

นางสาวพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ธุรกิจสินเชื่อบุคคล
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) มุ่งมั่นสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น
สานต่อโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส เพื่อเด็กกลุ่มเสี่ยง ปีที่ 6 เนื่องในวันปอดอักเสบโลก (World Pneumonia Day 2021)
กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “บริษัท” รหัสหลักทรัพย์: 1299) ประกาศดัชนีชี้วัดธุรกิจใหม่ที่สำคัญสำหรับ 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564
สรุปสาระสำคัญทางการเงิน
อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ตามรายละเอียดด้านล่าง

นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า
เอไอเอมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่แข็งแกร่งถึงร้อยละ 15 ในช่วง 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน เรารักษาแรงขับเคลื่อนได้ดี และสามารถสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ซึ่งแข็งแกร่งมากที่ร้อยละ 20 เมื่อเทียบเคียงกับพื้นฐานเดิม ยกเว้นในฮ่องกงที่ยอดขายให้นักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงถูกจำกัดจากมาตรการด้านการเดินทางอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัทเอไอเอมีอัตราการเติบโตที่มากกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562
ในจีนแผ่นดินใหญ่ เรากำลังมีความก้าวหน้าในการสร้างการเติบโตให้แก่ พรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเราในเมืองใหม่ได้เป็นอย่างดี และผมมีความยินดีที่ล่าสุดเอไอเอ ประเทศจีน ได้รับการอนุมัติด้านการกำกับดูแลเพื่อเริ่มดำเนินธุรกิจในอู่ฮั่น หูเป่ย์ นอกจากนี้ผมยังได้รับกำลังใจจากผลประกอบการในระยะเริ่มต้นที่เป็นบวก จากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารแห่งเอเชียตะวันออก (The Bank of East Asia) ในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง
ทั่วทั้งกลุ่มบริษัทของเรากำลังใช้ประโยชน์จากพลังของเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่ได้วางไว้และขยายความได้เปรียบในการแข่งขันของเราออกไป ในขณะที่การระบาดใหญ่ยังคงส่งผลกระทบต่อตลาดบางส่วนของเรา ผลการดำเนินงานของเอไอเอแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและยืดหยุ่นทั่วทั้งเอเชียของเราซึ่งได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี
“ผมมั่นใจว่าเราจะยังคงมุ่งเน้นไปที่การดำเนินการตามกลยุทธ์เพื่อการเติบโตของเรา และส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดของเรา พร้อมกับช่วยให้ผู้คนอีกหลายล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”
สรุปผลการดำเนินงานในช่วงระยะเวลา 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) มีมูลค่า 2,549 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2563 เอไอเอสามารถคงความแข็งแกร่งของการเติบโตในมูลค่าธุรกิจใหม่ได้อย่างดี โดยเติบโตถึงร้อยละ 20 บนพื้นฐานที่เหมือนกัน มูลค่าธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัทนอกฮ่องกงยังคงสามารถเติบโตได้เหนือกว่าช่วงเวลาก่อนสถานการณ์โรคระบาดในปี 2562
เอไอเอ ประเทศจีน ยังคงเป็นตลาดที่สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กับกลุ่มบริษัทเอไอเอมากที่สุดด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตคิดเป็นตัวเลข 2 หลักในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บนพื้นฐานเหมือนกัน ด้วยความแตกต่างของโปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ที่สามารถผลักดันให้ตัวแทนสร้างผลงานได้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2563 รายได้โดยเฉลี่ยของตัวแทนสูงขึ้นกว่าเมื่อช่วงก่อนมีสถานการณ์โรคระบาดในปี 2562 ซึ่งช่วยสนับสนุนในด้านการรับสมัครตัวแทนใหม่และรักษาตัวแทนเดิม ผลิตภัณฑ์ประกันที่มอบความคุ้มครองแบบดั้งเดิมยังคงได้รับความนิยม โดยสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ได้สูงที่สุด ซึ่งเราประสบความสำเร็จอย่างมากกับผลงานการขายจากการขยายผลิตภัณฑ์ประกันเพื่อการออมระยะยาว ทำให้เราสามารถได้ส่วนแบ่งเงินในกระเป๋าของลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถสร้างความก้าวหน้าอย่างโดดเด่นจากการที่เราริเริ่มและพัฒนาโปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ในเมืองใหม่ๆ ของเอไอเอ ประเทศจีน เราเพิ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับดูแลการธนาคารและการประกันภัยแห่งประเทศจีน ในการดำเนินธุรกิจในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์
ธุรกิจของเราในฮ่องกงได้รับรายงานถึงมูลค่าธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมจากการแบ่งกลุ่มลูกค้าในประเทศ ยอดขายจากนักท่องเที่ยวในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีข้อจำกัดเนื่องมาจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่ยังดำเนินอยู่ ตลอด 9 เดือนแรกของปีนี้ ตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ ได้ส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องไตรมาสต่อไตรมาส เรายังประสบผลสำเร็จในช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ที่มีการเติบโตอย่างดีเยี่ยม โดยมีแรงสนับสนุนจากพันธมิตรใหม่ของเรา นั่นก็คือ The Bank of East Asia เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
เอไอเอ ประเทศสิงคโปร์ และเอไอเอ ประเทศมาเลเซีย สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตอย่างดีใน 9 เดือนแรกของปี 2564 ในขณะที่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี มาตรการการจำกัดจากสถานการณ์โรคระบาดส่งผลกระทบต่อมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ลดลงเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 ตลาดในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2563 อย่างไรก็ดี เราได้พัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของตัวแทนในการสร้างผลผลิตของพรีเมียร์ เอเจนซี่ ในทั้ง 2 ประเทศ
นอกจากเอไอเอ ประเทศเวียดนาม ตลาดอื่นๆ ที่มูลค่าธุรกิจใน 9 เดือนแรกของปี 2564 มีอัตราเติบโตที่สูงขึ้นจากปี 2563 เปรียบเทียบบนพื้นฐานเดียวกัน ผลกระทบจากโรคโควิด 19 สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงต่อหลายๆ ตลาดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 เอไอเอ เวียดนาม ได้รับผลกระทบจากยอดผู้ติดเชื้อและมาตรการล็อคดาวน์อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงมาจนถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ อย่างไรก็ดี การปรับตัวในด้านกระบวนการขายโดย Remote sales process ช่วยบรรเทาผลกระทบจากโรคระบาดให้ลดลง มูลค่าธุรกิจในตลาดอื่นๆ ลดต่ำลงอย่างเล็กน้อยในช่วงระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2564 บนพื้นฐานเหมือนกัน
เอไอเอ ประเทศไทย มีมูลค่าธุรกิจที่เติบโตอย่างยอดเยี่ยม โดยมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากทั้งช่องทางตัวแทนและแบงก์แอสชัวรันส์ และมีการเติบโตจากครึ่งปีแรกของปี 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสที่ 3
กำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่โดยภาพรวมตลอดระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้น 5.1 จุด (pps) คิดเป็นร้อยละ 58.9 จากการปรับรูปแบบการผสมผสานผลิตภัณฑ์ ลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้น กำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่มาจากการจัดการด้านค่าใช้จ่ายและการลงทุนระยะยาว โดยผลตอบแทนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากที่แสดงในรายงานประจำปี 2563 ในส่วนของกำไรได้ถูกรายงานเป็นมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ คิดเป็นร้อยละ 10 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 เบี้ยประกันภัยรับปีแรก เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เป็น 4,309 ล้านเหรียญสหรัฐ และเบี้ยประกันภัยรับรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เป็น 27,463 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภาพรวม
รายได้ที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงประกันภาคเอกชนที่อยู่ในระดับที่ต่ำ และความคุ้มครองสวัสดิการสังคมที่จำกัดยังคงเป็นตัวผลักดันความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันของเอไอเอทั่วเอเชีย ข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญของเราช่วยให้เราสามารถต่อยอดความต้องการเหล่านี้เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 แต่ผลกระทบต่อเนื่องของโรคระบาดได้ชะลอการเติบโตในไตรมาสที่ 3 เรายังคงเห็นข้อจำกัดจากมาตราการป้องกันการแพร่ระบาดและการเรียกร้องสินไหมประกันที่เพิ่มขึ้นในบางตลาดของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีระดับการได้รับวัคซีนต่ำ แม้จะมีความไม่แน่นอนในระยะสั้น แต่เรามั่นใจว่าการดำเนินการตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของเราจะสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน
เอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลท้องถิ่น ซึ่งทำให้สินทรัพย์และหนี้สินของเรามีมูลค่าใกล้เคียงกัน ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ในรายงานงบการเงินรวมของกลุ่มที่มีการแปลเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น เราจึงมีการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนของผลการดำเนินธุรกิจ
หมายเหตุ
มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของกลุ่มบริษัท ไม่รวมในส่วนของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม
เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) และมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) สำหรับตลาดอื่น รวมร้อยละ 49 ซึ่งเป็นผลมาจากการร่วมหุ้นในประเทศอินเดีย บริษัท ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต จำกัด (ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต)
บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต รายงานผลการดำเนินธุรกิจไตรมาสสามแข็งแกร่ง
ttb analytics มองเศรษฐกิจไทยปี 65 ฟื้นตัวใกล้ก่อนโควิด คาดเติบโตที่ 3.6% จากประมาณการ 1% ในปี 64 ด้วยแรงหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวได้เร็ว ส่งออกโตต่อเนื่อง และปัจจัยบวกเปิดประเทศดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยกลับมา
ttb analytics เผยเศรษฐกิจไทยปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัว 3.6% จากทุกองค์ประกอบที่มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวกลับมาได้เร็วใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ส่วนการลงทุนภาครัฐยังขยายตัวเพิ่มขึ้น การส่งออกเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่การท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว และใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปีในการกลับสู่ระดับปกติ
การเปิดประเทศได้เร็ว อัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น และแรงกระตุ้นต่อเนื่องจากมาตรการภาครัฐ เป็นปัจจัยบวกหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปี ทำให้จีดีพีในปี 2564 ขยายตัว 1.0% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 0.3% โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปี 2564 ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 และลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2564 (หักผลฤดูกาลแล้ว) เป็นผลมาจากวิกฤตโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แม้ยังคงมีแรงพยุงจากมาตรการเยียวยาจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี ยังคงได้แรงหนุนต่อเนื่องจากภาคการส่งออกที่เติบโต 15.3% ในไตรมาส 3 นี้ และสำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ภาคการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และจีน รวมทั้งมีแรงขับเคลื่อนเพิ่มจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ อัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น และการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น กอปรกับยังคงมีแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐ ขณะที่ สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในวงจำกัด ทำให้เศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปีมีทิศทางดีขึ้น และหนุนภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2564 ขยายตัวที่ 1.0%
ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกด้านมีแรงส่งมากขึ้น ดันเศรษฐกิจไทยปี 2565 โตต่อเนื่องที่ 3.6% โดยการเปิดประเทศได้เร็ว การคลายล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่ชัดเจนมากขึ้น เป็นปัจจัยบวกส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคและบรรยากาศทางธุรกิจที่ปรับดีขึ้น ในส่วนของการบริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นในทุกหมวดสินค้า ทำให้ภาพรวมการบริโภคฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ได้เร็ว และยังคงมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในส่วนของสินค้าคงทน หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มมีทิศทางดีขึ้น (pend up demand) สะท้อนให้เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2564 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สอดรับการเปิดประเทศที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ฟื้นคืนกลับมา รวมทั้งสถานการณ์น้ำท่วมที่คลี่คลายในหลายพื้นที่ และการเดินหน้าเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่เป็นช่วงไฮซีซันจะช่วยให้ดีมานด์รถยนต์ดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565
ด้านการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ตามอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัว และการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัว สอดคล้องดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจมีทิศทางดีขึ้น รวมทั้งได้รับผลเชื่อมโยงจากการปรับแผนโครงการลงทุนใน EEC ระยะสอง (ปี 2565-2569) เป็นวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท จากระยะแรก 1.7 ล้านล้านบาท ที่มุ่งเน้นการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม วิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ โดยมีมูลค่าการลงทุน 500,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งครอบคลุมทั้งส่วนของการลงทุนทั้งในโครงสร้างพื้นฐาน ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และในอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve)
ภาคการส่งออกปี 2565 ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย และอัตราการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่โหมดฟื้นตัว นำไปสู่ความต้องการสินค้าใกล้เคียงช่วงปกติได้อย่างรวดเร็ว กอปรกับเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า ทำให้มูลค่าส่งออกไทย (รูปเงินดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.5% เทียบกับกับประมาณการปี 2564 ที่จะโตได้ถึง 15.7% (เป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้เร็วประกอบกับผลของฐานต่ำในปี 2563) แต่ตัวเลขส่งออกในระดับนี้นับว่าเป็นการขยายตัวที่อยู่ในระดับสูงกว่าปีก่อนสถานการณ์โควิด และเป็นการขยายตัวที่สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่กลับสู่ภาวะปกติ รวมทั้งภาวะที่เศรษฐกิจอาจมีแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งอาจลดทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคลง
ส่วนภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 7.5 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งยังต่ำกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 มาก โดยเกิดจากปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศ และสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวมีทิศทางดีขึ้น ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 ทยอยเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวหลักที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยยังคงไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ทำให้ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2564 อยู่ที่ 3 แสนคน และมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งคิดเป็น 19% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคนเมื่อเทียบกับปี 2562 เนื่องจากความกังวลด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงมีความไม่แน่นอน เห็นได้จากการที่หลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ จีน และรัสเซียต่างเผชิญกับการระบาดหลังผ่อนคลายมาตรการ นำไปสู่การใช้มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจีน จึงส่งผลให้การฟื้นตัวในครึ่งแรกของปี 2565 เป็นไปได้อย่างจำกัด ก่อนจะทยอยกลับมาคึกคักมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และมีแนวโน้มเร่งสูงขึ้นในปี 2567 สู่ระดับใกล้เคียงก่อนการเกิดสถานการณ์โควิด-19
การระบาดโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ความไม่แน่นอนทั้งสายพันธุ์ปัจจุบันและสายพันธุ์ที่อาจเกิดใหม่ในอนาคต อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีน อย่างไรก็ดี เชื่อว่าประชาชนและภาคธุรกิจจะสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ เนื่องจากทุกหน่วยงานเร่งอัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้นเป็นลำดับและมีมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรง นอกจากนี้ แรงกดดันอัตราเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจมีการปรับสูงขึ้น
ในด้านตลาดการเงิน ดอกเบี้ยระยะสั้นมีแนวโน้มทรงตัวต่อไป สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 0.50% ไปจนถึงปี 2565 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในระยะฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ คาดว่าผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐอาจจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งหลังของปี 2565 จะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งน่าจะยังคงให้น้ำหนักกับต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจในระยะฟื้นตัวมากกว่า
นอกจากนี้ ttb analytics ยังคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทอาจผันผวนและมีทิศทางอ่อนค่าลง ขณะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีโอกาสปรับสูงขึ้น ทำให้สิ้นปี 2565 ค่าเงินบาทมีโอกาสแตะ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยภายนอกที่มาจากการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งหลังปี 2565 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยภายในที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอาจจะยังไม่ฟื้นตัวเร็ว ๆ นี้ ในขณะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นจากความกดดันของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะยาว โดยปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลไทย (10Y) มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.90% มีโอกาสปรับตัวไปได้ถึง 2.20% ในปี 2565 เป็นสาเหตุสำคัญที่กดดันผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้และกระทบต้นทุนการกู้ยืมเงินของภาคเอกชน
เนื่องจากสถานการณ์โควิดได้สร้างความท้าทายในการทำงานร่วมกันระหว่างห้างค้าปลีกและ CPG
ไทยพาณิชย์พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจทางการเงินและโครงสร้างการถือหุ้น
ชูจุดเด่นทำเลแห่งอนาคต เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ราคา 1.39 ล้าน
ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ สุดแกร่ง! โตสวนกระแสโควิด-19 ทั้งยอดขายและกำไร โชว์ผลงานงวด 9 เดือน ปี 64 กำไรสุทธิ 1,624.72 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.71 บาท “ดร.สมพร สืบถวิลกุล” ซีอีโอ สุดปลื้ม บริษัทฯ มีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับในทุกผลิตภัณฑ์ ยืนยันไม่มีกรมธรรม์ประกันภัยโควิดประเภท เจอ จ่าย จบ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเต็มสูบ ทั้งในส่วนของธุรกิจประกันภัย และการลงทุนอื่น ๆ หลังจัดทัพใหม่ยกฐานะขึ้นเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ ขณะที่บอร์ดไฟเขียวตั้งบริษัทใหม่ลุยลงทุนธุรกิจประกันภัย ตั้งเป้าปี 65 เล็งซื้อบริษัทประกันภัยเพิ่ม
ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2564 ว่า TIPH มีผลการดำเนินงานขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสามารถทำกำไรสุทธิรวม 1,624.72 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.71 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 1,609.99 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 2.68 บาท
ในส่วนของรายได้ บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 19,397.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับในทุกประเภทผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีกำไรจากการลงทุนรวม 722.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.72% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น ดร. สมพร กล่าวว่า บริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายฐานการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น
ด้วยประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในการประกอบธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ล่าสุด บมจ. ทิพยประกันภัย หรือ TIP ได้รับรางวัล “ประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น อันดับหนึ่งประจำปี 2563” ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 และรางวัล “บริษัทประกันวินาศภัยที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยดีเด่น ประจำปี 2563” จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่คัดเลือกบริษัทประกันภัย ที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ฐานะทางการเงินที่มั่นคง ธรรมาภิบาลเป็นเลิศ และบริษัทที่มีทิศทางและกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจสู่การเป็นผู้นำประกันภัยด้านดิจิทัล ออกแบบสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันภัยและการให้บริการที่ตอบสนองประชาชนโดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคตของ TIPH นั้น ดร. สมพร กล่าวว่า นอกจากการผลักดันให้บริษัทฯ มีการขยายตัวของเบี้ยประกันภัยรับอย่างต่อเนื่องแล้ว บริษัทฯ มีแผนการขยายธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564 จนถึงปี 2565 ในการศึกษาแนวทางในการเข้าซื้อกิจการของบริษัทที่ประกอบธุรกิจสนับสนุนธุรกิจประกันภัย 2-3 ธุรกิจ โดยตั้งเป้าไปที่บริษัทที่ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันภัย และบริษัทที่ประกอบธุรกิจสำรวจภัยและจัดการสินไหม รวมทั้งการศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งบริษัทประกันภัยใหม่ หรือการเข้าซื้อกิจการที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย เพื่อรองรับการขยายธุรกิจประกันภัยที่มีศักยภาพ เช่น Digital Insurance รวมถึงการ Spin Off หน่วยธุรกิจออกเป็นบริษัทใหม่
ทั้งนี้สำหรับการลงทุนในธุรกิจสนับสนุนประกันภัย ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัท ทิพย ไอเอสบี จำกัด (TIP ISB) เพื่อเป็นบริษัทเรือธง หรือ Flagship Company สำหรับลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่สนับสนุนธุรกิจประกันภัย (Insurance Supported Business)
“บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ยังคงยืนยันเป้าหมายในการเดินหน้าขึ้นสู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงธุรกิจประกันภัยไปสู่มิติใหม่ ขยายขอบข่ายการดำเนินธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย ควบคู่ไปกับการมอบสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคม รวมถึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต” ดร.สมพร กล่าว