. นี้ ซึ่งจะย้ายไปยังทำเลใหม่ที่ใกล้เคียง เป็นทำเลทองติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นที่ดิน Freehold ในกลุ่ม บีเจซี บิ๊กซี โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2568

“บิ๊กซี เราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค เราใช้ Big Data เข้ามาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและตรงกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคในปัจจุบัน” นายอัศวิน กล่าวสรุป

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารประกาศแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions Roadmap ภายในปี 2050 เพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้า Net Zero ทั้ง 3 Scope รวมถึงกำหนดมาตรการสนับสนุนเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เช่น การปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และการอนุรักษ์ป่า รวม 50,000 ไร่ ภายใน 10 ปี เพื่อเพิ่มอาณาเขตป่าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน ภายใต้ชื่อโครงการ “ปลูกป้องโลก” ซึ่งธนาคารได้คิกออฟการปลูกป่าออมสิน แปลงที่ 1 ขนาด 1,600 ไร่ ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อำเภอด่านซ้าย และอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย โดยได้รับเกียรติจากนายอนุพงศ์ คำภูแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นายสราวุฒิ บุญเกื้อ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงานธนาคารออมสิน นำโดย นางสาววชิรา การสุทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานความยั่งยืน นายสุชาติ เจริญธรรม ผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค 10 และทีมงานทั้งจากธนาคารออมสิน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการกว่า 100 ชีวิต ได้ร่วมกันปลูกต้นกล้าพันธุ์ไม้ รวม 11 ชนิด เช่น ไม้สัก ไม้แดง ยางนา มะค่าโมง ประดู่ป่า ตะเคียนทอง ตะแบก ฯลฯ

“โครงการปลูกป้องโลก” เป็นมาตรการสนับสนุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน Net Zero 2050 ตามมติคณะกรรมการธนาคารออมสิน ตั้งเป้าปลูกป่าทดแทนป่าเสื่อมโทรมขนาดพื้นที่ 30,000 ไร่ และการอนุรักษ์ป่าขนาดพื้นที่ 20,000 ไร่ รวมจำนวนพื้นที่ป่าโดยธนาคารออมสินตลอดระยะเวลา 10 ปี (ปี 2567 – 2576) รวม 50,000 ไร่ คิดเป็นปริมาณคาร์บอนที่ดูดซับสะสมกว่า 35,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2) โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกรมป่าไม้ในการจัดสรรพื้นที่ปลูกป่าทดแทนให้ได้ตามเป้าหมาย (ไม่รวมพื้นที่ป่าอนุรักษ์) นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างรายได้จากการดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่าให้กับชาวบ้านของชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ และเป็นการปลูกฝังสร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม และกระตุ้นการใส่ใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแก่ชุมชนต้นน้ำอีกด้วย

ส่งเสริมเครือข่ายพันธมิตรเพิ่มการจ้างงาน พร้อมขยายการสร้างรายได้ให้บริษัท SMEs และสตรีเป็นเจ้าของ

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นำผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK มอบทุนการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์เพื่อการประกอบอาชีพแก่เพื่อนผู้พิการผ่านมูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ จังหวัดนนทบุรี จำนวน 10 ทุน เป็นเงิน 300,000 บาท ภายใต้โครงการ “EXIM เพื่อโอกาสในการประกอบอาชีพ” โดยมีนายธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เป็นผู้รับมอบ เพื่อส่งเสริมให้ผู้พิการมีความรู้และทักษะด้านคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของ EXIM BANK เพื่อช่วยเหลือให้เพื่อนผู้พิการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ณ มูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567

ซัมซุง ผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก เผยโฉม Bespoke AI Laundry Combo™ เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้ารวมกันในเครื่องเดียว ที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมการซักและอบผ้าสุดล้ำ จากเทคโนโลยี AI ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน เพื่อมอบประสบการณ์การซักผ้าที่สะดวกสบาย ตัวช่วยสำคัญการซักอบที่ครบจบในเครื่องเดียว

เทคโนโลยีเฉพาะ Bespoke AI Laundry Combo™

  • Heat pump technology ช่วยถนอมเนื้อผ้า พร้อมการซักและอบแห้งที่รวดเร็วและประหยัดพลังงานในทุกขั้นตอน
  • AI Wash & Dry เซนเซอร์อัจฉริยะที่ตรวจจับปริมาณผ้า ระดับน้ำ และสภาพความสกปรก เพื่อปรับการซักให้เหมาะสม และช่วยประหยัดทั้งเวลาและพลังงาน
  • AI Home ที่สามารถใช้งานง่ายผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าการซักได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ สร้างประสบการณ์การดูแลผ้าที่ทันสมัยแบบไร้กังวล

เป็นเจ้าของก่อนใคร! เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าแล้ว สั่งซื้อวันนี้ รับฟรี! ตู้เย็น BESPOKE 2 ประตู และหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Jet Bot มูลค่ารวมกว่า 45,980.- พิเศษอีกขั้น! เก่าแลกใหม่ รับส่วนลดอีกสูงสุด 12,000.- เฉพาะ 6-21 กันยายน 2567 ที่นี่ https://bit.ly/3T6jDbd

Rachel Gupta (ราเชล กุบตา) มิสแกรนด์อินเดีย 2024 เข้าเยี่ยมเด็กที่มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ชุมชนคลองเตย กรุงเทพฯ ระหว่างการเยือนประเทศไทย โดยได้ร่วมทำกิจกรรมการกุศลครั้งนี้ด้วยการบริจาคสิ่งของจำเป็นมูลค่ากว่า 10,000 บาท เพื่อสนับสนุนให้มูลนิธิได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป

มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเด็กปฐมวัยและมีส่วนร่วมในโครงการชุมชนสัมพันธ์ที่มุ่งพัฒนาสภาพความเป็นอยู่และสร้างอนาคตที่ดีสำหรับเด็กและครอบครัวในพื้นที่ชุมชนแออัด ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของ Rachel ในประเทศอินเดีย ซึ่ง Rachel ได้ทุ่มเทในการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้เข้าถึงการศึกษา โดยได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนฝูง

ระหว่างการเยือนประเทศไทยครั้งนี้ Rachel ยังได้รับเกียรติเข้าร่วมงานประกวดมิสแกรนด์สระบุรี 2025 ในฐานะแขกรับเชิญคนสำคัญ โดยเข้าร่วมในรอบประกวดชุดว่ายน้ำและรอบตัดสินอีกด้วย

สำหรับการอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Rachel ติดตามได้ที่ อินสตาแกรม 

Chester’s (เชสเตอร์) เดบิวต์ 2 เมนูใหม่ เอาใจชาวด้อมเกาหลี ใน 'Tteokbokki The Series' ชวนฟินกับ “ไก่กรอบซอสต๊อก” ไก่ทอดกรอบชิ้นใหญ่ เนื้อเน้นๆ ไร้กระดูก ท๊อปปิ้งด้วยต๊อกทอด กรอบนอกหนึบใน ราดด้วยซอสต๊อก รสเผ็ดหวานเข้มข้นสไตล์เกาหลี ในราคาเพียง 135 บาท และ “ไส้กรอกซอสต๊อก” สแน็กทานเล่นสไตล์เกาหลี อร่อยกับไส้กรอกคู่ต๊อกทอด คลุกเคล้าด้วยซอสต๊อก โรยทอปปิ้งด้วยไข่กุ้ง เพิ่มความฟินในการรับประทาน อร่อยกรุบกรอบหนุบหนับจับใจ เพียง 79 บาท บอกเลยว่า ตัวตึงสายเกาต้องไม่พลาด ท้าพิสูจน์ความฟินกันได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ที่ร้านเชสเตอร์ทุกสาขา

ยังไม่พอ..Chester’s เสิร์ฟเซอร์ไพรส์ต่อแบบปังๆ จับมือกับ Pepsi ออกแคมเปญสุด Exclusive เฉพาะลูกค้าเชสเตอร์ รับฟรี! Photo Card ไอดอลสาวเกิร์ลกรุ๊ป KPOP อย่าง BABYMONSTER (เบบี้มอนสเตอร์) ที่กำลังฮอตสุดในตอนนี้ โดยมีการ์ดของทั้ง 7 ศิลปินให้สะสม เพียงซื้ออาหารคู่เป็ปซี่ ในร้านเชสเตอร์ครบ 299 บาท ซึ่งโปรโมชันนี้สามารถซื้อที่ร้านและสั่งผ่านเดลิเวอรี่ได้ทุกแอปพลิเคชัน ตั้งแต่วันนี้ - 5 ตุลาคม 2567 เท่านั้น การ์ดมีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย *ขอสงวนสิทธิ์ในการเลือกลาย

เชสเตอร์ ยังคงมุ่งมั่นและพัฒนาเมนูมีคุณภาพหลากหลาย อินเทรนด์ และรสชาติอร่อย รวมถึงการบริการที่รวดเร็ว เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า พร้อมสร้างสรรค์เทรนด์เมนูอาหารแนวใหม่ และกิจกรรมทางการตลาดที่ทันสมัย เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ติดตามข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ได้ที่ Facebook Page เชสเตอร์ : https://www.facebook.com/chesterthai/ 

X

Right Click

No right click