December 14, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

 

ดีแทคเปิดตัวโครงการ ‘dtac accelerate Creator’ โดยร่วมกับพันธมิตร อาทิ   YouTube และ content creator มากประสบการณ์อย่าง VRZO, Buffet Channel, The Ska Film, Softpomz ฯลฯ เพื่อปั้น  Content Creator รุ่นใหม่ สู่ Content Entrepreneur  

ปานเทพย์ นิลสินธพ รักษาการรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มดิจิทัล บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค  บอกว่าในฐานะแบรนด์ย่อมมองดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งว่าเป็นปัจจัยสำคัญปัญหาหนึ่งในการทำการตลาดยุคปัจจุบัน โดยดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมีอัตราเติบโตประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเครื่องมือหนึ่งที่นักการตลาดให้ความสนใจคือการทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งเพื่อสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์ผ่านบุคคลที่ 3

อย่างไรก็ตามท่ามกลางเนื้อหาที่มีอยู่มากมายในโลกออนไลน์ เช่นตัวเลขการอัพโหลดวิดีโอลงยูทูปวันหนึ่งประมาณ 570,000 ชั่วโมงหรือประมาณ 65 ปี จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำให้คอนเทนต์ต่างๆ มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงผู้ชม ดีแทคมองเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ และเริ่มทำงานกับครีเอเตอร์ที่หลากหลายซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ดี สามารถสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับแบนรด์และครีเอเตอร์ได้ร่วมกัน

จากปัจจัยข้างต้นจึงเป็นที่มาขอโครงการ dtac accelerat Creator ที่มุ่งเน้นการสร้าง content creator ที่สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีการเล่าเรื่องที่ดี มีทักษะในการผลิตที่ดี และที่สำคัญคือมีความเข้าใจและมีประสบการณ์ในการทำงานแบบแบรนด์

โดยดีแทคจะทำงานร่วมกับ YouTube และพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในการคิดงานและการผลิตคอนเทนต์ในการพัฒนาหลักสูตรสำหรับ content creator รุ่นใหม่ และในเฟสแรกนี้ ดีแทคจับมือกับ YouTube ประเทศไทย, VRZO, Buffet Channel, The Ska Film, Softpomz และอีกหลายพันธมิตรจัดโครงการ dtac accelerate Creator ที่จะมีการอบรมและฝึกสร้างคอนเทนต์อย่างเข้มข้นขึ้น

โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เรียนรู้วิธีการทำคอนเทนต์ตั้งแต่พื้นฐาน วิธีการทำเนื้อหาให้มีผู้ติดตามและเติบโต การทำอาชีพ creator การสร้างให้ Channel ประสบความสำเร็จ เรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จนถึงการสร้างคอนเทนต์ให้กับแบรนด์ โดยมีการเวิร์กช้อปกับผู้เชี่ยชาญที่คัดสรรมาและมีทีมcontent creator รุ่นพี่มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้

ทั้งนี้ดีแทคจะเริ่มประชาสัมพันธ์โครงการ dtac accelerate Creator ในเดือนกันยายนและตุลาคมนี้ ร่วมกับ 5 สถาบันชั้นนำ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต และมหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยการจัดโรดโชว์ ดึงความสนใจจากนิสิตนักศึกษาที่มีความฝันเป็นเจ้าของช่อง YouTube หลังจากนั้นจะคัดเลือกทีมที่มีผลงานที่ดีที่สุดกว่าสิบทีมเข้าร่วมโครงการ โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับความรู้ และพัฒนาศักยภาพในการเป็น content creator ในช่องทางแพลตฟอร์มวีดีโอคอนเทนต์ทาง YouTube เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์   ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ https://accelerate-creator.dtac.co.th/ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 4 ต.ค. 2561 Boot camp 27 ต.ค. – 24 พ.ย. 2561 นำเสนอผลงาน 24 พ.ย. 2561

 

อนันดา เออร์เบินเทค (Ananda UrbanTech) เป็นวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่จะพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองผ่านการปรับใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี  และ Seedstars องค์กรระดับโลกที่มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองผ่านเทคโนโลยีและการคิดค้นของผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่ ร่วมมือกันเป็นปีที่สองในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Ananda x Seedstars Urban Living 2018 โดยนำวิทยากรชั้นนำมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุดเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯรวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงอื่นๆ

วิทยากรที่มาร่วมให้ความคิดเห็นประกอบด้วย คริสเตียน โคลเกิ้ล (Kristian Kloeckl) นักออกแบบและรองศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทอร์น สาขาศิลปะและสถาปัตยกรรมศาสตร์ คริสเตียน ให้ความสำคัญในการตรวจสอบการออกแบบปฏิสัมพันธ์ (Interaction Design) เพื่อการนำไปสู่ไฮบริดซิตี้  และการศึกษาบทบาทของแนวคิดไร้แบบแผนสำหรับการออกแบบ ซึ่งผลงานของเขาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวได้รับการเปิดเผยอย่างแพร่หลายจากงานจัดแสดงในสถานที่ต่างๆ อาทิ เวนิส เบียนนาเล่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในนิวยอร์ก และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์  

มานูเอล เดอร์ ฮาโกเพน (Manuel Der Hagopian) ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท G8A Architecture  ในเมืองเจนีวา  ปัจจุบันเขาให้ความสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของการเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากรที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ปี ค.ศ 2015 มานูเอลดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีและการออกแบบมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์  

และสุดีป ไมธี (Sudeept Maiti) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายซิตี้โปรแกรม บริษัท WRI India สุดีป เป็นผู้ดูแลฝ่ายการควบคุมบริหารจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆของบริษัท WRI India เพื่อการพัฒนาระบบการขนส่งในเมือง เขามีประสบการณ์การทำงานด้านการควบคุมบริหารอุปกรณ์ (Mobility Solutions) มามากกว่า 200 ระบบ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการขนส่งที่ยั่งยืน การวางผังเมือง และการออกแบบชุมชนเมือง นอกจากนี้เขายังมีส่วมร่วมในการจัดตั้งกลุ่ม Multi-City และ Multi-Stakeholder เพื่อช่วยเปิดโอกาสสำหรับการเข้าร่วมพัฒนาของภาคเอกชน รวมทั้งการวางแผนกลยุทธ์, การดำเนินการภาคพื้นดินสำหรับระบบความปลอดภัย, การออกแบบพื้นที่สาธารณะ และแนวคิดการพัฒนามุ่งเน้นการขนส่ง (TOD) สำหรับเมืองต่างๆ

ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเมืองเหล่านี้มารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันแนวคิดในการพัฒนาเมืองสมัยใหม่ เพราะ การพัฒนาชุมชนเมืองคือประเด็นสำคัญ ในยุคการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ (Urbanization) ประชากรโลกกว่าครึ่งอาศัยอยู่ในเมือง โดยองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า ประชากรที่จะเข้ามาอาศัยในเมืองจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ความท้าทายที่นักวางแผนเมืองต้องเผชิญคือการพิจารณาภูมิทัศน์เมืองตลอดจนสุขภาพ การเคลื่อนย้าย การศึกษาของผู้อยู่อาศัย มลพิษ ความปลอดภัย และโครงสร้างพื้นฐาน ตามรายงานเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals Report)  

 งานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้นักวางผังเมือง นักลงทุน ผู้ประกอบการ รวมถึงกลุ่มวิทยากรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในเมืองมาปรึกษาหารือโดยใช้ข้อมูลเมืองและนวัตกรรมเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนเมือง

โดยสามประเด็นหลักในการพูดคุยประกอบด้วย:

การออกแบบซิตี้ไฮบริด: Inter/face, Inter/act, Improv/act” โดย คริสเตียน โคลเกิ้ล เขาบอกว่าไฮบริดซิตี้ถือเป็นสภาพแวดล้อมเหนือกว่าความเป็นสมาร์ทซิตี้ที่สามารถวัดการตอบสนองแบบเรียลไทม์ต่อสถานการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งแนวคิดไร้แบบแผนช่วยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อเราเรียนรู้กับการสร้างสรรค์อย่างไร้แบบแผน เราจะพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 การออกแบบเมืองสมัยใหม่ทำได้โดยการออกแบบให้เข้ากับรูปแบบการใช้ชีวิตจริงของคนในสังคม โดยการคิดแบบองค์รวมผ่านผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นได้คือ เรื่องนี้เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ต้องมาทดลองคิดและวางแผนร่วมกัน โดยเขาให้คำแนะนำว่า ควรจะคิดนอกกรอบ และให้คนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม

และคำแนะนำในการเลือกเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ว่า สามารถมองได้หลายมุมมอง แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำให้คนในสังคมทุกคนอยากเลือกใช้ เหมาะกับชีวิตของคนในเมืองนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการดูแลสุขภาพ การขนส่ง การศึกษา และอื่นๆ ซึ่งการจะเปลี่ยนแปลงนั้นต้องการความยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถปรับตัวได้ในอนาคต เขาให้ข้อสังเกตว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เข้ามาอาจเป็นส่วนๆ ก็ได้เช่นการใช้พื้นที่แบบ Co-Working Space ที่เกิดขึ้นก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ทั่วโลกในปัจจุบัน

 การออกแบบตามธรรมชาติสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นสูง" โดย มานูเอล เดอร์ ฮาโกเพน ที่เขาบอกโดยสรุปว่า ทุกเมืองมีความแตกต่างอย่างมากโดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม สภาพภูมิอากาศ การเมืองการปกครอง ซึ่งในบางครั้งการสร้างอาคารอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไป แต่กว่าจะรู้นั้นก็ต่อเมื่อเราจำเป็นต้องหยุดสร้างไปเสียแล้ว  เราสร้างอาคารสูงเนื่องจากพื้นที่มีจำกัดซึ่งลักษณะการสร้างอาคารดังกล่าวอาจปิดโอกาสการติดต่อสื่อสารของคนในสังคมมากกว่าการขยายโครงสร้างอาคารทางแนวนอนหรือให้กว้างยิ่งขึ้น

เขาเสริมว่าการออกแบบต้องตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของการใช้พื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูง โดยออกแบบสถาปัตยกรรมให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้มและการใช้ชีวิตที่อยากให้เป็น สามารถตอบสนองสิ่งที่คนในชุมชนจะใช้ชีวิตได้ตามความเป็นจริง

 "นวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง" โดย สุดีป ไมธี ที่บอกว่า ทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาการจราจรแออัดคือให้ประชากรหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งบริการเหล่านี้ต้องอำนวยความสะดวกสบายควบคู่กับการบริการด้านต่างๆเพื่อให้วิธีการแก้ไขนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด

เขาบอกว่า การบูรณาการการเดินทางทำให้ระบบสาธารณูปโภคดีขึ้นกว่าที่เป็นมาจะช่วยพัฒนาให้เกิดสมาร์ทซิตี้ได้ โดยการเลือกใช้เทคโนโลยีใดขึ้นกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ ไม่มีคำตอบเดียวสำหรับทุกเรื่อง

 ดร.จอห์น มิลลาร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง การร่วมมือกับ Seedstars ถือเป็นบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนเมืองในประเทศไทยและในภูมิภาคผ่านกลยุทธ์การช่วยสนับสนุนและส่งเสริมบริษัทหน้าใหม่ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตของคนเมืองที่ดียิ่งขึ้น ท่ามกลางการถกเถียงมากมายว่าสมาร์ทซิตี้จะไม่ยั่งยืนอย่างแท้จริง เว้นแต่ประชาชนจะมีส่วนร่วมขับเคลื่อนความเป็นสมาร์ทซิตี้ จากแนวคิดสำคัญของวิทยากรนำเสนอ 4 โซลูชั่นส์ที่น่าจะเป็นไปได้เพื่อช่วยพัฒนากรุงเทพฯให้กลายเป็นสมาร์ทซิตี้ ซึ่ง 4 โซลูชั่นส์ดังกล่าว
ประกอบด้วย:

  • สภาพแวดล้อมเสมือนจริง (Augmented Environments) ช่วยให้ผู้คนสามารถโต้ตอบกับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ในอย่างที่ไม่เคยมาก่อน
  • ผสมผสานพื้นที่สีเขียวเพื่อให้อาคารมีความยั่งยืนได้ด้วยตัวของมันเอง
  • การขนส่งแบบบูรณาการ (เชื่อต่อการขนส่งหลายชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อการทำงานที่เป็นหนึ่ง)
  • การวางแผนที่ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพกับข้อมูล (Bangkok Interactions with Data)

เขาบอกว่า กรุงเทพฯเป็นเมืองแบบใด ความต้องการมีอย่างไรผู้ที่รู้ดีที่สุดคือคนที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพ และตามแผนพัฒนาระบบขนส่งในกรุงเทพฯจะทำให้เมืองแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจเมื่อเมืองเปลี่ยนรูปแบบไป กรุงเทพฯจะเป็นเวทีที่ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสเทคโนโลยีที่หลากหลายมากกว่าอีกหลายเมืองบนโลกใบนี้

 คาตาริน่า ซูเลนไยโอวา (Katarina Szulenyiova) หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท Seedstars   บริษัทจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองผ่านเทคโนโลยีและการคิดค้นของผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่  กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า จากวิสัยทัศน์ของSeedstarsคือมุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองผ่านเทคโนโลยีและการเปิดโอกาสสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่ การใช้ชีวิตในเมืองและสมาร์ทซิตี้เป็นสองประเด็นสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างความแตกต่าง  การนำผู้เชี่ยวชาญและผู้คิดค้นพัฒนามาปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวถือเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเครื่องมือเพื่อให้การคิดค้นของพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

 หากสังเกตตามร้านค้าปลีกที่มีอยู่ทั่วประเทศไทยทั้งในเมืองและชนบท เราจะพบว่ามีสินค้าของบริษัทไม่กี่แห่งที่สามารถรุกเข้าไปวางอยู่ทั่วประเทศอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในนั้นคือสินค้าของบุญรอดบริวเวอรี่ จากประสบการณ์ด้านการกระจายสินค้าที่ทำมากว่า 80 ปีของบุญรอด รวมถึงการมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ระดับอาเซียนเป็นของตนเอง เมื่อคิดจะรุกธุรกิจโลจิสติกส์สิงห์จึงเริ่มด้วยการผนึกกำลังกับบริษัทลินฟ้อกซ์อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป พีทีวาย ลิมิเต็ด บริษัทขนส่งเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก และบริษัทขนส่งทางถนนอันดับ 2 จากประเทศออสเตรเลีย ร่วมกันเปิดธุรกิจให้บริการทางด้านซัพพลายเชนในชื่อ บริษัท บีอาร์เอส โลจิสติคส์ จำกัด ภายใต้แบรนด์ BevChain Logistics ซึ่งเป็นแบรนด์โลจิสติคส์ที่ประสบความสำเร็จของลินฟ้อกซ์

 ปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด  เปิดเผยว่า หลังจากพูดคุยกันประมาณ 8 เดือนก็ได้ข้อสรุปการร่วมมือกันระหว่าง 2 บริษัท โดยแต่ละบริษัทจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่เพื่อใช้ในการร่วมทุนครั้งนี้ประกอบด้วย บริษ้ทบุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด และบริษัท ลินฟ้อกซ์ โฮลดิ้งส์ 2018(ประเทศไทย) จำกัด ร่วมลงทุนฝั่งละ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยมีทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 250 ล้านบาท

ปิติ กล่าวว่า การร่วมทุนกับ บริษัท ลินฟ้อกซ์ โฮลดิ้งส์ 2018 (ประเทศไทย) เกิดจากความต้องการสร้างเครือข่ายการขนส่งที่ทันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและภูมิภาค ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ด้วยการผสานกับความรู้ความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท  โดยบุญรอดฯ จะใช้จุดแข็งและศักยภาพที่มีตลอด 85 ปีในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะเครือข่ายการค้า ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งหมายถึงการที่บริษัทสามารถส่งสินค้าและบริการเจาะถึงตั้งแต่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่(โมเดิร์นเทรด) ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ระบบเอเย่นต์ตัวแทนจำหน่ายในทุกๆ จังหวัด ลงลึกถึงระดับอำเภอมากกว่า 200 ราย ไปจนถึงร้านค้าย่อยทั่วทั้งประเทศ  เมื่อผสานกับความเชี่ยวชาญทางด้านโลจิสติคส์ของ BevChain Logistics เชื่อว่าบริษัทสามารถนำเสนอโซลูชั่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้า โครงสร้างการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด สร้างการเติบโตของธุรกิจในอนาคตร่วมกับลูกค้า ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจการค้า เพิ่มโอกาสในการทำตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายปลายทางหรือ Last mile ได้มากยิ่งขึ้น

ปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด และ ปีเตอร์ ฟ้อกซ์ ประธานบริษัท ลินฟ้อกซ์อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป พีทีวาย ลิมิเต็ด

ในขณะที่จุดแข็งของลินฟ้อกซ์ คือ ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการสินค้าและการขนส่ง ถือเป็นบริษัทให้บริการด้านโลจิสติคส์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค มีธุรกิจครอบคลุมตลาดใน 12 ประเทศ มีคลังสินค้ากว่า 200 แห่ง มีพนักงาน 24,000 คน และมีการให้บริการส่งสินค้าไปยังตลาดทั่วโลก ครอบคลุมหลากหลายเซ็กเตอร์ เช่น สินค้าอุปโภค-บริโภค ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฯ โดยมีมูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในประเทศไทยนั้นลินฟ้อกซ์ให้บริการด้านขนส่งสินค้ามานานถึง 25 ปี มีความเข้าใจถึงความต้องการของตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี

 BevChain Logistics ในประเทศไทย จะเน้นให้บริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกับในประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ การให้บริการทางด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า การให้บริการทางด้านจัดส่งสินค้า แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปสำหรับ BevChain Logistics ในประเทศไทย คือ การเจาะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่เป็นธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ขนาดปานกลางถึงขนาดย่อม และลูกค้ากลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มต่างๆ ที่ต้องการป้อนสินค้าและบริการถึงลูกค้าเป้าหมายปลายทาง

ปิติเสริมว่า ในช่วงแรกจะใช้บริษัทใหม่นี้ดูแลสินค้าในกลุ่มบุญรอดทั้งด้านเครื่องดื่มและอาหาร ขณะเดียวกันก็เปิดรับลูกค้าทุกอุตสาหกรรม ทุกขนาดไปพร้อมกัน โดยมองว่า จะช่วยลดต้นทุนด้านซัพพลายเชนให้กับผู้ใช้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบสินค้ามากขึ้น นอกจากนี้การที่บุญรอดมีการลงทุนด้านดิจิทัลที่ตนดูแลอยู่ก็สามารถนำมาช่วยเสริมในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลให้กับลูกค้าได้อีกด้วย ขณะที่ความเชี่ยวชาญจากลินฟ้อกซ์ก็จะทำให้มีระบบขนส่งที่ปลอดภัยติดตามได้ เป็นการขยายเครือข่าย จากการที่เริ่มใช้งานบริการมาประมาณ 1 ปี ช่วยให้บุญรอดประหยัดเรื่องการขนส่งสินค้าไปได้ประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์เป็นตัวอย่างตัวเลขที่ปิติเปิดเผยให้ฟัง

ทั้งนี้เขาวางเป้าหมายว่า ภายใน 3 ปี BevChain Logistics  จะเจาะตลาดระดับภูมิภาคอาเซียน รองรับการเติบโตของตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอีกทั้งยังเป็นตลาดสำคัญของสินค้าและบริการจากประเทศไทย เมื่อแบรนด์ต่างๆเข้าไปขยายตลาด ทำให้ต้องการบริการด้านโลจิสติกส์ตามไปด้วย และบริษัทพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกอุตสาหรรม ทุกขนาด ทั้งบริษัทเล็ก กลาง ใหญ่ เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ปิติให้ตัวเลขประมาณการว่าในปีนี้บริษัทใหม่น่าจะมีรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยเป้าหมายใน 3 ปีวางไว้ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท

 ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเปิดตัวด้วยการทำ B2B ก่อนแต่มีแนวโน้มว่าแผนต่อไปที่จะตามมาคือการทำขนส่งแบบ B2C ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไปว่า การดึงจุดแข็งของ 2 องค์กรใหญ่ใน 2 ประเทศจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงการโลจิสติคส์ไทยได้ในระดับใด

ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทย ธุรกิจโลจิสติกส์รวมปี 2018 (215,000 ล้านบาท) แบ่งเป็นธุรกิจขนส่งสินค้าทางบกในปี 2018 มีมูลค่า 145,100 – 147,300 ล้านบาท  ธุรกิจคลังสินค้า ปี 2561 มูลค่า 75,500 – 76,700 ล้านบาท

ตลาดขนส่งสินค้าทางบกเติบโต +5.3-7% PY(137,700 ล้านบาท) คลังสินค้า + 5.3 – 7% PY (71,700 ล้านบาท) ด้วยปัจจัยจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การลงทุนของภาครัฐและเอกชน การขยายตัวของ E-commerce ปัจจัยการปรับรูปแบบจาก Offline platform to Online platform ทำให้มีความต้องการคลังสินค้าพรี่เมี่ยมมากขึ้น

 

           SEAC (South East Asia Center) ศูนย์พัฒนาภาวะผู้นำและผู้บริหารระดับสูง โดย อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ ให้มุมมองการรับมือกับบริหารจัดการองค์กรในยุค Disruptive ที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วรุนแรงว่า สามารถนำ Leadership (ภาวะผู้นำ) มาใช้เพื่อช่วยสร้างองค์กรที่ยั่งยืนขึ้นมาได้

            เธอบอกว่าจากประสบการณ์ทำงานมากว่า 27 ปี ทำให้เห็นว่าองค์กรไทยโดยมาก มักจะเน้นการพัฒนาตัวผู้นำ (Leader) เพื่อให้มีภาวะผู้นำ สามารถปรับตัว มีความรู้เท่าทันสถานการณ์ และสามารถมองเห็นทิศทางและโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงสามารถตัดสินใจและกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

            แต่สำหรับช่วงเวลาปัจจุบันการพัฒนาแต่ตัวผู้นำไม่เพียงพอแล้ว ยังต้องพัฒนาคนในองค์กรให้มีภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นด้วย เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

            ทางด้าน ฮาเวิร์ด ฟาร์เฟล ประธานสถาบัน เคน บลานชาร์ด บริษัทพัฒนาผู้นำและบุคลากรจากสหรัฐอเมริกา บอกว่า  ยังมีอีกหลายองค์กร ที่ผู้นำและบุคลากรในองค์กรยังติดกับดักของตัวเอง เป็นผลให้ประสิทธิภาพไม่เกิดและประสิทธิผลไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ อีกทั้งยังทำให้หมดความมุ่งมั่นในการนำองค์กรสู่จุดมุ่งหมายลงกลางทางเสียดื้อๆ ดังนั้นการเติมเต็ม “ภาวะผู้นำ – Leadership” จึงเป็นเรื่องที่หลายๆ องค์กรไม่ควรมองข้าม

            โดยล่าสุด SEAC นำเอาหลักสูตรจากสถาบันเคน บลานซาร์ด มาให้บริการในประเทศไทย 4 หลักสูตรประกอบด้วย 1. Self Leadership 2. Situational Leadership® II Experience 3. Management Essentials และ 4. Coaching Essentials®

            อริญญา กล่าวว่า หัวใจสำคัญของหลักสูตรนี้ คือการนำประสบการณ์จริงในโลกธุรกิจ  งานวิจัย   ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถปฏิบัติได้จริง มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับผู้นำองค์กรที่เข้าร่วมอบรม ตลอดจนนำเสนอมุมมองและแนวความคิด สำหรับการมีภาวะผู้นำที่ดีอย่าง “Mindset – มายด์เซ็ต” และ “Skillset – สกิลเซ็ต” เข้าไว้ด้วยกัน โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้นำองค์กรและบุคลากรทุกระดับเกิดความมุ่งมั่นและตระหนักรู้ในการพัฒนา “ภาวะผู้นำ ของตนเอง กระตุ้นให้ผู้นำสามารถดึงศักยภาพของตนด้วยการฝึกฝนโดยนำองค์ความรู้ใหม่ๆ ไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของตน เพื่อให้สามารถก้าวทันสถานการณ์สู่การสร้างและเป็นผู้นำในวงการธุรกิจในยุค Disruptive เช่นนี้

              ฮาเวิร์ด  บอกว่า สถาบันฯ ได้นำทฤษฎีภาวะผู้นำมาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มุ่งสอนเรื่องการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นผู้นำที่เท่าทันโลกได้อย่างครอบคลุม  จนเกิดเป็นหลักสูตรทั้ง 4 หลักสูตร

            โดยหัวใจของหลักสูตรคือการทำให้เข้าใจว่าภาวะผู้นำเท่ากับความเป็นหุ้นส่วน Partnership โดยทำให้เข้าใจสไตล์ของการนำในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สามารถปรับใช้ได้อย่างเหมาะกับสถานการณ์ การพัฒนาให้คนในองค์กรใช้ภาษาเดียวกันในการสื่อสารตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงพนักงานทุกระดับ เพื่อให้ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไข การพัฒนาผู้บริหารรุ่นใหม่และการพัฒนาหัวหน้างานให้สามารถสอนงานพนักงานได้

            ปัจจุบันมีหลายบริษัทระดับโลกที่เลือกโปรแกรมเหล่านี้ไปใช้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพทางธุรกิจดีขึ้น  มีการลาออกลดลง สามารถรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้ โดยสำหรับหลักสูตรในไทยจะประยุกต์เนื้อหาให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทยและประเทศอาเซียน

            SEACเริ่มต้นอบรมหลักสูตรเหล่านี้ให้กับองค์กรมากกว่า 20 องค์กร อาทิ เครือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เครือข่าย แมนพาวเวอร์กรุ๊ป บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)   บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง สำนักงาน ก.พ. และคาดว่าภายในปีนี้จะมี 30 บริษัทที่ได้รับการอบรม และปี 2562 จะมีประมาณ 100 บริษัทที่สนใจหลักสูตรนี้

 

 

งาน Thailand Focus เป็นหนึ่งในงานที่จัดมาอย่างต่อเนื่องโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมโยงโอกาสการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันจากทั่วโลก พร้อมขยายฐานผู้ลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยธีมในการจัดงานปี 2018 นี้คือ The Future is Now

 เป็นประจำทุกปีที่ในงานนี้จะเชิญผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมาเล่าความคืบหน้า ความน่าสนใจของประเทศไทยให้กับผู้ลงทุนจากทั่วโลก โดยในปีนี้นอกจากผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ ดร.ภากร ปิตธวัชชัย ก็ได้รัฐมนตรีมาถึง 3 ท่าน ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.อุตตม สาวนายน และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รวมถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.วิรไท สันติประภพ ที่มาร่วมแบ่งปันมุมมองเรื่องราวเกี่ยวกับภาพรวมและทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกลงทุน

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน “Thailand Focus 2018” ว่า 14 ปีก่อนที่มีการจัดงาน Thailand Focus ขึ้นเป็นครั้งแรกภายหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็เพื่อให้ผู้ลงทุนเข้าใจภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และหลังจากที่ตนเองเข้ามารับตำแหน่งดูแลงานด้านเศรษฐกิจให้รัฐบาลชุดนี้เกือบ 4 ปี ก็สามารถบรรลุภารกิจแรกที่ประกาศไว้ คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น โดยเศรษฐกิจขยายตัวจากร้อยละ 0.9 เมื่อปี 2014 สู่ ร้อยละ 4.8 ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ดัชนีต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ  มูลค่าการลงทุนที่ขอส่งเสริมจาก BOI เพิ่มจาก 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2015 เป็น 19,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2017

ภารกิจอีกประการคือ การปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการแก้ไขจุดอ่อนและสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งจะช่วยทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างยั่งยืนรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

รองนายกรัฐมนตรีบอกเล่าถึงจุดแข็งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของไทยที่สามารถเชื่อมโยงอาเซียน CLMVT จีน และอินเดียเข้าด้วยกันได้ ด้วยปัจจัยที่ประกอบด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง เป็นแหล่งแรงงานสำคัญของภูมิภาค นโยบาย Belt and Road ของประเทศจีนที่ไทยก็อยู่ในเส้นทางนี้ด้วย การที่ญี่ปุ่นพยายามผลักดัน CPTPP และความร่วมมือ Indo Pacific Partnership ที่ขับเคลื่อนโดยสหรัฐ อินเดีย และญี่ปุ่น เขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ RCEP ซึ่งทุกแนวคิดอาเซียนและ CLMV คือจุดศูนย์กลางทั้งสิ้น ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นจุดศูนย์กลางการค้าการลงทุน

ประเทศไทยก็ยิ่งมีความน่าสนใจเพราะอยู่ในจุดที่เชื่อมโยงได้ทั้งอาเซียนและ CLMVจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน

โดยรัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่กำลังเร่งขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้ ทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย การทำโครงการ EEC เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ และการขับเคลื่อนประเทศสู่ดิจิทัล ซึ่งในทุกด้านจำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างมหาศาล โดยสิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับประเทศในอนาคต

ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.อุตตม สาวนายน มาให้ข้อมูลความคืบหน้าโครงการ EEC ว่าเป็นไปตามแผนที่เคยประกาศไว้ว่าจะมีการลงทุนในช่วง 5 ปีแรกประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท โดยมีการลงทุนทั้งการเชื่อมระบบขนส่งต่างๆ โครงการอินเทอร์เน็ตของรัฐบาลที่สามารถให้ประชาชนกว่าร้อยละ 60 เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้แล้ว อุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปก็เริ่มมีการขยับตัวมีการยื่นขอส่งเสริมการลงทุนแล้ว เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเขต EEC

นอกจากนี้โครงการ EEC ยังจะช่วยเชื่อมโยงไทยกับภูมิภาคอาเซียน CLMV จีน และอินเดีย ด้วยโครงข่ายทั้งทางรถไฟ รถยนต์ และการขนส่งทางน้ำ ซึ่งไทยก็มีการพัฒนาริเริ่มโครงการใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่นการเตรียมจัดตั้ง EECi (Eastern Economic Corridor of Innovation) ที่ จ.ระยอง ซึ่งจะเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในอุตสาหกรรม และ EEC Digital Park ซึ่งจะตั้งที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยจะเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ช่วยส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ ก็เป็นส่วนที่จะช่วยเสริมศักยภาพของประเทศไทยในอีกทางหนึ่ง

ขณะที่ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาตอกย้ำว่า ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า อาเซียนโดยเฉพาะ CLMV จะน่าลงทุนที่สุดเพราะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง และเป็นตลาดขนาดใหญ่ แต่ด้วยขนาดที่เล็กของแต่ละประเทศ จึงเป็นโอกาสดีที่จะร่วมมือกัน โดยไทยในฐานะที่มีภูมิศาสตร์สามารถเชื่อมโยงทุกประเทศได้ก็จะสามารถเป็นศูนย์กลางการลงทุนได้

โดยการเชื่อมโยงมีทั้งโครงการที่เสร็จแล้วเช่นสะพานเชื่อมประเทศไทยกับสปป.ลาวทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าระหว่างกันถึง 5 เท่า และการเชื่อมโยงเช่นนี้ก็กำลังมีเพิ่มมากขึ้น ผ่านโครงการต่างๆ และนโยบายของต่างประเทศเช่น Belt and Road ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกที่จะเชื่อมโยงไปยังประเทศต่างๆ ทั้งการขนส่งสินค้า การเชื่อมโยงในด้าน Supply Chain ของบริษัทเอกชนที่สามารถใช้ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าของตนได้

นอกจากการใช้ EEC ยังมีโครงการที่สำคัญคือ Southern Economic Corridor ที่จะเชื่อมประเทศไทยไปสู่มหาสมุทรอินเดีย เชื่อมโยงภาคตะวันตกของไทยสู่ประเทศเช่นศรีลังกา อินเดีย รวมถึงแอฟริกา ยุโรปอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นจะทำให้ไทยเป็นจุดที่สามารถเชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิค และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกันได้อย่างสำคัญ

ทางด้านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.วิรไท สันติประภพ บอกว่าประเทศไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งเงินสำรองระหว่างประเทศ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งช่วยให้เราสามารถกำหนดนโยบายทางการเงินได้อย่างอิสระ โดยธปท. ยังคงจับตาสถานการณ์ต่างๆ และคอยดูแลไม่ให้เกิดความเสี่ยงในระบบมากเกินไป

ในส่วนของ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนแถวหน้าของภูมิภาคอาเซียน โดยมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพจำนวนมาก ผ่านวิกฤตต่างมาหลายครั้งจนมีความยืดหยุ่น และแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์ มีบริษัทจดทะเบียนไทยที่ก้าวสู่บริษัทชั้นนำของโลกเช่นในธุรกิจสนามบิน ธุรกิจโรงพยาบาลและสุขภาพ ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจโรงแรม

ดร.ภากรเล่าถึงพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไทยที่แข็งแกร่งน่าลงทุน มีการเติบโตและให้ผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยผลการดำเนินงาน บจ. ครึ่งปีแรก กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 7.61% ขณะที่ยอดขายเพิ่ม 9.01% ในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึง บจ. ที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดพาณิชย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ สอดคล้องการขยายตัวของ GDP ที่ 4.8% ในครึ่งปีแรก เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัว 3.2% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจาก 0.9% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เชื่อมั่นว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการลงทุนภาคเอกชน ที่สอดรับการลงทุนของภาครัฐ การบริโภคในประเทศ และการส่งออก

ดร.ภากร เปิดเผยว่า   “Thailand Focus 2018”  มีผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศ 161 รายร่วมงาน ในจำนวนนี้มีผู้ลงทุนจากกลุ่มประเทศใหม่ ๆ อาทิ กลุ่มสแกนดิเนเวีย และเอเชียตะวันออก เพิ่มเติมจากตลาดหลักคือยุโรปและอเมริกาที่ลงทุนในตลาดทุนไทยอยู่เดิมและมาร่วมงานเป็นประจำทุกครั้ง สะท้อนถึงการที่ไทยอยู่ในความสนใจลงทุน โดยผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมงานมีมูลค่าสินทรัพย์รวม (AUM) 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีการประชุมในรูปแบบ one-on-one กับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 115 บริษัท รวมทั้งสิ้น 2,248 ครั้ง

โดยผู้ลงทุนสถาบันยังได้รับฟังข้อมูลโดยตรงจากภาครัฐในเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีความคืบหน้าและเป็นรูปธรรม และในระยะใกล้ จะเห็นว่าตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ที่เป็นโครงการเชิงกลยุทธ์ของภาครัฐที่จะมีการลงทุนถึงกว่า 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย สร้างแรงส่งต่อเนื่องจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด และโครงการอื่นๆ ในระยะผ่านมา และยังเอื้อให้เกิดการเชื่อมโยงกับภูมิภาคโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนในระยะยาวจากโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น  

หลังจากเปิดโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด หรือ MRB ในรูปแบบมิกซ์ยูสในที่ดินริมถนนราชดำริ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เสริมคุณค่าของอาคารด้วยการร่วมมือกับเครือฮิลต้น เปิดโรงแรม Waldorf Astoria เป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียใต้

วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด MQDC “ด้วยความร่วมมือกับฮิลตันในครั้งนี้ ทำให้ MQDC เพิ่มศักยภาพด้านงานบริการแบบลักซัวรี่ในโครงการมิกซ์ยูส การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญของ MQDC สู่ธุรกิจโรงแรมระดับหรู  ด้วยทำเลที่ตั้งคุณภาพงานก่อสร้างและงานสถาปัตยกรรม อีกทั้งความเอาใจใส่ทางสิ่งแวดล้อมของโครงการ ทำให้ผมมั่นใจว่าแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จะสามารถเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับแบรนด์ระดับโลกเช่น Waldorf Astoria อย่างแน่นอน เราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะส่งต่อความหรูหราแบบมีคุณภาพนี้ให้กับแขกและผู้พักอาศัย"

วิสิษฐ์เล่าเบื้องหลังการตัดสินใจร่วมมือครั้งนี้โดยเลือกแบรนด์ที่มีความพิเศษโดดเด่นมีประวัติยาวนานมาช่วยเสริมธุรกิจของแมกโนเลียในการเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่ต้องการได้รับบริการแบบพิเศษสุด ตามเป้าหมายของบริษัทที่อยากจะสร้างสิ่งพิเศษให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสมผสานความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ทั้งด้านการออกแบบ การบริหารจัดการโรงแรม เพื่อทำให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักกับแมกโนเลียเพิ่มมากขึ้น

โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ตั้งอยู่ ณ สี่แยกราชประสงค์ เพียงไม่กี่นาทีจากแหล่งช้อปปิ้ง, ศาลพระพรหมเอราวัณ, ห้างเกษร วิลเลจ และสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีราชดำริ (สายสีลม) และสถานีชิดลม (สายสุขุมวิท) ให้บริการห้องพักและสวีทสไตล์เรสสิเดนเชียล จำนวน 171 ห้อง ด้วยการออกแบบของสถาปนิกนักออกแบบชื่อดังชาวฮ่องกง อังเดร ฟู และทีมงานจาก AFSO ดีไซน์สตูดิโอ ที่ออกแบบให้ วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ มีความร่วมสมัยและสอดแทรกเสน่ห์ศิลปะแบบไทย ด้วยแนวคิดที่จะนำความเป็นไทยอันทรงคุณค่าและสง่างาม มาตีความให้มีความทันสมัยเหมาะกับกรุงเทพฯ ยุคใหม่อย่างแท้จริง โดยอังเดร ฟู รับผิดชอบในการออกแบบตกแต่งห้องพัก ห้องอาหาร ฟร้อนท์ รูม, ห้องอาหารเดอะ บราสเซอรี พีค็อก อัลลีย์ เล้าจ์ ห้องประชุมสัมมนา รวมถึงห้องแมกโนเลีย บอลรูม

ในส่วนของชั้นที่ 55-57 ของโรงแรม  ประกอบด้วยห้องอาหาร และบาร์จำนวน 3 ห้องประกอบด้วย  ห้องอาหาร บูลแอนด์แบร์ (Bull & Bear), เดอะ ลอฟท์ (The Loft) และ เดอะ แชมเปญ บาร์ (The Champagne Bar) ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครในมุมกว้าง ได้รับการออกแบบโดยบริษัทออกแบบคอนเซ็ปท์และดีไซน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาฟโรโค่

นอกจาก Waldorf Astoria กรุงเทพแล้ว โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดยังเป็นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมระดับหรูจำนวน 316 ห้องและสำนักงาน อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนหรือ RISC ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมภายใต้ MQDC และเป็นศูนย์วิจัยด้านความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนแห่งแรกของเอเชียด้วย

 

วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย โฮเทลแอนด์รีสอร์ท

วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย โฮเทลแอนด์รีสอร์ท เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีจำนวนเกือบ 30 โรงแรมทั่วโลก ที่พร้อมมอบการบริการที่เหนือระดับแบบ "ทรู วอลดอร์ฟ เซอร์วิส" สำหรับแขกผู้มาเข้าพักตั้งแต่เริ่มต้นการเข้าจองห้องพักจนถึงเช็คเอ้าท์ วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทฮิลตัน บริษัทชั้นนำด้านการบริหารโรงแรมระดับโลก  

 

 

          บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เปิดตัวซีอีโอคนใหม่ อเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งในช่วงเวลาที่สัมปทานซึ่งมีอยู่กำลังจะหมดลง เป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นที่อาจจะส่งผลกระทบทั้งภายในและนอกองค์กรดีแทค

         อเล็กซานดรา เป็นชาวออสเตรียที่เคยผ่านงานมาหลายด้านทั้ง ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจออนไลน์เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว และเริ่มเข้ามาสู่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมเมื่อปี 2544 จนเข้ามาทำงานกับกลุ่มเทเลนอร์เมื่อปี 2559 เธอเล่าว่าเธอเป็นนักกีฬากอล์ฟ ความเป็นนักกีฬาทำให้เธอชอบการแข่งขันเพราะการแข่งขันจะทำให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นมา และเธอก็หวังว่าการบริหารงานดีแทคจะเป็นเช่นเดียวกับช่วงเวลาที่สามารถเล่นกีฬาได้ดี

         อเล็กซานดรามองดีแทคว่ามีองค์ประกอบที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ 3 ประการคือ มีแบรนด์ที่น่าภาคภูมิใจ มีลูกค้ากว่า 20 ล้านราย และมีพนังงานที่มุ่งมั่นในการทำงานให้ดีแทคประสบความสำเร็จ

         การเข้ามาทำงานในช่วงเวลานี้ซึ่งใกล้ถึงวันสิ้นสุดสัมปทานเดิมที่มีอยู่ในวันที่ 15 ก.ย. ทำให้ภารกิจแรกของซีอีโอหญิงคนแรกของดีแทคคือการดูแลลูกค้าของบริษัท โดยเธอบอกว่าจะทำทุกอย่างที่จะช่วยคุ้มครองลูกค้าให้สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้

         “เราให้ความสำคัญกับลูกค้าต้องมาก่อน โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านสัมปทานเราจึงตั้งใจดูแลลูกค้าเราให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่เน้นย้ำ เราต้องได้รับอนุมัติแผนความคุ้มครองลูกค้าในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานจาก กสทช. เพื่อลูกค้าดีแทคได้ใช้คลื่น 1800 MHz และ 850 MHz ซึ่งเป็นช่วงคลื่นเดิมของดีแทคที่หมดสัมปทานและไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน โดยลูกค้าดีแทคควรได้สิทธิ์ใช้งานอย่างต่อเนื่อง ตามที่ผ่านมาที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้รับการคุ้มครองตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน”

         ประเด็นสองคือลูกค้าอาจได้รับผลกระทบบ้างช่วงเปลี่ยนผ่าน เราพยายามทำให้ดีที่สุด ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญเราจะตรงไปตรงมากับลูกค้าให้มากที่สุด ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ท้าทายแต่ก็เป็นช่วงที่จะมองไปสู่การปรับเปลี่ยนองค์กรที่มุ่งสู่การให้ความสำคัญกับลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น ดีแทคจะขยายโครงข่ายการบริการทั้งคลื่น 2100 MHz และบริการบนคลื่น 2300MHz ของทีโอที เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

         อเล็กซานดรา  กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเข้าสู่มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานนั้นยังเป็นการทำรายได้ให้กับรัฐ ตามข้อกำหนดจะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวได้ อีกทั้งตามประกาศ กสทช ยังกำหนดให้รายได้ระหว่างการให้บริการในระยะเวลาคุ้มครองจะต้องเป็นของรัฐ ผู้ให้บริการเป็นเพียงผู้รับรายได้แทนรัฐเท่านั้น เมื่อได้รับรายได้มาผู้ให้บริการทำได้เพียงหักต้นทุนค่าใช้จ่าย และนำส่วนที่เหลือส่งเข้ารัฐเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป จึงจะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ในช่วงดูแลลูกค้า”

         อเล็กซานดราให้ข้อมูลว่าปัจจุบันยังมีลูกค้าที่ใช้โครงข่าย 850 MHz อยู่ประมาณ 400,000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ผู้สูงอายุ ยังใช้โทรศัพท์รุ่นเก่า ซึ่งต้องใช้เวลาในการโอนย้ายเครือข่ายตามความต้องการของลูกค้า

         แม้จะเข้ามารับตำแหน่งในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านขององค์กรแต่ซีอีโอคนใหม่ดีแทคก็มองว่าเป็นโอกาสดีในการปรับองค์กรโดยเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้ามากขึ้นแบบ outside in ปรับกระบวนการทำงานให้สนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เธอบอกว่าจะมาทำให้ดีแทคแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง นำเสนอบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยมีการตั้งหน่วยงานพิเศษที่รวบรวมพนักงานจากหลายแผนกมาทำงานเป็นทีมลดความเป็นไซโลในการทำงานลง เพื่อคิดหาวิธีบริการใหม่ๆ

         และเมื่อมีคำถามถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมเธอมองว่าเหมือนกับการวิ่งแข่งระยะสั้นที่หากมัวแต่หันไปมองคู่แข่งก็คงแพ้แน่นอน แต่หากมุ่งมั่นวิ่งไปข้างหน้าก็มีโอกาสที่จะชนะรออยู่ เป็นบทสรุปมุมมองที่น่าสนใจของซีอีโอหญิงคนใหม่ของดีแทคคนนี้

 

                อุตสาหกรรมการเงินการลงทุนเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สามารถหยิบจับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้สร้างประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและบุคลากรในอุตสาหกรรมซึ่งมีความรู้ความสามารถอยู่มาก รวมถึงแรงจูงใจในการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ที่เห็นได้ชัด นั่นคือผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่เกี่ยวข้อง

                ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานอกจากเรื่องของฟินเทคที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการการเงินการลงทุนแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่จับตามองคือเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล ที่นำมาโดยบิตคอยน์ คริปโตเคอเรนซีเหรียญแรกของโลก ซึ่งมีเทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่เบื้องหลัง และสร้างแรงกระเพื่อมจนมีเหรียญใหม่ๆ ออกตามมาอีกจำนวนมาก ในรูปแบบต่างๆ กัน

                สินทรัพย์ดิจิทัลนี้เมื่อเป็นที่รู้จักของโลก ก็เข้ามาสู่ประเทศไทยด้วยเช่นกัน ท่ามกลางความผันผวนของราคาสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลก็ได้ออก พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลออกมาเมื่อเดือน พ.ค. 2561 ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ในโลกที่มีกฎหมายออกมาดูแลเรื่องใหม่ทางด้านการเงินนี้โดยเฉพาะ

                ภาพหลังจากมีกฎหมายที่มอบอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแล จึงมีการเปิดรับฟังความคิดเห็น ประกาศกฎเกณฑ์ต่างๆ รวมทั้งเริ่มเปิดให้มีการขอใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความเคลื่อนไหวของเพลย์เยอร์ต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่เริ่มขยับตัว

                หัวแรงใหญ่ของ ก.ล.ต. ในเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล คือ ทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ออกมาให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เป็นระยะ ในฐานะหน่วยงานผู้กำกับดูแลเรื่องดังกล่าว

                MBA ได้รับโอกาสเข้าพูดคุยกับรองเลขาธิการ ก.ล.ต. เกี่ยวกับความคืบหน้าในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล และมุมมองต่างๆ ที่เธอมีต่อสินทรัพย์ใหม่ประเภทนี้

 

เกณฑ์ยังมีการปรับปรุง

                เราเริ่มต้นด้วยพัฒนาการของการกำกับดูแลหลังจากมีพ.ร.ก.และเกณฑ์ต่างๆ ออกมาระยะหนึ่งแล้ว ทิพยสุดา เล่าว่า มีหลายเรื่องที่ได้รับความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และทำให้เห็นว่าเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมจึงต้องไปปรับหรือออกเกณฑ์เพิ่มเติม

                “ตัวอย่างหนึ่งคือ เกณฑ์เราบอกว่า การออกมาเสนอขายโทเคนต้องผ่านการอนุญาต ก.ล.ต. มีผู้ที่ทำพรีไอซีโอ คือเขาระดมเงินจำนวนน้อยมาเพื่อทำไอซีโอ ซึ่งจุดแรกส่วนใหญ่เขายังไม่มีไวท์เปเปอร์ด้วยซ้ำ และเกณฑ์เราบอกว่าจะขายต้องผ่านการอนุญาตของเราและมีไวท์เปเปอร์ ตรงนี้จะทำอย่างไร ตัวอย่างแบบนี้ เรารู้ว่าในทางธุรกิจเขาจำเป็นต้องมีขั้นตอนนี้ เราก็ต้องมาปรับเกณฑ์ให้รองรับอะไรแบบนี้ด้วย ขณะเดียวกันก็ยังต้องตอบตัวเองได้ว่านี่ไม่ได้หย่อนแบบล้างอะไรที่ออกมา เช่นยอมให้ทำอย่างนี้ได้แต่ต้องขายในวงจำกัด เช่นต้องเป็นคนที่รู้เรื่อง ไม่เกิน 20 ล้านบาท  ไม่เกิน 50 ราย แต่ถ้าเป็นสถาบันไม่จำกัดอยู่ใน 50 ราย หรือ 20 ล้านบาท แต่คนที่ไม่ใช่สถาบันจะต้องเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง (พนักงาน ผู้บริหาร ที่ปรึกษา เป็นต้น) ไม่จำเป็นต้องขายราคาเดียวกัน แต่ว่า ใครก็ตามที่ได้ซื้อก่อน จะโดนล็อคอัพ ไม่ให้เปลี่ยนมือยาวไปจนกระทั่งออกไอซีโอไปแล้วอีก 6 เดือน เพื่อไม่ให้คนที่ได้ก่อนมาถล่มขายในวันแรก นี่เป็นเกณฑ์ที่ยังไม่ได้ออกมาแต่ผ่านหลักการผ่านบอร์ดแล้ว เดี๋ยวเราคงเอามาทำเฮียริ่งในระบบ เพราะเราทำโฟกัสกรุ๊ปไปแล้ว และเข้าคณะอนุกรรมการแล้ว และเราเร่งมาก ไม่อย่างนั้นทุกคนทำไอซีโอไม่ได้เพราะติดขั้นตอนนี้”

                นอกจากนี้ยังมีเรื่องการซักซ้อม เช่น เรื่องการที่โบรกเกอร์จะพาผู้ลงทุนไทยไปซื้อไอซีโอที่ออกในต่างประเทศ (ตามเกณฑ์บริษัทต่างชาติยังมาออกไอซีโอในประไทศไม่ได้) ซึ่งก.ล.ต.จะทำการซักซ้อมกับโบรกเกอร์เหล่านั้น โดยบอกว่า “เขายังมีหน้าที่ดูแลลูกค้า ให้เลือกของที่ถูกต้องตามประเทศที่ไป ไม่ใช่ไปเลือกซื้อของเถื่อนในประเทศนั้น หรือถ้าประเทศนั้นของชิ้นนี้เขาไม่ขายรายย่อย คุณก็ไม่ควรพารายย่อยไปซื้อ ไม่ควรไปซื้อเยอะเกิน นี่ก็เป็นเกณฑ์ที่ออกมาแล้ว เป็นเกณฑ์ของสำนักงานเพื่อซักซ้อมหน้าที่ของโบรกเกอร์ที่จะพาลูกค้าไป พอออกมาแล้ว ต้องมาตีความบ้าง ซักซ้อมบ้าง”

                ขณะเดียวกันทิพยสุดาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลเพื่อซื้อขายโทเคนในต่างประเทศที่จะมาทำในประเทศไทยว่า ดูที่ความตั้งใจไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยหรือใช้เครื่องมือสื่อสารต่างๆ ในการชักชวนผู้ลงทุนในลักษณะการทำโรดโชว์ซึ่งเป็นการละเมิดเกณฑ์ที่มีอยู่ โดยที่ผ่านมา ก.ล.ต. หากตรวจพบก็จะใช้วิธีแจ้งให้ระมัดระวังในเรื่องดังกล่าวเป็นเบื้องต้น

         

 ข้อกังวลเรื่องภาษี

                กรณีภาษีที่จะมีการจัดเก็บจากสินทรัพย์ดิจิทัล ทิพยสุดาระบุว่า เรื่องภาษีไม่ได้อยู่ในการดูแลของ ก.ล.ต. และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สภาวิชาชีพบัญชีก็พยายามสร้างความชัดเจนในเรื่องไอซีโอที่จะออกมา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เริ่มมองเห็นไปในทิศทางเดียวกันแล้วว่า หากมองเป็นการระดมทุนก็ไม่ควรจะเป็นเงินได้ที่ต้องนำไปเสียภาษี  

                ส่วนของ Utility Token ซึ่งมองได้ว่าคนออกกำลังขายสินค้าหรือบริการล่วงหน้า การจะคิดว่าเป็นรายได้เมื่อไร ก็อาจจะใช้แนวทางเดียวกับการซื้อเมมเบอร์ในฟิตเนสหรือสนามกอล์ฟมาปรับใช้ได้ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะใช้ตามเกณฑ์ปกติที่มีอยู่ได้เลย แต่ก็ต้องมีการนำมาซักซ้อมเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติต่อไป สำหรับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะมีการดูแลให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อน ซึ่งเรื่องเหล่านี้อยู่ระหว่างที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอยู่

 

มองเทรนด์ต่างประเทศแล้วย้อนมาดูไทย

                สำหรับเครื่องมือในการเข้าถึงการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ในต่างประเทศเริ่มมีการพูดถึงและเตรียมหาทางออกมา เช่น ETF Fund , อนุพันธ์, กองทุนรวม,  Crowdfunding ทิพยสุดาให้ความเห็นเกี่ยวกับเครื่องมือเหล่านี้โดยเริ่มจาก อนุพันธ์Futuresก่อนว่า เริ่มมีคนทำในต่างประเทศ และมีโบรกเกอร์ไทยพานักลงทุนไทยไปลงทุน ซึ่งตามเกณฑ์การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ให้สิทธิโบรกเกอร์สามารถพานักลงทุนไปลงทุนในตลาด Futures Market ที่มีการกำกับดูแล ซึ่งจากที่ตนเองดูสินค้าที่นำมาเสนอ ก็มีการเรียกประกันค่อนข้างมาก จนเหมือนกับเป็นเครื่องมือที่ทำให้ได้ลงทุนในสินทรัพย์นี้ทางอ้อม ทำให้เห็นว่า ผู้ออกตราสารนี้ต้องการตอบโจทย์ผู้ลงทุนสถาบันที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ และผู้ลงทุนสถาบันก็ต้องการลงทุนในรูปแบบที่มีการกำกับดูแล เป็นเครื่องยืนยันว่าการกำกับดูแลมีคุณค่า  ส่วนเรื่องความผันผวนของราคาเป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนต้องไปรับความเสี่ยงเอง

                สำหรับตลาดอนุพันธ์ในประเทศไทยทิพยสุดาให้ความเห็นว่า ไม่น่าจะเห็นได้ในช่วงนี้ เพราะยังไม่มีอยู่ในพ.ร.ก. หรือหากจะทำก็ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นโดยเร็ว

                Bitcoin ETF ซึ่งมีข่าวว่ามีการขออนุญาตจัดตั้งที่สหรัฐอเมริกาแต่ยังไม่ได้รับการอนุญาต ทิพยสุดา ให้มุมมองส่วนตัวว่า เนื่องจากสินทรัพย์นี้ยังมีความเข้าใจยากผู้กำกับดูแลจึงอาจจะไม่อยากให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย หากปล่อยให้ออกมาอาจจะทำให้ ETF เสียชื่อได้ และผู้ลงทุนก็มีหนทางในการเข้าถึงสินทรัพย์นี้ได้ทางอื่นอยู่แล้ว

                เธอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในประเทศไทยก็ยังไม่มีใครเข้ามาขออนุญาตเรื่องนี้เช่นกัน  

                ด้านกองทุนรวม รองเลขาธิการ ก.ล.ต.บอกว่า อาจจะมีความน่าสนใจกว่า ETF เพราะบริหารโดยมืออาชีพและมีการกระจายการลงทุน แต่ก็ยังไม่มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนใดแสดงความสนใจจะออกผลิตภัณฑ์นี้ เท่าที่มีเข้ามาพูดคุยกับ ก.ล.ต. มีเป็นลักษณะที่คล้ายคลึงมากกว่า เช่น “อยากจะออก ICO ที่ไปลง ICO หรือ ICO ที่ไปลงคริปโต แปลว่าคนออกไอซีโอนี้เหมือนอยากจะทำแบบกองทุนรวมแต่ขายแบบ VC หรือ Crowdfunding คือมีการจำกัดอะไรบางอย่าง”

                Crowdfunding Platform for ICO คืออีกตัวอย่างที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ทิพยสุดาให้ข้อมูลว่า ในไทยเรามี Crowdfunding Portal เปิดขึ้นมารองรับในลักษณะคล้ายกัน โดยเรายังมี Crowdfunding ที่มีอยู่แล้วทางด้านทุน และกำลังศึกษาในด้านหุ้นกู้สำหรับเอสเอ็มอีอยู่ ซึ่งอยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนของก.ล.ต.แล้ว

 

Hub ICO

  เมื่อถามว่าหากประเทศไทยอยากจะเป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องทำอย่างไร ทิพยสุดาให้ความเห็นว่า ต้องเริ่มจากนโยบายของภาครัฐที่ออกมาสนับสนุนจากการเห็นประโยชน์ของสิ่งนี้และพยายามขจัดอุปสรรคต่างๆ ออกไปก่อน การมีกฎกติกาที่เป็นที่ยอมรับและเอื้อให้กับการเกิดขึ้นของระบบนิเวศเป็นสิ่งที่ต้องตามมา

  โดยเธอมองว่าในประเทศไทยยังมีคนที่เข้าใจในเรื่องนี้ไม่มาก กลุ่มหนึ่งคือพวกที่นิยมความเสี่ยงเป็นนักเก็งกำไรก็จะไม่สนใจทำความเข้าใจอย่างจริงจังสักเท่าไร กลุ่มหนึ่งมองเรื่องนี้เป็นแชร์ลูกโซ่ เป็นบ่อน ในทางที่ค่อนข้างจะเป็นลบ และอีกกลุ่มคือพวกที่อยากทดลอง อยากจะทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ  ซึ่งผู้กำหนดนโยบายก็จะต้องมองตามเสียงของสังคมที่เรียกร้องในเรื่องนี้ว่าจะเป็นอย่างไร

 

Ecosystem

                 “ถามว่าตอนนี้เกณฑ์ของเราเรื่อง exchange เรามองเป็น 2 พวก พวกหนึ่งคือ ทำแบบ traditional คือเก็บทรัพย์สินลูกค้า ถือให้ลูกค้าในชื่อตัวเอง หรือไม่ถือให้แต่เก็บคีย์ให้ อย่างที่ทำกันหลายที่ แบบนี้เราเรียกว่า Centralize คือเขาเก็บให้ ถ้าแบบนี้เราก็ต้องกลัวว่าเขาจะทำหายหรือเอาไปใช้อะไร ทุกวันนี้เกณฑ์ทั่วไป ด้านโบรกเกอร์คือที่เขาถือให้ลูกค้า แต่เราใช้วิธีว่าเชื่อตัวกลาง เชื่อ TSD  แล้วถือผ่านโบรกเกอร์ ก.ล.ต.ก็เข้าไปกำกับไปตรวจ นี่คือระบบที่ดูตัวกลาง

หรืออีกระบบที่เกิด คือไม่มีตัวกลาง ถ้าเก็บคือไม่เก็บคีย์ให้ เป็นวอลเลตที่ลูกค้าเก็บคีย์เอง หรือ เก็บให้แต่ลูกค้าก็เก็บด้วย เวลาใช้ต้องใช้คู่กัน ถ้าอย่างนี้เราจะเรียกว่า คนที่ทำหน้าที่ตัวกลางไม่ได้มีความสามารถยักย้ายถ่ายเทของของลูกค้าหรือโอนได้ด้วยตัวเองถ้าลูกค้าไม่ได้ทำด้วย อย่างนี้ไม่ต้องกลัวจะถูกแฮก เพราะลูกค้าต้องร่วมมือด้วย แต่ถ้าเป็นอย่างแรก ต้องกลัว ตอนนี้ก็เริ่มมีคนพูดว่าจะทำอย่างที่สอง

ความต่างคือว่า อย่างแรกเขาถือให้ลูกค้าก็เลย KYC ทุกอย่างง่าย แต่อย่างที่สองคือเหมือนกับ ลูกค้าทำหมด อาจจะมองว่า ทางการอาจจะพึ่งพิงยากในการไปรู้ตัวตน แต่เราก็บอกนะว่าคุณต้องทำ แต่อาจจะเกิด Exchange แบบนี้ที่หาตัวคนทำไม่ได้ เพราะ Decentralize ไปหมด แล้วเราก็ไม่รู้จะไปจับใคร นี่คือสิ่งที่เราบอกว่า กฎหมายที่ออกมายังเขียนถึงตัวละครแบบเดิมๆ ที่เป็นตัวกลางเป็นโบรกเกอร์ แต่ยังไม่ได้รองรับกรณีที่หาตัวไม่ได้

คือโลกเรามีตัวกลางให้ลูกค้าพึ่ง ให้ทางการพึ่ง มีอะไรก็สั่งตัวกลาง แล้วทางการก็คุมทุกอย่างผ่านตัวกลาง ข้อเสียคือตัวกลางอาจทำแล้วพัง ไม่น่าไว้ใจ และนั่นคือที่มาที่คนคิดเรื่องคริปโตขึ้นมา เพราะไม่ไว้ใจตัวกลาง อีกโลกเขาถึงออกไปไม่มีตัวกลาง หาวิธีไม่มีตัวกลาง ทำไอย่างไรถึงจะช่วยกันได้ แล้วเราไปทำอะไรไม่ได้ เพราะเราหาตัวกลางไม่เจอ แล้วคุณจะไปทำอะไรกับเขา

                สิ่งที่เราพยายามคือบอกว่า ถ้ามีใครเสนอตัวเป็นตัวกลาง ที่เอาส่วนที่ดีของกลุ่มหลังมาคือความปลอดภัยบางอย่าง แต่ยังช่วยทำงานกับหน่วยงานกำกับดูแลบางอย่าง เราพยายามหาแต่นี่ไม่ใช่จะมีมาง่ายๆ คือถ้าเราไปออกกติกาจนกระทั่งตัวกลางทำแบบนี้ไม่ได้ ก็เลยไม่มี เราต้องพยายามคิดให้ตัวกลางทำแบบนี้เกิดได้แล้วเราจะได้ทำงานกับเขาได้ แต่ถ้าเราไปเขียนจนยากเกินไปเขาไม่ต้องง้อเรา เพราะวิธีที่จะทำแบบนี้ไม่ต้องมีตัวกลางก็ได้ เราจะหาไม่ได้ นี่คือวิธีที่ ก.ล.ต.คิดแบบนี้ คุณต้องพยายามหาตัวกลางเป็นพวกและทำให้เขาสามารถอยู่ได้”

 

ICO คือการเปลี่ยนกลไก

    ทิพยสุดาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่ไอซีโอจะมีต่อสังคมในด้านอื่นนอกจากการระดมทุนว่า “เวลาเรานึกถึง Utitlity Token เรานึกถึงว่า คือการเปลี่ยนกลไกของระบบเศรษฐกิจจากสิ่งที่เรารู้จักมาเป็นร้อยๆ ปี กลไกที่บอกว่า ฉันเป็นนายทุน ฉันระดมทุนมาจากนายทุน แล้วฉันก็ไปสร้างอะไร เอาไปขายแล้วก็กินกำไรแล้วเอาไปให้นายทุน ขณะที่ถ้าเป็นโลกที่สร้างเป็น Utility ขึ้นมา คือกลไกที่สังคมมองดูว่ามีใครที่เกี่ยวข้องแล้วจะดึงมามีส่วนร่วมและให้รางวัล อย่างไรเพื่อให้ยุติธรรม และเอื้อกับการที่ให้เขามาช่วยกันสร้างประโยชน์ คิดว่านี่คือกลไกของ Utility Token ไม่ใช่ Security Token”

   เธอยกตัวอย่างตลาดหลักทรัพย์บนโลกนี้ที่เริ่มเกิดมาเป็นชุมชนของโบรกเกอร์ และต่อมาก็มีการแปลงเป็นบริษัทเพื่อให้มีผู้มีส่วนร่วมรายอื่นเพิ่มขึ้น ในอนาคตก็อาจจะต้องเปลี่ยนรูปแบบจากบริษัทที่มีหน้าที่ต่อผู้ถือหุ้น อาจจะออกมาเป็น Token เพื่อตอบโจทย์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในรูปแบบต่างๆ แทน ทิพยสุดาระบุว่าเป็นการคิดภาพความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตของตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศที่มีจุดกำเนิดมาในลักษณะข้างต้น

 

 

 บทบาท ก.ล.ต.ที่เปลี่ยนไป

                รองเลขาธิการ ก.ล.ต. บอกว่า เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องใหม่ของโลกรวมถึงก.ล.ต. จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายของสำนักงานในทุกด้าน

                “เราอยู่ในโลกที่มี exchange เดียว ชื่อตลาดหลักทรัพย์ที่เกิดก่อนเรา แล้วในโลกหลักทรัพย์เป็นแบบนี้ กติกาถูกเขียนให้ตลาดมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น อยู่ในกฎหมายของเรามาตั้ง 20 กว่าปีแล้ว เวลาเราไปเสนออะไรที่จะแก้สิ่งเหล่านี้คนจะนึกภาพไม่ออก รวมทั้งพวกเรากันเองด้วย เพราะเราชินกับการมีตลาดเดียว  

                แต่ทันทีที่มีกฎหมายนี้ ก็มีคนที่ทำฟังก์ชันแบบนี้ในอีกอย่างเดินเข้ามาแล้วมีหลายคนที่มาพูดกับเรา คือด้านหนึ่งคือนี่แหละคือโอกาสที่ผู้กำกับดูแลจะได้เห็นว่ามีการแข่งขันแล้วเป็นอย่างไร อาจจะดีก็ได้ไม่ดีก็ได้ อาจจะเหนื่อยไปเลยก็ได้ ถ้าสกรีนไม่ดีอาจจะเละไปเลยก็ได้ ก็มีความเสี่ยง แต่ก็มีโอกาส แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกอะไรมาก เหมือนความที่เราไม่คุ้น ไม่เคยคิดอย่างนี้เลย แล้วทุกคนต้องมาทำความเข้าใจว่าระบบของเขาเป็นอย่างไร ความเสี่ยงอยู่ตรงไหน จะอนุญาตหรือไม่เพราะอะไร ซึ่งไม่เคยไม่อนุญาตตลาดเพราะตลาดมีมาก่อนเรา

                ส่วนด้าน Primary นี่ ตลอดทั้งชีวิตก็เรียกว่าพยายามที่จะป้องกันปัญหาเรื่องคนที่ออกหลักทรัพย์จะมาเอาเปรียบหลอกลวงคนอื่น แล้ววิธีก็คือเราดูจากประวัติของเขาว่า เขาดีไหม เขาน่าเชื่อไหม เขาทำอะไรมาบ้าง งบเขาเป็นอย่างไร เราดูจากประวัติจากอดีต นี่คือโลกที่เราคุ้นเคยคือดูอดีต มีมาตรฐานสร้างขึ้นมาเพื่อการดูอดีตโดยเฉพาะ

                จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่โจทย์ใหม่ เป็นตั้งแต่ตอน Crowdfunding แล้วว่า ถ้าไม่มีอดีตให้ดู มีแต่ความคิดคุณจะบอกว่า เพราะคุณไม่มีอดีตคุณเลยไม่ให้เขาหรือ แล้วถ้าเราไม่ให้เพราะเราเป็นห่วงผู้ลงทุน เรากำลังไปตันอะไรหรือไม่ แต่ถ้าเราให้แล้วเราเสี่ยงกับอะไร คนจะเข้าใจไหม เพราะคนก็เคยชินกับการที่เราดูอดีตมาให้  

                แต่คราวนี้เปลี่ยนใหม่เป็นอีกแบบว่า ต่อไปนี้คนที่อยากเข้าถึงทุนมีวิธีการเข้าไปหาคนที่มีเงินทุน ซึ่งกำลังอยากได้ ผลตอบแทนพอดี มีวิธีเข้าหาโดยที่ไม่ต้องง้อใคร แล้วรู้สึกทั้งสองฝ่ายก็พอใจกันด้วย แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยปล่อยไปตามธรรมชาติ ก็คงหลอกกันจนเจ๊งไปเลย เพราะ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ก็หลอกก็เจ๊ง ในที่สุดเครื่องมือนี้ก็จะตายไปเพราะไม่มีใครเชื่อมั่น

                ปีที่แล้วตอนที่เอกชนเดินมาขอให้เรากำกับดูแล เพราะเขากลัวว่าจะหลอกกันจนตายไปเลย แล้วเขาจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไม่ได้ จึงเป็นที่มาว่าอยากจะทำมาตรฐานที่ดี ที่อุตสาหกรรมเป็นคนคิดขึ้นมา นั่นคือแนวคิดเบื้องต้นของเรา แต่ตอนนี้มันก็ล่วงเลยมาถึงเราเป็นคนออกเกณฑ์มาขนาดนี้แล้ว ก็ยังคิดว่าต้องบอกว่า คุณค่าของการกำกับดูแลอยู่ตรงที่ว่าเราสามารถช่วยให้มีกลไกในการแยกระหว่างของจริงกับของเก๊ได้หรือไม่ แต่ของจริงจะเจ๋งหรือไม่เจ๋งก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนกลไกนี้เราใช้ Venture Capital แต่นี่มา Disrupt venture capital”

                รองเลขาธิการ ก.ล.ต.สรุปว่า เรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ผู้เล่นต่างๆ นับว่ามีหมดแล้ว ทั้ง Exchange, Portal ผู้ที่อยากออก ICO โบรกเกอร์ ดีลเลอร์ ทำให้เห็นระบบนิเวศที่เริ่มเกิดขึ้นชัดเจนขึ้น ในส่วนกฎเกณฑ์ที่เดิมไม่มี ทำให้คนทั่วไปไม่มั่นใจ ปัจจุบันก็มีกฎหมายที่ออกมาช่วยสร้างความมั่นใจ ก.ล.ต. เองมีหน้าที่ออกเกณฑ์มารองรับเพื่อให้เมื่อมีคนมาขออนุญาตแล้วสามารถทำธุรกิจได้ โดยเกณฑ์หลักๆ นั้นออกมาแล้ว แต่ยังมีการแก้เติมสิ่งที่ขาดอยู่บ้าง คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังก็น่าจะเห็นภาพของธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

                ขณะที่ก.ล.ต. ก็ต้องเตรียมพร้อมทั้งการเตรียมบุคลากรให้มีความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ ในทุกฝ่าย รวมถึงกำลังคนที่จะมาดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้อง โดยมีการรับพนักงานใหม่ที่มีความรู้ในเรื่องใหม่ๆ เช่น บล็อกเชน คนที่เคยลงทุนในไอซีโอเข้ามาเสริมทัพเพิ่มเติม

 

 จักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ปเปิดเผยผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2561 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 17,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 11,313 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 174 หากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปี 2561 บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ จำนวน 2,364  ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 5,894 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 167 โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท และจ่ายเงินปันผลพิเศษ ในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท รวมเป็นหุ้นละ 6 บาท ในวันที่ 14 กันยายน 2561

 สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561  จักษ์กริช กล่าวว่า ยังคงเดินหน้าสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น ตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยให้ความสำคัญกับธุรกิจไฟฟ้าซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญ และเน้นขยายธุรกิจในต่างประเทศที่มีฐานอยู่แล้วและสามารถขยายตลาดได้อีก รวมทั้งแสวงหาโอกาสขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยการซื้อสินทรัพย์ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว และการพัฒนาโครงการประเภท Greenfield สำหรับการลงทุนในประเทศ บริษัทฯ มีความพร้อมสำหรับการลงทุนตามนโยบายของภาครัฐและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) ที่กำลังปรับปรุงใหม่

 

 

 ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์ใหม่ที่เติบโตกว่า 19 % สูงกว่าที่คาดการณ์เมื่อต้นปี ขณะที่ตลาดมอเตอร์ไซค์ลดลง 2 % จากราคาสินค้าเกษตรที่ยังไม่ขยับตัวขึ้น รถยนต์มือสองเติบโต 5 % จากการมีรถที่มีคุณภาพดีเข้าสู่ตลาดมากขึ้น

จากภาพด้านบนส่งผลให้ตลาดสินเชื่อเติบโตตามไปด้วย โดยกรุงศรี ออโต้มียอดสินเชื่อใหม่อยู่ที่  102,100 ล้านบาท  เติบโต 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์ใหม่เติบโตถึง 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมใน 6 เดือนแรกของปีที่เติบโตทะลุเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้345,000 ล้าน โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 353,000 ล้านบาท รวมทั้งสามารถรักษาอัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้อยู่ในระดับเดียวกับตลาดที่ 1.5%

จากผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ยังมีแนวโน้มที่ดี ทำให้กรุงศรี ออโต้ ปรับเป้าหมายการเติบโตของปี 2561 ในทุกด้าน โดยตั้งเป้ายอดสินเชื่อใหม่ที่ 198,600 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อนหน้า พร้อมเพิ่มเป้ายอดสินเชื่อคงค้างรวมที่ 378,000 ล้านบาท หรือเติบโต 17% ซึ่งจะช่วยรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่ 25 % ไว้ได้อย่างแน่นอน

ไพโรจน์ เล่าถึงกลยุทธ์ที่สนับสนุนการดำเนินงานของกรุงศรี ออโต้ โดยหลักคือ การสร้างความผูกพันกับผู้บริโภค โดยมาจาก 4 องค์ประกอบ คือ การเข้าถึงลูกค้าผ่านการสื่อสารแบบ Always-on โดยใช้เครื่องมือทางออนไลน์ต่างๆ ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับบริษัทได้ 24 ชั่วโมง โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีการเปิดผลิตภัณฑ์ออนไลน์ใหม่อีกด้วย การบริการที่เจาะลึกถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีแรกเน้นที่พนักงานประจำ ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นในกลุ่มอื่นเพิ่มตามมา การมัดใจลูกค้าด้วยข้อเสนอพิเศษ ด้วยการนำเสนอโปรโมชันพิเศษร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเพิ่มพันธมิตรมาร์เก็ตเพลสออนไลน์เพิ่มขึ้น และ การจัดโซนนิ่งสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีความต้องการต่างจากสินเชื่อรถยนต์ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้เพิ่มขึ้น

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click