

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สถาบันอุดมศึกษาชั้นนำด้านการค้าและการบริการ ชูวิสัยทัศน์การเป็น AiUTCC โดยการผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ ผู้นำทางเทคโนโลยีระดับโลก วางรากฐาน Digital-AI เพื่อความเป็นเลิศด้าน AI Integrated University ล่าสุด ดร.ชัชชัย หวังวิวัฒนา ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และ UTCC AI Master ได้รับเชิญจากมหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก Huawei Connect 2024 ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ เพื่อนำเสนอพันธกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในหัวข้อ Building a Smart Campus to Accelerate the Digital and Intelligent Transformation of UTCC ซึ่งผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยผู้บริหารจากองค์กรพันธมิตรทางธุรกิจ กว่า 300 คน

ดร.ชัชชัย หวังวิวัฒนา ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และ UTCC AI Master กล่าวว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ส่งเสริมการเรียนการสอนด้วยระบบ Digital Hybrid Learning มากว่า 20 ปี โดยแจก โน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ต ให้นักศึกษาใช้เป็นอุปกรณ์การเรียน เพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์ สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ส่งผลให้นักศึกษาสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น และเรียนรู้เพิ่มเติมได้ด้วยตัวเองทุกที่ทุกวัน ดังนั้น เพื่อยกระดับระบบการจัดการการเรียนรู้ ในปีการศึกษา 2567 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยวางรากฐานสู่การเป็น AiUTCC โดยเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกใน Asia Pacific ที่ติดตั้ง WiFi 7 ซึ่งมีความเร็วระดับ Near Zero Latency เพื่อยกระดับประสบการณ์การเรียนการสอน และการดำเนินงาน
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้าน AI ของนักศึกษาและบุคลากรอย่างจริงจัง โดยมีการอบรมอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ 90 คน เป็น Ai Champion ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ขับเคลื่อนทั้งองค์กรไปพร้อมกัน

ในด้านการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมมือกับ Huawei พัฒนาทักษะด้าน AI, Digital และ Cloud เพื่อสร้างนักศึกษาให้เป็นมืออาชีพ พร้อมสู่ตลาดงานด้านเทคโนโลยีนอกจากนี้ ทุกคณะวิชาได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เช่น คณะมนุษยศาสตร์ นำ AI Chatbot มาช่วยพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ และทักษะดิจิทัลไปพร้อม ๆ กัน และนักศึกษาทุกคนได้รับ Canva Pro AI Magic และ Copilot ฟรีเพื่อใช้ในการเรียน
สำหรับด้านการให้บริการนักศึกษา มหาวิทยาลัยนำ AI มาใช้ประโยชน์ในบริการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เช่น ระบบหางาน Career sync ที่นำระบบ AI มาช่วยในการแมชต์ทักษะของนักศึกษาให้ตรงกับตำแหน่งงานที่ผู้ประกอบการเปิดรับสมัคร รวมถึง Skill transcripts ที่ระบุว่านักศึกษาที่ผ่านการเรียนและกิจกรรมต่างๆ มีทักษะอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคต เช่น การทำงานเป็นทีม การคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล และความคิดสรรค์ เป็นต้น

ด้านการให้บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดตั้งสถาบันฝึกอบรมและให้คำปรึกษาด้าน AI ที่ทันสมัยแก่ผู้ประกอบการ ที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย AI ทั่วประเทศ เพื่อการเป็นมหาวิทยาลัยสอคล้องกับพันธกิจการเป็น AiUTCC ที่นำ AI มาบูรณาการเพื่อการเรียนการสอน การให้บริการนักศึกษา และการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สามสมาคมฯ ตั้งรับ เตรียมสร้างเวทีแห่งโอกาสครั้งสำคัญแก่ภาคอสังหาฯ ไทย ฝ่าทุกวิกฤติสู่ผู้นำการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 หรือ Thailand Number One Real Estate Expo งานมหกรรมที่รวบรวมที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในไทย พร้อมคว้าชัยความสำเร็จก่อนโค้งไตรมาสสุดท้ายปี 67

นายถิรชนม์ ธเนศเดชสุนทร ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 เปิดเผยว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในขณะนี้มีความไม่แน่นอน ซึ่งล้วนมาจากหลายปัจจัยรอบด้าน แต่ 3 สมาคมผู้จัดงานฯ ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย มองว่าสัญญาณหนึ่งที่มีนัยสำคัญในการขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ต่อไป ก็คือความมุ่งมั่นและความร่วมมือกันของผู้ประกอบการและสถาบันการเงินที่ต่างออกมาร่วมพลังกันผ่านงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 46 นี้ โดยมุ่งยกระดับงานนี้ให้เป็นเวทีแห่งโอกาส สานฝันให้คนไทยมีบ้านได้สำเร็จ ก้าวไปเป็น Thailand’s Number One Real Estate Expo งานมหกรรมที่รวบรวมที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในไทย และเป็นฟันเฟืองในการผลักดันเศรษฐกิจไทย โดยงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 มีกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 31 ต.ค. – 3 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
“ทั้ง 3 สมาคมต้องการจะต่อยอดความสำเร็จจากงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 45 ที่ผ่านมาเมื่อช่วงต้นปี ซึ่งการจัดงานตลอด 4 วัน แม้ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็สามารถผลักดันให้จนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยมีสัญญาจะซื้อจะขายเกิดขึ้นภายในงานฯ มากกว่า 1,000 สัญญา ครั้งนี้ คิดเป็นยอดขายมูลค่าสูงกว่าครั้งก่อนๆ ทะลุเป้า 4,500 ล้านบาท อีกทั้งหลังจบงานก็มียอดขายตามมาอีกมากกว่าหมื่นล้านบาท จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า งานมหกรรมบ้านและคอนโดคือฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ ทั้งยังสามารถช่วยให้คนไทยสามารถมีบ้านง่ายยิ่งขึ้นได้จริง พร้อมสามารถสร้างมูลค่ายอดขายให้แก่ผู้ประกอบการได้เป็นไปตามเป้า”

นายถิรชนม์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ที่ตลาดอสังหาฯ กำลังเผชิญอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ประชาชนซื้อบ้านได้ยาก เพราะรายได้ไม่สอดคล้องกับราคาบ้านเองก็ดี หรือการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ หรือแม้แต่หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ไม่สามารถแก้ไขได้โดยเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานเดียว ภาครัฐ ภาคสถาบันการเงิน และผู้ประกอบการเอกชน จำเป็นต้องผนึกกำลังเข้าด้วยกันจึงจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ ในขณะที่งานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งนี้ ผู้จัดงานมองเห็นทุกปัญหารอบด้าน จึงอยากเป็นเวทีกลางในการสร้างพันธมิตรความร่วมมือให้สามารถเกิดกลไกลสร้างความต้องการในการซื้อบ้านและคอนโดฯ ได้
ภายใต้ความท้าทายที่เกิดขึ้นในตลาด 3 สมาคมยังมั่นใจในปัจจัยบวกที่ช่วยให้งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 สามารถรักษาโมเมนตัมความสำเร็จได้ เพราะงานครั้งนี้ยังคงได้รับความร่วมมืออย่างดีจากดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำมากกว่า 150 บริษัท แต่ที่พิเศษยิ่งขึ้นก็คือการมีผู้ประกอบการบิ๊กเนมหลายแบรนด์มาร่วมออกบูธในครั้งนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, แสนสิริ, อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น, เจ้าพระยามหานคร, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์, เอพี และลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ทำให้ผู้บริโภคจะได้ช้อปบ้านในฝันจากโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทมากกว่า 1,000 โครงการ อีกทั้งยังมีสถาบันการเงินชั้นนำหลายค่ายร่วมใจกันมาให้บริการสินเชื่อ พร้อมคำปรึกษาดีๆ กับผู้บริโภคถึงที่ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น

“ปัจจัยสนับสนุนอีกประการก็คือกลไกกระตุ้นภาคอสังหาฯ ของรัฐ โดยผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้การซื้อขายที่อยู่อาศัยในประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้และส่งผลในทิศทางบวกไปจนถึงต้นปีหน้า แต่ยังทำให้คนไทยที่ต้องการซื้อบ้านมีความหวังในเรื่องการยื่นกู้สินเชื่อผ่าน โดยธอส.ได้เตรียมจัดบริการสินเชื่อพิเศษมาเพื่อผู้มาเดินงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 โดยเฉพาะ ภายใต้สินเชื่อบ้าน 1 แสนล้าน ให้กู้ 110% โดยมีโครงการสินเชื่อบ้าน DD (ดี๊ดีย์) ภายใต้กรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท พร้อมสินเชื่อบ้าน 71 ปี ธอส.กรอบวงเงินอีก 50,000 ล้านบาท ขณะที่มาตรการของภาครัฐสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2567 อย่างการลดค่าโอน-จดจำนอง บ้าน-คอนโด ในกรอบ 7 ล้านบาท ก็ยังนับเป็นอีกแรงหนุนให้แก่ผู้สนใจจับจองที่อยู่อาศัยได้มีโอกาสก่อนสิ้นปีนี้” นายถิรชนม์ กล่าว
สำหรับด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดความสนใจและเข้าถึงผู้บริโภค ทาง 3 สมาคมได้ใช้หลากหลายแพลตฟอร์มเพื่อครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกระจายคอนเท้นท์ไปยังโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้ง Facebook, IG, Line OA, Website, YouTube, KOL และ TikTok รวมทั้งผ่านสื่อสายหลักอย่างต่อเนื่องไปจนถึงวันงาน นอกจากนี้ ยังมีการพูดประชาสัมพันธ์ผ่านทางรายการโทรทัศน์ยอดนิยม ‘รายการเรื่องเล่าเช้านี้’ และมีการจัดทำภาพยนตร์โฆษณาความยาว 15 – 30 วินาที เผยแพร่ทางสื่อสาธารณะ จอโฆษณาใน BTS และ MRT รวมทั้งการประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติให้ได้ทราบข่าวสารการจัดงานในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

ในส่วนของโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน คณะจัดงานยังได้เตรียมของรางวัลและสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ ทองคำ ส่วนลดเงินสด และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท มาสมนาคุณลูกค้าที่จองซื้อภายในงานตลอด 4 วัน
ใครกำลังมองหาที่อยู่อาศัยราคาเอื้อมถึง ทำเลดี มีความเป็นไปได้แน่นอนที่จะมีบ้าน พบกันได้ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2567 ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นอกจากนี้ รายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดงานครั้งนี้ พร้อมเงินสมทบทุนจากคณะจัดงานของ 3 สมาคมจะมอบให้กับองค์กรการกุศลผ่านกระทรวงการคลัง เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย
นายชาญวุฒิ โชติวิทยากุล (ที่หนึ่งจากขวา) ผู้จัดการ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย สาขานครสวรรค์ เป็นตัวแทนของ บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ร่วมกับคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ในการมอบสินไหมมรณกรรม ภายใต้การคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันชีวิต ให้แก่ทายาทโดยธรรม ของนางสาวพิมพ์ทอง สมบัติ หนึ่งในคณะครูโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท จากกรณีไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา
ทั้งนี้บริษัทขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิต บริษัทฯได้รีบดำเนินการจ่ายสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการบริการและทำตามพันธะสัญญา พร้อมให้ความคุ้มครองลูกค้าและผู้เสียหายตามเงื่อนไขกรมธรรม์ทุกราย
สมาคมประกันวินาศภัยไทย (TGIA) สมาคมประกันชีวิตไทย (TLAA) และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) (BKI) ร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดงานการประชุมระดับนานาชาติ Association of Insurers and Reinsurers of Developing Countries: AIRDC ครั้งที่ 23 ระหว่างวันที่ 6 - 9 ตุลาคม 2567 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธาน AIRDC ประจำปี 2565-2567 และประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงาน กล่าวว่า การประชุม AIRDC ครั้งที่ 23 นับเป็นปีที่มีความสำคัญยิ่ง จากการที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดงานดังกล่าวเป็นครั้งแรก ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ธีม “Creating Opportunity Amid Challenges & Turmoil (CO-ACT)” สร้างโอกาสท่ามกลางความท้าทายในโลกปัจจุบัน โดยสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมประกันภัยที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และการปรับเปลี่ยนของกฎระเบียบต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ถือเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและสร้างการเติบโตได้เช่นกัน โดยมุ่งหวังว่าการประชุมในครั้งนี้จะเป็นเวทีที่เราจะได้ร่วมกันค้นหาแนวทางใหม่ๆ สร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนายกระดับธุรกิจ รวมถึงสร้างเครือข่ายที่มีคุณค่า เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยต่อไป
“เรารู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 350 ท่าน ซึ่งล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานกำกับดูแล บริษัทประกันภัย บริษัทประกันชีวิต บริษัทรับประกันภัยต่อ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมประกันภัยจากทั่วโลก ซึ่งการมีส่วนร่วมในการประชุมครั้งนี้นับเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือ การสร้างสายสัมพันธ์อันดี พร้อมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมประกันภัย”

โดยพิธีเปิดการประชุม AIRDC ครั้งที่ 23 ได้รับเกียรติจากนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) และ Dr. Aaron Anafure ประธาน AIRDC ร่วมเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย และนายสาระ ล่ำซำ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย ร่วมเป็นเกียรติในการเปิดงานดังกล่าว เพื่อสนับสนุนความร่วมมือของภาคอุตสาหกรรมประกันภัยในระดับสากล

สำหรับงานประชุม AIRDC ครั้งนี้ มีหัวข้อการประชุมและสัมมนาที่น่าสนใจ ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมากมายจากทั่วโลก มาร่วมแชร์ประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึกด้านประกันภัย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้ม ความเคลื่อนไหว และประเด็นสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมประกันภัย พร้อมแนะนำแนวทางและจุดประกายความคิดในการสร้างโอกาสการเติบโต ครอบคลุมทั้งธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิต อาทิ Current State of the Cyber Insurance Market, Underwriting Challenge, and Growth Opportunity, Insurance Transformation, Next Wave of Insurance, Multi Model of Agricultural Insurance, Loyalty Management in the High-Tech, AI-Driven Insurance Era, Natural Disaster Risk Management for Uncertain Future, Create Deep Learning Solutions for Penetration and Protection Gaps for This Century, Engaging & Enlightening Experiences with IFRS17 และ ESG Insights: Navigating Sustainable Insurance Practices

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการบริจาคให้แก่องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย (UNICEF Thailand) เป็นจำนวนเงิน 150,000 บาท เพื่อร่วมต่อยอดการดำเนินงานของยูนิเซฟในการระดมทรัพยากรขับเคลื่อนส่งเสริมสุขภาพเด็ก โภชนาการ และสุขาภิบาล พร้อมสนับสนุนด้านสิทธิและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในประเทศไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ AIRDC เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ประกอบด้วยบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยต่อ และกลุ่มประกันภัยอื่นๆ ที่รวมตัวกันเพื่อพัฒนาและขยายความร่วมมือระหว่างกันในด้านการประกันภัยและการประกันภัยต่อ ซึ่งได้มีการร่วมมือกันจัดงานประชุมระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดประกันภัยในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา พร้อมยกระดับความร่วมมือของอุตสาหกรรมประกันภัยระหว่างภูมิภาคให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
สมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติด้านสมาร์ทซิตี้ระดับโลก 10th IEEE International Smart Cities Conference (IEEE-ISC2- 2024) เป็นครั้งแรกของไทยและอาเซียน ภายใต้หัวข้อ “เมืองอัจฉริยะ: การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ” ระดมผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และนักพัฒนาสมาร์ทซิตี้จากทั่วโลกมาร่วมพัฒนาวางแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต โดยภายในงานจะได้พบกับการประชุมเชิงวิชาการในด้านสมาร์ทซิตี้ในทุกสาขา และการจัดนิทรรศการแสดงถึงเทคโนโลยี และนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะที่ล้ำยุค
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 สมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) หรือ IEEE PES Thailand Chapter ได้จัดงานแถลงข่าว การประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ 10th IEEE International Smart Cities โดยนายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง และนายกสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) ได้มอบหมาย นายชูเกียรติ ยั่งยืนบางชัน ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นผู้แทน ร่วมกับ รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ อุปนายกด้านการจัดประชุมวิชาการ (IEEE PES Vice Chair Meeting and Conference) และนายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ พร้อมด้วย รศ.ดร.มนตรี วิบูลยรัตน์ Conference Chair, ISC2 2024 ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ นายกสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) หรือ IEEE Power & Energy Society (Thailand) และในนามผู้ว่าการ การไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยว่า ในปัจจุบันเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทซิตี้ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแนวทางหลักของการพัฒนาเมืองทั่วโลก เนื่องจากจะช่วยยกระดับการอำนวยความสะดวกในทุกด้าน ทั้งในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ลดปัญหาการจราจร เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และยังก่อให้เกิดแนวทางการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ ที่สอดคล้องกับโลกในปัจจุบันและอนาคต
ด้วยความสำคัญดังที่กล่าวมาข้างต้น ได้สร้างกระแสการพัฒนาเมืองของไทยไปสู่การเป็นสมาร์ทซิตี้ในหลายพื้นที่ทั้งการพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ที่สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น จึงทำให้ไทยก้าวขึ้นมีความโดดเด่นในด้านนี้ โดยล่าสุดสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) หรือ IEEE PES Thailand Chapter ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติด้านเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 10 หรือ 10th IEEE International Smart Cities Conference (IEEE-ISC2- 2024) ในระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมรอยัล คลิฟ แกรนด์ พัทยา จังหวัดชลบุรี ภายใต้แนวคิดหลัก “เมืองอัจฉริยะ: การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ” ซึ่งได้จัดขึ้นที่ประเทศไทยรวมถึงอาเซียนเป็นครั้งแรก หลังจากได้มีการจัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปีในหลากหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและอเมริกา

รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ อุปนายกด้านการจัดประชุมวิชาการ (IEEE PES Vice Chair Meeting and Conference) กล่าวว่า “การจัดงาน IEEE International Smart Cities Conference ถือได้ว่าเป็นการจัดงานด้านสมาร์ทซิตี้ที่สำคัญของโลก เนื่องจากเป็นเวทีการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย จากหลากหลายสาขาในองค์กรชั้นนำทั่วโลกได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยเจาะลึกหัวข้อพิเศษ อาทิ การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในเมืองอัจฉริยะ, การสร้างสมดุลความปลอดภัยทางไซเบอร์และการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ, การเดินทางอย่างชาญฉลาดอย่างยั่งยืน: สำรวจโอกาสและรับมือกับความท้าทาย, ไฮโดรเจนในฐานะพาหนะพลังงานสีเขียวทางเลือก, การจัดการรถไฟอัจฉริยะ: การเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์ของผู้โดยสาร และอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และขยายเครือข่ายความร่วมมือ รวมทั้งกิจกรรมที่หลากหลายจากผู้เชี่ยวชาญ วิทยากร ผู้บริหารเมืองอัจฉริยะทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ”

ทางด้าน รศ.ดร.มนตรี วิบูลยรัตน์ ประธานการจัดงานประชุม IEEE ISC2 2024 ได้เพิ่มเติมว่า การประชุม IEEE ISC2 2024 มุ่งเน้นในหัวข้อ "เมืองอัจฉริยะ: การปฏิวัติเพื่อมนุษยชาติ" โดยนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในเมือง ผู้เชี่ยวชาญจะหารือเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การจัดการพลังงาน การเดินทาง และการมีส่วนร่วมของประชาชน ISC2 2024 เป็นเวทีสำหรับความร่วมมือระดับโลก เพื่อให้เทคโนโลยีเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ มาร่วมสร้างเมืองแห่งอนาคตไปด้วยกัน
สำหรับการประชุมวิชาการ IEEE-ISC2-2024 จะประกอบด้วยการนำเสนอผลงานวิจัยกว่า 200 ฉบับ ในหัวข้อที่สำคัญ เช่น การบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในเมืองอัจฉริยะ, แอปพลิเคชันขั้นสูงและการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับเมืองอัจฉริยะ, ที่อยู่อาศัยใหม่ในเมืองอัจฉริยะ, ศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยีคลาวด์ และสภาพแวดล้อมอัจฉริยะ เป็นต้น รวมทั้งยังมีการจัดกิจกรรมเชิงวิชาการที่หลากหลาย อาทิ การบรรยายพิเศษ (tutorial) เวทีการเสวนา (panel session) การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้เชิงวิชาการ (side event) การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) และการจัดแสดงนิทรรศการ (Exhibition) จากหน่วยงานของภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยจะมีกลุ่มเป้าหมายหลักเข้าร่วมงานประชุมวิชาการ และเยี่ยมชมนิทรรศการ ประมาณ 500 คน ทั้งผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นักพัฒนา นักวิชาการ นักศึกษา นักวิเคราะห์นโยบาย สถาปนิก วิศวกร ของหน่วยงาน และองค์กรภาครัฐภาคเอกชน ผู้สนใจในด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรมสำหรับการ พัฒนาเมืองอัจฉริยะ ตลอดจนผู้บริหารเมืองอัจฉริยะทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ

นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีจัดแสดงนวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านเมืองอัจฉริยะ โดยมีไฮไลท์ที่สำคัญจากผู้สนับสนุนหลักในการจัดแสดงนำโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), IEEE DataPort รวมทั้งยังมีการจัดแสดงเทคโนโลยีอัจฉริยะจากบริษัทชั้นนำระดับนานาชาติ อาทิ บริษัท ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) และบริษัท ชไนเดอร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) ที่เป็นผู้สนับสนุนระดับไดมอนด์ จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยในการแสดงศักยภาพด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ กระตุ้นการวิจัย และพัฒนานวัตกรรมสำหรับเมืองอัจฉริยะ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือของผู้นำด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต

ด้าน นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า ทีเส็บมีความยินดีที่จะสนับสนุนการจัดงาน The 10th IEEE International Smart Cities Conference (IEEE ISC2 2024) ซึ่งเชื่อมั่นว่างานประชุมดังกล่าวจะสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อเนื่องจากการจัดงาน สร้างคุณูปการในระยะยาวต่อเมืองพัทยา รวมไปถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และประเทศไทยไปจนถึงระบบนิเวศด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของโลกอีกด้วย
การจัดงานประชุมนานาชาติ IEEE ISC2 2024 ยังสอดคล้องกับนโยบาย Ignite Thailand ด้านวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของประเทศไทย อีกทั้งยังตรงตามอุตสาหกรรมเป้าหมายของทีเส็บในการผลักดันให้เกิดการจัดงานประชุมนานาชาติด้าน Urban Quality of Life and Mobility เพื่อเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

ทีเส็บขอขอบคุณสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี ประเทศไทย สำหรับการสร้างคุณูปการต่ออุตสาหกรรมการจัดประชุมนานาชาติของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทีเส็บยินดีสนับสนุน ส่งเสริม และร่วมมือกับสมาคมฯ เพื่อนำงานสำคัญๆ ของ IEEE อีกหลายๆ งานมาจัดที่ประเทศไทยในอนาคต
เตรียมพบกับการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ 10th IEEE International Smart Cities Conference (IEEE-ISC2-2024) ครั้งที่ 10 ภายใต้แนวคิดหลัก “Smart Cities : Revolution for Mankind” ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมรอยัล คลิฟ แกรนด์ พัทยา จังหวัดชลบุรี
‘พาลิน’ (Parin) แบรนด์นวัตกรรมความงามที่ประสบความสำเร็จจากการบุกน่านน้ำออนไลน์มาตลอด 3 ปีเต็ม โดดเด่นด้วยการเป็นผู้นำเทคโนโลยี ‘Beauty Gadgets’ โดยที่ผ่านมาพาลินมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ล้อไปกับภาพรวมตลาดความงามไทยในปีนี้ที่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ คาดการณ์ว่า ตลาดความงามไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 3.4 แสนล้านบาท ขยายตัวราว 9.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ ‘พาลิน’ ในปีนี้ คือการเปิดเกมรุกบุกออฟไลน์เต็มตัว ด้วยงบการตลาดกว่า 30 ล้านบาท เพื่อมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับแบรนด์โดยตรง เริ่มตั้งแต่การเปิด Pop-up Store ในลักษณะ Roadshow Event แนะนำผลิตภัณฑ์หลัก 2 กลุ่มคือ Beauty Gadgets และ Skincare โดยมีกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมตั้งแต่นักเรียน -นักศึกษา วัยทำงาน ตลอดจนกลุ่ม ‘Silver Age’ ที่ต้องการการใส่ใจดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษได้สัมผัสกับอินโนเวทีฟบิวตี้อย่างใกล้ชิด เน้นเจาะจังหวัดหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ เป็นต้น

นางสาวโสภิดา เมฆาวิชญ์ภาส ผู้จัดการแบรนด์พาลิน บริษัท คอสเซตเต้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า พาลินมีสินค้าครอบคลุมทั้งผิวหน้าและผิวกายด้วยความหลากหลายของสินค้าและราคาที่จับต้องได้ทำให้พาลินเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครบทุกกลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษา มีความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องล้างหน้า ‘PARIN FAVOR INNOVATION’ 2. กลุ่มวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 26 ปีขึ้นไป มีความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องกำจัดขน ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Multicolor Gen 1, Multicolor Gen 2, Multifunction Gen 3 และ ICONIC Gen 4 และ 3. กลุ่มวัยคุณแม่ มีความสนใจผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องริ้วรอย มีความสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องยกกระชับ PARIN MINI HIFU และ เครื่องนวดหน้ายกกระชับ Parin Re-Aging
ทั้งนี้พาลินมีการวิเคราะห์เก็บข้อมูลเชิงลึกจากลูกค้าผ่านขั้นตอนการทำ CRM หรือ Customer Relationship Management ทำให้พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า กลุ่มลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 24-28 ปี ให้ความสนใจเรื่องการจำกัดขน ซึ่งเครื่อง IPL ของพาลิน ตอบโจทย์ความต้องการประกอบกับความสะดวกสบายสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวให้แก่ตัวเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน ตั้งแต่ผิวหน้าและร่างกาย

นอกจากนี้แบรนด์ยังได้ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ Miss Universe Thailand 2023 และรองชนะเลิศอันดับ 1 Miss Universe 2023 นั่งแท่นพรีเซนเตอร์คนแรกของพาลิน ไอพีแอลด้วย เชื่อว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของแบรนดิ้งให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ด้วยจำนวนฐานแฟนคลับที่หลากหลาย รวมถึงมายด์เซ็ตและนิยามความงามของแอนโทเนียที่มองว่า ความงามที่แท้จริงคือความมั่นใจ เหมือนกับสโลแกนของพาลิน ‘Beauty in you’ อยากดูดีให้เริ่มที่การดูแลตัวเอง
ที่ผ่านมา พาลินเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ กระทั่งประสบความสำเร็จจนเป็นแบรนด์ ‘Top of mind’ ยืนหนึ่งในตลาด Beauty Gadgets จากสินค้ากลุ่ม IPL อย่าง Multifunction Gen 3 และ ICONIC Gen 4 หลังแบรนด์เจาะตลาดผ่านช่องทางออนไลน์สำเร็จ ได้แก่ Shopee, Lazada, Line Shopping และ เว็บไซต์ https://www.parinthailand.com/ มาวันนี้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง จึงนำมาสู่การบุกตลาดออฟไลน์เต็มตัว โดยเริ่มคิกออฟกิจกรรมโรดโชว์ ในรูปแบบเปิด ป๊อป อัพ สโตร์ (Pop-Up Store) ภายใต้แนวคิด “ผู้หญิงทุกคนสวยได้เหมือนยกคลินิกมาไว้ที่บ้าน” เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ก่อนตัดสินใจซื้อ รวมถึงลูกค้าที่เคยเห็นแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์จะได้มีโอกาสทดลองใช้งานจริงกับผลิตภัณฑ์ด้วย โดยปักหมุดที่แรกบริเวณโซน Q steps ชั้น 1 The PARQ Life ระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2567

สำหรับเป้าหมายของพาลินหลังจากนี้ นางสาวโสภิดา ระบุว่า พาลินจะเดินหน้าขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อยืนระยะในฐานะแบรนด์ ‘Top of mind’ จากสินค้าที่มีครบจบทุกความต้องการ นอกจากการรุกตลาดออฟไลน์แล้ว พาลินยังมีแผนขยายการเติบโตในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขณะนี้ได้สร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ธุรกิจในประเทศลาวเรียบร้อยแล้ว คาดว่า ปี 2568 จะได้เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของพาลินที่ประเทศลาวเป็นแห่งแรก
“พาลินมุ่งมั่นสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นที่จดจำในฐานะแบรนด์ไทยคุณภาพสูง เน้นความเป็นธรรมชาติ และการดูแลสุขภาพผิวอย่างพิถีพิถัน พร้อมสื่อสารด้วยแนวทางที่เป็นมิตร เข้าใจง่าย เข้าถึงผู้คนทุกเพศทุกวัย ผ่านการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่หลากหลาย เช่น บทความเกี่ยวกับการดูแลผิว รีวิวผลิตภัณฑ์ และวิดีโอสั้น ซึ่งในอนาคตพาลินจะยังคงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับการดูแลตัวเองในรูปแบบผลิตภัณฑ์สินค้าสำหรับใช้ภายในบ้าน” นางสาวโสภิดา กล่าวปิดท้าย
กลุ่มบีเจซี ร่วมโชว์ศักยภาพในงาน Sustainability Expo 2024 มหกรรมด้านความยั่งยืนระดับอาเซียน โดยนำเสนอนิทรรศการภายใต้แนวคิด “Highway to Net Zero” รวบรวมโครงการไฮไลท์ด้านการผลิตตั้งแต่ ต้นน้ำ ถึง ปลายน้ำ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ร่วมกัน ซึ่งภายในบูธได้ถ่ายทอดเรื่องราวภายใต้คอนเซ็ปต์ “Everyday Life” แสดงสินค้าและบริการจากกลุ่มบีเจซี ที่ทุกคนใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น บรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคนำเสนอให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้เรียนรู้และเข้าใจระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซี่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในทุกกระบวนการผลิตไปจนถึงการเก็บกลับ นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมเพิ่มมูลค่าขวดแก้ว เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ในการรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ณ บูธ บีเจซี โซน Better Living ชั้น G ฮอลล์ 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 27 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กลุ่มบีเจซี มีกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ อุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าและเวชภัณฑ์และเทคนิค รวมถึงการปลีกสมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมาย “Net Zero” ภายในปี 2050 ที่สนับสนุนความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ โดยทุกกลุ่มธุรกิจล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน สร้างสมดุลทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม”
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 143 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบีเจซี ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่สนับสนุนความยั่งยืนตั้งเป้าเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำของประเทศไทยที่มุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรไร้คาร์บอน ที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ตลอดจนการบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน