December 15, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

Goals and Means

August 13, 2018

                “ถังดับเพลิง เครื่องบินรบ รถไฟ เหมือนกันอย่างไร?

                ถังดับเพลิง เครื่องบินรบ รถไฟ 3 อย่างนี้มีลักษณะร่วมอย่างหนึ่งคือเราซื้อมาทั้งที่เราไม่ได้อยากใช้ ถังดับเพลิงถ้าใช้แปลว่าไฟไหม้ เราใช้เครื่องบินรบแสดงว่ามีสงคราม แล้วรถไฟละ เราเดินทางจากหมอชิตไปอนุสาวรีย์ชัย เราไม่ได้อยากเดินทาง ผมอยากจะเดินจากบ้านไปเรียนหนังสือ ไปทำงาน แต่รูปแบบผังเมืองทำให้ไม่มีแผนอะไร มหาวิทยาลัย ห้างอยู่ในเมือง คนซื้อบ้านในเมืองไม่ได้ ก็ต้องไปชานเมือง จริงๆ แล้วเราเดินทางไม่ใช่เพราะเราอยากเดินทาง เราอยากไปทำกิจกรรมบางอย่างที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ไปซื้อของไปเรียนหนังสือไปเจอเพื่อน แต่เงื่อนไขทำให้เราต้องเดินทาง”

                ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประมวล สุธีจารุวัฒน ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอ่ยขึ้นในช่วงหนึ่งของการสนทนา เป็นตัวอย่างที่สื่อความหมายของเป้าหมายและวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายตามหน้าที่ของคำแต่ละคำ

                ผศ.ดร.ประมวล นอกจากเป็นสอนหนังสือแล้วยังทำหน้าที่ช่วยกระตุกผู้บริหารประเทศและสังคมด้วยบทความและการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อต่างๆ เกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์ การพัฒนาเทคโนโลยี และการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่รัฐเป็นลูกค้าโดยตรงเช่นรถไฟ ยุทโธปกรณ์ รวมถึงการค้าที่เปลี่ยนรูปแบบไป

                MBA มีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดที่ผศ.ดร.ประมวลพยายามนำเสนอมานับสิบปี เพื่อช่วยกระจายแนวคิดการพัฒนาประเทศในอีกรูปแบบหนึ่งสู่สังคมไทย และช่วยสร้างโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรมภาคกาผศึกษาและสังคมโดยรวมของประเทศในอนาคต

                บทสนทนาเริ่มด้วยฐานความคิดของ ผศ.ดร.ประมวล ในการคิดวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ

                 อันดับแรกคือคำว่า Goals เป้าหมาย และ Means วิธีการ ดูเหมือนยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่

              “ถ้าเรามองเป้าหมายของการพัฒนาประเทศไม่ใช่การพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง เป้าหมายของประเทศคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกคนที่อยู่ในประเทศ ถ้าเราเข้าใจว่าเป้าหมายคือพัฒนาคน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพชีวิต การศึกษา และอื่นๆ ผมกำลังจะบอกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน ไม่ใช่เป้าหมาย คนที่ไม่เข้าใจก็จะใช้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเป้าหมาย และใช้การพัฒนาคนเป็นเครื่องมือ”  

                อันดับที่สอง คือกลไกใดจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้ ซึ่งคำตอบที่ชัดเจนคือการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งอาจหมายรวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วย “มีคนเคยพูดไว้ว่า ถ้าเราพัฒนาอุตสาหกรรมเปรียบเหมือนกับการปักบันไดเลื่อนลงไปในประเทศ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะเดินขึ้นบันไดเลื่อนเหล่านี้ได้ คนที่จะขึ้นก็ต้องมีการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปวช. ปวส. ปริญญาตรี ถึงจะสามารถก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดเลื่อนได้ เมื่อเดินขึ้นแล้ว บันไดเลื่อนก็จะพาไหลไป ความหมายคือ อายุงานมากขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น  ภาพคือคนเหล่านี้โตไปเรื่อยๆ รายได้ก็สูงขึ้น คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น ความน่าสนใจคือ ถ้าระบบนี้สมดุล แปลว่าพออายุ 60 คนที่ปลายบันไดเลื่อนก็เดินจากไปคนใหม่ก็เดินขึ้นมา ถ้าบันไดเลื่อนมีมากพอ และตัวบันไดเลื่อนยาวเพียงพอ คนเข้าคนออกสมดุลกันทุกอย่างก็สมดุล”

               แต่โจทย์ของประเทศไทยคือเมื่ออัตราการเกิดของคนในประเทศต่ำลง แรงงานที่จะเข้าสู่ระบบลดลง และอีกส่วนหนึ่งคือคนทำงานไม่อยากเข้าไปทำงานใช้แรง อยากทำงานที่มีคุณภาพสูงขึ้น ซึ่งคำถามคือสังคมไทยได้เตรียมอุตสาหกรรมรองรับคนเหล่านี้ไว้หรือไม่

               “ประเทศไทยมีปัญหานอกจากสังคมผู้สูงอายุ หรืออุตสาหกรรมเรายังมีปัญหาเรื่องระดับเทคโนโลยีในประเทศไม่สัมพันธ์กับการพัฒนาขีดความสามารถของคน การพัฒนาขีดความสามารถของคนไม่เท่าทันกับระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีที่ประเทศต้องการ ทั้งหมดนำไปสู่ความไม่สมดุล ..ถ้าเรามองเห็นภาพว่าเป้าหมายการพัฒนาชาติคือการพัฒนาคนและใช้การพัฒนาเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ คนเก่งขึ้นก็จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เอาความรู้ไปพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เทคโนโลยีใหม่ด้วย”

                อันดับที่สาม รูปแบบธุรกิจและอุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนแปลงไป จากการขายสินค้าและบริการ สู่การขายพ่อค้า และปัจจุบันเป็นการขายแพลตฟอร์ม

                “เดิมถ้ารูปแบบเอ็กซ์พอร์ตเตอร์จีน คนขายผักจีนส่งผักมาให้ไทย ก็เป็นรูปแบบเดิม คือเจ้าของผักขายผัก คนซื้อก็ซื้อผัก โมเดลปัจจุบัน พ่อค้าจีนจำนวนหนึ่งมาทำงานในประเทศไทย มาเป็นพ่อค้าในไทย ทำหน้าที่เป็นอิมพอร์ตเตอร์จีนในไทย เพื่อนำเข้าผักจากจีนมาไทย  โมเดลสิบปีที่ผ่านมา คือเขาส่งออกพ่อค้ามาทำงานที่ไทย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือเราเริ่มขายโรงแรมในไทยให้คนจีนมาใช้ ขายร้านอาหารให้คนจีนมาใช้ โมเดลขายสินค้าและบริการไม่ใช่แล้ว  เป็นลักษณะวิธีการทำธุรกิจที่กำลังเปลี่ยน แต่รูปแบบที่กำลังจะเกิดขึ้นและเป็นในอนาคต กำลังหมดยุคส่งออกพ่อค้า จะเข้าสู่ยุคส่งออกแพลตฟอร์ม คือ อาลีบาบา เถาเป่าที่เคยอยู่ในจีนตอนนี้ยกขบวนมาในไทยแล้ว มาตั้งในไทย แปลว่าเมื่อรูปแบบนี้มา พ่อค้าจีนไม่ต้องมาแล้ว แพลตฟอร์มมา ก็ปลั้กอินเข้าแพลตฟอร์มเลย แต่สังเกตคนได้กำไรเยอะสุดไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของสินค้าหรือบริการ คนที่เป็นเทรดเดอร์พ่อค้าได้กำไรสูงกว่า ต่อไปคนที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มได้กำไรสูงสุด เพราะว่าตัวเองเป็นคนควบคุมช่องทางการจัดจำหน่าย”

                คำถามที่ตามหลังมาจากแนวคิดเบื้องต้นทั้ง 3 ข้อของ ผศ.ดร.ประมวลคือ “ใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบวางแผนพัฒนาศักยภาพของคนให้สอดรับกับขีดความสามารถของเทคโนโลยีที่ต้องการ ซึ่งต้องเป็นยุทธศาสตร์ชาติและวางอยู่บนความเข้าใจว่า ในอีก 5-10 ปีอะไรจะเกิดขึ้น และกำหนดเงื่อนไขในการพัฒนายุทธศาสตร์ การพัฒนาอุตสาหกรรม การพัฒนาการศึกษาให้สอดรับกับบริบทที่จะเกิดขึ้น”

ยกระดับไทยด้วยอุตสาหกรรม

ตัวอย่างจากรถไฟฟ้า

                 คำตอบของ ผศ.ดร.ประมวลคือ กลไกที่สามารทำให้เกิดการพัฒนาคนในประเทศผ่านเครื่องมือกลไกต่างๆ โดยเขายกตัวอย่างโครงการก่อสร้างระบบคมนาคมขนาดใหญ่ในประเทศที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ที่เราสามารถนำโครงการเหล่านี้มาช่วยผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรม สร้างงานที่มีคุณภาพให้กับแรงงาน รวมถึงลดปัญหาการพึ่งพาต่างชาติลง

                เพราะแค่ความต้องการตู้รถไฟที่จะมาวิ่งบนรางต่างๆ ที่มีอยู่แล้วและกำลังสร้างขึ้นมาอยู่ก็มีหลายร้อยขบวน แต่ปัญหาคือที่ระบบรถไฟฟ้าที่ผ่านมาของประเทศไทยแต่ละระบบไม่เคยใช้รูปแบบเดียวกัน  “โมเดลไม่เหมือนกัน อะไหล่ใช้ด้วยกันไม่ได้ สีม่วงซื้อจากญี่ปุ่นแน่นอนใช้ร่วมกันไม่ได้ เราใช้รถร่วมกันไม่ได้ รถไฟความเร็วสูงไทยจีน ไทยญี่ปุ่นก็ใช้ร่วมกันไม่ได้ ผมกำลังบอกว่า ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศที่มีโมเดลรถไฟฟ้าเต็มไปหมด และทั้งหมดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แม้วอลุ่มขนาดใหญ่ แต่โมเดลในการผลักไปสู่ภาคการผลิตในไทย เราไม่ได้ทำ”

                “ถ้าเรามองภาพการพัฒนามนุษย์ เรามองว่าระบบขนส่งมวลชนเป็นสิ่งที่เราต้องการลงทุนเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตคนในเมืองและในประเทศดีขึ้น จะเจ๋งมากถ้าทำให้ความต้องการใช้ระบบขนส่งทั้งหมด ผูกไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ และใช้อุตสาหกรรมในประเทศผูกสู่การพัฒนาการทรัพยากรมนุษย์ ช่าง วิศวกร วิจัยพัฒนา เมื่อคนพวกนี้เก่งขึ้น อาจจะไม่ได้แค่ทำรถไฟก็ได้ อาจจะเอาความรู้ไปทำอย่างอื่น ถ้าเรามีกลไกส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีแบบนี้ ใครจะไปรู้ต่อไปคนไทยอาจจะเป็นคนสร้างไฮเปอร์ลูปด้วยตัวเองก็ได้หรือทำสิ่งอื่นเช่น ทำวีลแชร์อัตโนมัติควบคุมด้วยสมอง แต่ถ้าเราไม่ทำอะไร อีก 20 ปีข้างหน้าวีลแชร์พวกนี้เราก็นำเข้าจากต่างประเทศ”

                ผศ.ดร.ประมวลบอกว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมเช่นนี้เปรียบเหมือนกับการสร้างมังกรให้เกิดขึ้นในประเทศ เพื่อให้คนเก่งของประเทศไทย มีโจทย์สำหรับพิชิต  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม การพัฒนาเทคโนโลยี และการพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศ

                “ผมไม่ได้มองเห็นแค่รถไฟ ผมยังมองเห็นเรือดำน้ำ เครื่องบินรบ ที่รัฐบาลต้องจัดซื้อสามารถผันให้กลายเป็นเครื่องมือพัฒนานักปราบมังกรได้ และนักปราบมังกรที่พูดถึง ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานในปัจจุบัน ผมกำลังพูดถึงงานสำหรับอนาคต เป็นงาน Value Creation งานแบบนี้ต้องการโจทย์เพื่อเทรนคนปัจจุบันให้สามารถทำอะไรบางอย่างในอนาคตได้ ถ้าไม่ทำตอนนี้ แล้วใครจะทำ”

Lesson Learn

                ผศ.ดร.ประมวล ยกตัวอย่างกลไกที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศเกี่ยวกับการผูกพันโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเข้ากับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในประเทศ เริ่มด้วยประเทศจีนที่กำลังมาทำรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทยในปัจจุบัน

                ปี 2003 หลังจากทดลองพัฒนาเทคโนโลยีทำรถไฟฟ้าความเร็วสูง ด้วยตัวเองก่อนหน้าแต่ไม่สำเร็จ จีนตัดสินใจซื้อจาก 4  บริษัท 4 ประเทศ บริษัทละ 60 ขบวน โดยในเงื่อนไขการสั่งซื้อทั้ง 4 บริษัทจะต้องร่วมกับจีนเพื่อพัฒนามาตรฐานรถไฟของจีน ต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งการพัฒนาชิ้นส่วน และการประกอบ และยินยอมให้จีนพัฒนาต่อเพื่อขายประเทศที่ 3 ได้ และสุดท้ายก็ได้รถไฟแบรนด์ CHR (China Rail Hexie) ออกมาเป็นแบรนด์ของจีนเอง (hexie มาจากภาษาจีนแปลว่า harmonyความกลมกลืน)

                ผศ.ดร.ประมวล อธิบายเพิ่มเติมว่า จีนมีรูปแบบการรับเทคโนโลยีที่หลากหลาย โดยมีการศึกษาว่าเทคโนโลยีใดคือเทคโนโลยีหลักที่จีนต้องการได้

                  ประเทศมาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่พัฒนาอุตสาหกรรมรองรับเทคโนโลยี ในปี 1987 มาเลเซียตั้งโครงการ Malaysian Industry-Government Group for Hige Technology (MIGHT) ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของประเทศด้วยอุตสาหกรรมที่เลือกมา 5 อุตสาหกรรม คือ เรือ การบิน รถไฟ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และเครื่องยนต์เจ็ต ด้วยการใช้ความต้องการจัดซื้อนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม

                ในช่วงแรกโครงการนี้ยังไม่คืบหน้าเท่าใดจึงมีการจัดทำโมเดล Industrial Collaboration Program เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อให้กระทรวงทบวงกรมที่ต้องการจะจัดซื้อสินค้าในอุตสาหกรรมเป้าหมาย(เดิมมี 5 อุตสาหกรรม ปัจจุบันมี 12 อุตสาหกรรม) ต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนด มิฉะนั้นทางกระทรวงการคลังจะไม่อนุมัติการจ่ายเงินงบประมาณให้

                ด้วยกลไกการจัดซื้อใหม่นี้ทำให้ปัจจุบันมาเลเซียสามารถผลิตรถไฟได้เอง และกำลังพัฒนาให้เป็นระบบไฟฟ้า จากยุทธศาสตร์ของชาติที่วางเอาไว้

                ผศ.ดร.ประมวล อธิบายกลไกนี้ว่า วิธีการเช่นนี้เป็นการสร้างระบบนิเวศโดยภาครัฐ ผ่านสินค้าที่ภาครัฐเป็นผู้ซื้อเพียงผู้เดียว หากรัฐจะช่วยสร้างระบบนิเวศในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น จะเป็นประโยชน์มากกว่าการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อมาใช้งานเพียงมิติเดียว เมื่อหมดอายุการใช้งานก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่น แต่หากสามารถมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมให้เกิดขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในหลายมิติ

                เพราะเมื่อมีกลไกการขับเคลื่อนจากภาครัฐ มีภาคเอกชนที่เกิดขึ้นมาทำอุตสาหกรรมนั้นๆ ภาคการศึกษาก็จะมีโจทย์ที่ชัดเจนในการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศที่เกิดขึ้น เพิ่มเติมจากโจทย์วิจัยที่มีอยู่เดิม เป็นการพัฒนาในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

                โดยรัฐสามารถบริหารจัดการให้งานที่วิจัยที่จะเกิดขึ้นมีความเกี่ยวพันกับสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสาขาวิชาและเทคโนโลยีที่แต่ละสถาบันมีความถนัดและสนใจได้

                การขับเคลื่อนกลไกที่สนับสนุนระบบนิเวศการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ในรูปแบบที่ ผศ.ดร.ประมวล แสดงความคิดเห็นมา จำเป็นต้องใช้การระดมสมองจากผู้รู้ ผู้มีอำนาจในประเทศ เพื่อตอบเป้าหมายการพัฒนาประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาคนไทยให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

                และจาก 2 ประเทศตัวอย่างข้างต้นก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการพูดคุย แลกเปลี่ยนแนวคิด และหาเป้าหมายและวิธีการที่จะทำให้ไทยสามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมโลกได้อย่างไม่อายใคร

 

สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า “ในครึ่งปีแรกบริษัทฯ มียอดขายรวม 24,376 ล้านบาท รายได้ 19,282 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.1 เปอร์เซ็นต์ จากผลของการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้เข้าสู่สัดส่วน คอนโดมิเนียม 40เปอร์เซ็นต์ ทาวเฮาส์ 40 เปอร์เซ็นต์ และบ้านเดี่ยว 20 เปอร์เซ็นต์ และการเปลี่ยนแผนการขายที่เน้นการขายบ้านพร้อมอยู่เพิ่มขึ้นทำให้การเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีแรกลดลง ขณะที่กำไรสุทธิในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,426 ล้านบาทเท่ากันกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านต่างๆ

 ในช่วง 6 เดือนแรกของปีมีการเปิดโครงการใหม่แล้ว 26 โครงการ มูลค่า 19,900 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 42 โครงการ มูลค่ารวม  41,500 ล้านบาท  โดยมีโครงการไฮไลท์หลายโครงการทั้งในกลุ่มธุรกิจพรีเมียม และกลุ่มธุรกิจแวลู  อาทิ “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร”ภัสสร บางนา-วงแหวน”เดอะไพรเวซี่ จตุจักร”, และ  “พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวน” โดยจะใช้กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่เน้นคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ สร้างความแตกต่างของโปรดักส์ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้สื่อดิจิตอลในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ในกลุ่มทาวน์เฮาส์จะมุ่งรักษาความเป็นเจ้าตลาดทาวน์เฮาส์อย่างต่อเนื่อง โดยจะขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดในหัวเมืองใหญ่ และในเขต EEC มากขึ้น

 อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้เพิ่มช่องทางการขาย New Sales Channel  อีก 3 ช่องทางได้แก่ “โบรกเกอร์”  ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าคอนโดมิเนียมที่เป็นชาวต่างชาติได้มากยิ่งขึ้น  “B2B” การมอบส่วนลดพิเศษกับองค์กรพันธมิตรกับพฤกษา ปัจจุบันมีองค์กรที่เป็นพาร์ทเนอร์แล้วถึง 1,314 แห่ง (รวมบริษัทในเครือ) โดยในครึ่งปีแรกมียอดขายจากสองช่องทางใหม่นี้ คิดเป็นสัดส่วนถึง 28% ของยอดขายทั้งหมด และอีกช่องทางการขายที่เพิ่มขึ้นได้แก่ Pruksa Member  ที่เน้นให้สมาชิกพฤกษาแนะนำผู้ซื้อ ซึ่งผู้แนะนำจะได้รับสิทธิพิเศษตามเงื่อนไขที่กำหนด ที่ผ่านมาพบว่า 47% ของลูกค้าที่ถูกแนะนำจะซื้อที่อยู่อาศัยของพฤกษา  และพฤกษามีฐานข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าขนาดใหญ่มากกว่า 1 ล้านข้อมูล ซึ่งจะช่วยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูลเพื่อผลักดันยอดขายได้ดียิ่งขึ้น

 ด้านความคืบหน้าของการลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุต คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 ซึ่งระหว่างนี้มีแผนเปิดคลีนิค “บ้านหมอวิมุต” ซึ่งเป็นคลินิกที่เปิดให้บริการรักษาโรคทั่วไป รวมถึงให้คำปรึกษาด้านสุขภาพกับผู้อาศัยในชุมชน  เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต่อยอดจากโรงพยาบาลวิมุต โดยจะเปิดโครงการนำร่องให้บริการที่แรกในย่านรังสิต คลอง 3 จ.ปทุมธานี ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งย่านรังสิตถือเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ และมีโครงการของพฤกษาอยู่เป็นจำนวนมาก และจะขยายไปยังชุมชนอื่นต่อไปในอนาคต

 ทางด้านปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในครึ่งปีหลังจะมีการปรับพอร์ตเน้นเปิดโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น เพื่อเป็นการวางเป้าหมายรายได้ในระยะยาว โดยจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มอีก 10 โครงการ คิดเป็น 40% ของพอร์ตรวมทั้งหมด ซึ่งมีหลากหลายทำเลทั้งใจกลางเมืองย่านธุรกิจและตามแนวรถไฟฟ้า คาดว่าจะช่วยเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มคอนโดได้มากยิ่งขึ้น ในส่วนของบ้านเดี่ยวจะเน้นการสร้างความแตกต่างทั้งในด้านของดีไซน์ ฟังก์ชั่น สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ และนวัตกรรมการอยู่อาศัย ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้มากที่สุด และในครึ่งปีหลังนี้จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนคอนโดมิเนียมจำนวน  4 โครงการ ได้แก่  พลัมคอนโด ปิ่นเกล้า สเตชั่น,  พลัมคอนโด รามคำแหง สเตชั่น, เออร์บาโน่ ราชวิถี และแชปเตอร์วัน อีโค รัชดา-ห้วยขวาง   มูลค่าราว 12,200 ล้านบาท ประกอบกับแนวโน้มของอัตราการปฏิเสธธนาคารของลูกค้าพฤกษาในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาซึ่งอยู่ในระดับต่ำเพียง 4.6% จากกลยุทธ์บ้านพร้อมขาย (Ready to Move in) และ Pre-Approve ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ จึงคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายรายได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน

ณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือ FSMART ผู้ให้บริการตู้เติมเงินออนไลน์บุญเติม ช่องทางการชำระเงินที่มีเครือข่ายมากที่สุดในประเทศไทย  เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 6/2561 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท รวมเป็นเงิน 234 ล้านบาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับงวด 6 เดือน กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลระหว่างกาลปี 2561 (Record date) ในวันที่ 23 สิงหาคม 2561 และกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 4 กันยายน 2561

 โดยผลประกอบการงวด 6 เดือนปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 1,691 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,484 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 275 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกบริษัทสามารถติดตั้งตู้บุญเติมเพิ่มขึ้นอีก 5,695 ตู้ ทำให้ปัจจุบันมีตู้รวมทั้งสิ้น 130,348 ตู้ เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มูลค่าเติมเงินทั้งบริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ บริการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร บริการเติมเงินออนไลน์ประเภทอื่น ๆ รวมทั้งบริการรับชำระบิลอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 25% หรือมีมูลค่าเติมเงินรวม 21,032 ล้านบาท จากจำนวนผู้ใช้บริการ 25 ล้านเลขหมาย และจำนวนการทำรายการผ่านตู้บุญเติม 2.2 ล้านรายการต่อวัน

 ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้รวม 849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และมีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 769 ล้านบาท กำไรสุทธิ 144 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการเชิงรุกเล็งจุดติดตั้งคุณภาพ เพื่อให้ยอดเติมเงินเฉลี่ยต่อตู้ (ARPU) เพิ่มมาที่ 32,198 ต่อตู้ต่อเดือน รวมไปถึงบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริการและบริหารให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

  “ตู้บุญเติม” ยังถือเป็นผู้นำตลาดตู้เติมเงินออนไลน์ ทั้งในส่วนของจำนวนตู้และมูลค่าการเติมเงิน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด อยู่ที่ประมาณ 22% จากมูลค่าตลาดบริการโทรศัพท์มือถือประเภทเติมเงินล่วงหน้า (Pre-Paid) รวมกว่า 1.33 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทยังคงรักษาแนวทางการทำงานด้วยกลยุทธ์จุดตั้งตู้บุญเติมที่มีคุณภาพ ทั้งจุดติดตั้งในพื้นที่ใหม่ และปรับเปลี่ยนในทำเลเดิม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการขายด้วยแคมเปญต่างๆ ทั้งรายการสะสมแต้มเพื่อชิงโชคและแลกของรางวัล รวมไปถึงกิจกรรมอื่นๆตามเทศกาลเพื่อตอบแทนลูกค้าที่ใช้บริการตู้บุญเติม

 สำหรับการดำเนินงานในครึ่งปีหลังบริษัทเชื่อว่าจะมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง ด้วยฐานลูกค้าเดิมที่เป็นกลุ่มผู้นิยมใช้เงินสดในการใช้จ่าย รวมถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ใช้ “Be Wallet” แอปพลิเคชั่นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนมือถือ (E-wallet) โดยบริษัทจะเพิ่มการให้บริการใหม่อื่นๆ ที่ช่วยทำให้ตู้บุญเติมเป็นช่องทางที่ครบวงจรมากขึ้นและเพิ่มความสะดวกและตรงกับความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด อาทิ เพิ่มธนาคารสำหรับโอนเงินอีก 2 ธนาคาร ตามนโยบายที่จะให้บริการประเภทโอนเงินบนตู้เติมเงินกับ 4 ธนาคารขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้และฐานลูกค้าให้รู้จักกับตู้บุญเติม นอกจากนี้ จะเพิ่มบริการการชำระค่าตั๋วโดยสาร การชำระบิลสาธารณูปโภค การขายประกันภัย/ประกันอุบัติเหตุ และบริการอื่น ๆ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบันยังคงมาจากธุรกิจให้บริการเติมเงินประมาณ 83% ส่วนที่เหลือเป็นการโอนเงิน และบริการอื่นๆ

 ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะติดตั้งตู้บุญเติมเพิ่ม 10,000 ตู้ ทำให้สิ้นปี 2561 มีตู้บุญเติมรวมทั้งสิ้น 134,653 ตู้ เพื่อสนับสนุนให้มูลค่าการใช้บริการผ่านตู้บุญเติมเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2560 โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการบริหารจัดการยอดเติมเงินเฉลี่ยต่อตู้ต่อเดือน (ARPU) ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% และผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

  นอกจากนี้ บริษัทฯ เล็งต่อยอดธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ โดยอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในการพัฒนาธุรกิจใหม่ผ่านตู้เติมเงิน อาทิ การจำหน่ายซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ และการรับพิสูจน์ตัวตน (e-KYC) ให้กับกลุ่มธนาคารและกลุ่ม e-Wallet ต่าง ๆ เป็นต้น โดยคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ โดยทั้ง 2 บริการยังคงเกี่ยวโยงกับธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งเป็นโอกาสในการอำนวยความสะดวกทั้งผู้ใช้บริการและธนาคารพาณิชย์ที่จะเข้าสู่สังคมระบบดิจิทัลต่อไป

 

ปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้าและอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 19% เป็นผลจากงานโครงการปรับตัวเพิ่มขึ้น 23% งานค้าส่ง/ค้าปลีกเพิ่มขึ้น 14% และงานส่งออกเท่ากับปีก่อนหน้า

การเพิ่มขึ้นของงานโครงการเป็นผลจากการก่อสร้างและปรับปรุงศูนย์การค้าและร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีสินค้าที่ส่งไปติดตั้งในงาน turnkey ไตรมาสก่อนหน้า สามารถส่งมอบงานและรับรู้รายได้ในไตรมาสนี้ ส่วนการเพิ่มขึ้นของงานขายส่ง/ขายปลีกเป็นผลจากการขายในร้าน Lighting Solution Center ของบริษัทที่ถนนรัชดาภิเษก และที่ถนนราชพฤกษ์ปรับตัวดีขึ้น สำหรับงานส่งออกนั้น การเลื่อนส่งมอบสินค้าให้งานบางโครงการในประเทศเมียนมาร์และประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้รายได้จากการขายยังคงเท่ากับปีก่อนหน้า

ขณะเดียวกัน ในไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 181.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 11% สาเหตุใหญ่เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น และในปีนี้มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศเวียดนามและการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเชีย รวมทั้งผลจากการปรับเงินเดือนประจำปี

ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2561 อยู่ที่ 24.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 16.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 194% เป็นผลจากกำไรเบื้องต้นรวมรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 36.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 17.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% และภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 3.0 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมธุรกิจทั้งปี 2561 ปกรณ์ระบุว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จากการขายและให้บริการเติบโต 20% จากปีก่อน ในฐานะผู้นำธุรกิจแสงสว่าง พร้อมรุกขยายงานโครงการของภาครัฐบาลและเอกชนที่คาดว่าจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) ที่รอรับรู้เป็นรายได้อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้

สำหรับการขยายไปยังตลาดต่างประเทศ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีมีการเติบโตที่ดี จากความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อสินค้าและบริการของบริษัทฯ  และความเชี่ยวชาญในธุรกิจแสงสว่าง โดยบริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายสัดส่วนส่งออกต่างประเทศที่ 9% ของรายได้จากการขายและบริการ อีกทั้ง การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่างของบริษัทฯ  สร้างความรู้ และกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อผลักดันให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ LED แทนการใช้หลอดไฟส่องสว่างแบบเดิม สนับสนุนรายได้จากการขายปลีกและขายส่งให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้

 

 บริษัทบล็อกเชนไฮบริด XinFin  แพลตฟอร์มบล็อกเชนไฮบริดแบบเปิด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้สนับสนุนระยะยาว เครือข่ายสาธารณูปโภค และนักพัฒนาเทคโนโลยี เรียกร้องให้ธนาคารกลาง ธนาคารเพื่อการพัฒนา กองทุนบำเหน็จบำนาญ และบริษัทประกัน ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือเพื่ออุดช่องว่างด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกที่มีมูลค่าสูงถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์  

 โดย Joseph Appalsamy ประธานฝ่ายการพัฒนาธุรกิจของ XinFin  กล่าวถึงประโยชน์ของบล็อกเชนที่มีต่อกลุ่มความร่วมมือว่า มีนักลงทุนกลุ่ม Global Public Investors (GPI) เพียง 25% ที่ลงทุนในโครงการขั้นต้น เนื่องจากเหตุผลด้านความเสี่ยง แล้วบล็อกเชนสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการระดมทุน ลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม ช่วยให้กระบวนการต่างๆเป็นไปอย่างอัตโนมัติและราบรื่น ช่วยเตรียมข้อมูลประสิทธิภาพของสินทรัพย์แบบเรียลไทม์ รวมถึงจะช่วยในการแลกเปลี่ยนได้หรือไม่ คำตอบคือได้อย่างแน่นอน

 XinFin ยืนยันว่า การแปลงสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพด้วยเทคโนโลยี tokenization จะเปิดทางให้สถาบันต่างๆ สามารถนำสินเชื่อบางส่วนที่ปลอดความเสี่ยงออกมาขายให้กับบริษัทประกันที่ต้องการอัตราผลตอบแทนระดับสาธารณูปโภค

 XinFin เสนอกับบรรดานักลงทุนกลุ่ม GPI ว่า แม้ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังอยู่ระหว่างการทดสอบ แต่ก็ควรมีการนำมาใช้ในกลุ่มความร่วมมือ เพื่อสร้างมาตรฐานของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุน (IAC) โดยใช้เทคโนโลยี tokenization ในสภาพแวดล้อมแบบ sandbox จึงเรียกโครงการนี้ว่า “Project Sandbox” ทั้งนี้ GPI ที่สนใจเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มความร่วมมือ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tradefinex.org/publicv/partnership และมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระดับโลกนี้

 Atul Khekade ประธานฝ่ายการพัฒนาระบบนิเวศ กล่าวว่า การนำโทเคน ERC-721 และ DLT มาใช้กับ XDC Protocol เปิดทางให้นักลงทุนสถาบันสามารถระดมทุนเพื่อเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่บางส่วน อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มสภาพคล่อง นักลงทุนรายใหญ่สามารถกระจายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหลายๆโครงการ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยเองก็สามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งอาจเคยเป็นโครงการที่ใหญ่เกินกว่ากำลังของตนเอง

 กลุ่มความร่วมมือ TradeFinex IAC มีเป้าหมายที่จะพัฒนาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด พร้อมสร้างมาตรฐานให้กับเครื่องมือทางการเงินต่างๆ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อผลักดันให้เป็นนโยบายและกรอบการทำงานที่เหมาะสม

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ XinFin ได้หารือกับธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ว่าด้วยเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ XinFin ให้ความสนใจ เพื่อพิสูจน์แนวคิดบล็อกเชนแบบ Proof of stake ที่แสดงให้เห็นว่า การทำเหมืองขุดเงินดิจิทัลแบบใช้พลังงานสูงไม่จำเป็นสำหรับบล็อกเชนไฮบริดระดับองค์กรอีกต่อไป ส่งผลให้กลายเป็น "กรีนบล็อกเชน"

จักรพงศ์ ธรรมวิเศษศรี ประธานกรรมการบริหาร ควินท์ เรล์ม ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการควินทิลเลียน เบิร์ก (QUiNTILLION BURGH) เมืองอัจฉริยะท่ามกลางธรรมชาติ เพื่อผู้อยู่อาศัยวัยเกษียณจากทั่วโลก ที่รองรับการใช้ควินท์ คอยน์ กล่าวว่า “ในระหว่างที่ทิศทางของวงการ
คริปโตเคอเรนซีเมืองไทยกำลังเดินหน้าไปด้วยดี และอยู่ในช่วงเวลาที่ผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจกำลังขอใบอนุญาต ทางเราอาศัยจังหวะนี้ออกโรดโชว์ในต่างประเทศ พบว่ามีชาวต่างชาติให้ความสนใจโครงการของเราเป็นจำนวนมาก ในทางเดียวกันก็ทำให้เกิดความต้องการซื้อขายเหรียญมากเกินความคาดหมาย เราจึงตัดสินใจนำควินท์ คอยน์ ขึ้นเทรดบนกระดานต่างประเทศ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลกที่กำลังให้ความสนใจซื้อขายเหรียญของเรา”

โดยควินท์ เรล์ม บี.วี. พา ควินท์ คอยน์ (QUiNT COIN) ขึ้นเทรดวันแรก 8 สิงหาคม 2561 บน EXRATES  กระดานซื้อขายอันดับที่ 35 ของโลก ที่ลิสต์เหรียญมากกว่า 120 สกุล

ควินท์ คอยน์ คือการระดมทุนในรูปแบบไอซีโอ (ICO: Initial Coin Offering) จำนวน 1,250 ล้านโทเคน เสนอแก่ผู้ที่สนใจจากทั่วโลก ในราคาเหรียญละ 0.024 ดอลลาร์สหรัฐ/โทเคน หรือประมาณ  0.75 บาท/โทเคน ซึ่งสิ้นสุดการเสนอขายไปเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา รวมยอด ได้ทั้งสิ้นกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 661 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของโครงการควินทิลเลียน เบิร์ก

จักรพงศ์บอกว่า ควินทิลเลียน เบิร์ก เป็นโครงการที่สามารถใช้ควินท์ คอยน์ ซื้อสิทธิในการอยู่อาศัย หรือใช้จ่ายภายในโครงการได้ นับได้ว่าเป็นโครงการแห่งอนาคตที่คนทั่วโลกกำลังมองหา  จึงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าราคาซื้อขายของควินท์ คอยน์ จะสามารถรักษาระดับได้ดี ทั้งจากผู้ต้องการอยู่อาศัยจริงและจากผู้มองเห็นโอกาสในการลงทุน

โดยโครงการควินทิลเลียน เบิร์ก (QUiNTILLION BURGH) จะสร้างบนพื้นที่ขนาดประมาณ 3,200 ไร่ หรือประมาณ 4.8 ตารางกิโลเมตร ใน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ มีการนำแนวคิดเมืองอัจฉริยะมาบริหารจัดการโครงการอย่างเต็มศักยภาพในทุกส่วน โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยและการดูแลสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ซึ่งสำรวจแล้วว่าเป็นความต้องการหลักของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายวัยเกษียณจากทั่วโลกที่ปรารถนาจะเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองไทย

 

          Crescent Crypto Asset Management ผู้จัดการกองทุนดัชนีสกุลเงินดิจิทัล ที่นำโดยศิษย์เก่าโกลด์แมน แซคส์ ประกาศปิดการระดมทุน Series A และเปิดตัวกองทุนต่างประเทศ Offshore Cayman โดยการระดมทุนรอบนี้นำโดย FBG Capital ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบล็อกเชน ตั้งแต่การลงทุนในโทเคน การซื้อขาย เช่น principal trading, over-the-counter ("OTC") trading ไปจนถึงกลยุทธ์การลงทุนประเภทต่าง ๆ ได้เข้ามาลงทุน พร้อมนำเครือข่ายและความรู้ในอุตสาหกรรมมาสู่ Crescent

           FBG จะอาศัยความได้เปรียบจากฐานการดำเนินงานระดับโลกที่แข็งแกร่ง เพื่อช่วยสนับสนุน Crescent ในการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ สำหรับกลุ่มกองทุนเชิงรับ (passive fund) ทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ นอกจากนี้ FBG จะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของตนเองเพื่อช่วย Crescent พัฒนาและนำผลิตภัณฑ์เหรียญดิจิทัลหลายสกุลเข้าจดทะเบียนในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม

           สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ในการขยายทีมงาน ว่าจ้างผู้บริหารระดับอาวุโสประจำฝ่ายขายและการพัฒนาธุรกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่บุคลากรที่มีความสามารถจากบริษัทวาณิชธนกิจและผู้ให้บริการ ETF ชั้นนำ ซึ่งมีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะผลักดันสกุลเงินดิจิทัลเข้าสู่ตลาดกระแสหลักเช่นเดียวกันกับบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งใจที่จะนำเงินทุนที่ได้มาใช้สร้างแพลตฟอร์มให้คำปรึกษาและการวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย

          กองทุนต่างประเทศ (Offshore Fund) กำหนดมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำที่ 250,000 ดอลลาร์ และขณะนี้เปิดรับใบจองซื้อแล้ว โดยมีค่าธรรมเนียมการจัดการ 2% และสามารถใช้สิทธิไถ่ถอนเป็นรายไตรมาส

           Crescent Crypto เปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิของปี 2560 ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททุกคนเริ่มต้นการทำงานที่โกลด์แมน แซคส์ ก่อนที่จะไปสั่งสมประสบการณ์เพิ่มเติมในกองทุนเฮดจ์ฟันด์และธุรกิจเงินร่วมลงทุน โดยมี Crescent 20 Index Fund เป็นกองทุนเรือธง โดยเป็นกองทุนดัชนีสกุลเงินดิจิทัลที่บริหารจัดการโดยเอกชน ที่มุ่งเน้นผลตอบแทนการลงทุนในโลกของคริปโตด้วยแนวทางเชิงรับและมีกฎเกณฑ์ กลยุทธ์การลงทุนดังกล่าวปรับตัวตามความผันผวน สภาพคล่อง และการจัดเก็บที่ปลอดภัย (safe storage) และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ไม่ซับซ้อนสำหรับนักลงทุน กองทุน Crescent 20 Index ครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมประมาณ 90% ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล กองทุนถูกจัดเก็บในรูปแบบ Cold Storage ทั้ง 100% และมีการปรับสัดส่วนกองทุนเป็นประจำทุกเดือน ทั้งนี้ กองทุนในประเทศ (onshore fund) จำกัดการลงทุนให้กับผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย (accredited investor) เท่านั้น ด้วยมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำที่ 100,000 ดอลลาร์

 

                คำแนะนำสำหรับคนที่อยากจะเป็นสตาร์ทอัพของ ฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์ และ เอกฉัตร อัศวรุจิกุล ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ SkillLane โรงเรียนออนไลน์ที่มีวิชาเรียนมากกว่า 400 หลักสูตรรอให้ผู้สนใจเข้าไปเลือก คือ

                “ฝันให้ใหญ่ เริ่มให้เล็ก เรียนรู้ให้เร็วและสู้ไม่ถอย”

                ทั้งสองคนช่วยกันอธิบายต่อว่า  ฝันให้ใหญ่ คือการทำสตาร์ทอัพไม่ได้มีเพียงผู้ร่วมก่อตั้ง แต่ยังต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นอีกมากทั้งนักลงทุน ลูกค้า พาร์ตเนอร์ ฝันที่ใหญ่จะเป็นพลังดึงดูดให้คนอื่นอยากมาร่วมงานด้วย

                 เริ่มให้เล็ก หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องเปิดตัวให้ยิ่งใหญ่มีฟีเจอร์ครบทุกอย่าง แต่การทำเช่นนั้นต้องใช้เงินลงทุนมากตามไปด้วย และอาจจะไปผิดทางก็ได้ การเริ่มทีละก้าวแล้วค่อยๆ เรียนรู้จากผู้บริโภคจะช่วยให้ก้าวต่อไปเดินได้มั่นคงกว่า

                 เรียนรู้ให้เร็ว เพราะสตาร์ทอัพเป็นเรื่องการทำธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้จึงจำเป็นมาก ตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถขยายธุรกิจได้ ล้วนมีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้รอให้ผู้ร่วมก่อตั้งเรียนรู้อยู่เสมอ ทั้งด้านการทำผลิตภัณฑ์หรือบริการ การบริหารงานบุคคล การระดมทุน และอื่นๆ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงและต้องการทักษะความรู้ใหม่ๆ ยิ่งเรียนรู้ได้เร็วก็หมายความว่ายิ่งโตได้เร็ว

                สู้ไม่ถอยคือ หลายคนไม่คิดว่าการทำสตาร์ทอัพจะมีปัญหามากมายรออยู่ทั้งใหญ่และเล็ก หากไม่เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนก็อาจจะรับไม่ได้และล้มหายตายจากไป หากมีเป้าหมายที่ต้องการจะไปและเตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหามาแล้ว ก็จะสามารถสู้ได้โดยไม่ถอย

                คำแนะนำนี้ช่วยให้ภาพการสร้าง SkillLane ของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้นว่า กว่าจะมาเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพระดับนี้ พวกเขาต้องใช้อะไรบ้าง

ฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์ และ เอกฉัตร อัศวรุจิกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง SkillLane

 เริ่มด้วย Passion

                จากปัญหาเล็กๆ ที่พวกเขาเคยพบสมัยเรียนต่ออยู่ในต่างประเทศ เมื่อมีคลาสเรียนพิเศษที่ใครๆ ก็บอกว่าต้องไปเรียน ถ้าไม่ไปเรียนรอบนี้ก็จะพลาดโอกาส และเวลาก็ไม่เอื้อให้เขาได้เข้าเรียนคอร์สนั้นจริงๆ

                ต่อมาพวกเขาไปพบว่ามีเนื้อหาที่เหมือนกันสอนอยู่บนออนไลน์ และเมื่อทดลองเข้าไปเรียนดูทำให้พวกเขาเข้าใจว่า ยุคนี้หากไม่สะดวกไปเรียนในห้องเรียนทุกอย่างสามารถเรียนได้ออนไลน์ได้ และอยากให้เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยบ้าง เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง SkillLane ขึ้นมา ด้วยความฝันอยากให้คนที่ต้องการพัฒนาทักษะต่างๆ ของตัวเองสามารถเรียนเรื่องที่ต้องการได้ทุกที่ ทุกเวลา

                และจากการทำข้อมูลพบว่า 97 เปอร์เซ็นต์ของคนไทยวัยทำงานมีทักษะที่อยากเรียนเพิ่มเติม แต่ 93เปอร์เซ็นต์ของคนกลุ่มนี้ยังไม่ได้ลงมือเรียนสิ่งที่ต้องการ เพราะว่าไม่มีเวลา ก็เป็นตัวเลขที่ยืนยันการพัฒนาคอร์สเรียนออนไลน์ให้ทุกคนสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ตามความสะดวกของแต่ละคนให้หนักแน่นมากขึ้น

                ฐิติพงศ์และเอกฉัตรมุ่งมั่นกับการทำธุรกิจของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ตั้งแต่แบ่งกันลงวิชาเรียนที่คิดว่าจำเป็นต่อการมาทำธุรกิจในอนาคต เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญให้กับแต่ละคน รวมถึงการไปหาประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องเช่น แยกไปฝึกงานกับเวนเจอร์แคปปิทัล และสตาร์ทอัพเพื่อได้เรียนรู้วิธีคิด วิธีทำงานต่างๆ ก่อนจะมาทำของตัวเองอย่างเต็มตัว

                พวกเขาใช้เวลากลางวันเรียนหนังสือ ตกเย็นก็จะมาร่วมกันออกแบบเว็บไซต์ และผลิตคอร์สเรียนคอร์สแรกเพื่อทดลองว่าสิ่งที่คิดนั้นเป็นจริงหรือไม่  ซึ่งผลที่ออกมาทำให้เห็นว่ามีคนสนใจอยากจะพัฒนาตัวเองจำนวนมาก และทำให้มีกำลังใจพัฒนาธุรกิจต่อไป

                แม้การเรียนจบเอ็มบีเอจะสามารถไปหางานทำในบริษัทเอกชนได้เงินเดือนสูงๆ แต่ทั้งสองคนเลือกที่จะมาตั้งธุรกิจกันเอง ตามความเชื่อของทั้งคู่ที่คิดว่า ความรู้คือสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของคนดีขึ้นได้ SkillLane จึงเป็นงานที่ทำให้ทุกเช้าเมื่อตื่นขึ้นมาทั้งสองคนได้ทำในสิ่งที่เชื่อ และมุ่งมั่นที่จะไปข้างหน้ากับธุรกิจนี้

                จากจุดเริ่มต้นที่ทำงานกันทุกอย่าง 2 คน ผ่านไป 4 ปี วันนี้ SkillLane มีทีมงานทั้งหมด 23 คน นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วพอสมควร และบทบาทของผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 2 คนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป

 ทั้งสองคนแบ่งงานกันโดยเอกฉัตรจะดูแลฝั่งซัพพลายคือดูแลเรื่องเนื้อหาหลักสูตรที่จะมาลงในเว็บไซต์ โดยฐิติพงศ์ดูแลฝั่งดีมานด์คือด้านการตลาดติดต่อกับพาร์ตเนอร์ภายนอกและสร้าง SkillLane ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

                พวกเขาวางเป้าหมาย SkillLane คือการเป็น First Destination for On Demand Skill คือไม่ว่าใครที่ต้องการเพิ่มพูนทักษะด้านใดก็สามารถมาหาที่นี่ได้ตามต้องการทันที ผ่านคอร์สต่างๆ ที่ผลิตมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ โดยสิ่งที่พวกเขาจะทำต่อไปคือการคัดสรรเนื้อหาที่ครอบคลุมความรู้ทั้งที่มีคนสนใจมากและคอร์สที่มีประโยชน์ต่างๆ รวมถึงพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ให้ดีขึ้น

                 คำว่า First Destination ในความหมายของสองผู้ก่อตั้งคือ ไม่ว่าอยากจะเรียนอะไร สามารถไปที่ Skilllane เป็นที่แรกและสามารถเรียนได้เลย สามารถมีความรู้ทักษะใหม่ๆ ได้ทันที โดยSkilllane จะทำเนื้อหาที่ครอบคลุมความต้องการของผู้เรียนเพิ่มขึ้น รวมถึงฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ที่มีการพัฒนามากขึ้นในอนาคต

เรียนรู้ให้เร็ว

            ในฐานะสตาร์ทอัพที่สามารถอยู่รอดและพัฒนาธุรกิจจนเติบโตขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง สองผู้ก่อตั้งพูดถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อองค์กรเริ่มขยายตัวทำให้พวกเขาต้องเรียนรู้ให้เร็วขึ้น เพราะความรู้ที่เคยใช้เมื่อปีที่ผ่านมาอาจจะไม่เหมาะกับการใช้ทำธุรกิจในปีนี้

                ทั้งสองคนร่วมกันตอบว่า สตาร์ทอัพต้องเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ รอบด้านเพราะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เมื่อเรียนรู้แล้วก็ต้องนำมาทดลองใช้ปฏิบัติจริง และเมื่อองค์กรขยายตัวขึ้น ความรู้แต่ละอย่างที่เคยมีมาก็ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้อง เช่น ด้านการบริหารงานบุคคล จากจุดเริ่มต้นที่ทำกันเพียง 2 คน สู่การบริหารทีม 10 คน สู่ทีม 20 คน การบริหารจัดการก็แตกต่างกัน

                เช่นเดียวกับการระดมทุนที่แต่ละรอบคำถามของนักลงทุนก็จะแตกต่างกันไป แต่เมื่อถึงเวลาตัวผู้ประกอบการก็จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับสิ่งใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว

                ในด้านการทำงานก็ต้องมีการใช้เครื่องมือต่างๆ มากขึ้น ทั้งเพื่อการวางแผน วิเคราะห์ กิจกรรมต่าง

                “ณ วันนี้ผมคิดว่าผมเก่งกว่าตัวเองเมื่อปีที่แล้วเยอะมาก แต่ผมยังคิดว่า ณ วันนี้ผมยังเก่งไม่พอกับเป้าหมายที่ผมต้องการไปปีหน้า หน้าที่ผมคือต้องเรียนรู้ให้เยอะและเก่งให้พอให้ทันกับเป้าหมายที่ต้องไปไปในปีหน้าให้ได้” ฐิติพงศ์กล่าว

                ทั้งสองคนบอกว่าการเรียนบางเรื่องก็เรียนจาก Skilllane แต่ก็มีการไปเรียนคอร์สของต่างประเทศด้วย รวมถึงการหาความรู้จากการอ่านหนังสือ นอกจากนี้สำหรับสตาร์ทอัพยังมีชุมชนที่สามารถเข้าไปขอคำปรึกษาจากคนในชุมชนแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันได้

                การสร้าง Skilllane ของ เอกฉัตรและฐิติพงศ์ เป็นบทเรียนที่ทำให้เห็นวิถีการสร้างตัวของสตาร์ทอัพ ไม่เพียงต้องมีฝันมีความใส่ใจ มุ่งมั่นอดทนเพื่อบรรลุเป้าหมาย เริ่มจากจุดเล็กๆ เพื่อไปสู่ฝันที่ใหญ่กว่าของผู้ก่อตั้ง และยังต้องมีการเรียนรู้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งในและนอกองค์กร

                นั่นคือวิธีการสร้างกิจการในแบบที่ผู้ก่อตั้งทั้งสองคนได้ทดลองทำมาแล้ว และผู้ที่สนใจก็สามารถศึกษาและนำไปปรับใช้ได้ เช่นเดียวกับคอร์สเรียนออนไลน์ใน Skilllane ที่เปิดโอกาสให้คนทุกคนได้เรียนสิ่งที่สนใจทุกที่ทุกเวลา เพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาตนเอง

 

SkillLane

  • SkillLane มีผลิตภัณฑ์หลัก 2 ประเภทคือ คอร์สเรียนสำหรับบุคคลทั่วไป (B2C) ที่ปัจจุบันเน้นที่ทักษะเพื่อใช้ในการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ อาทิ Microsoft Excel, Powerpoint, การขาย การตลาด ภาษาต่างประเทศ การเงินการลงทุน ทักษะการพูดการนำเสนอต่างๆ เป็นต้น  
  • อีกด้านหนึ่งคือ B2B ที่เป็นลูกค้าองค์กร โดย SkillLane จะเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ให้กับองค์กรตามที่ต้องการ
  • ปัจจุบันมีผู้เรียนผ่าน SkillLane ไปแล้วกว่า 180,000 คน
  • คอร์สเรียนต่างๆ ใน Skilllane จำนวนกว่า 400 หลักสูตร

 

 

ทีเอ็มบี และ เคเอกซ์ พื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนและร่วมเรียนรู้ของประชาคมจากทุกภาคส่วน ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมกันเปิดหลักสูตรพิเศษ Lean Quick Win”  ขึ้นเป็นครั้งแรก โดย ดร. รุจิกร  ภาวสุทธิไพศิฐ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารการตลาดลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบี กล่าวว่า   ทีเอ็มบี ได้ริเริ่มโครงการ Lean Supply Chain by TMB หลักสูตรที่มุ่งเน้นการเรียนรู้และนำไปใช้ได้จริง เพื่อเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพครบวงจร ด้านการบริหารจัดการการผลิต ลดสินค้าคงคลัง เพิ่มผลผลิตในองค์กร และลดระยะเวลาในการทำงาน โดยมีบริษัทที่เข้าร่วมอบรมแล้วกว่า 1,380 บริษัท สามารถเพิ่มประสิทธิภาพทั้งซัพพลายเชนได้กว่า 900 ล้านบาท ใน 5 ปีที่ผ่านมา​

แต่สำหรับผู้ประกอบการบางรายที่ไม่มีเวลาเข้าร่วมอบรมหลักสูตร 4 เดือน จึงร่วมมือกับเคเอกซ์ มจธ. ต่อยอดโอกาสธุรกิจให้กับเอสเอ็มอี ด้วย หลักสูตร “Lean Quick Win” ที่พัฒนามาจากโครงการ Lean Supply Chain by TMB เป็นเวิร์คช้อปแบบเข้มข้น 3 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีเข้าร่วมการอบรมได้ในวงกว้างและสะดวกมากขึ้น

และยังเป็นครั้งแรกที่เอสเอ็มอีจะได้รับความรู้ที่ผสมผสานกันระหว่างแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคนิค Lean Six Sigma กับแนวทาง Design Thinking ช่วยจุดประกายไอเดีย และครอบคลุมความรู้ที่สำคัญสำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการเติบโตอย่างแตกต่างในยุคดิจิทัล เน้นการนำไปประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ พร้อมทั้งการรับคำปรึกษาอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญทั้งจากทางเคเอ็กซ์ มจธ. และทีเอ็มบี โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือเจ้าของหรือผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจเอสเอ็มอี

 

โดยหลักสูตร Lean Quick Win จัดขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 8 -10 ส.ค.  ณ ห้อง Xcite Space ชั้น 17 อาคารเคเอกซ์ สำหรับธุรกิจบริการสถานประกอบการทางการแพทย์ เพียง 30 บริษัทเท่านั้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าของทีเอ็มบี ซึ่งภายในหลักสูตรเข้มข้น 3 วัน ผู้อบรมจะได้เรียนรู้แนวทาง Design Thinking อย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่ (1) การวิเคราะห์ปัญหาและเข้าใจความต้องการของลูกค้า (2) การระดมไอเดียพัฒนาแนวคิดใหม่ (3) การมองหาความเป็นไปได้ เลือกแนวคิด พร้อมพัฒนาเป็นตัวต้นแบบ (4) การสร้างไอเดียต้นแบบ และ (5) นำเสนอ พร้อมรับข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ

ผศ.ดร.มณฑิรา  นพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายอุตสาหกรรมและภาคีความร่วมมือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการนำจุดแข็งของทั้ง 2 หน่วยงาน มาเสริมสร้างสมรรถนะความสามารถของ SMEs โดยในโครงการจะมีการกำหนดโจทย์/ ปัญหาทางเทคโนโลยีจากสภาพที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะนำมาศึกษา วิเคราะห์ เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งมีการนำ Design Thinking ซึ่งเป็นการผสานองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมและการออกแบบมาร่วมในกระบวนการ เพื่อให้เกิดผลเชิงนวัตกรรม โดยความร่วมมือในการจัดโครงการในครั้งนี้ จึงเป็นมิติใหม่ของการยกระดับการสนับสนุน SMEs ไทยอย่างเป็นรูปธรรม และชัดเจนยิ่งขึ้น

 ดร.รุจิกรให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ทีเอ็มบี ยังได้ร่วมมือกับ เคเอกซ์ มจธ. ผ่านทางรีวอร์ดโปรแกรม TMB BIZ WOW ซึ่งลูกค้าทีเอ็มบีสามารถได้คะแนนสะสมจากการทำธุรกรรมการเงินและนำมาแลกเป็นสิทธิประโยชน์รูปแบบต่างๆ ที่ช่วยต่อยอดธุรกิจ โดยลูกค้าของทีเอ็มบีสามารถใช้คะแนน TMB BIZ WOW แลกรับสิทธิ์อบรมหลักสูตรเพื่อพัฒนาไอเดีย เพื่อสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมใหม่ รวมไปถึงหลักสูตรที่จะเปิดอบรมในอนาคตได้อีกด้วย

 

  ลอรีอัล บริษัทความงามที่มีแบรนด์ในเครือกว่า 34 แบรนด์ เปิดเผยผลประกอบการครึ่งแรกของปีพ.ศ. 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 โดยลอรีอัล มีรายได้รวม 13,390 ล้านยูโร หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 6.6%   โดยแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางเติบโต 11.4% และแผนกเครื่องสำอางชั้นสูงเติบโต 13.5% ในขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคและแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพมีการเติบโตได้เล็กน้อย ได้แก่ 1.6% และ 2.5% ตามลำดับ ตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่เข้มแข็งที่สุดคือกลุ่มตลาดใหม่ซึ่งประกอบด้วย ตลาดละตินอเมริกา ยุโรปตะวันออก แอฟริกาและตะวันออกกลาง และเอเชียแปซิฟิก โดยในแถบเอเชียแปซิฟิกเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 22% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มแบรนด์ในตลาดระดับพรีเมี่ยมในประเทศจีนและฮ่องกง ตลาดอเมริกาเหนือมีการปรับตัวที่ดีขึ้นโดยเติบโต 3% ในขณะที่ตลาดยุโรปตะวันตกลดลง 0.8%

 ฌอง-พอล แอกง ประธานและเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวว่า “ตลาดความงามยังคงคึกคักต่อเนื่อง และมีการยกระดับเข้าสู่ตลาดพรีเมี่ยมมากขึ้น การเติบโตในระดับเลขสองหลักของแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางและแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง มีปัจจัยสำคัญมาจากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม และความความเข้มแข็งของแบรนด์ นอกจากนี้ การเติบโตของรายได้จากช่องทางอีคอมเมิร์ซยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมากถึง 36.4% โดยนับเป็น 9.5% ของรายได้รวม ในช่องทางค้าปลีกสินค้าปลอดภาษีนั้น ลอรีอัลเติบโตขึ้นถึง 27.3% ด้วยอัตราการเติบโตในครึ่งปีแรก ในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถมีอัตราเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมได้สำเร็จ”  

นอกจากนั้น ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ลอรีอัล ได้รุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการประกาศซื้อกิจการและบรรลุข้อตกลงลิขสิทธิ์หลากหลายแบรนด์ ได้แก่ ซื้อกิจการบริษัทเครื่องสำอางเกาหลี สไตล์นันดะ แบรนด์ 3CE ซื้อกิจการแบรนด์พัลพ์ไรออท (Pulp Riot) ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมมืออาชีพจากอเมริกา และ บรรลุข้อตกลงลิขสิทธิ์กับวาเลนติโน ในส่วนผลิตภัณฑ์น้ำหอมและผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ลอรีอัล ยังได้ประกาศโครงการเข้าซื้อกิจการสถานีน้ำแร่โซไซเท เด เธิร์มส์ เดอ ลาโรช-โพเซย์  (Société des Thermes de La Roche-Posay) ซึ่งเป็นสถานีน้ำแร่แห่งแรกในยุโรปที่ก่อตั้งในปี 1921 เพื่อรักษาและบรรเทาอาการโรคผิวหนัง อาทิ โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ โรคสะเก็ดเงิน แผลไฟไหม้ อาการข้างเคียงของผิวหนังจากการรักษามะเร็ง ด้วยคุณสมบัติของน้ำแร่ลาโรช-โพเซย์ และ ได้ซื้อกิจการบริษัทโลโกโคส นาทัวคอสเมติค เอจี (Logocos Naturkosmetik AG) ประเทศเยอรมนี ที่เป็นแนวหน้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติจากฟาร์มออแกนิก ซึ่งทุกแบรนด์เป็นวีแกน โดยมีแบรนด์อาทิโลโกนา (Logona) และ ซานเธ (Sante) ลอรีอัลมีแผนที่จะนำแบรนด์ดังกล่าวจัดจำหน่ายในต่างประเทศด้วย

Page 3 of 5
X

Right Click

No right click