เมื่อเร็วๆ นี้ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โดย รศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ คณบดี และผศ.ดร.กฤษฎา นิมมานันทน์ รองคณบดีฝ่ายบริหาร ร่วมกับ หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเงินองค์กร การลงทุน และ การบริหารความเสี่ยง โดย รศ.ดร.เอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ ผู้อำนวยการหลักสูตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดประชุมวิชาการด้านการกำกับดูแลการเงินแห่งเอเชีย (Asian Shadow Financial Regulatory Committee Meeting) ครั้งที่ 36 โดยครั้งนี้ กำหนดหัวข้อเรื่อง What can Asian Economies do about the USD Global Financial Cycle? ซึ่งเป็นประเด็นที่อยู่ในกระแสของความสนใจ และจับตาของทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ จากการประชุมสัมมนา ระดมความคิด และแลกเปลี่ยนความเห็น ในครั้งนี้ พบ 4 ประเด็นสำคัญที่วัฏจักรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศทั่วโลกคือ
US ดอลลาร์ ยังคงเป็นสกุลเงินมาตรฐานหลักของโลก
ถึงแม้ว่าจะมีการลอยตัวของระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ประเทศต่างๆเคยผูกกับสกุลเงิน US ดอลลาร์ มากว่า 50 ปี แต่เงินสกุล US ดอลลาร์ ก็ยังคงเป็นสกุลเงินมาตรฐานที่ถูกนำมาใช้ ทั้งในการลงทุน การทำธุรกรรม อีกทั้งยังเป็นสกุลเงินที่ถูกเก็บเป็นทุนสำรองในประเทศโดยส่วนมากเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ นโยบายการเงินและสภาวะทางการเงินของสหรัฐอเมริกาจึงสามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ดังกรณีตัวอย่างของการเกิดเงินเฟ้อในปัจจุบันของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อไปทั่วโลก
นโยบายการเงินของสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจต่อประเทศในโลกผ่านสกุลเงิน US ดอลลาร์
การกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา เป็นการกำหนดโดยคำนึงถึงสภาวะทางเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐฯ เป็นหลัก ถึงกระนั้นนโยบายเหล่านี้ก็ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในสภาวะที่แตกต่างกันออกไป ด้วยพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน อาทิเช่น นโยบายการเงินหดตัว ซึ่งอาจเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐ แต่ในทางกลับกัน ก็สามารถส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจโลกเกิดการถดถอยได้ นอกจากนั้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากประเทศอื่นๆ ทำให้สกุลเงินต่างๆอ่อนค่าลง เป็นเหตุให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศนั้นๆ ในที่สุด เป็นต้น
ซึ่งผลกระทบในเรื่องนี้มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ตลาดเกิดใหม่ หรือ ประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging markets and developing economies: EMDE) ซึ่งจากผลการวิจัยของ Obstfeld and Zhou ในปี 2022 ได้กล่าวถึงผลกระทบของการแข็งค่าอย่างฉับพลันของสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ที่ส่งผลให้เกิดการลดลงของผลิตผลในภาคอุตสาหกรรม การบริโภค และการลงทุนของภาครัฐ อีกทั้งยังส่งผลถึงการถดถอยในภาคการค้า, ส่งออก-นำเข้า, การปล่อยสินเชื่อ และอัตรากู้ยืมเงินสกุลต่างประเทศของภาครัฐ ที่เพิ่มขึ้นในระหว่างปี 1999-2019
กล่าวได้ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม EMDE นั้นรุนแรงกว่าประเทศพัฒนาแล้วมาก เนื่องจากประเทศเหล่านี้มักจะมีระบบสถาบันการเงินที่ไม่เข้มแข็งเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว การออกนโยบายและการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ผลลัพธ์ก็ทำได้ไม่ค่อยดี เสถียรภาพในตลาดเงินและตลาดทุนรวมถึงสภาพคล่องอาจมีไม่สูงมาก และ ในหลายประเทศมีการกู้ยืมเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ นำมาซึ่งโอกาสของความเสี่ยงที่สูงหากเกิดการกลับตัวไหลออกของเงินทุน
ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่าธุรกรรมทางการค้า และธุรกรรมระหว่างประเทศโดยผ่านสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ ทั่วโลก มีสัดส่วนถึง 50% ในขณะที่ 90% ของธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราทั่วโลกเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งการซื้อและการขาย ทำให้เสถียรภาพของตลาดการเงินขึ้นอยู่กับนโยบายของประเทศสหรัฐ ฯ โดยปริยาย
นอกจากนี้ หนี้สินขนาดใหญ่ของสหรัฐฯและนโยบายที่มีผลประโยชน์ของสหรัฐฯเป็นหลัก ยังส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆที่ถือครองหรือจำเป็นต้องซื้อ-ขายผ่านสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็มีความเสี่ยงต่อผลกระทบทางการเงินและเศรษฐกิจตามมาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การคว่ำบาตรประเทศใดประเทศหนึ่งในการทำธุรกรรม ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อประเทศเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศที่เป็นคู่ค้าทั้งหมดของประเทศนั้นๆ อีกด้วย
Multi-Polar Currency System เป็นอีกแนวทางการลดผลกระทบจากการอิงเพียงสกุลเงินเดียว
ระบบการแลกเปลี่ยนสกุลเงินอิงสากล หรือ Multi-Polar Currency System อาจจะมีข้อได้เปรียบต่อระบบปัจจุบันที่อิงสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก หนึ่งในนั้นคือ การลดผลกระทบที่เกิดจากนโยบายของสถาบันการเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งผลกระทบจากความผันผวนของมูลค่าเงิน US ดอลลาร์ ได้เพิ่มความเปราะบางให้แก่ประเทศต่างๆเมื่อวงจรเศรษฐกิจของประเทศนั้นไม่สอดคล้องกับนโยบายการเงินและสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การอิงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลักจำกัดความสามารถของหน่วยงานภายในของประเทศต่างๆ ในการตอบสนองอย่างเป็นอิสระต่อปัญหาทางเศรษฐกิจที่เข้ามากระทบ มาตรฐานสกุลเงินหลายขั้วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของหน่วยงานภายในของประเทศต่างๆ
ระบบการอิงเงินตราที่เป็นสากล ช่วยกระจายความเสี่ยง
การก้าวไปสู่ระบบการอิงเงินตราที่เป็นสากลจะลดความจำเป็นในการสำรองดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งยังจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากผลกระทบภายนอก (Externalities) โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าและสภาพคล่องของอัตราแลกเปลี่ยน มีผลการวิจัย (Kamin, 2022) ที่แสดงให้เห็นว่า อัตราการอ่อนค่าระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศคู่ค้าต่างๆ มีน้อยกว่าการอ่อนค่าโดยรวมของอัตราแลกเปลี่ยนนั้นๆ กับดอลลาร์สหรัฐ และในขณะเดียวกันได้แสดงให้เห็นว่าประเทศที่ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่า จะส่งผลลัพธ์ที่ดีกว่าต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และในการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน
ประสานความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างระบบการเงินให้เข็มแข็ง
เพื่อเป็นแนวทางในการปลดล็อคความท้าทายจากประเด็นทางเศรษฐกิจอันเป็นผลสืบเนื่องมาการอิงระบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสำคัญ ทางสมาชิก ASFRC มีการเสนอแนวคิดการเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ในรูปแบบต่างๆ คือ
- การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนร่วมกันของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค อาทิเช่น พัฒนา Asian Bond Market Initiative (ABMI)
- สนับสนุนให้เกิดกระแสการไหลเวียนของเงินอย่างเสรี ภายใน ASEAN+3
- พัฒนาต่อยอด Chiang Mai Initiative Multi-literalized (CMIM) ให้เป็นตลาด Repo ในระดับภูมิภาค
- สนับสนุนให้การซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทางการเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่นของภูมิภาค แทนการใช้เพียงดอลลาร์สหรัฐ
- สร้างระบบการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของฟินคเทคในการทำธุรกรรมต่างๆ
- การพิจารณาใช้สกุลเงินดิจิทัล และส่งเสริมให้นำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในระบบธุรกรรมทางบัญชีและการเงินในรูปแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมข้ามแดน ดังเช่นโครงการ mBridge (Multiple Central Bank Digital Currency Bridge) ที่ BIS (Bank for International Settlements) ร่วมกับธนาคารกลางอีก 4 ประเทศ เป็นต้น
ผู้สนใจข้อมูลฉบับเต็ม สามารถติดตามอ่านได้ที่
http://mba.nida.ac.th/en/detail/news-event/20230201055529