December 16, 2025

“กองทุนพัฒนาไฟฟ้า” สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) มุ่งส่งเสริมการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด สู่สังคมคาร์บอนต่ำ เดินหน้าโครงการเด็กตื่นไฟ เปลี่ยนพลังงานผ่านตัวเรา (เด็กตื่นไฟปี 3) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงาน กกพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เพื่อผลักดันเยาวชน สร้างสรรค์สื่อภาพยนตร์สั้น แคมเปญการสื่อสารภายใต้หัวข้อ “THE CHANGER เปลี่ยนพลังงานผ่านตัวเรา” ให้ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ รณรงค์คนรุ่นใหม่ใช้พลังงานสะอาด เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

สำนักงาน กกพ. ให้ความสำคัญต่อการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของทุกคน

นายคชภพ สงวนวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิร์คลิงค์ ดา เอเจนซี่ จำกัด ในฐานะผู้จัดการโครงการเด็กตื่นไฟ ปี 3 “THE CHANGER เปลี่ยนพลังงานผ่านตัวเรา” กล่าวว่า โครงการดังกล่าว เป็นความสำเร็จอีกขั้นของการสื่อสารเรื่องพลังงานสะอาด ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยผลงานภาพยนตร์โฆษณาและแคมเปญการสื่อสารที่ได้รับรางวัลจากโครงการเด็กตื่นไฟ ปี 3 ได้แก่

รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม Hello Kitty มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ

รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม Lemonspace  มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ทีม SHINESIGHT  มหาวิทยาลัยรังสิต

รางวัลชมเชย ทีมบะหมี่เฮียกง  มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ

รางวัลชมเชย ทีม 19TH FLOOR มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ

ทั้งนี้ ผลงานภาพยนตร์โฆษณาและแคมเปญที่ได้รับรางวัลจะถูกนำไปเผยแพร่ และสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในหลากหลายช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ Facebook  YouTube แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ และช่องทางออฟไลน์ เช่น แหล่งชุมชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ย่านอาคารสำนักงาน แหล่งช้อปปิ้ง สถานีขนส่ง เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึง ปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศและ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่การหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น

กองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับโลก โดยการติดตามและสนับสนุนโครงการ “เด็กตื่นไฟ ปี 3” เพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างโลกที่น่าอยู่เพื่อคนรุ่นหลัง

โดยสามารถติดตามและร่วมแชร์ผลงานของน้องๆในโครงการเด็กตื่นไฟ ปี 3 ได้ที่ Facebook Fanpage : เด็กตื่นไฟ  https://web.facebook.com/DEKWAKEUP/?locale=th_TH&_rdc=1&_rdr

การมองเห็นที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และการดูแลสุขภาพสายตาเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องในเดือนแห่งวันสายตาโลก ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้มีขึ้นในวันพฤหัสบดีสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมทุกปี ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 10 ตุลาคม 2567 แว่นท็อปเจริญ ในฐานะผู้นำการบริการด้านสายตาที่เชี่ยวชาญครบวงจร พร้อมให้การดูแลที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในอาเซียน​ นำโดย นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด (มหาชน) จึงขอเชิญชวนประชาชนดูแลเอาใจใส่สายตาและแว่นตาของตนเอง ด้วยการเข้ารับบริการตรวจสุขภาพสายตาฟรี! โดยนักทัศนมาตร (Doctor of Optometry) และผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาระดับมืออาชีพ ภายใต้การกำกับดูแลโดยจักษุแพทย์ ผ่านโปรแกรมการตรวจวัดที่ละเอียดแม่นยำ ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีอันครบครัน พร้อมรับบริการล้างทำความสะอาดแว่นตา ปรับดัดทรง ขันน็อต และเปลี่ยนแป้นจมูก ให้สวมใส่สบายกระชับใบหน้าฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ที่ร้านแว่นท็อปเจริญกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ

เนื่องในวันสายตาโลก แว่นท็อปเจริญจึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการมีสุขภาพดวงตาที่ดี พร้อมรับมือกับปัญหาและความผิดปกติของสายตาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที หรือสายตาอาจมีโอกาสเปลี่ยนแปลงค่าได้ทุกปี ผู้สนใจสามารถเข้ารับคำปรึกษา หรือขอรับบริการตรวจวัดสายตาและยังสามารถเลือกซื้อแว่นสายตาและแว่นกันแดด คอนแทคเลนส์ หรือผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เกี่ยวกับดวงตาจากแบรนด์ชั้นนำ ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และทุกปัญหาสายตา ได้ที่ร้านแว่นท็อปเจริญทุกสาขา ใกล้บ้านคุณ

พิเศษ!!! สำหรับลูกค้าที่คลิกเพิ่มเพื่อนกับเราในไลน์ไอดี @topcharoen รับฟรีทันที ของพรีเมียมสุดคูล ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook.com/TopCharoenOpticalOfficial และเว็บไซต์ www.topcharoen.co.th

ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมประชาสัมพันธ์ไทย เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการขยายตัวทางภาคธุรกิจจากจีน หรือที่เรียกกันว่า "ทุนจีน" ได้เข้ามามีการรุกคืบไทยอย่างต่อเนื่อง นับเป็นสถานการณ์ที่ มีทั้งความท้าทายและโอกาสต่อธุรกิจของไทย แม้ว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง การถ่ายทอดเทคโนโลยี การส่งเสริมแรงงาน แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อยเพราะการผูกขาดหลายส่วน  แต่การเข้ามาเป็นคู่แข่งขันโดยตรง ได้ก่อให้เกิดการเสียโอกาสของธุรกิจโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการไทย ที่ผ่านมาจะเห็นจากการเข้ามาของทุนจีนในอุตสาหกรรมต่างๆ  อาทิ ธุรกิจท่องเที่ยว ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึง สินค้าอุปโภคบริโภคมากมาย

อีคอมเมิร์ซจีนคืบคลานเข้าไทย ในขณะที่ตลาดออนไลน์เติบโต

หนึ่งในวงจรสำคัญ ของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงมากในประเทศไทย ก็คือ ธุรกิจการค้าปลีกออนไลน์ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีความเกี่ยวโยงกับผู้ผลิตที่เป็นผู้ประกอบการในประเทศเป็นจำนวนมาก

การเข้ามาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีน ที่เชื่อมโยงกับกระบวนการผลิตขนาดใหญ่ นั่นคือนานาสินค้านับพันนับหมื่นรายการ ที่มีข้อได้เปรียบทั้งด้านต้นทุนแรงงาน วัตถุดิบ สายการผลิต เงินทุน เทคโนโลยี เมื่อนำมาผนวกเข้ากับการทำการตลาดออนไลน์ ทำให้ผู้ประกอบการไทยหลายราย ต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือด อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ในส่วนของประเทศไทยนั้น การเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ช่วงที่มีอัตราก้าวกระโดด ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสนใจต่อการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ Temu จากจีนจึงได้เข้ามาเปิดตัวในระยะแรกอย่างเงียบๆ พร้อมกับการสำรวจตลาดไปด้วย หลังจากมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ที่เปิดตัวไปแล้วในปีก่อน นับเป็นประเทศลำดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียน แม้ว้าต้องเผชิญกับ เจ้าตลาดเดิมอย่าง Shopee และ Lazada ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ค่อนข้างสูง รวมถึง TikTok Shop ที่มีความคุ้นเคยกับผู้บริโภคชาวไทย และมีฐานลูกค้าในจำนวนไม่น้อย  หลังจากการเร่งดำเนินทางการตลาด นำเสนอขายสินค้ามากมายข้ามพรมแดน ไปยังหลายประเทศ พัฒนาการวางระบบโลจิสติกส์ ที่จะทำให้จัดส่งสินค้ามีประสิทธิภาพ  ส่งผลให้เกิดการรีวิวและการให้คะแนนในระดับที่ดีจากลูกค้า ที่ใช้งานจริง

การรับมือจากภาครัฐที่ยังคงไม่ทันกับสถานการณ์

ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของภาครัฐ ยังขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ไม่ทันกับการรุกคืบและผลกระทบที่ตามมาในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการป้องกันการเข้ามาครอบงำตลาดในประเทศไทย การรับมือต่อการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ มาตรการทางด้านภาษี ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้น ระยะยาวให้กับผู้ประกอบการของไทยทั้งขนาดเล็กและกลางต้องเผชิญกับการแข่งขัน โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการธุรกิจจากจีน ที่มีเงินทุนสูง ทำให้ศักยภาพในการ รองรับการผลิตได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถในการจัดการต้นทุนได้ดีกว่า

การแก้ไขไม่ให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคา นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ หากผู้บริโภคชาวไทยซึ่งสนใจสินค้าราคาถูก คุณภาพต่ำแต่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคเอง ทั้งในด้านมาตรฐานของสินค้า สารตกค้าง ความรับผิดชอบต่อกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ ตลอตจนผลกระทบทั้งด้านสุขภาพ สังคม สิ่งแวดล้อม 

การศึกษาบทเรียน และแนวทางแก้ไข

ในขณะที่ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคคนไทยต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยังไม่มีมาตรการ เพื่อแก้ไข หรือรับมืออย่างจริงจังจาก ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ที่อาจเกิดขึ้นจากระเบียบ กฏเกณฑ์ กฎหมายที่ล้าสมัย ความรับผิดชอบที่ซ้ำซ้อนกันหลายหน่วยงาน ในขณะที่บางปัญหายังหาผู้รับผิดชอบแก้ไขโดยตรงยังไม่ได้ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจของไทย ที่เกี่ยวข้องในแต่ละส่วน จึงมีความสำคัญต่อการศึกษา ติดตาม เพื่อเตรียมพร้อม ต่อการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สมาคมประชาสัมพัยธ์ไทย จึงขอเสนอแนวทางรับมือในด้านต่างๆ ดังนี้ 

  • การสร้างการมีส่วนร่วม
  • ควรมีการสร้างการมีส่วนร่วม ทั้งในฝั่งของผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ภาครัฐ ภาคการศึกษา และองค์กรวิชาชีพ ในการจับมือร่วมกันเพื่อศึกษารวบรวมผลกระทบ และแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน ทั้งในระยะสั้น ระยะยาวยาว เพื่อสรุปผลให้ผู้ที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน
  • การวางเครือข่ายที่กว้างขวาง และการสร้างพันธมิตรที่แข็งแรงแนบแน่นในระดับสากล เพื่อให้เกิดความร่วมมือ เพิ่มอำนาจการต่อรองให้มากขึ้น
  • ส่งสริมให้เกิดการศึกษา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ การเข้าถึงความรู้ทักษะ ความเชี่ยวชาญ แหล่งเงินทุนและทรัพยากรต่างๆ ที่ปรึกษา สำหรับการขยายตลาดและโอกาสทางธุรกิจ ของผู้ประกอบการ
  • การเผยแพร่ข้อมูลและข่าวสาร มีการติดตาม เฝ้าระวังข้อมูลและข่าวสารแนวโน้มและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ที่เกี่ยวข้อง และสามารถเข้าถึงง่าย
  • การพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน
  • ผู้ประกอบการในไทยควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ต่อการให้ความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งในด้านเทคโนโลยี และการส่งเสริมนวัตกรรม
  • มีการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้มีคุณภาพที่สูงขึ้นกว่าเดิม การสร้างความแตกต่างที่เป็นทั้งรูปธรรม นามธรรม เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ
  • การทบทวนกลยุทธ์ทางด้านการตลาดเพื่อรับมือการแข่งขัน โดยเฉพาะการแข่งขันในสงครามราคา และคู่แข่งที่มีศักยภาพสูง
  • การพัฒนาทางด้านบุคลากร แรงงานที่มีฝีมือโดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการในระดับนานาชาติ
  • การส่งเสริมทางด้านการตลาด แบรนด์ และการสื่อสาร
  • การทบทวนยุทธศาสตร์แผนทางด้านการตลาดให้กับประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาตลาดออนไลน์เพื่อส่งเสริมธุรกิจผลิตภัณฑ์ของไทยในต่างประเทศ การทบทวนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การกำหนดแนวทางการสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาช่องทางการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ที่มีอยู่เดิม และในระบบอีคอมเมิร์ซ
  • การสร้างแบรนด์และการสื่อสารทางตลาดให้แข็งแกร่ง ด้วยการสื่อสารแบรนด์ให้โดดเด่น ด้วยเอกลักษณ์ไทยให้สอดคล้องกับกระแสโลก และการสื่อสาร การส่งเสริมทางการตลาดตามบริบทของการใช้ชีวิตของผู้บริโภคปัจจุบันและอนาคต

ทั้งนี้ สมาคมประชาสัมพันธ์ไทย มองว่า ในขณะที่ตลาดโลก รวมถึงประเทศไทย ต้องเผชิญกับสถานการณ์แข่งขันที่ดุเดือดและรุนแรงจากจีนในปัจจุบัน และเชื่อว่าในอีกไม่ช้าเราอาจต้องพบกับการเข้ามาของอีกหลายประเทศที่มีต้นทุนและศักยภาพ ที่กำลังแสวงหาโอกาสทางธุรกิจอีกเช่นกัน ซึ่งประเทศไทยในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือ ในการเตรียมความพร้อมและการปรับตัวต่อความท้าทาย เพื่อให้รับมือกับการแข่งขัน และสามารถสร้างโอกาสได้ ในอนาคต

นางเหมวรรณ พูนผล รองประธานเจ้าหน้าที่สายงานทรัพยากรมนุษย์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี รับรางวัล สุดยอดองค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในเอเชีย จากงานประกาศรางวัลเวที HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความทุ่มเทในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยอดเยี่ยม จัดโดยนิตยสาร HR Asia นิตยสารชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคลของภูมิภาคเอเชีย ณ ทรูไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม กรุงเทพ ฯ

 

นางเหมวรรณ พูนผล กล่าวว่า “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มีวิสัยทัศน์ในการก้าวไปสู่การเป็นเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และเชื่อมั่นในการทำงานเป็นทีม ที่มีสมาชิกทุกคนในทีม คอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน ร่วมคิด ร่วมแก้ปัญหาต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน เป็นเหมือน ‘ภาพต่อ’ แต่ละชิ้นที่เราได้นำมาประติดประต่อกันเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งรางวัลนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความการทุ่มเทเพื่อ ‘พนักงาน’ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญที่สุดขององค์กร โดยยกระดับประสบการณ์ในการทำงานที่ดีให้กับพนักงานผ่านวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับฟังความเห็นต่าง และเปิดโอกาสให้พนักงานได้พัฒนาศักยภาพและทักษะของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนดูแลสุขภาพกายและใจ เปิดกว้างเรื่องการทำงานให้กับคนทุกกลุ่มเพื่อตอกย้ำว่า บีเจซี บิ๊กซี เราเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน”

การได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลระดับสากล และเป็นองค์กรที่คนอยากทำงานด้วย จากความสำเร็จของความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาบุคลากร มุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยอดเยี่ยม โดยเน้นที่ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กร เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจและบุคลากรของเราต่อไป เพื่อสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีระดับความผูกพันของพนักงานและวัฒนธรรมการทำงานที่ยอดเยี่ยม ซึ่งปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการยกระดับองค์กร เพื่อต่อยอดให้องค์กรก้าวไปสู่จุดที่ดีขึ้นกว่าเดิม

โรงพยาบาลอินทรารัตน์ และ บริษัท อาร์เอ๊กซ์ จำกัด บริษัทผู้ผลิตจำหน่ายยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ร่วมกันเปิดศูนย์บริการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาแห่งแรก ใจกลางย่านรามอินทรา ชูนวัตกรรมรวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย คลายกังวล ลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการทำเลสิค  พร้อมนำเสนอบริการที่คุ้มค่าและประทับใจ ดูแลโดยทีมจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตา กว่า 10 ท่าน ประสบการณ์รวมกว่า 100,000 ตา

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวฯ บริษัท อาร์เอ๊กซ์ จำกัด ได้ลงทุนนำเทคโนโลยีการผ่าตัดแบบแผลเล็กตัวใหม่ล่าสุด ที่มีชื่อว่า ZEISS SMILE® pro โดยเครื่อง VISUMAX 800 เฟมโตเซคันด์เลเชอร์ที่มีความแม่นยำสูงได้รับการพัฒนาโดย “ไซส์ส (ZEISS)” ผู้นำอุตสาหกรรมเลนส์ระดับโลก สัญชาติเยอรมัน ที่ประสบความสำเร็จมากว่า 175 ปี และที่สำคัญในด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่ช่วยให้แพทย์ สามารถดูแลคนไข้ได้อย่างดียิ่งขึ้น ZEISS SMILE® pro ได้รับการรับรองจากทั้งยุโรปและอเมริกา อีกทั้งการรักษาแบบแผลเล็กจาก ZEISS ได้รับความไว้วางใจจากจักษุแพทย์ในการดูแลดวงตามากกว่า 10 ล้านดวงทั่วโลก

ZEISS SMILE® pro จึงเป็นนวัตกรรมการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน เหนือกว่าทั้งในเรื่องความรวดเร็ว เพียง 8-10 วินาทีต่อข้าง ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบาย แก่ทั้งแพทย์และผู้รับการรักษา เพิ่มคุณภาพการมองเห็นหลังผ่าตัดและการฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้นอย่างปลอดภัย

จุดเด่นของ ZEISS SMILE® pro คือ

  • ระยะเวลาในการยิงเลเซอร์สร้าง lenticule ข้างละไม่ถึง 10 วินาที  ต่อตา 1 ข้าง ซึ่งรวดเร็วกว่า ReLEx SMILE ถึง 3 เท่า
  • แผลเล็กเพียง 2 – 4 มิลลิเมตร
  • ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • พักฟื้นสั้น
  • ไม่เปิดฝากระจาตา จึงสามารถคงความแข็งแรงของกระจกตาไว้
  • ตาแห้งและแสงกระจายน้อยกว่า
  • เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง
  • ด้วยดีไซน์ของเครื่อง VISUMAX 800 มีการออกแบบให้แขนของเครื่องสามารถเปิดออกโล่ง ทำให้ผู้รับการรักษาไม่รู้สึกอึดอัดและลดความกังวลขณะทำการรักษา

โดยในพิธีเปิด ศูนย์เลสิคอินทรารัตน์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา นอกจากคณะผู้บริหาร ทีมแพทย์ แขกผู้มีเกียรติ และบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่มีปัญหาสายตาและสนใจการทำเลสิคเข้าร่วมงานแล้ว ยังมี Gamer หนุ่ม จากเพจ KR Muffinz สตรีมเมอร์สายเกมมิ่ง ที่มีผู้ติตดาม กว่า 300,000 คน ขึ้นร่วมพูดคุยในฐานะผู้เข้ารับการผ่าตัดด้วยเลสิค SMILE® pro โดยเข้ารับการรักษาในวันที่ 30 กันยายน และร่วมแบ่งปันประสบการณ์ 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด ทันที ในพิธีเปิดศูนย์ ตอกย้ำถึงผลการรักษาที่ปลอดภัย ลดผลข้างเคียง สามารถฟื้นตัว รวดเร็ว และกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ใน 1 วัน

เภสัชกร ชาญชัย อุดมลาภธรรม ประธานบริหารเครือ อาร์เอ๊กซ์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากความร่วมมือครั้งนี้ ได้นำเทคโนโลยี ZEISS SMILE pro การรักษาแบบแผลเล็กที่ทันสมัยที่สุด โดยเครื่อง VISUMAX800 และเป็น 1 ใน 4 เครื่อง เท่านั้นในประเทศไทย มาให้บริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์การรักษาที่ดีที่สุด เหมือนที่วงการจักษุแพทย์ให้การยอมรับในการดูแลรักษาดวงตามาแล้วกว่า 10 ล้านดวงทั่วโลก

จึงมั่นใจได้ว่า ศูนย์เลสิคอินทรารัตน์ จะสามารถส่งมอบบริการระดับพรีเมียม และเทคโนโลยีการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่ทันสมัยที่สุด ปลอดภัย รวดเร็ว ในงบประมาณที่คุ้มค่า ให้ผู้รับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิต ทำกิจกรรมที่รักและชื่นชอบ ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ให้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป

โดย ศูนย์เลสิคอินทรารัตน์ พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ ที่โรงพยาบาลอินทรารัตน์ ชั้น 2 ผู้ที่มีปัญหาด้านการมองเห็น มีค่าสายตา สั้น ยาว เอียง สามารถติดต่อนัดหมายเพื่อเข้ารับการตรวจประเมินสภาพดวงตาเบื้องต้น และรับคำปรึกษากับทีมแพทย์โดยตรง ก่อนเลือกรับแผนการรักษาและดำเนินการผ่าตัดให้แล้วเสร็จได้ ภายในวันเดียว ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน ให้สามารถเข้าถึงการรักษาสายตาด้วย “เลสิค” ที่ทันสมัยและปลอดภัย  ได้อย่างรวดเร็ว สะดวกสบาย และง่ายกว่าเดิม

ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการร่วมมือกันระหว่างพันธมิตรในกลุ่มประเภทธุรกิจสินค้าและบริการ Health and Wellness ระหว่างโรงพยาบาลอินทรารัตน์และบริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งตอกย้ำความน่าเชื่อถือในเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย สร้างความมั่นใจให้ผู้รับบริการ ในการแก้ไขค่าสายตาที่ศูนย์เลสิคโรงพยาบาลอินทรารัตน์แห่งนี้

พบกับทางเลือกดีๆ ที่จะทำให้คุณได้รักบ้านและรักษ์โลกไปพร้อมกัน กับ บูธ JBP ที่มาพร้อมแนวคิด PAINT BETTER “ส่งต่อสิ่งที่ดีกว่า เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี...ที่มากกว่า  ในงาน Thaiwatsadu x BnB home EXPO 2024 ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน - 6 ตุลาคม 2567 นี้ ที่ ไบเทค บางนา

หากใครกำลังมองหาสีทาบ้านที่ทาง่าย ใช้สะดวก ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ไม่ต้องไปมองหาที่ไหนไกล เจบีพีพร้อมส่งต่อสิ่งดีๆให้ถึงมือทุกคนแล้ว

JBP GOOD PAINT RE-ACRYLIC สีรีไซเคิลร่วมมือ #เจ้าแรกในประเทศไทย ที่เกิดจากการร่วมมือของ 4 พันธมิตรในโครงการ One World: One Future Together ได้แก่ บริษัท เจ.บี.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด, บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด, บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน), และ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ที่มีเป้าหมายเดียวกัน ในการร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อโลกใบนี้ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งความพิเศษของสี JBP GOOD PAINT RE-ACRYLIC คือ นวัตกรรมสีที่มีส่วนผสมของสีรีไซเคิล ช่วยลดการเกิดของเสีย ลดการเกิดขยะพลาสติก และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสำหรับกระบวนการผลิตสีใหม่

JBP SMART SHIELD-X COSMIC ALL SURFACE นวัตกรรมสีที่ยั่งยืน ที่จะเปลี่ยนความยุ่งยากในการทาสี ให้ EASY สุดๆ สามารถใช้งานได้ครอบคลุมทุกพื้นผิว ไม่ว่าจะเป็น ปูน, เหล็ก, ไม้, กระเบื้อง หรือกระจก ใช้งานง่าย ทาได้ทันที ไม่ต้องผสมน้ำหรือทินเนอร์ ไม่ต้องรองพื้น ไร้กลิ่นฉุน ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ผ่านมาตรฐาน LEED และ Well Building Standard มาพร้อมบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล PCR ช่วยลดการปล่อยก๊าซ Co2 เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ และยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ไม่รู้จบอีกด้วย เพื่อให้ทุกคนได้ดูแลบ้าน ดูแลคนที่รักให้ปลอดภัย และดูแลโลกได้จริง

นอกจากนี้ ยังมีไฮไลท์สำคัญอย่าง ต้นไม้แห่งชีวิต สัญลักษณ์แห่งการเติบโตอย่างยั่งยืนของ JBP ที่ได้เติบโตอย่างแข็งแรงและสวยงาม จากการร่วมมือของทุกๆคน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้เจบีพีสามารถสร้างสรรค์และส่งต่อสิ่งดีๆ ให้โลกใบนี้ได้มากกว่าที่เคย

มาสัมผัสประสบการณ์สีที่รักบ้านและรักษ์โลก ได้ที่ บูธ JBP ในงาน Thaiwatsadu x BnB home EXPO 2024 ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน - 6 ตุลาคม 2567 นี้ ที่ ไบเทค บางนา ไม่ว่าคุณจะเป็นสายกรีนหรือสายไหน ก็ต้องถูกใจแน่นอน!!

DEVIALET (เดอเวียเลต์) แบรนด์เครื่องเสียงสุดหรูจากฝรั่งเศสที่บุกเบิกเทคโนโลยีเสียงแห่งอนาคต เปิดตัวร้านแบรนด์แห่งแรกในประเทศไทย ในห้างเซ็นทรัลชิดลม การเปิดร้านนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการขยายตลาดของ DEVIALET ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอประสบการณ์เสียงระดับโลกให้กับลูกค้าชาวไทย

ห้างเซ็นทรัลชิดลม เป็นห้างสรรพสินค้าที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการขยายตัวครั้งนี้ เนื่องจากเป็นห้างที่มีชื่อเสียงในด้านทำเลที่ตั้งและความเป็นผู้นำในแนวคิด "One-Stop-Shopping" มาอย่างยาวนาน  ในปัจจุบันเป็นเวลาถึง 50 ปี ที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม เป็นห้างระดับไฮเอนด์ของประเทศไทยที่มอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและมีคุณภาพได้มาตรฐานระดับโลก การร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาพลักษณ์ของห้างเซ็นทรัลชิดลมในฐานะ “The Store of Bangkok”

การเปิดร้าน DEVIALET ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ โดยการมีร้านในสถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ เป็นสัญลักษณ์ของความต้องการเป็นหนึ่งของแบรนด์ในภูมิภาคนี้ DEVIALET ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความทุ่มเทต่อตลาดไทย แต่ยังเป็นการปูทางสำหรับการเติบโตในอนาคตด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์การฟังที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนรักเสียงเพลงที่มีความต้องการสูง

หนึ่งในไฮไลท์ของร้าน DEVIALET แห่งใหม่คือ LISTENING ROOM ห้องฟังเพลงสุดพิเศษ ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวและให้ประสบการณ์การฟังเสียงแบบเต็มอิ่ม ช่วยให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงคุณภาพเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ DEVIALET ในสภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาเฉพาะ ห้องฟังเพลงสีน้ำเงินนี้นำเสนอเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของ DEVIALET เป็นโอกาสพิเศษที่ผู้ฟังจะได้สัมผัสกับเสียงเพลงอย่างที่ควรจะได้ยินจริงๆ

Emmanuel Nardin (เอ็มมานูเอล นาร์แดง)  ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกแบบของ DEVIALET ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการออกแบบร้านนี้ว่า "เมื่อเราออกแบบร้านที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม เป้าหมายของเราคือการสร้างพื้นที่ที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของ DEVIALET การนำเสนออารมณ์ที่เกิดจากการฟังเสียงบริสุทธิ์ พื้นที่ที่เปิดโล่งและสว่างไสวนี้ ถูกกำหนดด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายแต่โดดเด่น เป็นการสดุดีต่อความบริสุทธิ์ เราได้ออกแบบห้องฟังเพลงด้วยการเล่นแสงที่ละเอียดอ่อน เพื่อสร้างประสบการณ์การฟังที่ทุกโน้ตและทุกการสั่นสะเทือนมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง"

นอกจากห้องฟังเพลงแล้ว ร้านยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ของ DEVIALET ครบครัน ตั้งแต่ลำโพงรุ่น Phantom ที่เป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึง Soundbar รุ่น Dione และหูฟังไร้สายรุ่น Gemini II และร้านจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงปลายปีนี้ ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับนวัตกรรมเสียงล่าสุด

เพื่อฉลองการเปิดตัว DEVIALET ได้จัดงาน " DEVIALET Talk" โดยมี Martin Ku (มาร์ติน คู) ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ร่วมด้วยนักแสดงและนักร้องชื่อดัง ไอซ์ พาริส อินทรโกมาลย์สุต และดีเจมากฝีมือรุ่นใหม่ ไอริส อินทรโกมาลย์สุต (DJ Iris) ในการเสวนาครั้งนี้ นอกจากนี้ DJ Iris ยังมีการแสดงพิเศษ ที่โชว์ศักยภาพของลำโพง DEVIALET ผ่านดนตรีที่น่าตื่นเต้นด้วย งานนี้เป็นการเปิดตัวที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแขกที่มาร่วมงาน และมอบโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมผัสกับโลกแห่งเสียงของ DEVIALET

SCGJWD ลุยโซลูชันโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิครบวงจรทั่วอาเซียน รับเศรษฐกิจฟื้นตัว และแนวโน้มอุตสาหกรรมคลังสินค้าห้องเย็น อาหาร และเฮลท์แคร์ เติบโตแข็งแกร่ง นับจากปี 2024-2029 วาง 4 กลยุทธ์ ปักหมุดลงทุนในไทยต่อเนื่องบนทำเลยุทธศาสตร์อีก 8 โลเคชัน รุกสร้างโอกาสใหม่ในต่างประเทศ ร่วมมือพาร์ทเนอร์ขยายธุรกิจและนำเสนอโซลูชัน มุ่งโฟกัสตลาดเฮลท์แคร์และยาที่มีศักยภาพสูง นำเทคโนโลยี AI ยกระดับโลจิสติกส์และประหยัดพลังงาน ดันรายได้โตต่อเนื่อง  

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทเอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ทำให้ความต้องการจัดเก็บและขนส่งอาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานแช่แข็งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการบริโภคภายในประเทศและการที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำหรับส่งออก พร้อมกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะกับการจัดเก็บสินค้า อาทิ อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารสัตว์ ทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยประเมินแนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics) ในประเทศไทย จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 8.03% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2024-2029) และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.78 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2029

แผนการดำเนินธุรกิจของ เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี (SCGJWD) จึงเร่งเสริมความแข็งแกร่งแก่ธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ด้วยการต่อยอดจุดแข็งในปัจจุบัน เช่น เป็นผู้ให้บริการห้องเย็นสาธารณะที่มีพื้นที่ให้บริการมากที่สุด 8 โลเคชันครอบคุมทั่วประเทศ รวมกว่า 241,000 พาเลต (แท่นวางสินค้า), ติดตั้งระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ, ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลและใบอนุญาตทุกประเภท เป็นต้น โดยในปี 2025-2029 ได้วางงบลงทุนธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นรวมกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันรายได้จากธุรกิจดังกล่าวให้มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 12.8% ต่อปี จากเป้าหมายรายได้ปี 2025 ที่ 1,100 ล้านบาท ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลักที่ขับเคลื่อนการขยายธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าควบคุมอุณหภูมิในประเทศไทยและอาเซียน ได้แก่   

  • ขยายฮับคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดภูมิภาค: ลงทุนขยายคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์และเชื่อมต่อกับระบบขนส่งหลัก เสริมความสะดวกในการกระจายสินค้า ลดระยะเวลาการขนส่ง และประหยัดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ โดยปัจจุบัน SCGJWD มีคลังสินค้าห้องเย็น 8 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย สมุทรสาคร 3 แห่ง สมุทรปราการ 3 แห่ง ฉะเชิงเทรา 1 แห่ง และสระบุรี 1 แห่ง รองรับสินค้ามากกว่า 241,000 พาเลท และจะลงทุนปรับปรุงคลังสินค้าทั่วไปของ SCG Logistics เดิมให้รองรับการจัดเก็บสินค้าแช่เย็นแช่แข็งในจังหวัดหัวเมืองที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอีก 8 แห่ง เช่น ปทุมธานี สระบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต เป็นต้น โดยจะมีพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 24% เป็น 300,000 พาเลทภายในปี 2029
  • ขยายธุรกิจในอาเซียน: บริษัทฯ วางแผนสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ โดยขยายการลงทุนและร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในอาเซียน ได้แก่ ความร่วมมือกับ SWIFT ขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในมาเลเซีย รวมทั้งขยายธุรกิจในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ผ่านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศและศึกษาโอกาสการทำ M&A
  • ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ขยายธุรกิจและออกแบบโลจิสติกส์โซลูชันตามโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้า: โดยบริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับกลุ่มไทยยูเนี่ยน จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนคลังสินค้าห้องเย็นระบบอัตโนมัติ (ASRS) สำหรับจัดเก็บสินค้าปลาทูน่า ในจังหวัดสมุทรสาคร และร่วมกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ให้บริการโซลูชันจัดส่งสินค้าเบเกอรี่แก่ร้าน Amazon Café กว่า 500 สาขาทั่วประเทศ โดยใช้นวัตกรรมขนส่งเย็น Cool Container ผ่านเครือข่ายขนส่งของ SCGJWD ที่มีจำนวนฟลีทรถมากที่สุด สามารถขยายพื้นที่จัดส่งได้ครอบคลุมทั่วประเทศและคงคุณภาพสินค้าที่ดีถึงปลายทาง
  • ขยายบริการแบบ End-to-End Supply Chain Solution ในธุรกิจเฮลท์แคร์และยา: จะใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญบริการขนส่งและคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิทั่วประเทศ การได้รับรองมาตรฐานระดับสากล ระบบประกันคุณภาพสินค้าตลอดกระบวนการ และบริการเสริม เพื่อขยายบริการภายใต้กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การจับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ และเจาะกลุ่มยาและวัคซีนที่มีอัตรากำไรที่ดี

นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SCGJWD กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และ AI ตลอดกระบวนการซัพพลายเชนเพื่อยกระดับการบริหารจัดการคลังสินค้าห้องเย็นให้รวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ใช้เทคโนโลยีจัดเก็บและจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System: ASRS) เพื่อช่วยจัดเก็บสินค้าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำกว่า 99.9% ปลอดภัยสูง คงความสดใหม่และรักษาคุณภาพของสินค้าได้ดีกว่าเดิม รวมทั้งติดตั้งระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) คัดขนาดปลาทูน่า เพิ่มความแม่นยำได้มากกว่า 95% และจะขยายสู่การคัดแยกสายพันธุ์ปลาในปีหน้า

บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ‘โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)’ โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่คลังสินค้าห้องเย็นทุกแห่ง เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนการซื้อไฟฟ้า เปลี่ยนมาใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าแทนรถน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีจัดเก็บและจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System: ASRS) ที่ช่วยลดการใช้ไฟฟ้า เพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บ เทคโนโลยีหลักที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ช่วยให้บริษัทบริหารต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้นและช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดค่าไฟฟ้าได้กว่า 200 ล้านบาท และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 33,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และเทคโนโลยี TMS (Transport Management System) ที่ช่วยเรื่องวางแผนการเส้นทางการขนส่ง ทำให้สามารถประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายของบริษัทฯ สู่ Net Zero ในปี 2050

พลตำรวจโท กรไชย คล้ายคลึง กรรมการการไฟฟ้านครหลวง และประธานกรรมการกิจการสัมพันธ์การไฟฟ้านครหลวง พร้อมด้วยนายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง และคณะผู้บริหาร จัดพิธีปล่อยขบวนรถในกิจกรรม "MEA ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัย" ณ การไฟฟ้านครหลวง สำนักใหญ่คลองเตย เพื่อสร้างความมั่นใจด้วยการปรับปรุงระบบไฟฟ้า เปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงรายระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคม 2567

ผู้ว่าการ กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีความห่วงใยประชาชนในเรื่องระบบไฟฟ้าหลังช่วงอุทกภัยจากสถานการณ์น้ำเหนือหลากได้ส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ภาคเหนือ และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสังคมแห่งการให้พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการระดมพนักงานอาสา MEA ลงพื้นที่เพื่อไปช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัย พร้อมมอบเงินบริจาค อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ให้แก่เจ้าหน้าที่และหน่วยงานในการช่วยเหลือประชาชนเพื่อความปลอดภัย

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงวัยใส ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ และประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม สำหรับ “อลิศ - ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน นักแสดงดาวรุ่งสังกัดช่อง 7HD และการันตีเสียงร้องจากการประกวดบนเวที The Golden Song Season 2 ซึ่งล่าสุด ได้รับเลือกเป็นองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิม ใน “เทศกาลกินเจ อิ่มฟิน เสริมดวง” เนื่องในกิจกรรมณรงค์ถือศีลกินเจ ประจำปี 2567 ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ โครงการฟีนิกซ์ ประตูน้ำ เพื่อเป็นตัวแทนแห่งความศรัทธาต่อองค์พระโพธิสัตว์ฯ และร่วมส่งเสริมการทำบุญตามจารีตของพี่น้องเชื้อสายจีน สานต่อวัฒนธรรมการถือศีลกินเจ

สำหรับการแต่งตั้งองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิม ทางโครงการฟีนิกซ์ได้ร่วมมือกับมูลนิธิพุทธนุสรและเครือข่ายกรมศาสนา ในการสรรหาสุภาพสตรีที่พร้อมไปด้วยความบริสุทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่มีประวัติในการทำผิดศีลธรรมอันดี ไม่ข้องเกี่ยวกับสุรายาเสพติดให้โทษ เปี่ยมศรัทธาในองค์พระโพธิสัตว์ฯ และทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมอยู่เสมอ จนได้ อลิศ  ธนัชศลักษณ์ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสมที่จะเป็นองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิม ในเทศกาลกินเจประจำปี 2567

โดยงานนี้สาว อลิศ ธนัชศลักษณ์ เตรียมความพร้อมอย่างหนักสำหรับการเป็นองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิม เพื่อนำขบวนและร่วมพิธีอันเชิญพระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานพร ที่มีความสูงมากถึง 4 เมตร ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงปักกิ่ง และพระโพธิสัตว์กวนอิมปางสำเร็จธรรม ซึ่งอัญเชิญมาจากเกาะโพวถ่อซาน ทะเลจีนใต้ เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้พี่น้องชาวไทยได้ร่วมกราบไหว้ ขอพร และสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันอย่างใกล้ชิด พร้อมร่วมกิจกรรมถือศีลทานเจเพื่อชำระล้างร่างกายและจิตใจตลอดเทศกาล ให้สมกับการได้รับหน้าที่อันทรงเกียรติในครั้งนี้

นอกจากนี้ อลิศ ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนและผู้ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีการทำบุญครั้งสำคัญ และร่วมสักการะพระโพธิสัตว์ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล สร้างพลังบุญให้กับตัวเองและครอบครัว ตลอดจนอิ่มบุญ อิ่มอร่อยร่วมกันในบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ ในเทศกาลกินเจ อิ่มฟิน เสริมดวง ระหว่างวันที่ 2 - 11 ตุลาคม 2567 นี้ ณ บริเวณ Commonspace ชั้น G โครงการ Phenix Pratunam

ติดตามหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก Phenix Food Wholesale Hub หรืออินสตาแกรม @phenixfoodwholesalehub หรือ เว็บไซต์ www.phenixbox.com 

X

Right Click

No right click