December 15, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

 

ท่ามกลางโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วรวมถึงความต้องการของผู้บริโภค ฮาร์ลีย์-เดวิดสันประกาศแผนการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อรองรับธุรกิจในสหรัฐฯ พร้อมกระตุ้นการเติบโตของแบรนด์ในระดับสากลเพื่อกระตุ้นการเติบโตที่จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายปี ค.ศ. 2027  ด้วย ด้วยแผนกลยุทธ์ “More Roads to Harley-Davidson” ซึ่งครอบคลุมการดำเนินงานไปจนถึงปี ค.ศ. 2022

กลุ่มสินค้ามอเตอร์ไซค์ระบบไฟฟ้าที่มีน้ำหนักเบาและคล่องตัว กำหนดเปิดตัวในปี ค.ศ. 2022

แมตต์ ลาวาทิช ประธานบริษัทและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน บอกว่าแผนการดำเนินงานนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ประกอบด้วยความเป็นเลิศในการพัฒนาและการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ความนิยมต่อแบรนด์ในระดับสากล และ เครือข่ายผู้จำหน่ายที่กว้างขวาง ฮาร์ลีย์-เดวิดสันจะปฏิวัตินิยามของอิสรภาพแห่งการขับขี่ยานยนต์สองล้อไปอีกขั้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่นักขี่รุ่นใหม่ในอนาคต ซึ่งอาจยังไม่เคยสัมผัสกับความตื่นเต้นเร้าใจในการพุ่งทะยาน ควบคู่ไปกับการรักษากลุ่มนักขี่ที่ภักดีต่อแบรนด์ฮาร์ลีย์-เดวิดสันในปัจจุบัน โดยแผนกลยุทธ์ More Roads to Harley-Davidson เกิดจากการประเมินผ่านมุมมอง ลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง จนออกมาเป็นแผนงาน 3 ด้านประกอบด้วย 

  

Harley-Davidson LiveWire กำหนดเปิดตัวในปี ค.ศ. 2019

ผลิตภัณฑ์ใหม่

เพื่อรุกแข่งขันในตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่และมีอัตราการเติบโตรวดเร็ว ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์มอเตอร์ไซค์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการทั้งในเรื่องระดับราคา แหล่งพลังงาน ความจุเครื่องยนต์ รูปแบบการขับขี่ และตลาดสากล โดยให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ประกอบด้วย

  • ตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ผ่านการพัฒนามอเตอร์ไซค์ประเภททัวริ่งและครูเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้นักขี่ฮาร์ลีย์-เดวิดสันในปัจจุบันรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับมอเตอร์ไซค์และสามารถขับขี่ได้นานยิ่งขึ้น
  • มอเตอร์ไซค์รุ่นกลางขนาด 500 - 1,250 ซีซี ซึ่งจะมีสินค้าที่แตกต่างกัน 3 รูปแบบและความจุเครื่องยนต์ 4 แบบ เริ่มตั้งแต่มอเตอร์ไซค์แบบแอดเวนเจอร์ทัวริ่งรุ่นแรกของบริษัท Harley-Davidson™ Pan America™ (ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน® แพน อเมริกา™) , รุ่น 1250cc Custom (1250 ซีซี คัสตอม) และ รุ่น 975cc Streetfighter (975 ซีซี สตรีทไฟเตอร์) ซึ่งทุกรุ่นวางแผนเปิดตัวในช่วงต้นปี 2020 และจะมีรุ่นอื่น ๆ ทยอยเปิดตัวเพิ่มเติมจนถึงปี ค.ศ. 2022
  • การพัฒนามอเตอร์ไซค์รุ่นความจุเครื่องยนต์ขนาดเล็ก (รุ่น 250 – 500 ซีซี) สำหรับตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ผ่านการจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตในเอเชีย โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแบรนด์ ฮาร์ลีย์-เดวิดสันของลูกค้าและขยายตลาดในอินเดีย หนึ่งในตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีอัตราการเติบโตรวดเร็วมากที่สุดของโลก รวมถึงตลาดประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย
  • ตลาดรถมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้า จะมีการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของฮาร์ลีย์-เดวิดสัน LiveWire (ไลฟ์ไวร์) ซึ่งจะเป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสองล้อหน้ากว้างแบบไม่มีคลัทช์เพื่อการขับขี่ในสไตล์ “บิดและออกตัวทันที” รุ่นแรก ในปี ค.ศ. 2019  และจะมีการเปิดตัวรุ่นอื่น ๆ เพิ่มเติมไปจนถึงปี ค.ศ. 2022 เพื่อเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์มอเตอร์ไซค์ที่มีน้ำหนักเบา ขนาดเล็กและเข้าถึงได้ง่ายให้มากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นนักขี่มอเตอร์ไซค์หน้าใหม่กับการขับขี่รูปแบบใหม่ ๆ ของฮาร์ลีย์-เดวิดสัน

 

Pan America มอเตอร์ไซค์แบบแอดเวนเจอร์ทัวริ่งรุ่นแรกของHarley-Davidson

เพิ่มการเข้าถึงแบรนด์

ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน จะขยายแนวทางการกระจายสินค้าในตลาด และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน ด้วย

  • การสร้างประสบการณ์ผู้บริโภคที่มีส่วนร่วมสูงให้ครอบคลุมช่องทางการค้าปลีกทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยการยกระดับและขยายการดำเนินงานระบบดิจิทัลของบริษัททั่วโลก ผ่านการพัฒนาประสบการณ์บนเว็บไซต์Harley-Davidson.com
  • การจัดตั้งพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซชั้นนำระดับโลก เพื่อขยายการเข้าถึงแบรนด์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน สู่กลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่ที่มีศักยภาพ
  • การกำหนรูปแบบการค้าปลีก ซึ่งรวมถึงหน้าร้านจำหน่ายขนาดเล็กภายในเขตเมืองทั่วโลก เพื่อนำเสนอแบรนด์สู่กลุ่มคนเมืองและเพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์ใหม่ของฮาร์ลีย์-เดวิดสัน รวมถึงขยายการจัดจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายในระดับสากล

 

สตรีทไฟเตอร์ 975 ซีซี คือส่วนหนึ่งของกลุ่มสินค้ามอเตอร์ไซค์รุ่นกลางขนาด 500 - 1,250 ซีซี กำหนดเปิดตัวในปี ค.ศ. 2020

 ผู้จำหน่ายฮาร์ลีย์-เดวิดสัน

  บริษัทจะยกระดับประสิทธิภาพของเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย ช่วยให้ผู้จัดจำหน่ายฮาร์ลีย์-เดวิดสัน สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างความสำเร็จให้แก่ตนเองและฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ไปพร้อมกับการมอบประสบการณ์ผู้บริโภคระดับพรีเมียมของแบรนด์ ให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และฐานลูกค้าที่มีความหลากหลาย แมตต์ ลาวาทิช สรุปว่าแผนงานทั้ง 3 ด้านของบริษัทคือการกำหนดขอบเขตแบรนด์ขึ้นใหม่ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น   

การระดมทุนและการเงิน

นอกจากการสร้างนักขี่หน้าใหม่ บริษัทยังคาดหวังให้แผนกลยุทธ์ More Roads to Harley-Davidson สามารถสร้างมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจมั่นคงและแข็งแกร่ง เพิ่มอัตราผลตอบแทนของกิจการฮาร์ลีย์-เดวิดสัน  มอเตอร์ และทำให้บริษัทสามารถจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้วางแผนด้านทุนทั้งหมดด้วยการลดค่าใช้จ่ายทุกด้านและการจัดสรรการลงทุนและทรัพยากรที่เคยวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงงบลงทุนด้านการดำเนินงานถึงปี ค.ศ. 2022 จากเดิม 450 ล้านดอลลาร์ เป็น 550 ล้านดอลลาร์ และการลงทุนด้วยเงินทุนจนถึงปี ค.ศ. 2022 จาก 225 ล้านดอลลาร์ เป็น 275 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทคาดหวังว่าแผนกลยุทธ์นี้จะสามารถสร้างรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2022 เมื่อเปรียบเทียบกับปี ค.ศ. 2017

 

 อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร KKP เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2561 มียอดการเติบโตของสินเชื่อที่ 10.2% ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการออกมาดีเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีกำไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 3,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากงวดเดียวกันของปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของกลุ่มธุรกิจฯ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดตั้งสายช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า และการยกระดับกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic) และการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ซึ่งทำให้ธนาคารวิเคราะห์จำแนกกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ได้โดยละเอียด และสามารถลดสินเชื่อกลุ่มที่ไม่มีคุณภาพ และขยายสินเชื่อกลุ่มที่ให้ผลกำไรเหมาะสมและมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อ KK SME นอกจากนั้น ยังได้รับแรงสนับสนุนในด้านต้นทุนการเงินจากผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อการลงทุน KKPSS (KK Phatra Smart Settlement) ที่ให้ดอกเบี้ยสูงเหมือนเงินฝากประจำสำหรับลูกค้า Wealth Management ของ บล. ภัทรโดยเฉพาะ ซึ่งนับเป็นการระดมเงินฝากจำนวนมากให้กับธนาคารโดยไม่ต้องใช้ต้นทุนในด้านสาขาและบุคลากรเพิ่มเติม ทั้งนี้ หลังเปิดตัวเพียงเมื่อต้นปี 2561 ปัจจุบันมียอดกว่า 2 หมื่นล้านบาท

 ชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ ให้รายละเอียดผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ของธนาคารเกียรตินาคิน และบริษัทย่อยว่า กลุ่มธุรกิจฯ มีกำไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 3,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากงวดเดียวกันของปี 2560 เป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) (ทุนภัทร) และบริษัทย่อย ได้แก่ บล.ภัทร และ บลจ.ภัทร จำนวน 824 ล้านบาท  มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ  5,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9%จากงวดเดียวกันของปีก่อน  ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ อยู่ที่ 2,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%  และรายได้อื่น 1,160 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 8,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.0 จากงวดเดียวกันของปี 2560 ครึ่งปีแรกสินเชื่อโดยรวมขยายตัวที่ 10.2% โดยสินเชื่อมีการขยายตัวในทุกประเภท รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องที่ 2.8 % จากสิ้นปี 2560 ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมยังคงปรับลดลง ณ สิ้นไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 4.5% ลดลงเมื่อเทียบกับ 5.0% ณ สิ้นปี 2560  ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 16.27% โดยเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ12.72% แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/2561 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 17.35% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 13.80%

  อภินันท์กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า กลุ่มธุรกิจฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนา Business Model ใน 3 ธุรกิจหลัก เพื่อกระจายโครงสร้างรายได้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1. ด้านธุรกิจสินเชื่อยังคงมุ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าที่เลือกแล้วว่ามีอัตราผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง (risk-adjusted return) ที่เหมาะสม หรือสามารถนำไปสู่รายได้ด้านอื่นแก่กลุ่มธุรกิจฯ  อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อลอมบาร์ด สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าขนาดใหญ่หรือบริษัทจดทะเบียน 2. ด้านธุรกิจ Wealth Management จะมุ่งเติบโตทั้งในด้านสินทรัพย์ของลูกค้า และสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการให้บริการของกลุ่มธุรกิจฯ ในกระเป๋าของลูกค้า (share of wallet) โดยขยายผลผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนอย่าง บัญชี KKPSS, หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note), Shark-Fin Note, Daily Range Accrual Note (DRAN), Fund Linked Note ซึ่งจะเป็นทั้งฐานเงินฝากและค่าธรรมเนียมของธนาคารต่อไป ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากมีลูกค้า Wealth Management จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สนใจโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจฯ จึงจะเปิดตัวบริการการลงทุนในต่างประเทศ (Offshore Investment) โดยร่วมกับ Investment Bank และ Asset Management ของต่างประเทศ ประมาณ 10 แห่ง ที่ผ่านการกลั่นกรองโดยทีมวิจัยลูกค้าบุคคล (CIO Office) และนำเสนอต่อลูกค้าแต่ละรายโดยทีมที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Consultant) และทีมที่ปรึกษาวางแผนการลงทุน (Investment Advisor) พร้อมกันนั้น ยังยกระดับสาขาธนาคารให้เป็น Financial Hub หรือศูนย์บริการทางการเงินครบวงจรที่สามารถให้บริการในด้านการลงทุนให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันมี 3 สาขา  คือ เซ็นทรัลเวิลด์ ทองหล่อ และเยาวราช  3. ด้านธุรกิจสินเชื่อบรรษัท ธุรกิจตลาดการเงิน และธุรกิจวานิชธนกิจ ของกลุ่มธุรกิจฯ ยังเติบโตก้าวกระโดดจากการผสานความร่วมมือและบูรณาการอย่างเป็นผลระหว่างบริษัทในกลุ่มธุรกิจฯ ในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนจากสินเชื่อที่เติบโตกว่า 60% และการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้ที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน

 

             สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ประกาศผลประกอบการครึ่งปี 2561 ว่า  ภาพรวมในครึ่งแรกของปี 2561 เอไอเอสมีรายได้รวมเติบโตขึ้น 6.7% จากปีก่อน ขณะที่รายได้หลักจากการให้บริการเพิ่มขึ้น 4.9% จากปีก่อน เป็นผลมาจากทั้งบริการอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือและธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน AIS Fibre โดยปัจจุบันเอไอเอสมีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ 4G คิดเป็นสัดส่วน 54% ของฐานลูกค้าทั้งหมด 40.1 ล้านเลขหมาย ขณะที่การใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นเป็น 8.9 กิกะไบต์ต่อเดือน จาก 4.7 กิกะไบต์ต่อเดือน ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน AIS Fibre มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 623,400 และมีรายได้เพิ่มขึ้น 64% จากปีก่อน และจากการควบคุมต้นทุนและรายได้ที่เติบโตขึ้น ส่งผลให้ในครึ่งแรกของปี 2561 เอไอเอสมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16,042 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.6% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 8,005  ล้านบาท

            ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2561 มีการแข่งขันทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง เอไอเอสจึงพิจารณาปรับคาดการณ์การเติบโตรายได้ของทั้งปี 2561 เป็น 5-7% โดยคงตั้งเป้าอัตรากำไร EBITDA ที่ 45-47% และยังคงแผนการลงทุนเช่นเดิม โดยคาดว่างบลงทุนสำหรับปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 25,000 ล้านบาท

           เอไอเอสยังคงเดินหน้าต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งดิจิทัลแพลตฟอร์มและเครือข่าย NB-IoT ที่ครอบคลุมแล้ว 77 จังหวัด รวมถึงเครือข่าย eMTC ที่จะยกระดับบริการ IoT ไปอีกขั้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าองค์กร และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งเมื่อผสมผสานเข้ากับขีดความสามารถของซีเอส ล็อกอินโฟร์ ที่เชี่ยวชาญการให้บริการลูกค้าองค์กร ที่ขยายศักยภาพของเอไอเอสให้สามารถสร้างสรรค์รูปแบบโซลูชั่นที่หลากหลายได้อย่างต่อเนื่อง

          สมชัยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเอไอเอสร่วมกับภาครัฐและเอกชน อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ซัมซุง และโมไบค์ นำเทคโนโลยี IoT ให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบและครบวงจร เพื่อตอบโจทย์แต่ละอุตสาหกรรมทั้งในระดับผู้บริโภคหรือในระดับองค์กร ส่งผลให้สามารถบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบ Smart Tracking และ Face Recognition เข้ามาช่วยเสริมด้านความปลอดภัย ระบบ Smart Bike และ ระบบ Smart Lightning ช่วยส่งเสริมด้านการประหยัดพลังงาน นำไปสู่การยกระดับเมืองสู่ Smart City เป็นต้น อันเป็นการช่วยเสริมขีดความสามารถของประเทศอย่างยั่งยืน สอดรับนโนบาย Thailand 4.0

 

                หนึ่งในพันธกิจที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธ.ก.ส. คือ “ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร และการให้บริการรวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของลูกค้า” ตามวิสัยทัศน์ที่จะเป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่มั่นคง มีการจัดการที่ทันสมัย ให้บริการทางการเงินครบวงจร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน

                จากพันธกิจดังกล่าว ธ.ก.ส. จึงจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาเพื่อช่วยดูแลเรื่องการบ่มเพาะและพัฒนานวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการเกษตรที่เป็นลูกค้าของธ.ก.ส. ในชื่อ ศูนย์บ่มเพาะและพัฒนานวัตกรรม SMEs เกษตร ที่มี เรืองชัย เจริญกิจสุพัฒน์ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์แห่งนี้ตั้งแต่แรกตั้ง

                เรืองชัยอธิบายที่มาที่ไปของหน่วยงานนี้ว่า ธนาคารต้องการให้ศูนย์แห่งนี้ดูแลและพัฒนาผู้ประกอบการภาคเกษตรกรรม เพราะจากประสบการณ์การทำงานคลุกคลีกับภาคเกษตรมากว่า 50 ปีของธนาคารทำให้เห็นความเป็นไปวงจรต่างๆ ในด้านเกษตรกรรม เช่น สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ เกษตรกรไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตของตนเองได้ ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ธนาคารภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลผู้ประกอบการเพิ่มเติม ธ.ก.ส. จึงปรับบทบาท ด้วยการเพิ่มสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการภาคเกษตรกรรมขึ้นมา โดยมีศูนย์แห่งนี้เป็นแหล่งที่จะช่วยจัดหาองค์ความรู้ ทำหน้าที่เชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อทำให้เกษตรกรเป็นผู้ประกอบการได้

                 ศูนย์นี้เป็นหน่วยงานที่ขับเคลื่อนสถาบันบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs เกษตร แต่ตัวสถาบันไม่ได้มีศูนย์อบรมถาวรด้วยแนวคิดว่า การเรียนรู้สามารถทำได้ทุกที่ และจะเน้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ ตัวสถาบันจึงเป็น Virtual Organization สามารถใช้สถานที่ที่สะดวกเช่น โรงสี แหล่งรวบรวมผลผลิตต่างๆ หรือโรงงาน เป็นที่เรียนรู้ของสถาบันได้

เชื่อมโยงงานวิจัยสู่ภาคเกษตร

                กลไกการสร้างนวัตกรรมให้ผู้ประกอบการ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ บอกว่าเริ่มต้นใช้วิธีการเชื่อมโยงกับองค์กรภายนอก เช่นมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยดูจากกิจกรรมของกลุ่มเกษตรกรว่ากลุ่มใดที่จะต้องพัฒนาเป็นผู้ประกอบการ เช่นยางพาราที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำ ราคารับซื้อถูกกำหนดโดยผู้รับซื้อรายใหญ่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้น้อย

                “เราลงไปพัฒนาโดยร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์โดยทำ MOU ร่วมกัน มีสภาเกษตรกรแห่งชาติด้วย เพื่อเอานวัตกรรมที่อาจารย์วิจัยไว้แล้วมาทำเรื่องแปรรูป เบื้องต้นทำเรื่องแผ่นยางปูพื้น ที่เขานำไปใช้ในสนามฟุตซอลต่างๆ เราไปเริ่มที่เราไปฟื้นสหกรณ์กองทุนสวนยางเดิมที่เขาทิ้งร้างกันแล้ว อย่างที่สตูลมีประมาณ 70 กว่าแห่งเราก็ไปฟื้นมา 29 แห่ง คือเกษตรกรยังใจสู้ ก็รวบรวมน้ำยางจากสมาชิกมาทำยางแผ่น ลงขันจากสมาชิกตั้งเป็นโรงงานชุมนุมสหกรณ์สวนยาง จ.สตูล เพื่อผลิตยางปูพื้นฟุตซอล เป็นจุดเริ่มต้นจากตรงนั้น”

                เหตุที่เริ่มด้วยยางพื้นสนามฟุตซอล เรืองชัยให้เหตุผลว่า เพราะต้องใช้เนื้อยางค่อนข้างมาก และที่สำคัญคือผลผลิตที่ออกมาคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ และในบางด้านของที่ผลิตในประเทศดีกว่าเช่นเรื่องความทนทาน  ขณะที่ราคาขายต่อตารางเมตรก็ต่ำกว่านำเข้าจากต่างประเทศ

                เรืองชัยสรุปว่า นี่คือตัวอย่างของการเชื่อมโยงเกษตรกรกับนักวิชาการที่มีงานวิจัยที่สามารถทำเป็นผลผลิต พัฒนากลายเป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าผลผลิตที่ออกมาของเกษตรกร ขณะที่ ธ.ก.ส. ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงและสนับสนุนสินเชื่อเพื่อผลักดันให้เกษตรกรเป็นผู้ประกอบการ

                ตัวอย่างการนำงานวิจัยมาใช้อีกเรื่องของยางพารา คือ น้ำยางข้น ซึ่งในอดีตเราต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันกลุ่มเกษตรกรสามารถผลิตน้ำยางข้นเองได้ โดยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัย ด้วยการใช้สารละลายใส่ไปผสมกับน้ำยางสด ทำให้น้ำยางแยกชั้นออกมา ซึ่งจะได้น้ำยางสดที่สามารถนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เช่น หมอน ที่นอนยางพาราออกมาจำหน่ายเพิ่มมูลค่าได้ แต่หากต้องการปริมาณเนื้อยางที่มากกว่าที่เทคนิคนี้จะทำได้ก็ต้องไปซื้อเครื่องจักรที่มีราคาสูงมาก

 

การเพิ่มมูลค่า

ตัวอย่างการเพิ่มมูลค่าราคาจากแผ่นรองพื้นยางพาราน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัมต่อแผ่น จากน้ำยางสด 1 กิโลกรัมนำมาทำเป็นน้ำยางข้นได้ประมาณ 600 กรัม คิดราคาน้ำยางข้น 55-60 บาทต่อกิโลกรัม รวมค่าแรงแล้วต้นทุนประมาณ 500-600 บาท สามารถนำมาจำหน่ายได้ราคาประมาณ 1,000 บาท และเก็บไว้ได้นานกว่าผลผลิตสดจากสวนยางพารา

                อีกงานหนึ่งจากการวิจัยที่มาช่วยผลผลิตยางพารา คืองานวิจัยที่พบว่าหากให้โคนมยืนอยู่บนพื้นซิเมนต์นานๆ กีบเท้าที่ชื้นจะทำให้เกิดโรคเท้าเปื่อย และเมื่อเวลาวัวทรุดลงไปนั่งขาอาจจะกระแทกซิเมนต์ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ แต่หากนำแผ่นยางไปทำแท่นยืนให้กับโคนม จะช่วยลดปัญหาทั้งสองเรื่องข้างต้น และช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำนมได้อีก 20 เปอร์เซ็นต์

                ซึ่งเดิมแผ่นยางรองพื้นสำหรับโคนม ประเทศไทยนำเข้าจากประเทศจีนราคาประมาณ 2,500 บาท แต่เมื่อมาให้สหกรณ์สวนยางผลิตออกมาสามารถทำได้ในราคาประมาณ 1,500 บาท เป็นการช่วยสหกรณ์สวนยางพาราได้มูลค่าเพิ่มจากยางที่ผลิตได้ ขณะที่สหกรณ์โคนมลดต้นทุนที่ต้องจ่ายไป จากงานวิจัยที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย

 

หนุนเกษตรกรทำโรงสี

เรืองชัยบอกว่าสำหรับข้าวจากการสำรวจพบว่าปัญหาคือ เมื่อชาวนาผลิตข้าวออกมาต้องนำไปขายให้กับโรงสีที่มีอยู่จำนวนไม่มากในแต่ละจังหวัด การแก้ปัญหาคือการให้เกษตรกรตั้งกลุ่มทำโรงสีขนาดเล็กสีข้าวเปลือกเป็นข้าวสารเพื่อจำหน่าย ทำให้กลุ่มเกษตรกรสามารถกำหนดราคาข้าวสารที่เป็นอาหารที่ทุกคนรับประทานเป็นประจำอยู่แล้วได้เอง

 ธ.ก.ส. ช่วยเกษตรกรด้วยการนำนักวิชาการไปช่วยดูกระบวนการสีข้าวให้มีประสิทธิภาพ และการให้สินเชื่อเพื่อประกอบการธุรกิจโรงสี

 “  กระบวนการสีอาจารย์วิจัยมาว่า ต้องสีเป็นข้าวกล้องก่อน แล้วพักให้เย็นค่อยขัดขาวจะทำให้ข้าวเต็มเม็ดจำนวนมากกว่า เราต้องเอาความรู้นี้ไปบอกต่อเกษตรกร เอาอาจารย์ไปสอน เราไปดูงานวิจัยของอาจารย์ที่เกี่ยวกับเรื่องของเรา งานเราอยู่ตรงนี้” เรืองชัยกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการช่วยทำการตลาดผ่านบริษัทไทยธุรกิจเกษตร (TEPCO) ที่มาช่วยชาวนาจำหน่ายข้าวผ่านช่องทางต่างๆ อีกด้วย

 

สร้างผู้ประกอบการ

                การจะเป็นผู้ประกอบการนอกจากมีผลิตภัณฑ์และตลาดแล้วการจัดการธุรกิจเป็นอีกด้านหนึ่งที่ศูนย์ฯ เข้าไปช่วยสนับสนุน เช่นเรื่องระบบบัญชีภาษีอาการและการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และจะส่งผลดีต่อตัวผู้ประกอบการเอง

                ที่ศูนย์ มีการเชิญลูกค้าของธนาคารเข้ามาอบรมเรื่องการทำบัญชีภาษีอากร โดยตั้งหัวข้อว่า ‘ทำอย่างไรจึงจะเสียภาษีน้อยที่สุด’ “เราบอกว่าถ้าคุณเข้ามาจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเสียภาษีน้อยที่สุด แต่เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายนะ ยกตัวอย่างเช่น VAT ปกติถ้าไม่จด เวลาเราซื้อของมามี VAT เราไม่สามารถเคลมคืนได้ แต่ถ้าเราจดเมื่อไร เราซื้อของมาผลิตต่อมี VAT เราสามารถไปเคลมคืนได้ในเดือนถัดไป ขณะเดียวกันของที่เราขายเราก็บวก VAT ก็เท่ากับ VAT เราถูกหักด้วย VAT ที่เราซื้ออยู่แล้ว  และยังมีเรื่องการลดหย่อนหลายตัวที่เขาไม่รู้ เช่นวัตถุดิบการเกษตรไม่ต้องเสีย VAT  ถ้ารู้ก็สามารถนำไปใช้ได้ “

                อีกเรื่องที่ศูนย์แห่งนี้ทำคือการเข้าไปช่วยเกษตรกรให้คิดราคาสินค้าให้เหมาะสม ไม่แพงจนไม่มีคนกล้าซื้อหรือถูกจนขาดทุน

                เรืองชัยอธิบายว่า “คุณต้องคิดต้นทุนให้เป็น อยากได้กำไรเท่าไรถึงจะคุ้ม ต้นทุนต้องบวกค่าแรง ค่าเสื่อมราคา ค่าเสียโอกาส เราสอนวิธีเขา คำนวณต้นทุนให้เป็น เขาก็จะสามารถกำหนดราคาได้สมเหตุสมผล ราคาก็จะไม่แพงกว่าทั่วไป”

                เขายกตัวอย่างหมอนยางพาราที่ในช่วงแรกที่ผลิตออกมากำหนดราคาขายใบละมากกว่า1,000 บาท แต่เมื่อนำมาคำนวณต้นทุนแล้วพบกว่าราคาที่กำหนดนั้นสูงเกินไป ทำให้สินค้าขายยาก กลายเป็นปัญหาสต็อกสินค้าล้น ปัจจุบันราคาหมอนยางพาราจึงลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 600 บาท ทำให้ขายได้ง่ายขึ้น

 

เพิ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์

ประเทศไทยนำเข้าเมล็ดพันธุ์ปีหนึ่งหลายพันล้านบาท การส่งเสริมให้เกษตรกรรุ่นใหม่เป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์จึงเป็นอีกโครงการที่ศูนย์แห่งนี้ทำร่วมกับ สวทช. ที่มีโครงการบ่มเพาะนักศึกษาด้านเกษตรให้ทำเมล็ดพันธุ์ โดยปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 20 คน กระจายอยู่ทั่วประเทศ

เรืองชัยอธิบายเรื่องมูลค่าเพิ่มของเมล็ดพันธ์ว่า “ตัวอย่างแตงเราขายผลสดออกจากไร่ประมาณ 10-15 บาท แต่เอามาทำเมล็ดพันธุ์ ต้นทุนต่อกิโลกรัมจะอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาทแต่ขายได้ 2,000-3,000 บาทใช้เวลา 3 เดือน   ความจริงพ่อแม่เขาก็เป็นเกษตรกรอยู่แล้ว ก็แบ่งพื้นที่มาไร่สองไร่ ใช้ความละเอียด และความรู้ ต้องดูคุณภาพ ดอกอย่างไรถึงว่าสมบูรณ์ เป็นงานละเอียดมาก นี่คือเรื่องหนึ่งที่เรามองว่าจะทดแทนการนำเข้า สวทช.เขาดูแลอยู่แล้ว แต่เราก็เข้าไปดูเรื่องเงินทุนหมุนเวียน เราก็ส่งต่อให้ฝ่ายที่ให้สินเชื่อ เราก็อธิบายให้สินเชื่อฟังว่ากระบวนการเป็นอย่างนี้”


ช่วยปรับวิธีคิดการขายผลผลิต

                อีกผลผลิตที่ศูนย์แห่งนี้เข้าไปช่วยทำให้เกษตรกรได้รับราคาผลผลิตดีขึ้นคือทุเรียน วิธีการที่ใช้ดูไม่ซับซ้อนแต่เป็นวิธีที่สามารถทำได้จริง

                ราคาทุเรียนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว อยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 35-40 บาท แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 130-180 บาท มาจากการไปพัฒนาเรื่องการแปรรูปทุเรียนสดให้เป็นทุเรียนแช่เย็นและทุเรียนฟรีซดรายที่ได้ราคาดีกว่า เมื่อเทียบกับต้นทุนที่ต้องจ่ายไป “เอาความรู้ไปให้คิดว่า ทุเรียนหนึ่งกิโลจะได้เนื้อประมาณ 2 .5 ขีด ถ้ากิโลละ 60 บาท 4กิโลของทุเรียนทั้งเปลือกจะได้เนื้อ 1 กิโล 4 กิโลก็ 240 บาท ค่าฟรีซ 1 กิโลต่อเดือน 1 บาท โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 5 เดือน ค่าแรงการแกะกิโลละไม่เกิน 3 บาท เบ็ดเสร็จเนื้อทุเรียนแช่แข็งต้นทุนจะอยู่ประมาณ 250-260 บาท แต่ราคาเนื้อทุเรียนแช่แข็งส่งออกประมาณ 600 บาท เราไปสอนเขาคิดอย่างนี้ เกษตรกรเขารู้แล้ว ดังนั้นพวกตกเกรดทั้งหลายเขาไม่เอามาขายให้คนกิน แกะแช่ฟรีซให้หมด ไปสอนให้เขาคิด อย่างอื่นมีอยู่แล้ว สอนหลักการจัดการเท่านั้น ตกเกรดก็ไม่ต้องขายถูก”  

                 อีกด้านหนึ่งคือการพัฒนาล้งรับซื้อทุเรียนเพื่อส่งขายไปยังประเทศจีนโดยตรง ธ.ก.ส. ใช้วิธีเลือกวิสาหกิจชุมชนที่มีความเข้มแข็งมาพัฒนาเป็นล้งรวบรวมทุเรียนคุณภาพเพื่อส่งออก โดยการประสานฝ่ายผู้ซื้อในต่างประเทศ และให้กลุ่มเปลี่ยนกลไกการรวบรวมแทนที่จะส่งให้กับล้งที่มีอยู่เดิม ซึ่งอาจจะไม่ได้ราคาที่ดี

                ทุเรียนจึงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง

 

แปรรูปโคเนื้อ

ธ.ก.ส.มีสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคเนื้อเป็นลูกค้าอยู่หลายแห่ง โดยมี 9 แห่งที่มีความเข้มแข็ง มีโรงเชือดมาตรฐาน แต่ยังประสบปัญหาคือ เนื้อเกรดรองยังจำหน่ายได้ไม่มาก ศูนย์จึงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญไปช่วยวางระบบ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าให้กับสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคได้

เรืองชัยเล่าเรื่องนี้ว่า “เดิมเขาทำคือเชือดเสร็จ ก็จะเอาครึ่งซีกเข้าห้องเย็นซึ่งไม่มีประโยชน์ไปบ่มเนื้อ 100 เปอร์เซ็นต์ ใช้จริงคือพรีเมียม 20 เปอร์เซ็นต์ เราจึงเอาทีมงานอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องโคขุนไปวางระบบให้ ว่าเนื้อรองควรตัดมาก่อน เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์จึงเอาไปฟรีซ เนื้อรองก็เอามาทำลูกชิ้น และเนื้อเสียบไม้ บาบีคิว ซึ่งขายดีมาก”

และทางธ.ก.ส.ก็เชิญผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่มาพูดคุยธุรกิจกับสหกรณ์ทั้ง 9 แห่ง เพื่อนำเนื้อที่ตัดแต่งแล้วไปวางจำหน่าย

นอกจากนี้ยังมีอีกงานหนึ่งที่ผอ.ศูนย์แห่งนี้มองว่าต้องทำต่อเนื่องคืออาหารที่ใช้เลี้ยงโค ซึ่งประเทศไทยก็เป็นผู้ผลิตพืชที่หลากหลาย เช่นข้าวโพด มันสำปะหลังจะต้องนำกลุ่มเกษตรกรกลุ่มต่างๆ มาเชื่อมโยงกันมากขึ้น เป็นหน้าที่ในการเชื่อมโยงตลาดให้กับผู้ประกอบการเกษตรกร

ศูนย์บ่มเพาะและพัฒนานวัตกรรม SMEs เกษตร

                เรืองชัย สรุปว่าหน้าที่ของศูนย์แห่งนี้คือการประสานกับหน่วยงานที่มีองค์ความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานราชการในกระทรวงต่างๆ เพื่อนำความรู้ไปให้เกษตรกร “เราคือหลักสูตรอบรม  มีผลิตภัณฑ์แล้วต้องทำให้ขายได้”

                ศูนย์แห่งนี้มีหลักสูตรอบรม 3 หลักสูตรประกอบด้วย

                หลักสูตรพื้นฐาน เรียนรู้เรื่องการสร้างทัศนคติ ให้เป็นผู้ประกอบการ การบัญชีเบื้องต้น  การวางแผนธุรกิจ การจัดการทางการเงิน การวางแผนการเงิน  หลักสูตรนี้ทำร่วมกับสำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สสว. เป็นการบูรณาการร่วมกัน

                 หลักสูตรเฉพาะ เป็นหลักสูตรตามผลิตภัณฑ์เช่นถ้าทำเรื่องข้าว ก็จะเป็นเรื่องโรงสี การเพิ่มคุณภาพข้าว แปรรูปข้าว หลักสูตรนี้จะทำร่วมกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด

                หลักสูตรเชิงลึก คือ ดูหลังผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้วจะทำตลาดอย่างไร การแก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆ เชื่อมโยงด้านการตลาดอย่างไร   โดยหน่วยงานต่างๆ ในธ.ก.ส. จะทำหน้าที่เหมือนกับพี่เลี้ยงให้กับผู้ประกอบการ

                ทั้งนี้เป้าหมายของศูนย์แห่งนี้ที่ธ.ก.ส. วางไว้คือการเป็นสถาบันที่เป็นที่ปรึกษาและแก้ปัญหาในด้านการรวบรวม การแปรรูป และการตลาด ให้เกษตรกร และยังมีโครงการอีกมากทั้งการทำโรงเรือนอัจฉริยะ สำหรับเพาะปลูกพืชชนิดต่างๆ การพัฒนาบัณฑิตใหม่ให้เป็นผู้ประกอบการด้านเกษตร การสร้าง Young Smart Farmer ที่จะจัดเป็นเหมือนการประกวดแข่งขันแนวคิดนวัตกรรมด้านเกษตรของผู้ประกอบการรุ่นใหม่

 

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) รายงานโดยคาดมูลค่าการส่งออกทั้งปี 2561 จะขยายตัวที่ 8.5 % โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวและราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าของไทยในระยะต่อไปมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง หลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมของโลกเติบโตช้าลงสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI) ที่ชะลอลงตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาและลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนที่ 53.0 ในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงสงครามการค้าที่ต้องจับตาในกรณีที่มีมาตรการและการตอบโต้ออกมามากขึ้น แม้ในปัจจุบันผลต่อการส่งออกไทยในปี 2018 ยังมีค่อนข้างจำกัด

ขณะที่มูลค่าการนำเข้าทั้งปี 2561 EIC ประเมินไว้ว่าจะขยายตัวที่ 13.5 % โดยเติบโตตามความต้องการสินค้าวัตถุดิบและสินค้าทุน ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวตามการส่งออก การลงทุนในประเทศทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงหลังจากนี้ ประกอบกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งอีไอซีประเมินว่าการเพิ่มสูงขึ้นของมูลค่าการนำเข้าน้ำมันในปีนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีสะพัดมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม อีไอซีคาดว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 2018 ยังอยู่ในระดับสูงที่ราว 8% ต่อ GDP ซึ่งสะท้อนถึงเสถียรภาพระหว่างประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี

ทั้งนี้ตัวเลขการส่งออกไทยในเดือนมิ.ย. ขยายตัวต่อเนื่องที่ 8.2% YOY โดยสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ  น้ำมันสำเร็จรูป และเคมีภัณฑ์และพลาสติก ที่เติบโต 23.5%YOY และ 13.6%YOY ตามลำดับ สินค้าอุตสาหกรรมหลักยังคงเติบโตได้ดี ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ 12.0%YOY และ 7.4%YOY ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม การส่งออกยางพารายังคงหดตัว 10.4%YOY จากราคาตลาดโลกที่ตกต่ำ การส่งออกอุปกรณ์กึ่งตัวนำ (แผงโซลาร์) โดยรวมลดลง 21.8%YOY สาเหตุสำคัญมาจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (safeguard tariff) ซึ่งส่งผลให้การส่งออกอุปกรณ์กึ่งตัวนำไปยังสหรัฐฯ หดตัวที่ 84.6%YOY อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ของสินค้าอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องซักผ้า เครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ยังขยายตัวได้ที่ 4.7%YOY และ 24.9%YOY ตามลำดับ เนื่องจากราคารวมอัตราภาษีดังกล่าวของสินค้าส่งออกไทยยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ประกอบกับผู้ผลิตเหล็กบางรายได้รับการยกเว้นภาษีจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวในภาพรวมยังขยายตัวอยู่ที่ 5.0%YOY และ 21.4%YOY ตามลำดับ ทั้งนี้ การส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2018 เติบโตที่ 11.0%YOY

ด้านมูลค่าการนำเข้าเดือนมิ.ย. ยังเติบโตต่อเนื่องที่ 10.8% YOY จากการนำเข้าสินค้าในกลุ่มสินค้าเชื้อเพลิงที่เติบโตกว่า 49.9%YOY ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ด้านการนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยังขยายตัวที่ 23.1%YOY ตามแนวโน้มการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่มดังกล่าว ขณะที่การนำเข้าสินค้าทุน (ไม่รวมเครื่องบินและเรือ) ขยายตัว 15.2%YOY ทั้งนี้ การนำเข้าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2018 เติบโตที่ 15.6%YOY

 

ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซล  (TCELS)  เปิดเวทีปั้น Startup ดาวรุ่งตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพ  ผ่านงาน “THAILAND LIFE SCIENCES STARTUP 2018”

ดร.พัชราภรณ์  วงษา  รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการลงทุนหรือ TCELS  เปิดเผยว่า  TCELS เริ่มดำเนินโครงการในการสนับสนุนและส่งเสริม Startup ตั้งแต่ปี 2560 จากโครงการ “Mini Life Sciences Mentorship Program”  และได้ขยายแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องมาเป็น “TCELS Life Sciences and MedTech Acceleration Program” โดยมีความร่วมมือจากพันธมิตรภาคธุรกิจและการเงิน ในการบ่มเพาะ พัฒนาระบบ และการร่วมลงทุน (Investment) ในบริษัท Startup โครงการเพื่อให้สามารถก้าวผ่าน Early และ Middle Stage สู่การขยายตลาด

โครงการนี้เข้าสู่ปีที่3  TCELS ร่วมมือกับ MassChallenge สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ Startup และให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจแก่บริษัทต่างๆ ที่มีนวัตกรรมให้สามารถก้าวสู่เวทีระดับโลก จัดโครงการ Mentor and Startup Bootcamp เพื่อสร้างเครือข่าย Mentor ด้านชีววิทยาศาสตร์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย พร้อมปั้น Startup ดาวรุ่งในการพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพ ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และการขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ (Medical Hub)

จากการเปิดรับสมัครเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีทีมสมัครทั้งสิ้น 42 ทีม ผ่านการคัดเลือก 20 ทีมเพื่อเข้ารับการฝึกอบรมและพัฒนาขีดความสามารถในการทำธุรกิจ พร้อมเข้า Pitching คัดเลือกทีมที่ได้คะแนนสูงสุดจำนวน 10 ทีม  เพื่อรับการสนับสนุน Seed Funding ทีมละ 200,000 บาท  โดย 7 ทีม ที่มีคะแนนสูงสุดจะได้รับสิทธิ์การอบรมออนไลน์เชิงลึกเพื่อขยายตลาดไปยังต่างประเทศจาก  MassChallenge

ผลการตัดสินของคณะกรรมการ 10 ทีมที่ได้คะแนนสูงสุด อันดับ 1-7 ที่จะได้รับเงินทุนและการอบรมออนไลน์จาก MassChallenge ประกอบด้วย ACNOC ผลิตภัรฑ์ดูแลสิวจากเปลือกมังคุด, D and N Research  ผลิตภัณฑ์เคลือบหลุมร่องฟัน และวัสดุรองพื้นฟัน, KINN Worldswide ทำการตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยจากธรรมชาติ, Never Ever Fall อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันการตกเตียง, Scubie น้ำผลไม้ปั่นที่ไม่ต้องปั่น, Step Sole-Lution ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดอาการเมื่อยล้าหลังจากวิ่ง, The Possible ครีมนาโนช่วยลดอาการปวดเมื่อย

และอีก3 ทีมที่ได้เงินทุน 200,000 บาท คือ Med-Asa แอปพลิเคชันที่รวบรวมงานจิตอาสา, Mee Poom Dee อาหารเด็กช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันภูมิแพ้, Mud Mue Chok ผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรไทย ผลิตโดยนาโนเทคโนโลยี

กฤติยา ศรีสนิท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงศรี ออโต้ สามารถรักษาการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มสินเชื่อรถจักรยานยนต์ได้อย่างต่อเนื่องในครึ่งปีแรก 2561 โดยมียอดสินเชื่อใหม่สินเชื่อรถจักรยานยนต์ รถบิ๊กไบค์ และรถบิ๊กไบค์ มือสอง รวมอยู่ที่ 8,900 ล้านบาท หรือเติบโตถึง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสวนทางกับยอดขายรถจักรยานยนต์และตลาดสินเชื่อรถจักรยานยนต์ที่หดตัว 2%

เบื้องหลังการรักษาอัตราการเติบโตมาจากกลยุทธ์ 3 ด้านที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยออกมาว่าประกอบด้วย การขยายพื้นที่บริการดีลเลอร์ในเชิงราบและเชิงลึก เพื่อเจาะตลาดที่มีศักยภาพ ผ่านสาขาของกรุงศรี ออโต้ 51 แห่งทั่วประเทศ และการปรับระบบโซนนิ่งเชิงกลยุทธ์โดยเพิ่มกำลังคนในการให้บริการดีลเลอร์ในแต่ละพื้นที่ และเพิ่มจำนวนโซนเพื่อลดปริมาณพื้นที่ที่พนักงานต้องดูแลลง ส่งผลให้บริการรวดเร็วขึ้น

 สร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มผู้บริโภค ด้วยการเปิดช่องทางบริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ช่วยให้บริการลูกค้าได้ตามความต้องการ และรุกให้บริการในงานมหกรรมยานยนต์ทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ได้ง่ายขึ้น รวมถึงออกแบบแคมเปญสื่อสารการตลาดออนไลน์เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มรถบิ๊กไบค์

 พัฒนาผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพบริการ  ผ่านการทำความเข้าใจลูกค้า ดีลเลอร์ และตลาด เพื่อให้สามารถออกแบบข้อเสนอที่ตอบโจทย์ทั้งดีลเลอร์และผู้บริโภคซึ่งมีความต้องการแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ รวมถึงใช้เทคโนโลยีเช่นแท็บเล็ตเพื่อให้บริการที่ฉับไวยิ่งขึ้น

 กฤติยามองว่าโอกาสเติบโตของตลาดสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ยังมีอยู่ตามต่างจังหวัดที่ยังมีดีลเลอร์ปล่อยสินเชื่อเองอยู่ โดยกรุงศรี ออโต จะสามารถนำเอาความชำนาญด้านการปล่อยสินเชื่อไปสนับสนุนให้ดีลเลอร์สามารถมุ่งมั่นกับงานขายที่ถนัดได้  

 

การทำธุรกิจสื่อสารมวลชนในยุคอินเทอร์เน็ตและ4G เป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารองค์กร เพราะด้วยเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในอัตราเร่ง สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เสพข่าวสารข้อมูลข่าวสารไปได้อย่างรวดเร็ว

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัด“KTC FIT Talks”  แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจในหัวข้อ“รู้เท่าทันความเสี่ยงในการชำระทางอิเล็คทรอนิคส์และออนไลน์” โดยมีผู้บริหารของบริษัทมาร่วมแบ่งปันข้อมูลความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในการชำระเงิน และข้อควรระวังในการทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางต่างๆ

เพราะในระบบบัตรเครดิตผู้มีส่วนเกี่ยวข้องประกอบด้วย ผู้บริโภค ธนาคารผู้ออกบัตร ร้านค้า  ธนาคารผู้รับบัตร และ Card Brands ที่มีอยู่ไม่กี่รายบนโลก และการฉ้อโกงสามารถทำได้ตั้งแต่การขออนุมัติบัตร การขโมย การก็อปปี้ข้อมูลบนบัตร การใช้มัลแวร์แฮกข้อมูล การได้รับรู้โอกาสความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในช่องทางต่างๆ  การทำความเข้าใจและเรียนรู้เรื่องนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคและร้านค้าสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ได้ MBA สรุปภัยต่างๆ ที่ KTC รวบรวมมาดังนี้

Counterfeit Card

  • ข้อมูลแถบแม่เหล็กถูกก็อปปี้ผ่าน Skimmer ไปทำบัตรปลอมเพื่อใช้ในต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยเปลี่ยนมาใช้บัตรแบบชิปการ์ดแล้ว
  • รหัส ATM ถูกก็อปปี้ไปด้วย โดยนำไปใช้ในต่างประเทศ
  • ข้อมูลการรับบัตรของร้านค้ามีมัลแวร์ และถูกนำไปผลิตบัตรปลอมในต่างประเทศ

Lost / Stolen

  • คนใกล้ตัวนำบัตรไปใช้แล้วนำมาคืน
  • ถูกขโมยไปใช้ ตามสถานที่ต่างๆ เช่นทิ้งไว้ในรถ ลืมที่ร้านค้า ถูกล้วงกระเป๋า
  • มีการจดรหัสไว้หลังบัตร

Account Take Over (OTA)

  • คนร้ายติดต่อเข้าไปเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เป็นของตัวเองเพื่อรับ OTP ซื้อสินค้าออนไลน์
  • คนร้ายติดต่อเข้าไปเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เป็นของตัวเองเพื่อไปทำ Provision ใน E-wallet หรือ Samsung Pay
  • คนใกล้ตัวที่รู้ข้อมูลส่วนตัว คนที่เข้าถึงโทรศัพท์มือถือของผู้ถือบัตร เปิดบัตรและนำบัตรไปใช้

E-Commerce Fraud

  • คนใกล้ตัวเข้าถึงข้อมูลบัตรเครดิตเป็นผู้ทำรายการ
  • เจ้าหน้าที่แคชเชียร์จดข้อมูลหน้าบัตรและหลังบัตรไปทำรายการ E-Commerce
  • E-mail หลอกลวงให้อัพเดทกรอกข้อมูลบัตรเครดิตทั้งในรูปแบบเว็บไซต์ปลอม การใช้รางวัลมาล่อ แล้วนำไปใช้ทำรายการ
  • เข้าไปซื้อสินค้าในเว็บไซต์ที่เสนอราคาต่ำผิดปกติ โดยสุดท้ายได้รับของปลอมหรือไม่มีการจัดส่ง
  • ระบบฐานข้อมูลร้านค้าถูกแฮกทำให้ได้ข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าไป
  • คนร้ายติดต่อหลอกขอข้อมูลผู้ถือบัตรและ OTP เพื่อนำไปทำรายการ

Fake QU

  • Malicious QR คือ QR ที่ฝังมัลแวร์เอาไว้ เมื่อสแกนจะทำให้โทรศัพท์มือถือติดมัลแวร์
  • Fake QR คือ QR ปลอมที่คนร้ายสร้างขึ้นเพื่อแทนที่ QR Code ของร้านค้า ทำให้รายการชำระเงินถูกโอนไปยังคนร้ายแทน

จะเลี่ยงมัลแวร์ได้อย่างไร

  • ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ และหมั่นอัปเดตเสมอ
  • เปิดใช้งานกำหนดเวลาให้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสสแกนล่วงหน้า
  • หมั่นอัพเดทระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือ
  • ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงไม่ซ้ำกัน
  • เก็บข้อมูลส่วนตัวในที่ปลอดภัย
  • ไม่ใช้งาน Wi-Fi สาธารณะ
  • คิดก่อนคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ต่างๆ

จะเลี่ยง Phishing ได้อย่างไร

  • ระวังเสมอเมื่ออยู่บนอินเทอร์เน็ต
  • ระมัดระวังในการแสดงตัวตนบนโลกออนไลน์
  • ตรวจสอบลิงก์ที่กำลังเปิดใช้งานว่ามีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยหรือไม่
  • ไม่คลิกลิงค์ที่ไม่มั่นใจว่าปลอดภัย
  • ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงไม่ซ้ำกัน
  • อัพเดทซอฟต์แวร์เสมอ

การป้องกันความเสี่ยงจาก QR Code

  • ตรวจสอบความเรียบร้อยของ QR Code ว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อย
  • ตรวจสอบความถูกต้องของ QR Code และส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ภาพ โลโก้ การสะกดคำต่างๆ มีความถูกต้อง
  • ใช้ Scanner ที่มีฟังก์ชันเตือนให้ทราบว่าเป็น QR Code ปลอมหรือไม่ ดูลิงก์ปลายทางที่ไป
  • ระมัดระวังในการสแกน QR Code ตามที่สาธารณะต่างๆ

 

 

Circular economy คือแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการของเสียที่บริโภคแล้ว วัตถุดิบ สินค้าที่หมดอายุ และพลังงาน ให้ถูกนำกลับไปเป็นทรัพยากรที่หมุนเวียนอยู่ในระบบด้วยกระบวนการที่เหมาะสม โดยนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ (Re-process) ผ่านการออกแบบใหม่ (Re-design) การสร้างคุณค่าใหม่ (Added value) การสร้างนวัตกรรมใหม่ (Innovation) การสร้างความร่วมมือ (Collaboration) เพิ่มขึ้น ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และการใช้ซ้ำ (Reuse) ซึ่งจะช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรใหม่น้อยที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุด ลดปริมาณขยะจากการนำกลับเข้ามาสู่วงจรการผลิตได้ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ยังมีคุณภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน จึงถือเป็นการสร้างคุณค่าที่ดีขึ้นและสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม รวมถึงธุรกิจ

การจัดงานปีที่ 5 เอสซีจี เลือกหัวข้องานสัมมนา “SD Symposium 2018” ภายใต้แนวคิด “Circular Economy : The Future We Create” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็นให้มีประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่กระบวนการผลิต การบริโภค ไปจนถึงการนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบ เพื่อการเติบโตอย่างสมดุลของธุรกิจ คุณภาพชีวิต และโลกที่ยั่งยืน

 

Peter Bakker

 

ประธานและซีอีโอ  World Business Council for Sustainable Development (WBCSD) กล่าวว่า แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนถือเป็นนวัตกรรม (Circular Innovation) ที่ปฏิวัติรูปแบบการผลิตและบริโภคครั้งใหญ่ของโลก ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกมีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการทำให้แนวคิดนี้แพร่หลายในวงการธุรกิจได้ จะต้องเริ่มจากจิตสำนึกของผู้บริหารและคนในองค์กรที่ต้องการขับเคลื่อน ขณะเดียวกันทุกภาคส่วนก็ต้องตระหนักถึงปัญหาและร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลก

อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะมีทั้งความต้องการพัฒนาประเทศ การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน อีกทั้งเป็นแหล่งผลิตที่รองรับความต้องการของประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ดังนั้น หากมีการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ก็จะช่วยให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการด้วยนวัตกรรมที่สามารถใช้ทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้องค์กรลดต้นทุนจากการใช้ทรัพยากรและมีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้ภาคธุรกิจทั่วโลกเติบโตได้ถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030 (จาก CEO Guide to the Circular Economy, WBCSD) นอกจากนี้ ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีผลทำให้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) รวมทั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals, SDGs) บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้

 

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

 

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการปาถกฐาเปิดงานว่า แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนสอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการผลิตสินค้าและบริการที่ต้องมุ่งสร้างคุณค่ามากกว่าปริมาณ (Value Driven) ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการตาม Roadmap การพัฒนาประเทศเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนท่ามกลางความท้าทายของทรัพยากรโลกที่ลดลง ด้วยการกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ฟื้นฟูที่สมดุลกับการใช้ประโยชน์ โดยมีมาตรการสนับสนุน เช่น นโยบายส่งเสริม การสร้างสรรค์นวัตกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อช่วยให้เกิดการแบ่งปันและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า นโยบายส่งเสริมการจัดการขยะและของเสียอย่างเหมาะสม โดยการนำกลับมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งนโยบายส่งเสริมการลงทุนด้วยหลักธรรมาภิบาล รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นได้จริงนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการขับเคลื่อนของรัฐบาล แต่ภาคเอกชนและภาคประชาชนต้องมีส่วนร่วมด้วย โดยภาคเอกชนควรนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ส่วนภาคประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญ และร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ขยะชนิดต่างๆ และสิ่งที่เป็นผลพวงจากการอุปโภคบริโภคได้หมุนเวียนกลับมาใช้เป็นทรัพยากร เพื่อช่วยสร้างประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนอย่างแท้จริง

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับทรัพยากรของโลกในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิมที่เป็นเพียงการนำทรัพยากรมาผลิต และจบที่ใช้แล้วทิ้ง (Take-Make-Dispose) ให้เป็นการรักษาคุณค่าของทรัพยากรให้มากที่สุด ด้วยการสร้างระบบที่เอื้อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และนำสินค้าที่ใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อีก เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน

สำหรับการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ในเอสซีจีนั้น มีการขับเคลื่อนผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ

หนึ่ง Reduced material use และ Durability คือ การลดใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิต เช่น กระดาษลูกฟูก Green Carton ที่ใช้วัตถุดิบลดลงร้อยละ 25 แต่คงความแข็งแรงเท่าเดิม ทั้งยังทำให้ลูกค้าประหยัดต้นทุนในการขนส่งมากขึ้น และการลดการผลิตและการขาย single-use plastic ของเอสซีจี จากร้อยละ 46 เหลือร้อยละ 23 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการช่วยให้ลูกค้าลดการใช้พลังงาน เช่น Active AIRflowTM System ระบบระบายอากาศที่ทำให้บ้านเย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าว ประหยัดค่าไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศ และการเพิ่มความแข็งแรงทนทานของสินค้า เช่น ปูนโครงสร้างทนน้ำทะเล ที่มีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้น 2 เท่า

สอง Upgrade และ Replace คือ การพัฒนานวัตกรรมเพื่อทดแทนสินค้าหรือวัตถุดิบชนิดเดิม ด้วยสินค้าหรือวัตถุดิบชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ใช้ทรัพยากรน้อยลงหรือนำไปรีไซเคิลได้มากขึ้น เช่น เม็ดพลาสติกพอลิเอทิลีนจากเทคโนโลยีใหม่ของเอสซีจีที่สามารถนำพลาสติกรีไซเคิลมาผสมได้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และปูนโครงสร้างเอสซีจีสูตร Hybrid ที่ใช้ทดแทนปูนโครงสร้างสูตรเดิม ทำให้ใช้วัตถุดิบหินปูนที่ต้องเผาน้อยลง

และสาม Reuse และ Recycle คือ การเพิ่มความสามารถในการหมุนเวียนสินค้าที่ใช้งานแล้วกลับมาใช้ใหม่ เช่น โรงอัดกระดาษ (Paper Bailing Station) เพื่อรวบรวมเศษกระดาษกลับมารีไซเคิล การนำขวดแก้วใช้แล้วมาทดแทนทรายธรรมชาติในการผลิตฉนวนกันความร้อน การพัฒนา CIERRATM ซึ่งเป็น Functional Material ที่ช่วยปรับคุณสมบัติพลาสติก       ให้สามารถใช้พลาสติกเพียงชนิดเดียว (Single Material) แต่ให้คุณสมบัติที่หลากหลายกับบรรจุภัณฑ์ แทนการใช้วัสดุหลายชนิด (Multi Material) ซึ่งยากต่อการนำไปรีไซเคิล และการนำขยะพลาสติกในทะเลและชุมชนมาเป็นส่วนประกอบสำหรับทำบ้านปลาเพื่ออนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเล

“นอกจากนี้ เอสซีจียังสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์ โดยล่าสุดได้ร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ในการนำพลาสติกรีไซเคิลมาเป็นส่วนผสมในการทำถนนยางมะตอย เพื่อช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกในทะเลและชุมชน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของถนนจากคุณสมบัติของพลาสติก และช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกจากการทำถนนได้

เอสซีจีหวังเป็นอย่างยิ่งว่างาน SD Symposium 2018 ในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนนวัตกรรม และกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นรากฐานสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ได้ต่อไป

“SD Symposium 2018” เป็นงานสัมมนาวิชาการว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เอสซีจีจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 เพื่อให้สาธารณชนตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในหัวข้อต่างๆ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 1,000 คน ทั้งผู้บริหารจากภาคราชการและเอกชนทั้งองค์กรขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ นักวิชาการ เอ็นจีโอ สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ

 

Page 4 of 5
X

Right Click

No right click