เพราะการเงินและการศึกษา เรียกว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อสร้างความสำเร็จ ความก้าวหน้าเพื่อการพัฒนาทั้งบุคลากร สังคมและเศรษฐกิจของประเทศในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในยุคนี้ที่บริบทต่างๆ ในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังทางเทคโนโลยีและความท้าทายทางเศรษฐกิจ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ซึ่งได้รับการยอมรับกันว่าเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศไทย และยังเป็นหนึ่งในโรงเรียนสอนธุรกิจ หรือ Business School ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก โดย AACSB (Association to Advance Collegiate School of Business) มาอย่างต่อเนื่องถึง 3 วาระ ด้วยองค์ประกอบความเข้มแข็งทั้งหลักสูตร องค์ความรู้ทางวิชาการ ทรัพยากรและบุคลากร คณาจารย์มีคุณวุฒิปริญญาเอกมากที่สุดของประเทศไทย
นิตยสาร MBA ได้รับเกียรติสัมภาษณ์ ศ.ดร. กำพล ปัญญาโกเมศ CFA, FRM, CFP สาขาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ประจำหลักสูตรการเงิน การลงทุน และการบริหารความเสี่ยง คณะบริหารธุรกิจ นิด้า ที่ได้แบ่งปันวิสัยทัศน์และมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม ตลอดจนการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้เรียนในหลักสูตรMBA ของนิด้า
ศ.ดร. กำพล ได้เผยว่า “ในปัจจุบันทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการลงทุนเองก็ไม่ต่างกัน เราได้เห็นการเกิดขึ้นของผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ เช่น คริปโทเคอร์เรนซี หรือ Exchange-Traded Fund (ETF) ที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกและโอกาสในการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น”
ทั้งนี้อาจารย์ยังกล่าวถึงบทบาทของ AI และการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศของการลงทุนว่า “AI และเทคโนโลยี Robot Trading ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนในหลายมิติ ใครที่ตามทันเทคโนโลยีก็จะได้รับโอกาส ในขณะที่บริษัทที่ปรับตัวไม่ทันจะเผชิญภัยคุกคาม”
นอกจากนี้ ศ.ดร. กำพล ยังย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีว่า “ในสายการเงิน การตามเทคโนโลยีให้ทันเป็นสิ่งสำคัญ นักศึกษาที่เรียนในสาขานี้จำเป็นต้องมีทักษะใหม่ๆ ไม่ใช่แค่ความรู้เดิมๆ อีกต่อไป ใครที่รู้จัก AI และนำมาใช้จะได้เปรียบ ส่วนใครที่ยังพึ่งพาความรู้เดิมๆ อาจกลายเป็นจุดอ่อนในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
ศ.ดร. กำพล ขยายความในเรื่องนี้ว่า สำหรับนักลงทุน มีการลงทุนแบบใหม่ๆ กลยุทธ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก ตอนนี้มีการนำ AI มาใช้แพร่หลาย และมีการพูดขยายกันต่อไปว่า ต่อไป AI จะมาแทนอาชีพหลายๆ สายงาน ได้หรือไม่? ตอนนี้ หลายคนมองว่าAI สามารถมาแทนหน้าที่ผู้วิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือหน่วยงานด้านเทคนิค หากว่าคนที่ดูด้าน technical แล้วรู้จักนำ AI มาปรับประยุกต์ใช้ ก็จะเป็นโอกาส แต่ใครที่ใช้เพียงความรู้และทักษะเดิมๆ โดยละเลยการนำเทคโนฯ ใหม่ๆ ก็จะเป็นภัยคุกคาม เพราะสามารถนำ AI แทนได้มั้ย
เมื่อพูดถึงการเรียนรู้ในหลักสูตร MBA ศ.ดร. กำพล เล่าว่า “ที่นิด้า เราเน้นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติอย่างลงตัว หลักสูตรของเรานำเนื้อหาที่ใช้ในการสอบใบประกาศนียบัตรวิชาชีพ เช่น CFA (Chartered Financial Analyst) , FRM (Financial Risk Manager) , และ CFP (Certified Financial Planner) มาใช้ เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้ที่อัปเดตอยู่เสมอ”
ซึ่ง ศ.ดร. กำพล เสริมว่า “เนื้อหาการสอบ CFA ในปัจจุบันมีการเพิ่มเรื่อง Machine Learning และ Data Analytics เข้ามา แม้ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง แต่ต้องเข้าใจเทรนด์และเครื่องมือเหล่านี้ เช่นเดียวกับการเข้าใจคริปโทเคอร์เรนซี และการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม และที่สำคัญ CFA ไม่ใช่แค่การสอบ แต่คือมาตรฐานความรู้ที่อัปเดตและครอบคลุมความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม นั่นหมายความว่า ถ้าผู้เรียนสอบผ่านมาตรฐาน CFA ซึ่งเป็นการสอบความรู้ที่ อัปเดตตลอดเวลา นั่นหมายความว่า นักศึกษาผู้สอบผ่านก็เป็นผู้มีความรู้ที่ทันยุคสมัยและอัปเดตทเฉกเช่นเดียวกัน และที่สำคัญมาตรฐานการสอบสากลนี้ จะเป็นตัวชี้วัดว่า ผู้สอบผ่านมีความรู้ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเหมือนกันทั่วโลก นี่คือสิ่งที่ MBA นิด้าเราผลักดัน สนับสนุนผู้เรียนให้ไปสอบมาตรฐานสากลเหล่านี้ โดยมี Incentive ว่า ถ้านักศึกษาสอบผ่านจะได้รับทุนสนับสนุนมอบให้ เรียกได้ว่า เป็นจุดแข็งสำคัญหนึ่งของเรา”
ศ.ดร. กำพล ยังพูดถึงแนวโน้มในตลาดการเงินของประเทศไทยว่า “หุ้นไทยในปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการสนับสนุนจากกองทุนวายุภักษ์ การลดดอกเบี้ย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล แต่สิ่งสำคัญคือต้องมองว่าราคาหุ้นเหมาะสมกับพื้นฐานหรือไม่”
นอกจากนี้ ศ.ดร. กำพล ยังกล่าวถึงโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจโลกว่า “ด้วยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) อาจเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในเชิงยุทธศาสตร์ แนวโน้มหลายบริษัทข้ามชาติใหญ่อาจพิจารณาเลือกมาตั้ง Data Center ในไทย อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และทรัพยากรบุคคลของเราให้มีความพร้อมรับทั้งในแง่คุณภาพและความเพียงพอเพื่อรองรับการลงทุนเหล่านี้ ซึ่งการศึกษาจะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมความสำเร็จในเรื่องนี้ เพราะผมคิดว่า การลงทุนในประเทศไทยจะยั่งยืนได้ ต้องมาพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ
ในประเด็นด้านการศึกษา ศ.ดร. กำพล เน้นว่า “ประเทศไทยต้องลงทุนในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพคือหัวใจสำคัญในการแข่งขันในระดับโลก”
อาจารย์ยกตัวอย่างประเทศจีนและอเมริกาว่า “ประเทศเหล่านี้มีมหาวิทยาลัยที่ผลิตคนเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น จีนที่สร้างมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หรืออเมริกาที่มี Silicon Valley เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล”
ซึ่งมุมมองของ ศ.ดร. กำพล มองว่าการศึกษาไม่ได้หมายถึงการเพิ่มงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแก้ปัญหาคุณภาพการสอนด้วย เช่น การดึงดูดคนที่มีความสามารถมาเป็นครู และการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างมาตรฐานการเรียนการสอนที่เท่าเทียม
“การพัฒนาประเทศต้องเริ่มจากการพัฒนาคน เพราะคนที่มีคุณภาพคือหัวใจของเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน” ศ.ดร. กำพลเผย
ศ.ดร. กำพล เผยว่า “MBA ของนิด้าไม่ใช่แค่การเรียนรู้ แต่คือการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เรามุ่งมั่นที่จะเป็นหลักสูตรที่ทันสมัยและตอบโจทย์ทั้งนักศึกษาและอุตสาหกรรม”
อาจารย์ย้ำว่า “จุดเด่นของเราคือการผสมผสานความรู้ด้านวิชาการและการปฏิบัติจริง เพื่อให้นักศึกษาไม่เพียงแค่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียน แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้”
การศึกษาในหลักสูตร MBA ของนิด้า คือ “การลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อสร้างผู้นำที่พร้อมเผชิญความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต”
จากแนวคิดและมุมมองของ ศ.ดร. กำพล ที่ได้แบ่งปันต่อผู้อ่าน ผ่านบทความนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของนิด้าในการสร้างหลักสูตร MBA ด้านการเงินและการลงทุนที่โดดเด่นและตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ศ.ดร. กำพล ปัญญาโกเมศ CFA, FRM, CFP สาขาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ถ่ายทอดมุมมองและความรู้ที่มีคุณค่า ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ
บทความ/รูปภาพ: กองบรรณาธิการ
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคทำให้การทำตลาดต้องเปลี่ยนแปลงไป “รศ.ดร.กัญญาภัสส์ ปันจัยสีห์ อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)” ได้ถ่ายทอดให้เห็นว่า วันนี้การทำตลาดต้องอาศัย 2D2C คือ “Data – Digital – Customer – Content”
สิ่งที่จำเป็นอย่างมาก คือ การใช้ “Data” ให้เป็นประโยชน์ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก คู่แข่งตัวเล็กตัวใหญ่เข้ามาในธุรกิจมากขึ้น ผู้บริโภคจึงมีทางเลือกที่หลากหลายขึ้น Data มีประโยชน์ในเรื่องนี้มาก หากต้องการเจาะตลาดให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SMEs ควรให้ความสำคัญเรื่องนี้
“Data มีประโยชน์ในการนำมาใช้วิเคราะห์ Data ทำให้เราเข้าใจอุตสาหกรรม กระแสเทรนด์หลักในตลาด กระแสสินค้า เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ ถ้าเรามี Data เราจะปรับตัวได้ง่ายขึ้นและสามารถวางกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อย่าง ตอนโควิดทุกคนปรับตัวไม่ทัน เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร แต่ถ้าเรารู้ก่อนเราจะปรับตัวได้ทัน”
หลายคนอาจจะมองว่า ต้องซื้อ Data จากบริษัทที่เก็บข้อมูล ซึ่งราคาสูง รศ.ดร.กัญญาภัสส์ ให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า ตอนนี้ Data หาได้ง่ายขึ้น สมัยก่อนต้องจ้างบริษัทวิจัย ทำให้มีราคาค่อนข้างแพง แต่ปัจจุบันสามารถหา Data ได้มากขึ้นบนโลกออนไลน์ แต่ต้องเลือกแหล่ง Data ให้ถูกด้วย เพราะทุกคนสามารถโพสต์อะไรบนโลกออนไลน์ได้ ซึ่งอาจจะถูกต้อง เป็นจริง หรือไม่ก็ได้ ดังนั้น ควรพิจารณาและเลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบัน Data มีขนาดใหญ่ขึ้นและหลากหลาย ซับซ้อนมากขึ้นและในอนาคตจะยิ่งซับซ้อนมากกว่านี้ จึงต้องรอบคอบในการเลือกใช้ประโยชน์จาก Data
คำว่า “Data is King” ถือเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังคงอยู่ ซึ่ง รศ.ดร.กัญญาภัสส์ มองเห็นเหมือนกันว่า “ทุกปีเรายังพูดว่า Data สำคัญ พูดกันมานานแล้ว ในการจะทำตลาดหรือธุรกิจ เราต้องตอบโจทย์ว่าลูกค้าเราคือใคร เราจะทำผลิตภัณฑ์อะไร จะสร้างแบรนด์ยังไง ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า (Customer) การเข้าใจลูกค้าอย่างชัดเจน เราจะสามารถสื่อสารกับเขาได้ เราจะรู้ว่าต้องพูดอะไรเพื่อจูงใจเขา”
นอกจากนี้ ในอนาคต “Digital” จะมีบทบาทมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพฤติกรรมคนหันไปซื้อออนไลน์มากขึ้น คนที่ขายแต่ออฟไลน์ก็ต้องเพิ่มออนไลน์เข้ามา อันนี้เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ต้องปรับตัวให้ทัน ซึ่งนำไปสู่ “Content” วันนี้เห็นแล้วว่า Content สำคัญขนาดไหนยิ่งในอนาคตจะสำคัญมากกว่านี้
“ตอนนี้สินค้า Luxury Brand ยอดขายตกลง เพราะ Gen ของคนเปลี่ยนไป เมื่อก่อนเราจะอิงสิ่งที่แบรนด์สื่อสาร แต่วันนี้คนเกิดมาและเติบโตมากับ Online และ Digital เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มาก เขาเลือกแบรนด์เองได้ ทำให้แบรนด์จะต้องสร้าง Content เพื่อดึงดูดคนและช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น”
การที่จะทำ Content ให้เข้าถึงใจลูกค้า (Customer) ได้ รศ.ดร.กัญญาภัสส์ มองว่า Data มีส่วนสำคัญในการช่วยแบรนด์ทำ Content เพราะจะทำให้แบรนด์เข้าใจว่าอะไรกำลังเป็นกระแส อะไรเป็นสิ่งที่ลูกค้ากำลังสนใจ จึงสามารถสร้าง Content ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น ส่วนการใช้ประสบการณ์ที่มีในการสร้าง Content นั้น ถือว่าดี แต่อาจจะพลาดก็ได้ ดังนั้น การมี Data จะช่วยทำให้แม่นยำมากขึ้น เขาถึงบอกว่า “Data is King”
สำหรับการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทหลายคนมองว่าเป็นการเรียนด้านทฤษฎีอย่างเดียว ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ แต่ทฤษฎีเป็นรากฐานที่ต้องควบคู่กับความเข้าใจและความสามารถที่จะนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ ดังนั้น นิด้า ไม่เพียงแต่เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจทฤษฎี แต่ยังต้องสามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎี เพื่อตอบโจทย์ปัญหาและความท้าทายในการทำธุรกิจที่มีบริบทแตกต่างและหลากหลาย
รศ.ดร.กัญญาภัสส์ ได้ให้มุมมองเรื่อง AI ว่า ตอนนี้คนกลัว AI มาก กลัวมาแย่งงานเรา จริง ๆ แล้วเราควรเอา AI มา Support ไม่ใช่ให้มาครอบงำเรา จุดแข็งของ AI คือ ความสามารถในการค้นหาและประมวลผลข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นมนุษย์จะสู้กับ AI ได้จำเป็นที่จะต้องผลักดันตัวเองให้คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ควบคู่ไปกับการคิดแนวสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของมนุษย์ อย่างไรก็ดี ในการตลาดความคิดสร้างสรรค์ต้องอยู่ในกรอบของความเป็นไปได้ เช่น ภายในงบประมาณและทรัพยากรที่องค์กรมี เป็นต้น
ดังนั้น สิ่งที่นักศึกษาที่เรียนกับนิด้าจะได้ เขาจะต้องเข้าใจ วิเคราะห์ สังเคราะห์ Data ต่างๆ ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถตอบโจทย์เป้าหมายที่ต้องการได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่ผู้เรียนด้านการตลาดควรทำความเข้าใจ ไม่ใช่การเข้าใจแค่ทฤษฎีเพราะทฤษฎีหาอ่านได้ การทำธุรกิจไม่มีอะไรที่ตายตัว บริบทวันนี้กับอนาคตก็ไม่เหมือนกัน คู่แข่ง ความสามารถของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน จึงต้องปรับให้เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ
เมื่อการเรียนรู้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การอัปเดตหลักสูตรจึงจำเป็น รศ.ดร.กัญญาภัสส์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า หลักสูตรมีการอัปเดตอยู่เสมอเพื่อให้ทันสมัย ยิ่งเรื่อง Digital มีการปรับเปลี่ยนที่เร็วมากหรือขณะนี้เรื่อง Sustainability กำลังมาก็ต้องสอดแทรกเรื่องนี้เข้าไป ซึ่งคณาจารย์ก็มีการเพิ่มเติมองค์ความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ
“อาจารย์หลายท่านมีประสบการณ์ เป็นที่ปรึกษา ก็จะสามารถนำประสบการณ์เหล่านี้มาแบ่งปันได้ เขาก็นำความรู้ตรงนี้มาสอนเสริม นักศึกษาของเราก็มาจากหลากหลายบริษัท เขามีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว เมื่อนำประสบการณ์ที่เขามีมาบวกกับของคณาจารย์ทำให้เขาได้เห็น Case ที่หลากหลายขึ้น ไม่ใช่แค่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่เขาทำอยู่ ทำให้การเรียนการสอนสนุก ต่างคนต่างเสริมซึ่งกันและกัน”
รศ.ดร.กัญญาภัสส์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “การตลาดเป็นเรื่องที่ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ถ้าเราทำการตลาดแบบถูกต้อง เราจะตอบโจทย์ลูกค้าและชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นจริง การตลาดไม่ใช่แค่การขายสินค้าแล้วจบ แต่การตลาดจะต้องทำให้เราสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าจนเขาอยากมาใช้ซ้ำ อยากบอกต่อ เพราะเราสามารถแก้ปัญหา ตอบโจทย์ความต้องการ สร้างความพึงพอใจให้กับพวกเขาได้ อันนี้เรียก “การตลาดที่แท้จริง”
เรื่อง / ภาพ โดย: กองบรรณาธิการ