MIS หรือ สาขาสารสนเทศเพื่อการบริหาร เป็นอีกหนึ่งสาขาที่วันนี้คนทำงานจากหลากหลายสาขาให้ความสนใจเข้าศึกษาต่อ “รศ.ดร.จงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล” อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ สาขาสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า กลุ่มคนที่มาเรียน MIS มีหลากหลายอาชีพและจบจากหลากหลายสาขา ทั้งวิศวะ ศิลปศาสตร์ ทันตแพทย์ แพทย์ บริหาร ฯลฯ เนื่องจากเป็นความรู้ด้านการบริหารจัดการ การเรียนรู้เรื่องธุรกิจ การบริหารองค์กร ฯลฯ
โดยภาพการศึกษาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะเห็นผู้บริหารระดับสูงหันมาเรียนเพิ่มเติมมากขึ้น ทั้งแบบ Degree และ Non- Degree เพื่ออัปตัวเองเพราะหากไม่ปรับตัวเขาจะอยู่ในองค์กรไม่รอด นอกจากนี้ จะเห็นว่าเด็กอายุ 20 ปลายๆ ก็หันมาเรียนมากขึ้นเช่นกัน เพราะเทคโนโลยีไปเร็วมาก เด็กจึงสนใจศึกษาเพี่อพัฒนาตัวเองให้เติบโตเพื่อองค์กรจะได้เลือกเขา
“การเรียน MIS เราจะบอกเด็กเลยว่า จบจากเราคุณจะเป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้บริหารที่รู้เรื่องเทคโนโลยี เข้าใจการบริหารงานที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องหรือขั้นต่ำต้องเป็น Project Manager ต้องสามารถควบคุม Project ได้”
สำหรับการปรับปรุงรายวิชาใน MIS นั้นมีการปรับตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี อย่าง วิชา Business Strategy X AI innovation เป็นวิชาใหม่ จะเห็นว่า AI มีความจำเป็นต่อการบริหารกลยุทธ์และกำลังมาแรง โดยแนวคิดในการปรับหลักสูตรจะคง Key word ที่ว่า Digital Citizenship เพื่อให้เด็กคุ้นชินก่อนออกไปทำงาน เด็กจะต้องได้เรียนกับเครื่องมือที่ดี เทคโนโลยีที่ดีและทันสมัย ไม่อย่างนั้นจะก้าวสู่ตลาดแรงงานในต่างประเทศไม่ได้หรือเมื่อก่อน ChatGPT ไม่มีคนพูดถึงตอนนี้คนพูดถึงมากในช่วงหลังปี 2020 ซึ่งความรู้เหล่านี้ไม่มีทางตกยุค
“เทคโนโลยีปัจจุบันทำให้การทำอะไรทำได้ง่ายขึ้น อย่าง การเขียน Coding สมัยก่อนต้องเขียนครบบรรทัด 10 ปีต่อมาพิมพ์นิดหน่อยระบบจะเติม Coding ที่สมบูรณ์ให้กับเรา แต่ปัจจุบันพิมพ์แล้วระบบเติมให้ไม่พอยังตรวจให้ด้วยว่าเราพิมพ์ผิดตรงไหน”
เด็ก MIS นอกจากจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว เขายังได้เทคนิคหลายอย่างเพื่อให้เขาประสบความสำเร็จ ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ในห้องเรียนภายใต้ Key Word 3 คำ คือ Explore Before Expense การเรียนในห้องเรียนแบบเดิมที่เน้นการจดจะถูกเปลี่ยนมาเป็นการเรียนแบบให้เด็กได้ทำกิจกรรม ได้แก้ปัญหา เพื่อให้เขามีส่วนร่วม ซึ่งรูปแบบใหม่นี้ทำให้เด็กได้รู้เทคนิค เข้าใจกระบวนการจากหลากหลายองค์กร ที่สำคัญการเรียนในห้องเรียนจะถูกจัดให้เป็นลักษณะ Design Thinking นอกจากนี้ MIS ยังมี Artifacts ไว้รองรับเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ ที่มี ทำให้เด็กมีโอกาสได้ทดลองได้ใช้งานจริง
รศ.ดร.จงสวัสดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญของ MIS คือ การส่งเด็กไปแข่งขันหรือสอบเพื่อให้ได้ Global Certificate ซึ่งถือเป็นอาวุธเสริมที่ MIS ส่งเสริมให้กับเด็ก นอกจากนี้ การที่เด็กสามารถเรียน Major ได้หลาย Major ทำให้เขามีอาวุธที่แข็งแกร่งขึ้น
“เด็กเราบางคนได้ 2 Major 5 Global Certificate เขาจะได้เปรียบคนอื่นตอนสมัครงานหรือถ้าทำงานแล้วบริษัทจะคัดคนออก เขาจะถูกเลือกให้อยู่ เพราะเขามีอะไรที่เหนือกว่า ตอนโควิดมีให้เห็นแล้ว เด็กมาขอบคุณเรา เขาได้ทำงานต่อเพราะ Global Certificate ที่เราให้เขาไปสอบ ด้วยการออกทุนค่าสมัครสอบให้ 50% ซึ่งบางครั้งแพงกว่าค่าเล่าเรียนที่เขาจ่ายกับเราอีก และเด็กที่ได้ Global Certificate เขาไม่ต้องสอบ Final ในวิชานั้น ตรงนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เด็กแข่งขันกัน เขาจะรู้สึกว่าเขาแพ้ไม่ได้ เด็กของเราบางคนก็ได้เงินเดือนเพิ่มเป็น 6 หลักเมื่อจบ MIS เพราะเราติดอาวุธให้เขาเยอะ เขาพร้อมจะขึ้นเป็นผู้บริหารที่มีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการให้กับคนที่ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง”
แม้ว่า MIS จะเน้นรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่สำหรับวิชาพื้นฐาน อย่าง บัญชี การเงิน HR การตลาด ฯลฯ ยังคงมีสอนเพราะการจะเข้าใจตลาดได้ต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่ง MIS ก็มีการปรับปรุงการเรียนการสอนให้เป็นรูปแบบ E-learning ส่วนวิชาด้านเทคโนโลยีจะเป็นวิชาเลือก
“ถึงวิชาพื้นฐานจะเรียนในระบบ E-learning แต่เด็กก็ต้องเข้าชั้นเรียน เพื่อที่ไม่เข้าใจตรงไหนจะได้ถามได้ อาจารย์จะทำหน้าที่เป็นโค้ชให้กับเด็ก เราต้องการดึงเด็กให้สูงขึ้น ดังนั้น อาจารย์ของเราก็ต้องพัฒนาตัวเองด้วย”
รศ.ดร.จงสวัสดิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงความสำเร็จของเด็กว่า “เด็กถือเป็น Key Success Factor ของคณะ ถ้าเด็กทำได้ดีก็เป็นการประชาสัมพันธ์คณะ สิ่งที่เราทำอยู่ คือ Human Center Design หรือการให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ถ้าเด็กประสบความสำเร็จก็เป็นการโฆษณาคณะไปในตัว”
เรื่อง / ภาพ: กองบรรณาธิการ