December 16, 2025

BKV Corporation (“BKV”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูได้แจ้งราคาเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO Price) จำนวน 15,000,000  หุ้น ที่ราคา 18 เหรียญสหรัฐ ต่อหุ้น และนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนใน New York Stock Exchange (NYSE)  โดยหลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถทำการซื้อขายผ่าน NYSE เป็นครั้งแรกในวันที่ 26 กันยายน 2567 (ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐอเมริกา) โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “BKV” คาดว่าการปิดรายการการจำหน่ายหุ้น IPO จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 27 กันยายน 2567 หลังจากปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว

คำแถลงการจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้น IPO นี้ได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (U.S. SEC) แล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 โดยสามารถดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวนจากเว็บไซต์ของ U.S. SEC www.sec.gov โดยค้นหาภายใต้ชื่อ BKV Corporation

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศยุทธศาสตร์ โดยมี BKV เป็นกุญแจสำคัญในการเดินหน้าธุรกิจก๊าซธรรมชาติเพื่ออำนวยประโยชน์ที่ยั่งยืนให้แก่ลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสีย เราภูมิใจและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่ของบริษัทฯ ทั้งนี้ บ้านปูยังมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเป้าหมายในการลดคาร์บอน (Decarbonization) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และคงความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจด้วยเป้าหมายในการส่งมอบนวัตกรรมโซลูชันพลังงานที่สะอาดและเชื่อถือได้ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก”

ภายใต้การบริหารงานของ BKV ธุรกิจพลังงานของบ้านปูในสหรัฐฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 เริ่มต้นจากการดำเนินกิจการก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส และแหล่งก๊าซมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ต่อยอดสู่บริษัทร่วมทุน BKV-BPP ลงทุนในกิจการของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Cycle Gas Turbines: CCGT) นอกจากนี้ BKV ยังดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) และการพัฒนาก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon-Sequestered Gas: CSG) ด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม รวมทั้งการร่วมทุนกับ BKV-BPP Power ในการจัดสรรพื้นที่ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่แหล่งก๊าซบาร์เนตต์ รัฐเท็กซัส ก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Ponder Solar)

กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองระดับมหานครหรือ ​Mega City หนึ่งของโลก เป็น Strategic Location ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีความเป็นพลวัต ภายใต้กระแสธารแห่งการเปลี่ยนผ่าน

การเปลี่ยนผ่านที่เห็นได้ชัดอย่างยิ่งคือ การขยายตัวของเมือง (Urbanization) โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย True Digital Group พัฒนาเมกะโปรเจกต์ True Digital Park (TDPK) ทรานสฟอร์มพื้นที่ชานเมืองสู่ “ฮับแห่งสตาร์ตอัพ” กับเป้าหมาย Silicon Valley เมืองไทย

ในโอกาสที่ TDPK ย่างเข้าสู่ปีที่ 6 True Blog ได้มีโอกาสสนทนากับ “ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์” ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงที่รั้งตำแหน่ง General Manager ของ TDPK ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังโครงการ แนวทางการบริหารที่นำมาสู่การพลิกเมือง ตลอดจนวิธีคิด-การใช้ชีวิตในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ประสบการณ์ขยายเลนส์ความคิด

ธาริตเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางชาวไทยเชื้อสายจีน เกิดและอาศัยในย่านทรงวาดของกรุงเทพฯ ที่คลาคล่ำไปด้วยธุรกิจค้าส่ง รวมถึงเคมีภัณฑ์ที่คุณพ่อเขาก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา และนั่นจึงนำมาสู่แรงบันดาลใจของธาริตที่มีความฝันประกอบอาชีพวิศวกรเคมี ตามสมัยนิยมของเด็กยุค 80 ที่มักเห็นพ่อแม่ของตัวเองเป็นไอดอล

ด้วยความเป็นเด็กขยันเรียน ใฝ่รู้ และมุมานะ ธาริตสอบติดและจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และออกไปเก็บประสบการณ์การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ จ.ระยอง เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะได้รับทุนรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Fulbright Scholarship ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอกที่ University of California, Davis ในสาขาวิศวกรรมเคมี ก่อนที่จะไปทำงานด้านวิจัยในฐานะ Postdoctoral Research Fellow ที่ MIT และห้องเแล็บของบริษัทด้านเทคโนโลยีพลังงานระดับโลก Topsoe ที่ประเทศเดนมาร์กรวมเป็นเวลากว่า 2 ปีก่อนเดินทางกลับประเทศไทย

“ผมเป็นคนที่ค่อนข้างมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนตั้งแต่แรก โดยต้องการเรียนให้สูงที่สุด ด้วยความที่เราชอบเรียนหนังสือ และเรียนได้ดี เมื่อมีโอกาส ผมก็ทำมันให้ดีที่สุด ซึ่งนั่นก็คือ นักวิทยาศาสตร์” ธาริต เล่าถึงภูมิหลังในวัยเด็ก

เส้นทางชีวิตของธาริตดูราบรื่น สวยหรู เป็นเส้นตรง และคาดเดาได้ หากไม่กลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็เป็นนักวิจัยในแล็บของหน่วยราชการ แต่ระหว่างทาง เขาได้พบกับ “ทางเลือก” ที่ช่วยขยายเลนส์และทางเดินในอนาคต นั่นคือ การได้รับคัดเลือกเข้าโปรแกรม Bridge to BCG ของ Boston Consulting Group ทำให้เขาได้รู้จักงานที่ปรึกษาอย่างลึกซึ้งและค้นพบศักยภาพในตัวเอง

เมื่อกลับมายังมาตุภูมิ ธาริตเริ่มต้นการทำงานแรกที่ไทยในฐานะ Management Consultant ที่ Roland Berger บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกสัญชาติเยอรมัน โดยโปรเจกต์แรกที่มีส่วนร่วมคือ แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งเขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของ “ปลาคนละน้ำ” จาก “นักวิจัยสู่ที่ปรึกษา” ที่สามารถทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมทีมที่ต่างหิ้วดีกรี MBA มาทั้งนั้น เหนือไปกว่านั้น กรอบคิดแบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Mindset) ที่บ่มเพาะมาจากการคลุกคลีกับกิจการของที่บ้าน กลับกลายเป็นการสร้างความแตกต่างของความเป็นที่ปรึกษาให้เขา เรียกได้ว่า เป็นที่ปรึกษาที่มีทั้ง “บู๊และบุ๋น”

ในห้วงเวลา 2-3 ปีบนสนามที่ปรึกษา ธาริตมีโอกาสร่วมคิด-สร้างในโปรเจกต์ต่างๆ มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ True Digital Park

 

หินก้อนแรก จากแผนบนกระดาษสู่การปฏิบัติจริง

บรีฟแรกที่ได้มาในโจทย์ TDPK คือ การทำให้ TDPK พิชิตเป้าหมายสถานะ “ฮับของสตาร์ทอัพเมืองไทย” เพื่อเติมเต็มอีโคซิสเต็มดิจิทัลของประเทศผ่านโครงสร้างพื้นฐานเชิง Community Hub โดยธาริตและทีมใช้เวลาร่วมปี ทำการค้นคว้าวิจัย ลงสนาม ดูงาน เทียบเคียงกับต่างประเทศ วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จนสำเร็จเป็น Blueprint ที่พร้อมนำไปปรับใช้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแผนบนกระดาษให้เกิดเป็นผลสัมฤทธิ์ จำเป็นต้องมีผู้นำหรือผู้ที่เป็นเรี่ยวแรงในการส่งไม้ต่อ และธาริตก็ได้รับการทาบทามให้ทำหน้าที่นั้น โดยประเดิมในตำแหน่ง Head of Commercial และได้รับโปรโมทเป็น General Manager ในเวลาต่อมา

“เดิมทีเราทำงานเชิงแผนงานเสียมาก แต่พอต้องลงมือทำด้วยตัวเองจริงๆ ก็ท้าทายมากเช่นเดียวกัน ตอนแรกที่เข้ามาช่วงปี 2561 ซึ่งเป็นเฟส Pre-Leasing โจทย์สำคัญคือ การหาลูกค้าศักยภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเทคสตาร์ตอัพ มีเทคทาเลนท์อย่างโปรแกรมเมอร์หรือวิศวกรข้อมูลเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ TDPK เดินหน้าอย่างมีกลยุทธ์และเติบโตตามที่ตั้งเป้าไว้ ด้วยมายด์เซ็ตและการมูฟแบบสตาร์ทอัพของทีมที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ ทำให้ปีแรกของ TDPK มีอัตราเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของเฟสแรกหรือตึก East อยู่ที่ 70% ซึ่งถือว่ารวดเร็วและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดบริเวณ CBD

ฮันนีมูนพีเรียดเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน บททดสอบหน้าใหม่สุดหินทีชื่อว่า “โควิด-19” ก็ได้เข้ามาทักทายผู้บริหารหนุ่มคนนี้เข้าอย่างจัง

“ความไม่แน่นอนเชิงพื้นที่และเวลา” จากวิกฤตโควิด-19 ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น Risk Management ที่ TDPK เทคแอ็คชั่นเป็นลำดับแรก คือ “การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า” เพื่อสร้างความสบายใจท่ามกลางความไม่แน่นอน ทั้งการให้ความช่วยเหลือ การจัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ รวมถึงการปรับพื้นที่เป็นศูนย์ฉีดวัคซีน ซึ่งจากวิกฤตในครั้งนั้น ทำให้ธาริตเห็นโอกาสทางธุรกิจและกรุยทางสู่แหล่งรายได้ใหม่ๆ จนปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ถึง 6 กลุ่ม ได้แก่

  1. Office and retail space leasing
  2. Co-working space membership
  3. Event space rental and organizing service
  4. Workspace design and project management
  5. White-label incubation and training service
  6. Ecosystem tour

โดยยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้สอดรับกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ อีกมากมาย

มากกว่าพื้นที่ แต่คือประสบการณ์

ธาริต เล่าว่า TDPK เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของทรู ที่ต้องการสร้างความแตกต่างในตลาดโทรคมนาคมให้กับแบรนด์ทรู ซึ่งสะท้อนบทบาทความเป็น ”ผู้นำแห่งอนาคต” ด้วยการเดินหน้าเปลี่ยนผ่านดิจิทัลสู่ Telco Tech Company  ด้วยเหตุนี้ ทรูจึงต้องเท่าทันและเข้าใจกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และสภาวการณ์ของโลกให้มากขึ้น ทั้งยังต้องใกล้ชิดกับคู่ค้าและคู่แข่งมากขึ้น

นอกจากนี้ TDPK ยังได้ทำหน้าที่คู่ขนานกับทรู ในฐานะ “แพลทฟอร์ม” แต่แพลทฟอร์มที่ว่านี้ ทำหน้าเที่เป็นสะพานเชื่อมผู้คนที่มีใจมุ่งมั่น ต้องการทำฝันให้เป็นจริง สร้างธุรกิจให้เติบโต ได้มาพบกันภายใต้บรรยากาศแห่งการตื่นรู้ พร้อมทั้งใช้ชีวิตในทุกมิติได้อย่างสมดุล  สอดคล้องกับ motto ของ TDPK ที่ยึดถือมาตลอด นั่นคือ “One Roof, All Possibilities ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้”

จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้เกิดความเป็นคอมมูนิตี้ เกิดเป็นบทสนทนาระหว่างลูกค้ากันเอง และเกิดเป็นแบรนด์ที่แตกต่าง ถือเป็น Center of Gravity ในรูปแบบใหม่ ต่างจากการพัฒนาที่ดินในรูปแบบดั้งเดิมที่มองแต่เพียงอาคารเท่านั้น ดังนั้น “การสร้างคอมมูนิตี้” จึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของ TDPK

“คนทั่วไปอาจจะมองว่า TDPK คือตึก แต่สำหรับผม TDPK คือ แคมปัสและผู้คน” ธาริตกล่าวและเสริมว่า “ตึกในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะผุดขึ้นมาอีกมาก แต่...ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเช่าพื้นที่ต่อจากนี้ คือ Proximity ของทั้งพาร์ทเนอร์และเพื่อนฝูง เพื่อลดเวลาในการเดินทางไปมาหาสู่กัน ดังนั้น คีย์สำคัญของการสร้าง TDPK คือ Dynamics จากกิจกรรมในสังคมมนุษย์ผ่านความเป็น Campus พูดง่ายๆ คือ การสร้างเมือง”

และด้วยจุดเเข็งความเป็นคอมมูนิตี้ของ TDPK ที่ประกอบด้วยฟังก์ชันพื้นที่ที่หลากหลาย นั่นจึงเป็น “จุดขาย” ที่เหนือกว่าผู้ให้บริการพื้นที่อื่นๆ ทำให้ค่าบริการเชิงพื้นที่ของ TDPK สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยเฉพาะจุดเด่นที่สะท้อนความเป็นคอมมูนิตี้ของชาวสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์ อีเว้นท์ที่เกิดขึ้นที่นี่จึงเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเกือบทั้งสิ้น

ที่ผ่านมา TDPK ทำหน้าที่ให้บริการด้านพื้นที่เป็นสำนักงานของสตาร์ทอัพทั้งขนาดเล็กและใหญ่หลายร้อยบริษัท รวมถึงยูนิคอร์นถึง 4 ตัว ทั้งจากไทยและต่างชาติ จะเห็นได้ว่าเทคสตาร์ทอัพที่ให้ความสำคัญกับความเป็น “คอมมูนิตี้” ล้วนตั้งอยู่ที่ TDPK ทั้งสิ้น โดยผลลัพธ์ดังกล่าวมาจากความเชื่อมั่นใน TDPK จนเกิดเป็นการบอกต่อและชักชวนให้มาใช้บริการแบบปากต่อปาก

“เราพัฒนา TDPK จากหมวกหลายใบ ทั้งในฐานะผู้พัฒนาโครงการ เจ้าของธุรกิจ และลูกค้า” ธาริตย้ำ พร้อมอธิบายว่า เพื่อให้มั่นใจว่า TDPK ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะความเป็นคอมมูนิตี้ ทั้งยังสามารถนำเสนอบริการใหม่ๆ ที่ตอบรับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่สะท้อนจากผลลัพธ์ทางการเงิน” ”

 

ก้าวถัดไปของ TDPK

ประเทศไทยมีการถกเถียงถึงความสำคัญของการวิจัยมาช้านานหลายทศวรรษ แต่ในทางปฏิบัติ ไทยยังไม่สามารถใช้การวิจัยให้เกิดผลกระทบเชิงประจักษ์ได้ โดยเฉพาะการเข้าถึงต่อสาธารณะ ส่งผลต่อการขาดแคลน “Role Model” หรือต้นแบบที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลังให้ก้าวสู่สนามแห่งการวิจัยให้มากขึ้น ทำให้รากฐานของประเทศเเข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งการให้ความสำคัญกับการวิจัยจะเป็นหนทางที่สำคัญในการต่อสู้และอยู่รอดของเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความท้าทายจากสินค้าจีน ขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ต่ำลง การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของโลก

“ที่ผ่านมา ไทยใช้เม็ดเงินมหาศาลในการซื้อเทคโนโลยีต่างประเทศเข้ามา ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยควรหันมาให้ความสำคัญกับการวิจัย” ธาริตเอ่ยความในใจในฐานะเด็กที่มีฝันเป็นนักวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงวาดฝันให้ TDPK เป็นกลไกหนึ่งของสังคมที่ช่วยผลักดันงานวิจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

จากประสบการณ์ในสนามงานวิจัยของธาริตนับสิบปี ทั้งที่ยุโรปและสหรัฐฯ เขามองว่า “ความตระหนักรู้ด้านการวิจัย” ต่อสาธารณะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างมาก ทั้งยังเป็นปัจจัยพื้นฐานที่นำมาสู่ความสำเร็จของประเทศที่พัฒนาแล้ว นำมาสู่การพูดคุยเจรจาทั้งในมหภาคและจุลภาค การระดมทุน การพัฒนาห้องแล็บ การนำเสนอ รวมถึงการจับคู่ทางธุรกิจก็จะเกิดขึ้นตามมา

“ตึกๆ นี้ ไม่ได้สร้างเพื่อหาผู้เช่าให้เต็มแล้วไปพัฒนาที่ดินผืนใหม่ต่อไป แต่ TDPK ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น Engine for Change สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อทั้งองค์กร ลูกค้า และสังคม ซึ่งทั้ง 3 ภาคี ล้วนมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ไม่สามารถแยกออกจากกันได้” เขาอธิบาย

ทั้งนี้ สถานะ Engine for Change ของ TDPK สะท้อนออกมาจากหลายมิติ อย่างการบริหารพื้นที่โซนต่างๆ ด้วยดาต้า การออกแบบพร้อมที่จะเปลี่ยนฟังก์ชั่นการทำงานของพื้นที่ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น พื้นที่ที่เคยเป็นออฟฟิศสามารถทรานส์ฟอร์มเปลี่ยนพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมอื่นๆ เพื่อคอมมูนิตี้หรือ co-working space ได้ในระยะเวลาอันสั้น

 

รักษาโมเมนตัม: คีย์สำคัญวงการสตาร์ทอัพ

ปัจจุบัน การระดมทุนในวงการสตาร์ทอัพไทยจะไม่ดูสดใสเหมือนในอดีต ทั้งยังมีข่าวที่ไม่สู้ดีนักผุดขึ้นมาอยู่เนืองๆ ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่จำกัดเพียงวงการสตาร์ตอัพเท่านั้น แต่ขยายไปสู่ธุรกิจ SMEs ซึ่งธาริตมองว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลกระทบจากวัฏจักรทางเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงถดถอย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ภาวะสงคราม รวมถึงโมเดลธุรกิจของสตาร์ทอัพที่เน้นการลงทุนอย่างมากในระยะเริ่มต้น ที่อาจไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่รุมเร้าด้วยปัจจัยลบ แต่ด้วยพันธกิจ TDPK เพื่อการเป็นฮับของสตาร์ทอัพ การรักษาโมเมนตัม สร้างแรงบันดาล ดึงดูดทาเลนท์ให้เข้าสู่วงการ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

“หากไฟมอดหรือดับลงแล้ว การจะจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งเป็นเรื่องยาก เราจึงต้องรักษาไฟนั้น อย่าให้ดับมอดลง ฉันใดฉันนั้น เช่นเดียวกับหน้าที่ของ TDPK ต่อสตาร์ทอัพไทย”

ปัจจุบัน TDPK เป็นฐานที่สตาร์ทอัพใช้ทำงาน สร้างนวัตกรรมอยู่ทั้งสิ้นกว่า 260 รายและมีสมาชิกกว่า 13,000 คน  ซึ่งถือว่าไม่น้อย ขณะเดียวกัน แนวโน้มที่ชาวต่างชาติใช้ไทยเป็นฐานในการปฏิบัติการด้านสตาร์​ทอัพก็มีมากขึ้น โดยความร่วมมือระหว่าง TDPK และ BOI ผ่านโปรแกรม Long-Term Resident Visa

ผลงานที่ประจักษ์ของ TDPK ในขวบปีที่ 6 ภายใต้การนำของธาริต เกิดขึ้นจากดีเอ็นเอ 3 ประการ 1. ความสมดุล 2. ความคิดสร้างสรรค์ และ 3. ความกล้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาบ่มเพาะและเรียนรู้จากการเป็นนักบริหารที่คิดแบบนักวิทยาศาสตร์ โดยเขาค้นพบว่า ทักษะและแนวคิดจากพาณิชยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ต่างเติมเต็มช่องว่างซึ่งกันและกัน ปิดจุดบอด อุดรูรั่ว รู้ลึกและรู้กว้าง เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส ผลิดอกออกผลเป็นสิ่งที่เรียกว่า “นวัตกรรม”

เชิญชวนทุกโรงเรียนในประเทศไทยร่วมโครงการ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นของเยาวชนไทย

ยูนิลีเวอร์ ผู้นำตลาด FMCG ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างยั่งยืน ได้รับการยกย่องด้านวัฒนธรรมการทำงานที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง คว้ารางวัล HR Asia Best Company to Work For Awards หรือ รางวัลบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในเอเชียเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันจาก HR Asia (เอชอาร์ เอเชีย) สื่อชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาค สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของยูนิลีเวอร์ในการรังสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย (Purpose-driven) และจุดประกายแรงบันดาลใจ ตอกย้ำพันธกิจการพัฒนาพนักงานให้มีเป้าหมายการทำงาน และความตั้งใจที่จะบ่มเพาะบุคลากรให้มีทักษะที่พร้อมต่อการทำงานในอนาคต ผ่านแนวทาง 3 ด้านได้แก่ ด้านบุคลากรผ่านการพัฒนาอาชีพ (Career) ด้านการเสริมสร้างทักษะ (Capability) และด้านวัฒนธรรม (Culture)

นายอันชุล อะซาวา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดีกับความสำเร็จครั้งนี้ว่า “ยูนิลีเวอร์ ดำเนินกิจการในประเทศไทยภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นเป็นผู้นำระดับโลกในธุรกิจที่ยั่งยืน การคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรา แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้เรายิ่งทุ่มเทให้ความสำคัญกับบุคลากรซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนความสำเร็จที่แท้จริงให้กับเรา ผมขอขอบคุณพนักงานทุกคนสำหรับการร่วมแรงร่วมใจสร้างวัฒนธรรมการทำงานอันยอดเยี่ยมที่ยูนิลีเวอร์ เราจะเดินหน้าร่วมกันเพื่อพัฒนา ปรับเปลี่ยน และส่งเสริมให้บุคลากรของเราก้าวหน้าและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน”

นางสาว มิง ชู หลิง รองประธานฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียนยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า “รางวัลที่ได้รับนี้เป็นบทพิสูจน์ความทุ่มเทที่ยูนิลีเวอร์มอบให้พนักงานของเรา จากกลยุทธ์ต่างๆที่ยูนิลีเวอร์รังสรรค์ขึ้นเพื่อส่งเสริมบุคลากรผ่านการพัฒนาทางด้านอาชีพ (career) เสริมสร้างทักษะ (capability) และวัฒนธรรมองค์กร (culture) เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้บุคลากรของเราประสบความสำเร็จท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยกลยุทธ์การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ส่งเสริมให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและความใส่ใจอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้เราดึงดูดบุคลากรที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมาย (purpose) ทั้งในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานที่มีความสามารถและทุ่มเทในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายและเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ จนทำให้ยูนิลีเวอร์ประเทศไทยเป็นสถานที่ทำงานที่สามารถช่วยปลดล็อกศักยภาพของทุกคนได้อย่างเต็มที่”

 

  1. ขับเคลื่อนความก้าวหน้าและการเติบโตในสายอาชีพของบุคลากร (Career)

ยูนิลีเวอร์ได้ริเริ่มแนวคิดที่มีความโดดเด่นอย่าง Shape Your Own Adventure เพื่อส่งเสริมให้พนักงานสามารถกำหนดเส้นทางอาชีพของตนเอง รวมถึงเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงโอกาสการเติบโตอย่างเท่าเทียมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยแนวคิดนี้มุ่งสร้างแรงบันดาลใจและพร้อมสนับสนุนบุคลากรให้สามารถบรรลุเป้าหมายชีวิตและอาชีพ ด้วยความตั้งใจของยูนิลีเวอร์ที่จะเป็นแหล่งผลิตบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ เราจึงให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมบุคลากรให้สามารถวางแผนอาชีพในอนาคตได้ด้วยตัวเอง แนวความคิดนี้พัฒนาขึ้นจากการรับฟังความคิดเห็นในแบบสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน บริษัทมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือพนักงานในการค้นหาเป้าหมายในอาชีพของตน ทักษะที่จำเป็น พร้อมทั้งให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้ทุกคนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ โครงการดังกล่าวสามารถจุดประกายความมุ่งมั่นและปลดล็อกศักยภาพของพนักงาน นำไปสู่การเลื่อนตำแหน่งของพนักงานกว่าสองร้อยคน  และการแต่งตั้งตำแหน่งในระดับภูมิภาคและนานาชาติอีกสี่สิบตำแหน่งในปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความเอาใจใส่ของยูนิลีเวอร์ในการรับฟังและพร้อมสนับสนุนเพื่อให้พนักงานได้บรรลุเป้าหมายทางหน้าที่การงานภายในองค์กร

  1. ส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาทักษะเพื่อตอบรับกับการการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Building Leading-Edge Capability)

ยูนิลีเวอร์ เดินหน้าลงทุนพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อให้สามารถปรับตัวและประสบความสำเร็จท่ามกลางสภาพแวดล้อมการทำงานในอนาคต ขณะเดียวกัน บริษัทฯ กำลังเร่งบูรณาการระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลล้ำยุคเพื่อพัฒนากระบวนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ในขณะที่ระบบอัตโนมัติและ AI กำลังเข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ยูนิลีเวอร์ ยังคงศึกษาการนำพลังของเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้องค์กรเพิ่มประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายสูงสุด ควบคู่ไปกับการยกระดับศักยภาพพนักงานให้สามารถปรับตัวและรับมือกับรูปแบบการทำงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้ริเริ่ม ‘Digital Upskilling Program’ เพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้ทักษะและเครื่องมืออัจฉริยะใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับนำมาปรับใช้กับกระบวนการทำงานของตนเอง นอกจากนี้ยังมีโครงการ ‘Digital Factory’ ที่บ่มเพาะทักษะด้านการค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจำเป็นต่อการดำเนินงานในโรงงานและศูนย์การผลิตที่กระบวนการมีความซับซ้อน

  1. ปลูกฝังวัฒนธรรมที่ช่วยส่งเสริมการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและการดูแลพนักงานอย่างดี (Embedding the Culture of High Performance and Care)

ยูนิลีเวอร์มุ่งเน้นสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่กระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โอบรับความท้าทายใหม่ พร้อมทั้งยกระดับวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่นและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอย่างรอบด้านและเท่าเทียม พนักงานจะกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการทำงานที่ชัดเจน และได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมจากบริษัทและหัวหน้างาน รวมถึงสวัสดิการที่ครอบคลุมความต้องการทั้งในมิติการทำงานและชีวิตส่วนตัว อาทิ การพัฒนารูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นเพื่อส่งเสริมการสร้างสมดุลในการทำงานและการใช้ชีวิต ด้วยการจัดระบบการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working Arrangement) และการเปิดโอกาสในการย้ายงานทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาวให้กับพนักงานทั่วโลกโดยไม่จำกัดเพศและสัญชาติ สำหรับด้านชีวิตส่วนตัว ยูนิลีเวอร์ มอบสวัสดิการลาคลอด 16 สัปดาห์ของคุณแม่และวันลา 15 วันสำหรับคุณพ่อ และโครงการ ‘Healthier U’ เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและความสุขในที่ทำงาน พร้อมด้วยการสนับสนุนเฉพาะด้านตามความต้องการของแต่ละบุคคล ทั้งสุขภาพกายและใจ โดยเปิดโอกาสให้พนักงานมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและสามารถเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุดได้ในทุกๆ วันที่มาทำงาน

“ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สถานที่ทำงานที่ไม่เพียงแต่ขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ยังส่งเสริมการเติบโตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอีกด้วย ในขณะที่เราฉลองความสำเร็จนี้ เราจะเดินหน้าต่อไปในเส้นทางแห่งความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ความเท่าเทียม และความเป็นเลิศ เราจะพยายามทำให้ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เป็นสถานที่ที่พนักงานทุกคนสามารถเติบโตและมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้” นายอันชุล กล่าวเสริม

กรุงเทพประกันชีวิต ประสบความสำเร็จอีกครั้ง  จากผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ “กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์” ที่สามารถคว้ารางวัล “Product of the Year Awards 2024” ในงานมอบรางวัลสินค้าและบริการแห่งปี 2567 “BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2024ภายใต้แนวคิด “Our Planet Resurrection ฟื้นคืนโลกของทุกคนเพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่นในด้านความยั่งยืนแห่งปี 2567 ที่ผ่านการวิจัยและวิเคราะห์จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผ่านการโหวตคัดเลือกจากผู้บริโภค จัดโดย นิตยสาร Business+ ร่วมกับ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี นายโชน โสภณพนิช (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับรางวัลจาก นายนุรักษ์ มาประณีต (ขวา) องคมนตรี ที่ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา เมื่อเร็วๆนี้

นายโชน กล่าวว่า กรุงเทพประกันชีวิตรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่ผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ “กรุงเทพ สมาร์ทคิดส์” ประสบความสำเร็จกับรางวัล Product of the Year Award 2024 และขอขอบคุณนิตยสาร Business+ และ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เล็งเห็นความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่กรุงเทพประกันชีวิตมุ่งมั่น “ใส่ใจ” พัฒนาให้ดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูก สะท้อนถึงการดำเนินงานตามภารกิจในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับประชาชนทุกคน

กรุงเทพประกันชีวิต ประสบความสำเร็จอีกครั้ง  จากผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ “กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์” ที่สามารถคว้ารางวัล “Product of the Year Awards 2024” ในงานมอบรางวัลสินค้าและบริการแห่งปี 2567 “BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2024ภายใต้แนวคิด “Our Planet Resurrection ฟื้นคืนโลกของทุกคนเพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่นในด้านความยั่งยืนแห่งปี 2567 ที่ผ่านการวิจัยและวิเคราะห์จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผ่านการโหวตคัดเลือกจากผู้บริโภค จัดโดย นิตยสาร Business+ ร่วมกับ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี นายโชน โสภณพนิช (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับรางวัลจาก นายนุรักษ์ มาประณีต (ขวา) องคมนตรี ที่ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา เมื่อเร็วๆนี้

นายโชน กล่าวว่า กรุงเทพประกันชีวิตรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่ผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ “กรุงเทพ สมาร์ทคิดส์” ประสบความสำเร็จกับรางวัล Product of the Year Award 2024 และขอขอบคุณนิตยสาร Business+ และ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เล็งเห็นความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่กรุงเทพประกันชีวิตมุ่งมั่น “ใส่ใจ” พัฒนาให้ดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูก สะท้อนถึงการดำเนินงานตามภารกิจในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับประชาชนทุกคน

“โคคา-โคล่า” ไทยน้ำทิพย์ คว้าอีกหนึ่งรางวัลระดับสากล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 องค์กรชั้นนำในเอเชียที่น่าร่วมงานด้วย ซึ่งจัดโดย HR Asia นิตยสารด้านทรัพยากรบุคคลของภูมิภาคนี้ เพื่อยกย่ององค์กรผู้นำที่โดดเด่นด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลและการดูแลพนักงาน สะท้อนความสำเร็จด้านมาตรฐานระดับสากลที่ส่งเสริมการมีสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งมีสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนความร่วมมือ และโครงการยกระดับศักยภาพการเรียนรู้และเติบโต ภายใต้แนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน

คุณจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ หัวหน้าสายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแบรนด์ “โคคา-โคล่า” ในประเทศไทย กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ “โคคา-โคล่า” ไทยน้ำทิพย์ ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำในไทย ที่ได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 สุดยอดองค์กรที่น่าทำงานด้วยที่สุดในเอเชีย สะท้อนความสำเร็จจากการดูแลพนักงานไทยน้ำทิพย์ที่มีจำนวนกว่า 8,000 คน ทั้งในสำนักงานใหญ่และในสาขาและศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ โดยมีนโยบายและการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ได้มาตรฐานระดับสากล พร้อมกลยุทธ์ที่ใส่ใจพนักงานโดยยึดหลัก Well-being อย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้พนักงานมีความเชื่อมั่น ผูกพันและมีส่วนร่วมสูงกับองค์กร บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 65 ปีแล้ว เราเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง ในขณะเดียวกันก็พร้อมปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นเสมอ เรายังคงเดินหน้ายกระดับการดูแลพนักงานซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กร เพื่อเดินหน้าเติบโตสู่ระดับภูมิภาคเอเชีย”

โดยกลยุทธ์ที่ยึดหลัก Well-being ครอบคลุมการดูแล 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสุขภาพกาย (Physical Health) และ ด้านสุขภาพจิต (Mental Health) ด้วยสวัสดิการสุขภาพพนักงานที่ครอบคลุม และการจัดกิจกรรมพิเศษส่งเสริมสุขภาพกายและใจที่ดี ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน (Work Environment) โดยปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่และสาขาตามภูมิภาคให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย สนับสนุนการทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายงาน และมีพื้นที่สีเขียวและสถานที่ทำกิจกรรมสันทนาการ ด้านการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้และเติบโต (Learning and Career Development) โดยมีโปรแกรมพัฒนาทักษะเพิ่มความสามารถ และส่งเสริมการเติบโตของพนักงาน และด้านการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG)

นอกจากนี้ “โคคา-โคล่า” ไทยน้ำทิพย์ ยังได้รับการยอมรับจากรางวัลอื่น ๆ ที่สะท้อนความแข็งแกร่งด้านองค์กรนายจ้างชั้นนำ ได้แก่ รางวัล HR Excellence Awards 2024 ด้าน Excellence in Corporate Wellness ระดับ Gold และรางวัล Kincentric Best Employer 2024 โดยเป็น 1 ใน 4 องค์กรชั้นนำในไทยที่ได้รับการจัดอันดับในปีนี้

รุกตลาดสินค้าอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่นเต็มสูบ พร้อมจัดงานเจรจาธุรกิจทั่วไทย - ครั้งแรกกับการเจรจาธุรกิจในภาคใต้ของประเทศไทย -

สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดผลการดำเนินงานโครงการฤดูกาลสุขปลอดเหล้าและงดเหล้าเข้าพรรษา ปี2567 ดำเนินการ 21 ปีอย่างต่อเนื่อง นายธีระ  วัชรปราณี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า การดำเนินงานภายใต้แนวคิด “งดเหล้า 3 เดือน เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่” ซึ่งมีชมรมคนหัวใจเพชรและกลุ่มพลังหญิงหัวใจเพชร เป็นแกนนำในการขับเคลื่อนและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกคนในชุมชน และกลุ่มเครือข่ายเยาวชน YSDN (Youth Strong & Development Network) เป็นอีกกำลังหนุนเสริมสำคัญในการสื่อสารชวน ลด ละ เลิกเหล้า รวมทั้งป้องกันไม่ให้มีนักดื่มหน้าใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ ตามแนวทาง การสร้างคน เชื่อมเครือข่าย และขยายศักยภาพชุมชน และในการรณรงค์ในปีนี้ยังเน้นสร้างคนคุณภาพไม่เน้นปริมาณ โดยติดตาม ชวน ช่วย ชมเชียร์ กันอย่างเข้มข้น พร้อมทั้งมาตรการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิต ว่าที่คนหัวใจเพชร ภายใต้แนวคิด สังคมสุขปลอดเหล้า 

สคล.มีการเก็บข้อมูล ผู้ลงนามปฏิญานตนงดเหล้าช่วงเข้าพรรษา ผ่านระบบลงนามปฏิญาณตน SOBER CHEERs ของสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า รวมระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ข้อมูลผู้เข้าร่วมจาก 1,010 ชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวน 28,705 คน พบว่าประหยัดเงินค่าเหล้าได้ จำนวน 3,620 บาท/คน/เดือน ดังนั้นเมื่อครบ 3 เดือน จะสามารถประหยัดเงินได้ จำนวน 183,597,810 บาท โดยมีเป้าหมายว่าผู้เข้าร่วมจะร่วมลดละเลิกกับโครงการตลอดไป และยังพบว่า 85% ของผู้ลงนามทั้งหมด มีแรงจูงใจในการงดดื่มเพราะห่วงสุขภาพของตนเอง ดังนั้น แนวทางการนำเรื่องสุขภาพมาเป็นตัวนำในการชวนเลิกเหล้าจึงเป็นประเด็นหลัก

นางสาวพิมพ์มณี เมฆพายัพ ผู้จัดการโครงการฤดูกาลสุขปลอดเหล้าและงดเหล้าเข้าพรรษา กล่าวว่า การรณรงค์จะแบ่งเป็น 4 กลยุทธ์ คือ 1) สร้างกระแสการรับรู้และเชิญชวนให้ประชาชนใช้โอกาสเทศกาลเข้าพรรษา 3 เดือน ในการฟื้นกาย ใจ ในการรับรู้ผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดจากการดื่ม โดยออกแบบการสื่อสารให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้รับสารที่มีความหลากหลายมากขึ้น 2) สนับสนุนหน่วยงาน ภาคีเครือข่าย ชุมชน ที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยจัดเก็บข้อมูลด้วย Google from เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการสนับสนุน สื่อรณรงค์ต่างๆ รวมทั้งติดตามช่วยเชียร์ผู้สมัครใจ ลด ละ เลิกเหล้าตลอดเข้าพรรษา 3) สนับสนุนกลุ่มพลังหญิงหัวใจเพชร (80 กลุ่ม) เป็นแกนนำในการณรงค์ ชวน ช่วย ชมเชียร์งดเหล้าเข้าพรรษา โดยพัฒนาศักยภาพและสนับสนุนกิจกรรม 4) สนับสนุนชมรมคนหัวใจเพชร (40 กลุ่ม) ให้มีทักษะในการชวน ช่วย ชมเชียร์ สำหรับทักษะนักสื่อสารสร้างแรงบันดาลใจ ให้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และการออกแบบรณรงค์เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมสุขปลอดเหล้า ให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย มีวินัยการออม

นอกจากนี้ ส่งเสริมให้พึ่งพาตนเอง เช่น การทำบัญชีครัวเรือน การปลูกผักสวนครัว  การทำเครื่องอุปโภคบริโภคไว้ใช้เอง เพื่อลดต้นทุนเงินไหลออก, พัฒนาทักษะการพัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงส่งเสริมการรักษาสุขภาพให้ปลอดจากโรค NCDs ด้วยการใช้สมุนไพรและธรรมชาติบำบัด เพื่อสร้างเสริม ฟื้นฟูสุขภาพ โดยเชื่อมโยงกับ Sobrink แนวคิดเรื่องการฟื้นฟูสภาพตับ มาเป็นการฟื้นฟูพลังชีวิต ครอบคลุมสุขภาพองค์รวม หลักสูตร Sobrink นี้ จึงเป็นเรื่องการขยาย โดยเป็นการเชิญชวน ทั้งคนที่ดื่มและไม่ดื่มในสังคม มาดูแลตัวเองกันแบบง่ายๆ ในแต่ละวัน 

นายมงคล ปัญญาประชุม ผู้ประสานงานเครือข่ายงดเหล้าภาคอีสานตอนล่าง กล่าวว่า การจัดกระบวนการทำงานช่วงต้นพรรษาของบริบท 9 จังหวัดอีสานตอนล่าง ปัจจุบันมีคนที่เข้าร่วมผ่านระบบ จำนวน 7,263 คน ในจำนวนนี้ จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 1,462 บาท/คน หากรวมระยะเวลา 3 เดือน จะคิดเป็นเงิน 31,855,518 บาท การจัดกิจกรรมงานงดเหล้าเข้าพรรษา ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี ที่ประชาคมจังหวัดได้ชวนหน่วยงานต่างๆโดยเฉพาะ นายอำเภอร่วมทำงานรณรงค์ จากการติดตามพบว่า หลายจังหวัดมีกระบวนการทำงานทั้งระดับชุมชน อำเภอ และจังหวัด ไปจนถึงการทำงานร่วมกับ หน่วยงาน โดยใช้วิธีลงนามปฏิญาณตนบวชใจ ผ่านเอกสาร ผ่านสมุดลงนาม อีกช่องทาง ซึ่งเข้าพรรษาปีนี้เป็นที่คึกคักและมาช่วยปลุกให้กระบวนการทำงานงดเหล้าถูกพูดถึงอย่างมีชีวิตชีวา และการทำงานงดเหล้าเข้าพรรษานำไปสู่ประเด็นอื่นๆด้วย โดยฐานของการทำงานงดเหล้าเข้าพรรษา อีสานล่างมี 3 ฐานด้วยกัน 1) การทำงานพื้นที่ชุมชนคนสู้เหล้า  2) ประสานงานระดับนโยบาย 3) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีต่างๆ เช่น เครือข่ายตำรวจ องค์กรการศึกษา เครือข่ายอสม. ที่เป็นภาคีเครือข่ายร่วมกับเรา ได้ออกมาแสดงพลังร่วมด้วยเช่นเดียวกัน

พฤกษา โฮลดิ้ง มุ่งมั่นสู่ความเป็นองค์กรที่ยั่งยืน นำหลักการ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) มาผสานในการดำเนินธุรกิจอย่างครอบคลุม ล่าสุดจัดงานใหญ่ประจำปี ESG DAY 2024 : Everyone Matters ชูวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของคนทุกคน และการต่อต้านการทุจริต เพื่อตอกย้ำให้พนักงานเข้าใจสิทธิและบทบาทความรับผิดชอบของตนเอง ของผู้อื่น และของสังคม สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเสมอภาค และโปร่งใส มุ่งผลักดันความยั่งยืนทั้งด้านธุรกิจและสังคม

นำโดย นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)  พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทุกสายธุรกิจในกลุ่มร่วมงาน ณ อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก

งาน ESG DAY 2024 เป็น Hybrid Event ที่จัดขึ้นทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสื่อสารถึงพนักงานทั้งหมดในกลุ่มพฤกษา ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เฮลท์แคร์ อีคอมเมิร์ช ก่อสร้างและพรีคาสท์ จำนวนรวมกว่า 2,740 คน  ภายในงานมีกิจกรรมที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานตามหลัก ESG ที่แปลงจากนโยบายลงมาสู่แนวปฏิบัติจริงภายในองค์กร การตอบคำถามชิงรางวัลในบูธต่อต้านคอร์รัปชัน การจัดบอร์ดจากวัสดุรีไซเคิลให้พนักงานร่วมเสนอไอเดียการมีส่วนร่วมให้พฤกษาบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 30 ในปี 2030 และบูธกิจกรรม “วนพลัสรีไซเคิล”  ให้พนักงานนำขยะพลาสติกที่แห้งและสะอาด ประเภทขวดพลาสติก หรือ ฟิล์มและพลาสติกยืดได้ หรือ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ขวดแก้ว มาแลกเพื่อเล่นกิจกรรม ซึ่งถือเป็นอีเวนท์ที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่แท้จริง พร้อมมีจัด Talk พิเศษ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานสำหรับพนักงานโดยเฉพาะ โดย ดีเจพี่อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในหัวข้องานนี้ต้องสตรอง "Club ESG Day" ตอน work life integration สร้างชัยชนะในงานและตนเองไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมตามจรรยาบรรณธุรกิจ ที่พฤกษาให้ความสำคัญต่อการสร้าง mindset ให้การทำงานและการใช้ชีวิต สามารถชนะไปด้วยกันได้อย่างมีความสุข  พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญให้กับองค์กรและสังคมส่วนรวม ส่งมอบคำว่า “อยู่ดี มีสุข” จากภายในสู่ภายนอก ได้จริง

X

Right Click

No right click