December 16, 2025

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 25 ปีของการดำเนินงานในประเทศไทยด้วยแคมเปญสุดพิเศษที่มอบสิทธิประโยชน์และโปรโมชันมากมายแก่ลูกค้ารายบุคคล และลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี

เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับรางวัล DAILYNEWS TOP CEO 2024 สาขาธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และเดลินิวส์ออนไลน์จัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีผลงานโดดเด่นและมุ่งส่งเสริมภาคธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยนายนิคฮิล นับได้ว่าเป็นผู้นำที่สร้างผลการดำเนินงานให้เอไอเอ ประเทศไทย เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งยังเป็นผู้ผลักดันการดำเนินธุรกิจของเอไอเอ ประเทศไทย ให้บรรลุตามเป้าหมาย เพื่อมุ่งยกระดับการดูแลคนไทยให้ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมถึงสุขภาพการเงิน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ซึ่งงาน DAILYNEWS TOP CEO 2024 จัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา เพื่อฉลองในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี

บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจค้าส่งค้าปลีก “แม็คโคร-โลตัส” เดินหน้าสู่การเป็น “Fresh & Food Destination” แหล่งรวมวัตถุดิบนำเข้าจากทั่วทุกมุมโลก ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ประกอบการและลูกค้าในราคาที่คุ้มค่า โดย แม็คโคร-โลตัส ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย Korea Agro-Fisheries & Food Trade Corporation และหน่วยงานพาณิชย์ เปิดเทศกาล “Taste of Korea 2024 ” หลากหลาย ครบครัน สำหรับเมนูเกาหลี คัดสรรวัตถุดิบและสินค้าคุณภาพนำเข้าจากประเทศเกาหลี

การจัดงานครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายปาร์ค ยง-มิน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย พร้อมคณะ และนายคยอง ยง บยอน ผู้อำนวยการ Korea Agro-Fisheries & Food Trade Corporation ให้เกียรติเปิดงาน โดยมีนายธนิศร์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจค้าส่งแม็คโคร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) นางสาวพิมอร พนาพฤกษชาติ รองผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค คุณอมราลักษณ์ ลามุล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับที่แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์

สำหรับเทศกาล “Taste of Korea” มีสินค้าคุณภาพนำเข้าจากประเทศเกาหลีให้เลือกสรรมากกว่า 200 รายการ ทั้งอาหารสด กิมจิผักกาดขาว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กลุ่มเครื่องปรุงรสเกาหลี โกชูจัง ซัมจัง แดนจัง ซอสหมักหมูหมักเนื้อ เครื่องดื่ม ขนมนำเข้าจากประเทศเกาหลี รวมถึงอุปกรณ์ในการประกอบอาหาร  และพบกับสินค้า Exclusive ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่แม็คโคร และ โลตัส ในราคาเอื้อมถึงได้  พร้อมจัดโปรโมชั่นในราคาพิเศษ ลดสูงสุดถึง 30% ภายในงานมีกิจกรรมไฮไลท์ที่น่าสนใจ ทั้งการสาธิตการทำอาหาร เมนูกิมจิกุกซู โดยเชฟเบนซ์ วีรเทพ อาจอาคม ที่นำกิมจิผัดกาดขาว เกรดพรีเมียมของประเทศเกาหลี โดยได้รับการสนับสนุนจาก IIKIM มารังสรรค์เมนูสุดพิเศษ และสาธิตการทำ Richam Sandwich จากเชฟอ๋อง – ธนินทร์ กัณหะเสน Food Consult – Potato Head หนึ่งในผู้ร่วมรายการเชฟกระทะเหล็ก ที่มาร่วมรังสรรค์เมนูแสนอร่อยด้วยวัตถุดิบคุณภาพดีนำเข้าจากประเทศเกาหลี  

ลูกค้าที่สนใจสินค้านำเข้าคุณภาพดีส่งตรงจากเกาหลี สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ที่ แม็คโครและโลตัส ทุกสาขา หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ Makro PRO และ Lotus’s Smart App ตั้งแต่วันนี้ ถึง 29 ตุลาคม 2567 และเชิญร่วมช้อป ชิม กับงานจัดแสดงสินค้าเทศกาล “Taste of Korea 2024 ” สินค้าคุณภาพนําเข้าจากประเทศเกาหลี ได้ที่ แม็คโคร สาขาศรีนครินทร์ ระหว่างวันที่ 4 – 12 ตุลาคม 2567

บมจ.ชับบ์ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ หรือ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จัดกิจกรรม Life Jigsaw Camp เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจในงานอาชีพตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน เข้าสัมผัสประสบการณ์ พร้อมรับความรู้เกี่ยวกับการวางแผนสู่การสร้างธุรกิจ เส้นทางในแบบของตนเอง

คุณอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้กล่าวว่า “กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจในอาชีพตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงินได้เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งจัดขึ้นภายแนวคิด “Engaging with a Difference – เป็นคุณในแบบที่แตกต่างไป” เพราะเราเชื่อว่าทุกคนสามารถเลือกใช้ชีวิต เลือกเส้นทางอาชีพของตนเอง เพราะหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต คือการมอบโอกาสทางด้านอาชีพ พร้อมส่งเสริมศักยภาพให้กับทุกคนที่มีความสนใจในสายงานนี้ ให้เติบโตและก้าวสู่การเป็นตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพอย่างยั่งยืน”

ภายในงานผู้ร่วมงานยังได้แลกเปลี่ยนความรู้ การเปิดกลุ่มพูดคุยพร้อมเวิร์กชอป เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของบุคลากรฝ่ายขายของ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จากทั่วประเทศ รวมถึงการให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน และกิจกรรมต่างๆ จากบูธโรงพยาบาลพันธมิตรที่มาร่วมให้ความรู้ และสร้างเครือข่าย ซึ่งช่วยในการเสริมศักยภาพของตัวแทน เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุด สอดคล้องกับหัวใจสำคัญในการดำเนินงานของบริษัทฯ คือการทำให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และการสร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมงานเป็นตัวแทนกับ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.chubb.com/th/agent-career

บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลกอย่าง นีเวีย และยูเซอริน ตอกย้ำเป้าหมายนำพาธุรกิจสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจบิวตี้เพื่อความยั่งยืนตัวจริง กับอีกก้าวสำคัญในการปรับฐานการผลิตใหญ่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกสู่การใช้พลังงานทดแทนจากโซลาร์ฟาร์ม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวทางด้านความยั่งยืนแบบบูรณาการตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม โดย ไบเออร์สด๊อรฟ ได้เพิ่มเป้าหมายในเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 90% ภายในปี พ.ศ. 2588

ไบเออร์สด๊อรฟ เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศเยอรมนี โดย พอล ไบเออร์สด๊อรฟ ได้คิดค้นพลาสเตอร์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2425 และ ในปี พ.ศ. 2433 ที่ ดร. ออสการ์ โทรโพลวิตซ์ ได้เข้ามาเป็นผู้สร้างและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมจนถึงทุกวันนี้อย่าง NIVEA Cream หรือที่คุ้นเคยกันว่า นีเวียครีมตลับสีฟ้า นอกจากนี้ยังรวมไปถึง NIVEA SUN, Eucerin Lotion และ NIVEA DEO อีกด้วย โดยนีเวียครีมตลับสีฟ้า ได้นำเข้ามาขายที่ประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2469 ก่อนที่จะก่อตั้งบริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2515 และตั้งโรงงานผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2530 นับจากนั้นมาบริษัทได้พัฒนาจนกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของไบเออร์สด๊อรฟในทวีปเอเชีย ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงการดำเนินงานเพื่อรองรับเป้าหมายด้านความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

อนึ่ง ความท้าทายของการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางของความยั่งยืนที่นอกจากจะต้องอาศัยความมุ่งมั่นแล้ว ยังมีปัจจัยในเรื่องความซับซ้อนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งไบเออร์สด๊อรฟให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยลดขยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้แหล่งพลังงานทดแทน การดูแลแหล่งกำเนิดวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ แหล่งดิน ผืนป่า ฯลฯ รวมถึงการดูแลชุมชนและท้องถิ่นนั้น ๆ ที่ไม่เพียงการสร้างอาชีพแต่ยังดูแลผู้คนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และการส่งเสริมสังคมที่เคารพและยอมรับในความแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาศักยภาพและบทบาทของสตรี เด็ก และเยาวชน ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กร “การให้ความดูแล” (Care) อันโดดเด่นของไบเออร์สด๊อรฟ

นางสาววราพร ลิขิตจรรยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “ที่ไบเออร์สด๊อรฟเราให้ความสำคัญเรื่องของการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตามวัตถุประสงค์การมีอยู่ของแบรนด์ นั่นคือ Care Beyond Skin ที่ให้คุณค่าเหนือกว่าการส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ ไบเออร์สด๊อร์ฟทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนนี้มาอย่างต่อเนื่องว่าเรามุ่งมั่นและจริงจังในการผลักดันเรื่องความยั่งยืนเข้าในฟันเฟืองต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของเรา ซึ่งตอนนี้ยิ่งให้ความเข้มข้นขึ้นเพื่อสอดรับกับกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืนล่าสุดของเราอย่าง “Win with Care” ที่จะเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าให้กับผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม ผ่านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณของเรา ที่ไม่เพียงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณภาพที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้ แต่เรายังให้คุณค่ากับทุก ๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วัตถุดิบ แหล่งที่มา คนมากมายที่อยู่ในกระบวนการผลิตและธุรกิจ และการดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล และมีความโปร่งใส  จะเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ไบเออร์สด๊อรฟไปถึงเป้าหมายการเป็นธุรกิจบิวตี้เพื่อความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”

สำหรับไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย ที่มีฐานการผลิตที่สำคัญของทวีปเอเชีย มีความเคลื่อนไหวเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สอดรับกับกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน โดยนอกเหนือจากการกำจัดและบำบัดของเสียจากกระบวนการผลิตที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดทางโรงงานได้เปิดใช้โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสีเขียว 100% บนพื้นที่กว่า 5,610 ตารางเมตร (14 ไร่) ด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ 999 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) รวมถึงการเดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้งกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สีเขียวที่เลือกใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่วนผสมที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์นีเวียที่ปลอดไมโครพลาสติก 100% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 และผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่มีสารที่ทำร้ายปะการัง เป็นต้น ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไบเออร์สด๊อรฟไม่เพียงแค่จะบรรลุเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานลง 30% ภายในปี พ.ศ. 2568 และเดินหน้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2573 เท่านั้น แต่ยังพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายต่อไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 90% ภายในปี พ.ศ. 2588

นางสาวสุเรขา วันเพ็ญ ผู้อํานวยการศูนย์การผลิต บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “สําหรับเรา การจะเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาวนั้น จะต้องทำงานร่วมกันกับพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกันอย่างเครือข่ายซัพพลายเออร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ของเราด้วยเช่นกัน เราสามารถทําให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีความยั่งยืนมากขึ้นโดยการเลือกใช้วัตถุดิบและขั้นตอนการผลิตที่มีความเกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้น้อยลง เช่น การใช้เส้นทางการจัดส่งที่ใกล้ขึ้นหรือสั้นลง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลแทนพลาสติกใหม่ (Virgin plastic) ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยลดการปล่อยมลพิษทั้งสิ้น ล่าสุดเราเพิ่งเปิดโซลาร์ฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรงงานของไบเออร์สด๊อรฟทั่วโลก ซึ่งเราสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เองได้มากถึง 25% โดยเป็นพลังงานจากโซลาร์ฟาร์ม 10% นั่นทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มากถึง 800 ตันต่อปี เทียบเท่ากับการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยต้นไม้ถึง 50,000 ต้น นอกจากนี้ เรายังมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้แก่พนักงานในโรงงานของเรา รวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกในการเป็นธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอีกด้วย”

สำหรับในเรื่องของความยั่งยืน นอกเหนือจากเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว ไบเออร์สด๊อรฟยังให้ความสำคัญในการบริหารจัดการองค์กรโดยให้ความสำคัญและส่งเสริมความเท่าเทียมและยอมรับความแตกต่างในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันนโยบายส่งเสริมพนักงานระดับผู้บริหารแบ่งตามเพศในสัดส่วน 50:50 ที่ทำสำเร็จได้ในปี พ.ศ. 2566 หรือการทำกิจกรรมเพื่อชุมชนท้องถิ่นอย่าง Care Beyond Skin Day ที่พนักงานไบเออร์สด๊อรฟ ทั่วโลก ได้ใช้เวลางานหนึ่งวันเต็มทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคม หรือด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะด้านการศึกษาและการสาธารณสุข อาทิ โครงการปรับปรุงห้องสมุดโรงเรียนที่ยากไร้ในประเทศไทย การบริจาคสิ่งของจำเป็นและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณแก่องค์กรสาธารณกุศล เป็นต้น

นับแต่ปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ไบเออร์สด๊อรฟ ได้จัดทำโครงการและกิจกรรม CSR แบบบูรณาการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การใช้พลังงานทดแทน บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาคุณภาพและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและผืนป่าในแหล่งวัตถุดิบ  โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการศึกษาให้กับสตรีและเยาวชนในชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบและการผลิตทั่วโลก เป็นต้น โดยต่อจากนี้ไบเออร์สด๊อรฟ จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างโครงการใหม่ ๆ ที่จะสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีและยั่งยืนต่อไป

โครงการ “Phenix” (ฟีนิกซ์) แหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมืองบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านประตูน้ำ ภายใต้การบริหารของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับมูลนิธิพุทธานุสรณ์และเครือข่ายกรมศาสนา จัดพิธีเปิด “เทศกาลกินเจ อิ่มฟิน เสริมดวง” เนื่องในกิจกรรมณรงค์ถือศีลทานเจ ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมการทำบุญ สร้างทานบารมี สานต่อวัฒนธรรมการถือศีลกินเจ และถวายความศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์ฯ ตามจารีตของคนไทยเชื้อสายจีน พร้อมอิ่มอร่อยไปกับเมนูอาหารเจแบบรักษ์โลกรูปแบบใหม่ โดยได้รับเกียรติจากนางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วยคณะผู้บริหารฯ โครงการ Phenix อาทิ นายอัศวิน คำแวง กรรมการผู้จัดการ- Phenix บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน), ผู้บริหารจากมูลนิธิพุทธานุสรณ์, นักแสดงสาวดาวรุ่ง อลิศ ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน ในฐานะองค์สมมติพระโพธิสัตว์กวนอิม ประจำปี 2567 ตลอดจนอาจารย์ไวท์ (หมอดูโอปป้า), เจน ญาณทิพย์, นวรัตน์ ยุตะนันท์, ศิลปินเพลงเอกจากเวิร์คพ้อยท์ และ Mister Landscapes International Thailand 2024 ที่มาร่วมสร้างสีสันและเข้ารับประกาศนียบัตรทำความดี ณ Commonspace ชั้น G โครงการ “Phenix”

โดยภายในงานเนรมิตพื้นที่โดยรอบทั้งด้านในและด้านนอกอาคารให้มีบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ที่แสดงถึงความศรัทธาในประเพณีอันทรงคุณค่าของพี่น้องเชื้อสายจีน ตอกย้ำการเป็นแลนด์มาร์คสำคัญแห่งใหม่ใจกลางย่านประตูน้ำ พร้อมอัญเชิญองค์เทพแห่งความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นสิริมงคล พระโพธิสัตว์กวนอิมปางสำเร็จธรรม ซึ่งอัญเชิญมาจากเกาะโพวถ่อซาน ทะเลจีนใต้ เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานในพิธี รับหน้าอันเชิญพระโพธิสัตว์ฯ ขึ้นประดิษฐานบนแท่นพิธี พร้อมร่วมกราบสักการะ พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานพร ที่มีความสูงถึง 4 เมตร ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับพระกุมารโพธิสัตว์ และธิดาพญามังกรที่ยืนพนมมืออยู่ข้างพระโพธิสัตว์กวนอิม เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล สร้างพลังบุญให้กับตัวเองและครอบครัว ตลอดจนอิ่มบุญ อิ่มอร่อยร่วมกันในบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ โดยระหว่างการอัญเชิญพระโพธิสัตว์ มีประชาชนให้ความสนในร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว “อลิศ - ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน” ผู้ปฏิบัติหน้าที่องค์สมมติเจ้าแม่กวนอิมอย่างเป็นทางการ ในประเพณีถือศีลทานเจ ประจำปี 2567 พร้อมร่วมแจกทานอาหารเจเพื่อสุขภาพ เพื่อเป็นปฐมฤกษ์แห่งการทำบุญสร้างกุศล จำนวน 200 ชุด แก่ประชาชนผู้ร่วมงาน และยังมีกิจกรรมอีกมากมาย อาทิ อิ่มอร่อยไปกับเมนูอาหารเจรสเลิศในรูปแบบกินเจ ไม่จำเจ กว่า 20 ร้านที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยฟิน กินยกชามในแบบรักษ์โลกด้วยภาชนะถ้วยวาฟเฟิลกินได้จาก Mister Cone, กิจกรรมเวิร์คชอปวาดภาพพู่กันจีน แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันที่ 5-6 ตุลาคม 2567, การมอบรางวัลให้กับศิลปินและดาราที่ร่วมรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกิจกรรมถือศีลทานเจ,  การแจกทานอาหารเจในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ของคณะเจ้าภาพบริเวณหน้าองค์พระโพธิสัตว์ จำนวน 200 ชุด, กิจกรรมแจก “เหรียญพระโพธิสัตว์กวนอิม” เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล จำนวนวันละ 150 เหรียญ ตลอดระยะเวลาการจัดงาน พร้อมร่วมพิธีสวดเจริญพุทธมนต์มหากรุณาธรณีสูตรและทำน้ำพระพุทธมนต์ โดยพระอาจารย์วิศวภัทร มณีปัทมเกตุ อารามวัตรมหายาน มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย, พิธีลอยเทียนบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งได้รับเกียรติจากอาจารย์ไวท์ (หมอดูโอปป้า) และเจน ญาณทิพย์ ร่วมเป็นแขกรับเชิญพิเศษสร้างสีสันภายในพิธีเปิดตัวเทศกาลฯ

ผู้สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีการทำบุญครั้งสำคัญในเทศกาลกินเจ อิ่มฟิน เสริมดวง ได้ตั้งแต่วันนี้ - 11 ตุลาคม 2567 ณ บริเวณ Commonspace ชั้น G โครงการ Phenix Pratunam และรับโปรโมชั่น 2 ต่อสำหรับผู้ที่ช้อปปิ้งในงานหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโครงการ Phenix” ครบ 500 บาท ลุ้นสิทธิแลกรับกระเป๋าเสริมโชค มูลค่า 299 บาทและคูปองอาหาร มูลค่า 50 บาท ติดตามหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก Phenix Food Wholesale Hub หรืออินสตาแกรม @phenixfoodwholesalehub หรือ เว็บไซต์ www.phenixbox.com 

อเมริกันสแตนดาร์ด แบรนด์สุขภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ภายใต้ ลิกซิล กรุ๊ป นำโดย วิวัฒน์ สุรพัฒนานนท์ (ที่สองจากซ้าย) ลีดเดอร์ ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ และ ธริณี พิมลศรี (ซ้ายสุด) ลีดเดอร์ แบรนด์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชัน ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ ร่วมกับร้านตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ โฮมสุขภัณฑ์, สหไพบูลย์ โฮมเซ็นเตอร์, และ ทรัพย์สกล 1994 มอบสุขภัณฑ์ห้องน้ำจำนวน 160 ชิ้น มูลค่า 400,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.เชียงราย ผ่านมูลนิธิมาดามแป้ง โดยมี นางนวลพรรณ ล่ำซำ (ที่สองจากขวา) ประธานกรรมการ มูลนิธิมาดามแป้ง และ พ.ต.อ. ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ (ขวาสุด) เป็นผู้รับมอบเพื่อประสานไปยังเรือนจำกลางเชียงราย กรมราชทัณฑ์ ในการนำสุขภัณฑ์ทั้งหมดเข้าไปติดตั้งในบ้านน็อคดาวน์ให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนต่อไป ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์

วิวัฒน์ สุรพัฒนานนท์ ลีดเดอร์ ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ กล่าวว่า “อเมริกันสแตนดาร์ด เข้าใจถึงความยากลำบากที่พี่น้อง จ.เชียงรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เราจึงขอร่วมส่งกำลังใจด้วยการมอบอ่างล้างมือจำนวน 80 ชุด และโถสุขภัณฑ์จำนวน 80 ชุด รวมทั้งหมด 160 ชิ้น ผ่านมูลนิธิมาดามแป้งในการส่งต่อความตั้งใจในการช่วยเหลือจากเราไปยังผู้ประสบอุทกภัยให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติในเร็ววัน”

อเมริกันสแตนดาร์ดยังพร้อมดูแล เยียวยาลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยจับมือกับ 3 ร้านตัวแทนจำหน่ายตามรายชื่อร้านข้างต้นออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าคนสำคัญด้วยส่วนลดค่าอะไหล่สุขภัณฑ์ 50% ถึง 31 ธันวาคม ศกนี้

เพิ่มชื่อผู้ได้รับสิทธิ์พักหนี้เป็น 140,000 บัญชี หลังรัฐประกาศพื้นที่ประสบภัยล่าสุด 5,515 หมู่บ้าน

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการจัดอบรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 กฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และร่างพระราชบัญญัติประกันภัยทางทะเล พ.ศ. .... จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 ตุลาคม 2567 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงาน คปภ. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 กฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และร่างพระราชบัญญัติประกันภัยทางทะเล พ.ศ. .... ซึ่งกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาตามกฎหมาย โดยมีรากฐานแนวคิดมาจากกฎหมายประกันภัยทางทะเลของอังกฤษอันเป็นหลักการสากลที่นานาประเทศใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนากฎหมายประกันภัยและกฎหมายประกันภัยทางทะเล และสำนักงาน คปภ. ได้นำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนากฎหมายการประกันภัยทางทะเลของประเทศไทย เช่นเดียวกัน โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณา
ให้ความเห็นชอบก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติต่อไป

ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สำนักงาน คปภ. มีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพของของบุคลากร รูปแบบและกระบวนการทำงานให้มีความพร้อม คล่องตัว และปรับตัวได้เท่าทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ภายใต้ความมุ่งหมายดังกล่าวจึงได้ส่งเสริมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในด้านต่าง ๆ เข้าร่วมอบรมหลักสูตรอบรมความรู้ที่สายงานกำหนดหรือหน่วยงานภายนอกได้จัดขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะ และศักยภาพของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้สามารถปฏิบัติภารกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับการอบรมครั้งนี้แบ่งเป็น 2 เรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องแรก เป็นการอบรมเกี่ยวกับหลักการของกฎหมายว่าด้วย การปรับเป็นพินัย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหาภาวะกฎหมายอาญามีมากเกินจำเป็นหรือกฎหมายเฟ้อ (Over Criminalization) อันเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรงเท่านั้น โดยกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ความผิดทางอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามพระราชบัญญัติต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงกฎหมายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. อาทิ พ.ร.บ. คปภ. พ.ร.บ. ประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ กลายเป็นโทษที่ต้องดำเนินการปรับเป็นพินัย ซึ่งไม่ใช่โทษทางอาญาที่มีประวัติอาชญากรรมติดตัวอีกต่อไป

โดยปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริง การรวบรวมพยานหลักฐาน การชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหา การชำระค่าปรับเป็นพินัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการพิจารณาและกำหนดมาตรการลงโทษ สำหรับความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว

ทั้งนี้ การอบรมกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยในครั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากวิทยากรของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดทำกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยโดยตรง มาบรรยายให้ความรู้เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. มีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้กฎหมายดังกล่าวได้อย่างมั่นใจและเกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเรื่องที่สอง เป็นการอบรมเกี่ยวกับหลักการสำคัญของร่างพระราชบัญญัติประกันภัยทางทะเล สำนักงาน คปภ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการกำหนดมาตรฐานของธุรกิจประกันภัยทางทะเลให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยทางทะเลของไทยให้เติบโตขึ้นและสามารถแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้

“การจัดอบรมครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายทั้ง 2 เรื่องข้างต้น เพื่อเพิ่มศักยภาพให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. ที่ต้องปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบแนวทางในการบังคับใช้และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไปในแนวทางเดียวกัน มีมาตรฐาน และเป็นธรรม อันจะส่งผลให้การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้มีประสิทธิภาพและอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดีเป็นสำคัญ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ร่วมเสวนาแนวทางการสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานในเมืองหลวงแห่งอนาคต ในหัวข้อเรื่อง “MEA's Sustainable Actions for a Smarter, Sustainable Future” โดยมี คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักกิจกรรมรณรงค์และสื่อสารเพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ร่วมเสวนาฯ ในเวทีระดับนานาชาติ Sustainability Expo 2024 พร้อมร่วมจัดแสดงนิทรรศการของ MEA การดำเนินการเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของการไฟฟ้านครหลวง ณ เวที SX Talk Stage ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

MEA ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่จำหน่ายดูแลระบบไฟฟ้าสังกัดกระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ MEA ได้ดำเนินกิจการด้วยความตระหนักต่อประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการ MEA GO (Green Organization) สร้างความตระหนักให้แก่พนักงานในการใส่ใจด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ผ่านกิจกรรม Zero waste  การนำขยะที่สามารถนำไปแปลงเป็นพลังงาน (Waste to energy) การจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Procurement) การจัดประชุมที่มีการคำนึงถึงการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Green Meeting) การเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ใช้ในอาคารของ MEA เพื่อให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ในด้านระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าของ MEA ยังคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาด้านสิ่งแวดล้อม จากการรื้อถอนอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพจำนวนมาก โดย MEA ได้ริเริ่มกระบวนการ upcycle ลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้า (Insulators) ที่หมดอายุการใช้งาน ให้นำไปใช้งานในหลายรูปแบบ อาทิ การนำไปบดหยาบเพื่อทำวัสดุกันลื่นบนถนน (Anti-skid road ceramic particles) สำหรับลูกถ้วยที่บดละเอียด สามารถนำไปผลิตเป็นแผ่นรองดูดซึมน้ำประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้นำมาทดสอบนำร่องการใช้งานภายในองค์กร ก่อนขยายพื้นที่การใช้งานไปยังเครือข่ายพันธมิตรและชุมชนอื่น ๆ ส่วนเสาไฟฟ้าที่ถูกรื้อถอนจากโครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน ได้มาปักเป็นแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า และชายฝั่งย่านบางขุนเทียน รวมระยะทางกว่า 2,500 เมตร พร้อมสนับสนุนการดำเนินการปลูกป่าชายเลนและดูแลบำรุงรักษามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ปี 2547 – ปัจจุบัน จนสัมฤทธิ์ผลเกิดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนหลังแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งกว่า 380 ไร่

สำหรับด้านระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า MEA เป็นรัฐวิสาหกิจหน่วยงานแรกที่นำรถยนต์ไฟฟ้า (EV)  มาใช้ในกิจการ และได้นำเทคโนโลยีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในองค์กรกว่า 10 ปี มีการต่อยอดสร้างนวัตกรรม PLUG ME EV ระบบอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับพื้นที่อาคารสำนักงาน หรืออาคารชุดที่ต้องการรองรับผู้ใช้งานรถ EV จำนวนมาก ช่วยลดต้นทุนกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับเครื่องอัดประจุไฟฟ้า AC ทั่วไปในท้องตลาด รวมถึงการจัดทำตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานเครื่องอัดประจุไฟฟ้าที่มีความปลอดภัย และเที่ยงตรง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค หรือ Charge Sure by MEA รวมถึงดำเนินโครงการที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน MEA รับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) จำนวน 13,735 ราย คิดเป็นกำลังผลิตกว่า 238 เมกะวัตต์ และมีการติดตั้งระบบ Solar Cell ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ รวมเป็นจำนวนกว่า 84 เมกะวัตต์ ทั้งหมดนี้ ช่วยส่งผลลดคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 190,000 tonCo2/ปี เพื่อมุ่งสู่การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าสูงสุด MEA ยังมีโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชน ภายใต้โครงการ MEA Energy Mind Award ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อปลูกฝังให้นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกลุ่มบุคลากร และเยาวชนในสถานศึกษาต่าง ๆ สร้างเยาวชนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว (Green Youth) ส่งมอบสู่สังคมไทย

ในส่วนของผู้ประกอบการ โครงการ MEA Energy Award เป็นโครงการที่มอบรางวัลให้กับอาคารในประเภทต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด “ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และคุณภาพอากาศได้มาตรฐาน” ซึ่งได้ดำเนินโครงการปีที่ 7 มีอาคาร ผ่านเกณฑ์ประเมินมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงานของ MEA ไปแล้วทั้งสิ้น 313 แห่ง ช่วยให้เกิดผลประหยัด 46.33 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นมูลค่า 180.93 ล้านบาทต่อปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ 26,589 tonCo2 ต่อปี ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการที่ MEA กำหนดเป้าหมาย Carbon Neutrality ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ. 2593 และ กำหนดเป้าหมาย Net Zero Emission การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี พ.ศ. 2608 ดำเนินการขับเคลื่อนจากภายในองค์กรขยายไปสู่ภายนอก และเดินหน้าผลักดันให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามนโยบายของรัฐบาลในอนาคตต่อไป

X

Right Click

No right click