December 22, 2024

Thammasat Business School (TBS) 

การจัดการศึกษาสาขาบริหารธุรกิจหรือ Business School เป็นที่ยอมรับกันมาอย่างยาวนานทั่วโลกว่า เป็นหนึ่งในสาขาของศาสตร์ชั้นสูง เพราะเป็นหลักสูตรเพื่อการปลุกปั้นและพัฒนานักบริหาร รวมทั้งผู้ประกอบการให้มีความรู้ความสามารถและศักยภาพครบพร้อมทั้งภาคทฤษฎีและวิถีปฏิบัติ บ่มเพาะภาวะผู้นำภายใต้การเป็นสมาชิกของสังคมเครือข่ายที่มีศักยภาพในแวดวงธุรกิจและการบริหาร บนเป้าหมายสำคัญเพื่อให้ผู้ที่ผ่านหลักสูตร MBA มีความพร้อมและสามารถนำพาองค์กรและกิจการก้าวสู่ความสำเร็จ  ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ กิจการระดับท้องถิ่นหรือองค์กรข้ามชาติระดับโลก ดังนั้น  Business School จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจของประเทศ

B-School ธรรมศาสตร์: ยืนหยัดเพื่อการพัฒนา

เป็นอีกวาระที่ Thammasat Business School หรือ TBS เติบโตขึ้นอีก 1 ปี โดยวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา TBS ได้ฉลองครบรอบ 80 ปีของบทบาทการเป็นสถาบันที่จัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตบัณฑิตและพัฒนาบุคลากรคนของประเทศในสาขาด้านการบริหารธุรกิจหรือ MBA ภายใต้คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี  ซึ่งตลอด 80 ปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า TBS ได้รับการยอมรับในความเป็นคณะฯ และหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนด้านบริหารธุรกิจอยู่ในอันดับแนวหน้าของประเทศไทย และจุดยืนนี้ยังดำรงอยู่มาโดยตลอด ภายใต้ความสำเร็จและการยอมรับ รศ.ดร.พิภพ อุดร คณบดีคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม่ทัพผู้รับบทบาทในการขับเคลื่อนพัฒนาจัดการการศึกษาของคณะฯ ได้เปิดเผยถึงประเด็นนี้ว่า หัวใจหลักของเรา คือ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง TBS ได้รับความร่วมมือจากทางทีมผู้บริหารรุ่นก่อน นักศึกษา คณาจารย์ ศิษย์เก่า องค์กรและพันธมิตรทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนาการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่องมาตลอด  โดยที่เรายึดมั่นในสามเรื่องสำคัญ คือ

หนึ่ง  Innovative Education การคิดทำสิ่งใหม่ๆ หรือพัฒนาสิ่งเดิมที่มีอยู่แล้วให้ล้ำนำสมัย ส่งผลให้เรากลายเป็นผู้นำที่เสนอหลักสูตรใหม่ๆมากมายเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

สอง คือ Practical Experience นอกจากภาคทฤษฎีแล้ว เราต้องเปิดประตูออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง นักศึกษาต้องเรียนรู้การบริหารจัดการจากธุรกิจที่จับต้องได้จริง

และสุดท้าย คือ Corporate Connection การสร้างเครือข่าย การทำอะไรคนเดียวไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีพันธมิตรทั้งในส่วนของมหาวิทยาลัยและองค์กรบริษัทต่างๆ สามสิ่งนี้คือ หัวใจที่ทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้”

รศ.ดร.พิภพ อธิบายถึงปณิธานดั้งเดิมของคณะพาณิชยฯ ที่ต้องการสร้างบัญฑิตขึ้นมาเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะคุณค่าของบัณฑิตไม่ได้อยู่ที่ว่าคนนั้นเก่งหรือพิเศษกว่าคนอื่นแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเขาทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้เพียงไร TBS จึงพยายามปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตสำนึกต่อสังคมและชุมชนมาโดยตลอด มีการนำเอาโจทย์ของสังคม ชุมชนหรือประเทศมาหาคำตอบและทางออกร่วมกันในชั้นเรียน ทำให้มีการร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ในการสอน การพัฒนา มีโครงการฝึกงาน สร้างกระบวนการแข่งขัน รวมถึงการให้ทุนการศึกษา เพราะการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาระบบการศึกษาเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต่างได้ประโยชน์

The First Accreditation: ปี 2012

 EFMD Quality Improvement System (EQUIS)        

TBS เริ่มก้าวเข้าสู่กระบวนการรับรองคุณภาพการศึกษาระดับนานาชาติมาตรฐานสากล และผ่านด่านแรกของการพิจารณาการรับรองจาก EFMD Quality Improvement System (EQUIS) ในปี 2012  ซึ่งการเข้าสู่กระบวนการในครั้งนั้น รศ.ดร. พิภพ ได้เผยถึงเป้าหมายและความสำคัญว่า  “เราต้องการยกระดับมาตรฐานให้หลักสูตรของ TBS ทั้งระบบ ซึ่งหมายความถึงกิจกรรมเชิงวิชาการของคณะฯ และงานวิจัยในทุกระดับการเรียนการสอน ทั้งปริญญาตรี โท และปริญญาเอก ให้มีคุณภาพทัดเทียมและเป็นที่ยอมรับระดับสากล โดยประเด็นสำคัญคือ ต้องการให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และความร่วมมือด้านวิชาการต่างๆ ระหว่างมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ และแน่นอน บัณฑิตของสถาบันฯ ที่มีมาตรฐานระดับสากลย่อมได้รับประโยชน์ ได้รับการยอมรับและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก”

Second Accreditation: 2017

AACSB (The Association to Advance Collegiate School of Business)

การได้รับรองมาตรฐานจาก AACSB ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ TBS เพราะมีเพียงไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของคณะบริหารธุรกิจใน 53 ประเทศทั่วโลก ที่ผ่านการรับรองนี้ เมื่อรวมกับ EQUIS แล้ว TBS จึงเป็นสถาบันฯ เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองจาก 2 ค่ายใหญ่ของโลก คือ AACSB จากสหรัฐอเมริกา และ EQUIS จากสหภาพยุโรป ครบถ้วนทุกระดับปริญญา คือทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก

Third Accreditation: 2018

AMBA (Association of MBAs)

ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2561 TBS ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการศึกษาระดับนานาชาติสำหรับหลักสูตรบริหารธุรกิจระดับบัณฑิตศึกษาจาก AMBA (Association of MBAs) ของสหราชอาณาจักร โดยการผ่านมาตรฐานในครั้งนี้ ทำให้ TBS ได้รับสถานะของการเป็น Business School  ที่มี Triple Crown Accreditation จากการได้รับพิจารณามาตรฐานการศึกษานานาชาติ จาก 3 สถาบันชั้นนำของโลก อันได้แก่  EFMD Quality Improvement System(EQUIS), AACSB (The Association to Advance Collegiate School of Business) และ AMBA

“Association of MBAs หรือ AMBA เป็นองค์กรที่มีความพยายามอย่างมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานและคุณภาพในระดับสากล เพื่อประโยชน์ของทั้งสถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจในภาคี ผู้เรียน ศิษย์เก่า รวมไปถึงนายจ้าง มีมหาวิทยาลัยทั่วโลกอยู่ในกลุ่มนี้ผ่านการประเมินนี้อยู่ที่ประมาณ 264 แห่งทั่วโลกแล้วเขาก็จะหยุดอยู่ที่จำนวน 300 แห่งแปลว่าเมื่อครบ 300 แห่งเขาจะไม่รับรองสถาบันฯ ไหนอีก นอกจากจะมีมหาวิทยาลัยที่ถูกตัดออก จึงมีการประเมินเพิ่มเข้ามา หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพการประเมินคุณภาพ ISO มักใช้ประเมินความสม่ำเสมอการรักษาคุณภาพมาตรฐานขององค์กรนั้นๆ ให้ได้คงที่ แต่การ Accreditation ทางบริหารธุรกิจ หมายความว่า สถาบันหรือคณะที่จะผ่านการรับรองได้ต้องมีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องไม่หยุดอยู่ที่เดิม ซึ่งการรับรองเหล่านี้จะไม่ได้อยู่กับสถาบันฯ ไปตลอด อย่างการประเมินของ AMBA จะเน้นในด้าน Post-graduated Experience โดยวิธีการ คือ เขาจะมีเงื่อนไขว่าภายในช่วงเวลา 3 หรือ 5 ปี จะมีการกลับมาประเมินวัดผลใหม่ ให้เราประเมินตัวเองในด้านต่างๆ ก่อน จากนั้นจะมีการส่งผู้เชี่ยวชาญจาก 4 ประเทศมาร่วมกันประเมิน โดยจะมีการตรวจสอบทั้งในส่วนของเอกสาร รวมไปถึงการพูดคุยกับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ อาจารย์ นักศึกษา ศิษย์เก่า และบริษัทที่จ้างงานบัณฑิต จึงทำให้ในการประเมินวัดผลสถาบันฯ ทุกครั้งต้องมีพัฒนาการจากการประเมินครั้งก่อน หากหยุดอยู่ที่เดิมก็มีโอกาสที่เขาจะยึดคืน ซึ่ง AACSB และ EQUIS ก็มีเงื่อนไขเวลาเช่นเดียวกัน ดังนั้น คีย์สำคัญของการประเมิน คือ ต้องมีความเป็นเลิศและพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี”

Triple Crown Accreditation มงกุฎที่สาม ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

            รศ.ดร. พิภพ กล่าวถึงความสำคัญและการได้มาซึ่งความสำเร็จของการผ่านมาตรฐานการรับรองหลักสูตรของ AMBA ในครั้งนี้ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้รับมาตรฐานจาก AMBA ทำให้เราเป็นหนึ่งใน 90 จาก 13,670 สถาบันทั่วโลกที่จัดการศึกษาด้านบริหารธุรกิจ เปลี่ยนสถานะเป็น Triple Crown Accreditation ทันที TBS จึงมีมาตรฐานและคุณภาพที่ผ่านการรับรองจากทั้งสามองค์กรเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และในภูมิภาคเดียวกันกับเรามีสถาบันที่ได้ Triple Crown เพียงสองแห่งเท่านั้น ตอนนี้ก็เริ่มมีคนพูดถึงเรามากขึ้น ในแง่ของการที่ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียนทางด้านบริหารธุรกิจในเมืองนอกแล้ว เพราะที่เมืองไทยก็มี TBS ซึ่งมีคุณภาพทัดเทียมระดับโลก ในทางกลับกันคนทั่วโลกที่เขาสนใจศึกษาทางด้านบริหารธุรกิจอยู่แล้วเมื่อมองเห็นว่าประเทศไทยเรามีหลักสูตรที่ได้ Triple Crown บวกกับเสน่ห์ของเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้คน ศิลปะ อาหาร หรือวัฒนธรรม ก็ยิ่งดึงดูดคนที่เขาต้องการเรียนอย่างมีคุณภาพและใช้ชีวิตในประเทศที่มีความหลากหลาย นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยทั่วโลกเวลาที่เขาต้องการร่วมมือหรือเป็นพันธมิตรกับใคร เขาก็ต้องดูว่าหน่วยงานนั้นมีมาตรฐานและคุณภาพเท่าเทียมกับเขาหรือเปล่า จึงถือเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้สร้างเครือข่ายกับมหาวิทยาลัยทั่วโลกที่อยู่ในกลุ่ม Triple Crown เหมือนกัน ทั้งนี้ TBS ยังเป็นมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับให้เข้าร่วมโครงการเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ก่อตั้งมากว่า 45 ปี นั่นคือ PIM (Partnership in International Management) ซึ่งมีมหาวิทยาลัยชั้นนำเป็นสมาชิกเพียง 65 แห่งใน 32 ประเทศทั่วโลก และสำหรับช่วงเดือนตุลาลม ปี 2562 เราก็จะได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมเครือข่ายสมาชิก PIM ขึ้นที่ประเทศไทย ผู้แทนจากทั้ง 65 มหาวิทยาลัยทั่วโลกจะเดินทางมาร่วมประชุมที่บ้านเรา ซึ่งพอเขามาแล้วก็จะเกิดการเรียนรู้ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับระบบการศึกษา รวมถึงความโดดเด่นของ TBS  ถือเป็นช่องทางการประชาสัมพันธ์และทำให้เราเป็นที่รู้จักได้มากขึ้นในเวทีโลก”

NEXT MOVE ก้าวต่อไปของ TBS

หลังจากได้รับมงกุฎที่สามซึ่งถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของสถาบันทางบริหารธุรกิจมาสวมใส่อย่างสง่างาม รศ.ดร.พิภพ อุดร ก็ได้กล่าวถึงก้าวต่อไปของ TBS ซึ่งมีการพูดคุยร่วมกับผู้บริหารธนาคารในประเทศพม่าผ่าน Myanmar Institute of Banking (MIB) โดยทางประเทศพม่าได้เล็งเห็นถึงคุณภาพระดับ Triple Crown ของ TBS รวมถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมทางการเงินซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่เชื่อมโยงกับทุกธุรกิจในการขับเคลื่อนประเทศ ทางกลุ่มธนาคารประเทศพม่าจึงมีการสนับสนุนทุนการศึกษาให้ผู้บริหารระดับกลางเข้ามาศึกษากับ TBS โดยคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมีผู้บริหารราว 30 ท่านมาเรียนในหลักสูตร Global Executive MBA หรือ GEMBA ซึ่งหลักสูตรนี้มีความเป็นสากลมากที่สุดในประเทศไทย เพราะในจำนวนผู้เรียนแต่ละห้อง มีคนไทยไม่ถึงหนึ่งในสาม ทำให้เป็นคลาสที่มีความหลากหลาย ผู้เรียนได้พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ทั้งเรื่องการใช้ภาษา การเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและความคิดเห็นของคนที่มาจากพื้นฐานที่ต่างกันทั่วโลก เพราะคนที่เรียนมาคล้ายกัน ประสบการณ์เดียวกัน ก็จะมองเห็นทางแก้ปัญหาในมุมคล้ายกัน ผู้เรียนเองก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ นอกจากนี้ หลักสูตรนี้ก็จะกำลังขยายไปในระดับผู้บริหารกลุ่มประเทศ CLMVT (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย) เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ วิธีคิด หลักการบริหารผ่านกรณีศึกษาระดับโลก โดยจะไม่ได้มีเพียงแค่การในห้องเรียนอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะมีการไปเรียนรู้กับผู้บริหารระดับสูงตามบริษัทหรือองค์กรต่างๆ รวมถึงในต่างประเทศด้วย

“โลกมีการปรับเปลี่ยนเดินไปข้างหน้าตลอดเวลาถ้าเราหยุดอยู่ที่เดิมก็เหมือนเราเดินถอยหลัง เพราะฉะนั้นเราต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอ การที่เราได้รับการประเมินอย่างนี้ทำให้เรามีพื้นฐานที่ดี เวลาเราขยับขยายก็จะง่ายขึ้นเพราะเรารู้ข้อดีหรือสิ่งที่เราต้องพัฒนาปรับปรุง TBS วางแผนต่อจากนี้ว่าเราจะนำหลักสูตรไปอยู่ในรูปแบบ Virtual Campus ทำให้การเรียนรู้เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนบนโลกก็ตาม เน้นการเพิ่มทักษะทางการสื่อสารและการปรับตัวเพื่อพัฒนาตัวเองมากกว่าความรู้ เพราะหากผู้เรียนรู้เหมือนๆ กัน จบมาทำงานเหมือนๆ กันมีโอกาสที่ในอนาคตจะถูกแทนที่ด้วย AI (Artificial Intelligence) สูงมาก ทั้งหมดนี้เป้าหมายหลักของเราในการบ่มเพาะคนที่จบออกไป คือ เขาต้องทำให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้น ทำให้สังคมดีขึ้น เพราะมุ่งการสร้างกำไรทางธุรกิจเพียงอย่างเดียวไม่มีทางยั่งยืน ตราบใดที่ชีวิตคนและสังคมไม่ดีขึ้น TBS สอนให้คนนึกถึง The Next Generation วันนี้คุณทำอย่างนี้คนรุ่นต่อไปจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างทั้งในเรื่องการใช้ชีวิตและทรัพยากร ต้องคิดอะไรเกินกว่า Generation ของเราเองและเกินกว่าขอบรั้วของชาติเราเอง นึกถึงประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศอื่นในโลกเพราะเขาก็มีประชากรและทรัพยากรที่อาจได้รับผลกระทบจากเราเช่นกัน”

 

ผมเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมา และได้รับการศึกษา ในยุคพุทธทศวรรษ 2510 เป็นต้นมา หรือถ้าเทียบเป็นทศวรรษแบบฝรั่งก็ต้องถือว่าเป็นเด็กที่เกิดในยุค 60s แต่เจริญเติบโต เริ่มมีความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนเข้าสู่ Formative Years ในระหว่างยุค 70s-80s

สมัยโน้น เมื่อผู้ใหญ่ถามว่า "โตขึ้นอยากเป็นอะไร?" เด็กส่วนใหญ่มักจะตอบว่า อยากเป็นนักบินอวกาศ หรือนักวิทยาศาสตร์ เพราะถือว่าเป็นสุดยอดปรารถนาของเด็กสมัยนั้น สมัยที่ Apollo 11 นำมนุษย์ขึ้นไปเหยีบดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรก และชื่อเสียงของนักบินอวกาศเหล่านั้น โด่งดังไปทั่วโลก และเป็นที่จดจำได้ยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีหรือผู้บัญชาการทหารบกของไทยเสียซ้ำ

หุ้นชั้นแนวหน้าของโลกที่คนนิยมลงทุนกันมากในสมัยโน้นคือ Coca-Cola, Sears, Philip Morris (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Altria) และ GE หรือ General Electric

หุ้นเทคโนโลยี (สมัยโน้นยังไม่เรียกว่า Hi-Tech) ซึ่งนิยมกันในหมู่ผู้ลงทุนหัวก้าวหน้าในสมัยนั้น ก็มีเช่น Polaroid, Xerox, Texas Instruments, และต่อมาก็ IBM เป็นต้น โดยกิจการยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ยกเว้น Philip Morris แล้ว กิจการอื่นล้วนมีส่วนพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของ "โครงการอวกาศ" และ "Moonshot" ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

สื่อมวลชนสมัยนั้น มักชอบใช้คำเขื่องๆ มาอธิบาย ทำนอง "นับเป็นก้าวย่างสำคัญของมนุษยชาติ"....ว่างั้น

ฝรั่งเรียกหุ้นเหล่านี้ “Nifty Fifty” คือเป็นหุ้นสำคัญระดับ Blue Chip ของสหรัฐฯ นั่นเอง

จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบัน ยกเว้น Altria (และอาจจะอนุโลมนับ Coca-Cola เข้าไว้ด้วย) หุ้นที่เหลือได้กลายเป็น "ไก่รองบ่อน" ไปเสียแล้ว ช่างสอดคล้องกับกฎอนิจจังของพุทธศาสนาเสียนี่กระไร

เดี๋ยวนี้ ถ้าไปถามผู้ลงทุนที่ถือตัวว่าหัวทันสมัยและทรงภูมิ ว่าหุ้นยอดนิยมชั้นแนวหน้าของโลกคืออะไร ร้อยทั้งร้อยจะตอบว่า "หุ้น FAANG”

FAANG คือ Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google)

“ห้าใหญ่" ของ Nifty Fifty ในปัจจุบันกลายเป็นกิจการไฮเทคไปเสียสิ้น

และเมื่อเร็วๆ นี้ มีนักวิจัยฝรั่ง ได้ไปถามเด็กๆ อเมริกันสมัยนี้ว่า "โตขึ้นอยากเป็นอะไร?"

หลายคนซึ่งดูฉลาดเฉลียวและฉะฉานที่สุดในกลุ่ม มักจะตอบว่า "อยากเป็นยูทูปเบอร์" (แทนคำตอบของเด็กรุ่นก่อนหน้านั้น ซึ่งมักตอบว่า "อยากเป็นนักฟุตบอล" “นักร้อง" "ดาราฮอลลีวูด" “นักวิทยาศาสตร์" หรือ "นักธุรกิจ" และ "ผู้ประกอบการ" เป็นต้น)

แน่นอน เดี๋ยวนี้ เรามีคำว่า “YouTube Celebrities” คือเหล่าดาราที่โด่งดังและมีอาชีพของตัวเองแบบเป็นล่ำเป็นสันในช่อง YouTube ของตน เด็กสมัยนี้แทบทุกคนบริโภค YouTube และ Social Media

เฉพาะเกมอย่างเดียว ก็เล่นกันแยะมากแล้ว (เว็บไซต์เกมอย่าง WePC ประมาณว่าทุกๆ วันมีคนเล่นวิดีโอเกมทั่วโลกถึงกว่า 2,500 ล้านคน และ Pew Research Center พบว่า 60% ของผู้ชายที่อายุระหว่าง 16-29 ปี เล่นวิดีโอเกม และ 53% ของผู้ชายที่อายุระหว่าง 30-49 ปี ก็ยังคงเล่นเกมต่อเนื่องมาอีก)

"เซียนเกม" สมัยนี้ สามารถทำเงินได้อย่างเป็นล่ำเป็นสันด้วยการเล่นวิดีโอเกม หลายคนมีช่องของสตรีมมิ่งของตัวเองบน YouTube และ Twitch ยิ่งมีคนเข้ามาดูพวกเขาเล่นเกมมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะได้เงินจากค่าโฆษณา และผู้ชมจำนวนมากก็บริจาคเงินให้พวกเขาอีกด้วย

อย่าง Tyler “Ninja” Blevins เซียนเกม Fortnite (ซึ่งคาดว่ามีผู้เล่นทั่วโลกกว่า 125 ล้านคน) นั้น ก็คาดกันว่ามีรายได้ประมาณ 500,000 เหรียญฯ ต่อเดือน หรืออย่าง Daniel Middleton เซียนเกม Minecraft ก็คาดว่ามีรายได้ในปี 2560 ทั้งปี จากการเล่นเกมดังกล่าวถึง 16.5 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 50 ล้านบาท เลยทีเดียว (ข้อมูลจากนิตยสาร ESPN ฉบับ กันยายน 21)

เห็นหรือยังว่า ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงอยากเป็น YouTuber

แต่นี่เป็นเพียงตัวอย่างแค่สายเกมสายเดียวเท่านั้น ยังมี YouTuber สายอื่นอีกนับไม่ถ้วนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกทั้งในเชิงชื่อเสียงและรายได้

นั่นเป็นเพราะผู้คนในโลกบริโภค YouTube (และ Social Media) กันมาก ตัวเลขที่มักนำมาอ้างอิงกันคือ "11 ชั่วโมงต่อวัน" หมายความว่าคนสมัยนี้ ใช้เวลาโดยเฉลี่ยคนละ 11 ชั่วโมงต่อวัน ก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับ Electronic Media กัน แน่นอน มันเป็นการเสพติดอย่างหนึ่ง!

ความหมายของคำว่า "เสพติด" คืออะไรก็ตาม หากเราได้ลองบริโภคมันเข้าไปแล้วระดับหนึ่ง มันจะเรียกร้องให้เราต้องหามาบริโภคซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง และจะต้องบริโภคมากขึ้นๆ เรื่อยๆ เพื่อสนองให้เกิดความพอใจที่ได้บริโภคมัน เห็นหรือยังครับว่าทำไม Altria และ Coca-Cola ถึงอยู่ยงอย่างยิ่งใหญ่มาได้เป็นร้อยๆ ปี เพราะยักษ์ใหญ่เหล่านี้เขาค้าขาย “นิโคติน” และ “คาเฟอิน” ซึ่งใครจะว่ายังไงก็ช่าง สำหรับผมแล้ว มันเป็น Stimulant ที่ทำให้ "เสพ" หรือ "บริโภค" แล้ว "ติด"

ไม่แปลกใช่ไหมครับที่ Starbuck เติบโตเร็วมาก และอภิมหาเศรษฐีระดับนำของไทย 2 ตระกูล สามารถสร้างตัวจากไม่มีอะไรเลย มาเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลกได้ ด้วยการค้า “แอลกอฮอล์” และ “คาเฟอิน” คือตระกูล สิริวัฒนภักดี และ อยู่วิทยา

ผมคงไม่ต้องพูดว่าของพวกนี้มี Dark Side ยังไงบ้าง เพราะท่านผู้อ่านนิตยสาร MBA ฉบับนี้ ล้วนเป็นผู้ทรงภูมิด้วยกันทั้งสิ้น เช่นเดียวกันกับผู้ค้าสารเสพติดยุคก่อน พวก FAANG ซึ่งเป็นผู้ค้า Social Media หรือสารเสพติดยุคใหม่ ร่ำรวยกันมากเพียงใด

แน่นอน การเสพติด Social Media มากเกินไป ย่อมต้องมี Dark Side เช่นเดียวกัน เป็นที่รับรู้กันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่า การหมกมุ่นอยู่กับ Social Media มากเกินไป อาจนำมาสู่โรคหลายโรค เช่นโรคนอนไม่หลับ วิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคเครียด และโรคเหงา

นี่ยังไม่นับว่าคนจำนวนมากกังวลว่าตัวเองจะดูไม่ดี และตัวเองจะพลาดรถไฟ (FoMo หรือ Fear of missing out) ตลอดจนถูกด่าว่าและดูถูกดูแคลน (Social Bullying) ผ่าน Social Media แต่สำหรับผม ผมว่าด้านมืดเหล่านี้ยังไม่น่ากลัวเท่าใด เพราะมันยังเป็นเรื่องเฉพาะตัว และยังรักษาได้ ยังไม่กระทบต่อส่วนรวมและภาพรวม สักเท่าใด

สำหรับผม ผมว่า Dark Side ที่สำคัญยิ่งของ Social Media คือ "มันมาแย่งเวลาและความสนใจของมนุษย์" ไป มันทำให้เรา "ทำงาน" ได้น้อยลง และที่สำคัญ "มีเวลาคิด" “เวลาตรึกตรอง" น้อยลงด้วย

อย่าลืมว่า "เวลา" เป็นทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์

มนุษย์เรามี "เวลา" จำกัด ถ้าเรา "หมดเวลา" เราตาย...

ผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แผนไทยชั้นแนวหน้า เคยเล่าให้ผมฟังว่า เพื่อนเศรษฐีของท่านคนหนึ่งที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายในอีกไม่ช้า เปรยให้ฟังว่าอยากจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่หามาได้ในชีวิตนี้ ให้กับภารโรงคนหนึ่งเพื่อแลกกับชีวิตของตัว...

“กูอยากจะต่อเวลา" เขาพูด

หากมนุษย์เรามีเวลาคิดและทำงานน้อยลง ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเวลาในการผลิต ก็ย่อมจะน้องลงด้วย สำหรับผม มนุษย์ต้องทำงานและต้องผลิต จะอยู่เฉยๆ แล้วสร้างความมั่งคั่ง (Wealth) ขึ้นมา หาได้ไม่ความข้อนี้ ฝรั่งซึ่งคิดระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมซึ่งใช้กันอยู่ในโลกใบนี้ รู้กันดีอยู่แล้ว ในคัมภีร์ไบเบิล มีข้อความที่พระเจ้าตรัสกับมนุษย์คู่แรก หลังจากได้กินผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วเข้าไปแล้ว อย่างชัดเจนว่า “เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม" (ปฐมกาล 3:19)

นั่นหมายความว่า มนุษย์ต้องลงมือลงแรงผลิต และเรามีเวลาจำกัด จะนั่งๆ นอนๆ คอยกินจาก Passive Income อย่างเดียว หาได้ไม่ ลองคิดในเชิงเศรษฐกิจดูสิครับ ถ้าการผลิตน้อยลง รายได้ของคนส่วนใหญ่ก็น่าจะน้อยลง...ใช่ไม่ใช่?

แล้วถ้ารายได้ของคน ซึ่งในเชิงเศรษฐกิจภาพรวมถือเป็น "ผู้บริโภค" ด้วย ลดลง รายได้ของภาคธุรกิจและภาคราชการ (ภาษี) ย่อมลดลง เป็นเงาตามตัว และกำไรก็ย่อมลดลง

ทีนี้ลองหันกลับมาพิจารณาพวก FAANG ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ของพวกเขามาจาก "รายได้ค่าโฆษณา" แต่รายได้จากการโฆษณา ย่อมมีที่มาจาก "งบโฆษณาของกิจการ" ซึ่งมีที่มาจาก "รายได้และกำไร" ของกิจการนั้นๆ ซึ่งจะมากจะน้อย ก็ต้องขึ้นอยู่กับ "รายได้ของผู้บริโภค" อีกทอดหนึ่ง

แล้วท่านผู้อ่านคิดว่า "รายได้ของผู้บริโภค" มีอะไรเป็นตัวกำหนด

ผมว่าตัวกำหนดสำคัญคือ "เวลา"

นั่นแหล่ะครับ IRONY OF LIFE ที่เรากำลังเผชิญอยู่

ตอนนี้กำลังใกล้ฤดูเลือกตั้ง ผมกำลังรอดูอยู่ว่า พรรคการเมืองพรรคไหน จะคิดตรงนี้แตก


บทความโดย | ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

         Many believe that human is the toughest species on earth for a long time, we had fought through wars, plague and many deadly diseases but there is still one thing that we can’t defeat, i.e. cancer. Cancer is a fatal disease that has been known to kill humanity for centuries. We seem not to know how to successfully prevent and cure cancer due to the reason that every cancer patient has a distinct type of mutations within his/her tumor; thus it needs to be treated by a specific and precise medicine that doesn’t suit with everyone. However, with the 2018 Nobel Prize-awarded scientific findings and the discovery of modern medicine, it seems like there might be a cure for cancer after all.

          Recently, MBA magazine got a chance to sit down with Dr. Trairak Pisitkun at Chulalongkorn University and talk about his Systems Biology Center. Dr. Trairak and his team have been developing an antibody drug that would help improve the ability of our own immune system to fight against cancer. Long before Dr. Trairak starting this project, he graduated from Mahidol University, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital in 1994, followed by specialized training in Internal Medicine and Nephrology. However, after working as a physician for a while, he felt like this was not enough for him; he wished that he could be doing something more than just following the guidelines for treating patients.

           “I’ve realized that Thai doctors have been following guidelines from foreign doctors and I hope we could be doing something more innovative and more suitable for Thai people. Then again, by inventing innovations to help Thai people, I certainly need more knowledge in advanced science and technologies; so I decided to continue my career aboard as a researcher and scientist instead of a medical doctor”, Dr. Trairak said. He had been working at the National Institutes of Health or NIH in the United States of America for 9 years until he became a specialist in Systems Biology, Antibody R&D and Computational Biology. After moving back to Thailand 5 years ago, he has been working as Director of Center of Excellence in Systems Biology, Chulalongkorn University.

 

               Currently, he has been developing an antibody drug to help Thai patients fight with cancer, before that he had been developing antibodies for basic research and diagnostic purposes. “Unintentionally, I’ve been invited to a closed group on social network for doctors and cancer patients who are interested in cancer immunotherapy. Every day, I would read stories of patients telling other people about their conditions and how it has miraculously gotten better after using the immune checkpoint antibody drug. It's incredible to perceive and, eventually, I was sold and desired to develop this type of medicine for Thai people using our antibody technology mainly because the extravagant cost, yet amazing efficacy, of this treatment”.  

             In America, Vice President Joe Biden has proposed a program called “Cancer Moonshot” during his Vice Presidency to support the research for curing cancer.  By accelerating cancer research, the Cancer Moonshot program aims to make more effective therapies available to more patients, while also improving our ability to prevent cancer and detect it at an early stage. There have been cured cases in America by using immunotherapy which Dr. Trairak hoped that one day he and his team would be able to provide this kind of treatment for Thai people at an affordable price that would allow anyone to have access.

               Instead of treating cancer by chemotherapy or radiation which would cause damages to other normal tissues and organs within our body, immunotherapy helps improve the ability of white blood cells and prevent cancer from blocking white blood cells to fight against them without damaging our body. After Dr. Trairak explains to us about the immunotherapy, we got a chance to ask him some questions that would help provide more understanding on the therapy and the plans that he has for Thai patients.

               Is there a chance that we could use some kinds of gene sequencing analysis to help us know in advance or warn us that we have cancer?

               There are some cases such as hereditary cancers that would allow us to predict in advance about whether we would have cancer, but there are only 8% chance of hereditary cancers. A majority of cancers are caused by somatic mutations; the likelihood that this will happen increases when we get older. This condition also depends on various exposures that we got from the environment such as food that we consume or chemicals to which we had been exposed. The current concept in cancer biology emphasizes that the sickening of the immune system is the cause of cancer progression. All of us always have a chance to get cancer, but it doesn't happen to everyone due to the defensive power of our immune system. By harnessing the natural defense, immunotherapy is effective and durable; moreover, it has fewer side effects than other types of cancer treatment.

            What’s the percentage of success?

            With the current indications, the percentage of success is still moderate (20-30%) in advanced cancer patients that are using this antibody drug. But considering that this medicine has been out in public for only 4 years, I believe that the advance in immunotherapy research will further improve the outcome of this treatment substantially.

 

The Progress of Developing Medicine in Thailand

                     Dr. Trairak mentioned that his center is developing their own antibody drug. They generate the antibody drug by immunizing mice and later screening for antibody-producing white blood cell clones that would secrete the proper mouse antibodies (Phase 1). They have to modify the mouse antibodies to make them as close to human antibodies as possible to avoid other side effects that the medicine would have on the human (Phase 2). However, some processes would require technical assistance from the overseas laboratory as specific skills are lacking in Thailand. Currently, they have found a potential antibody drug prototype that would worth to pursue further and are waiting for the next step of the process (Phase 2) to start.

                     Right now, Dr. Trairak has started fundraising for the immunotherapy project by asking Thai people to donate 5 baht each to the project. He has hoped that the fund would rise to 200 million baht within 1 year to get to the large-scale production step (Phase 3). If everything has gone according to plan, the antibody prototype will be produced at large scale (Phase 3: 18-24 months) and then studied on animals first (Phase 4: 20-24 months) then he would move to experiment on human subjects (Phase 5: 48-60 months) before getting an approval by Thai FDA and distributing the medicine out to be sold in hospitals in Thailand with the aim of pricing at 20,000 baht per dosage, if possible. The entire process would require at least 8-10 years with the total budget of at least 1,500 million baht. Currently, the funding has reached over 100 million baht, and the funding is increasing every day with the hope that they would reach Phase 3 of the developing process by the end of next year.

                    Dr. Trairak also recommends that everyone could start preventing many types of sickness by starting regular exercise and controlling body weight from now on which would help make our immune system stronger and could possibly preventing cancer from growing. The "Thai version" antibody drug is still in the early developing stage, but from what we have learned from Dr. Trairak, we have realized that, with the advancement in immunotherapy, we have finally see the light at the end of the tunnel for cancer curing.

 

Everyone Deserves a Chance to Survive from Cancer: How to support and make this cancer-curing project comes true?      

To make this medicine comes true for Thai cancer patients and contribute to the future endeavour of cancer immunotherapy research in Thailand, "Chulalongkorn Cancer Immunotherapy Excellence Center" open for donation with the following information:

408-004443-4 (saving account)

045-304669-7 (current account)

Bank: Siam Commercial Bank 

Branch: The Thai Red Cross Society

Account name: Faculty of Medicine, Chulalongkorn University

Contact: https://www.facebook.com/CUCancerIEC/

Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

Tel: 097-014-4978/ 088-902-2370/ 02-256-4183           

 

Authors & Photos:

Pinploy  Poonkham

Satida   Pichanusakorn

ท่ามกลางกระแสและความเป็นจริงที่สังคมและธุรกิจกำลังก้าวย่างอยู่ในความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่องค์กรและธุรกิจกำลังมองหาคือวิธีการที่จะทำอย่างไร? ให้องค์กรสามารถที่จะDisrupt ตนเองโดยไม่ต้องรอให้คนอื่นมา Disrupt  

หากถามว่าเทคโนโลยีใดที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้ ในมุมมองของผู้เขียนมีความเห็นว่านอกจากปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ ประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience)

บริษัทนีลเส็น (ประเทศไทย) เป็นบริษัทวิจัยและตรวจวัดข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้โภคดู หรือซื้อ ได้มีการเก็บข้อมูลงบโฆษณารายเดือนและมีความประสงค์ที่จะแบ่งปันข้อมูลงบโฆษณาประจำเดือน ของเดือนกันยายน 2018

 

 


Copyright © 2017 The Nielsen Company (US), LLC. All rights reserved. Confidential and Proprietary.

 

หมายเหตุสำคัญ

สื่อกลางแจ้ง (outdoor) และสื่อเคลื่อนที่(transit):มีการรวมข้อมูลจาก  JCDecaux สำหรับข้อมูลจากสื่อในสนามบินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 และข้อมูลของสื่อ outdorr และ transit จาก  JCDecaux ได้ถูกรวมเข้าไว้ในรายงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560

นีลเส็นได้มีการเพิ่มพื้นที่การเก็บข้อมูลสื่อกลางแจ้ง (outdoor) เช่นสื่อเคลื่อนที่(transit),ป้ายบิลบอร์ด, ป้ายโฆษณาบนทางเท้า, สื่อในสนามบิน และอื่นๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมปี2559  เป็นต้นมา

อินเตอร์เน็ท - ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2559 นีลเส็นได้มีการขยายการเก็บข้อมูลโมษณาผ่านสื่อ อินเตอร์เน็ทโดยครอบคลุม 50 เว็บไซต์ยอดนิยม และ 10  เว็บไซต์ยอดนิยมบนมือถือ สำหรับภาพรวมการใช้งบโฆษณาผ่านสื่ออินเตอร์เน็ททั้งหมดกรุณาอ้างอิงข้อมูลจากDAAT

สื่อในห้าง – นีลเส็นได้มีการเพิ่มข้อมูล สื่อวิทยุในห้าง Big C และ 7 Eleven เข้ามาในฐานข้อมูล ตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 ข้อมูลของสื่อในห้างTesco Lotus และ Big C ไม่ได้รวมอยู่ในฐานข้อมูลของนีลเส็น

ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2559 เป็นต้นมา ได้มีการเพิ่มสื่อที่บริหารจัดการโดยบริษัท Plan B เข้ามาในฐานข้อมูลของสื่อกลางแจ้ง, สื่อเคลื่อนที่, และสื่อในห้าง

 

 

Event

  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ในเดือนตุลาคม 2018 และปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกในปี 2018 และ 2019 ลดลงเป็น 3.7% ทั้งสองปีจากประมาณการในเดือนกรกฎาคมที่ระดับ 3.9% จากการที่หลายกลุ่มประเทศมีการขยายตัวน้อยกว่าที่คาด ประกอบกับความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้า

Analysis

  • IMF ปรับลด GDP ของเศรษฐกิจโลกจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของสงครามการค้า ความเปราะบางทางเศรษฐกิจรายประเทศ และภาวะการเงินโลกที่มีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับประมาณการในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (รูปที่ 1) การเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคหลักปี 2018 ถูกปรับลดลงโดยเฉพาะในยูโรโซนและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (EM) สำหรับประมาณการการเติบโตในปี 2019 สหรัฐฯ และจีนจะขยายตัวราว 2.5% และ 6.2% ตามลำดับลดลงจากประมาณการรอบก่อน 0.2% ทั้งสองประเทศจากผลของสงครามการค้า ในขณะที่ยูโรโซนและญี่ปุ่นจะขยายตัวราว 1.9% และ 0.9% ตามลำดับ (รูปที่ 2) สำหรับการขยายตัวของกลุ่มประเทศ EM ทั้งในปี 2018 และ 2019 มีทิศทางแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ EM เอเชียจะเติบโตได้ค่อนข้างดีราว 6.5% และ 6.3% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวของปริมาณการค้าโลกถูกปรับลดลงเหลือ 4.2% (ลดลงจากรอบก่อน 0.6%) ในปี 2018 และ 4% (ลดลงจากรอบก่อน 0.5%) ในปี 2019 ตามลำดับ สะท้อนผลกระทบจากสงครามการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ EM ถูกปรับลงในปีหน้า เนื่องจากจีน บราซิล เม็กซิโก และแอฟริกาใต้ถูกปรับ GDP ลง และกลุ่มประเทศ EM ที่มีความเปราะบางสูง อาทิ ตุรกี อาร์เจนตินา กำลังประสบวิกฤตค่าเงินและมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย พร้อมกันนี้ ภาวะการเงินโลกที่จะตึงตัวขึ้นจากดอกเบี้ยนโยบายในหลายประเทศที่เข้าสู่ช่วงขาขึ้น (รูปที่ 3) และผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มส่งผล จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า

 

  • IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2019 จากมาตรการกีดกันการค้า  โดย IMF คงประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2018 ขยายตัวที่ 2.9% เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการกระตุ้นนโยบายการคลังส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเกินกว่าศักยภาพ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2019 ถูกปรับลดลงเป็น 2.5% (จากเดิม 2.7%) โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลักมาจากมาตรการกีดกันการค้า จากล่าสุดที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่ารวม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจีนได้ตอบโต้กลับ หลังปี 2019 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อผลของนโยบายการคลังหมดลงและนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ

 

  • เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในระยะข้างหน้า โดย IMF ปรับการเติบโตเศรษฐกิจจีนในปี 2019 ลดเหลือ 6.2% (จากเดิม 6.4%) จากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประกอบกับการควบคุมภาคธนาคารเงาและระดับหนี้ในบางภาคส่วนจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอลง โดยตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจล่าสุด อาทิ การบริโภคภายในประเทศ การลงทุน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีแนวโน้มขยายตัวลดลง ในขณะที่ การส่งออกจะเริ่มชะลอตัวชัดเจนในปี 2019 เนื่องจากภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่สหรัฐฯ เรียกเก็บมูลค่ารวม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะถูกปรับอัตราภาษีจาก 10% เป็น 25% ในวันที่ 1 มกราคม 2019 นอกจากนี้ เงินหยวนยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่อาจลดลงและความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

 

  • กลุ่มประเทศ EM เฉพาะในภูมิภาคเอเชียยังมีปัจจัยพื้นฐานโดยรวมแข็งแกร่ง แต่ความเสี่ยงต่อการเติบโตเพิ่มขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ EM เอเชียยังอยู่ในเกณฑ์ดี อย่างไรก็ดี สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะสร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจกลุ่ม ASEAN-5 (มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย) เติบโตในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจาก 5.3% ในปี 2018 เป็น 5.2% ในปี 2019 อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบสงครามการค้า ภาวะการเงินโลกที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้นจากการที่ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ผนวกกับวิกฤตการเงินในตุรกี อาร์เจนตินา จะยังเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสินทรัพย์ในกลุ่มประเทศ EM และยังอาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศ EM เอเชียได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศ EM เอเชียที่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการคลังสูงต่อเนื่อง เช่น อินโดนีเซีย ที่เริ่มประสบปัญหาภาวะเงินทุนไหลออกและค่าเงินอ่อนค่า

 

  • สงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯ และจีนโดยผลกระทบจะเริ่มชัดเจนในปีหน้าโดยเฉพาะกับเศรษฐกิจจีน IMF ได้คาดการณ์ผลกระทบจากมาตรการการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ทั้งการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 10% และ 25% ตามลำดับ การขึ้นภาษีนำเข้า 25% ในสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และภาษีนำเข้า 10% ในสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ และจีนซึ่งตอบโต้ในมูลค่าที่เท่ากัน ยกเว้นรอบล่าสุดที่จีนขึ้นภาษีนำเข้าเฉลี่ย 7% ในมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีนจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าชัดเจนในปี 2019 จากประมาณการของ IMF นอกจากภาษีนำเข้าปัจจุบันที่มีผลบังคับใช้แล้ว หากคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้า 25% บนสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลือ 2.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมมูลค่าสินค้าจีนที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าราว 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจีนมีการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ทั้งหมดที่จีนสามารถทำได้ราว 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผลกระทบสงครามการค้าจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีนในปี 2019 มีแนวโน้มชะลอลง 0.2% และ 1.16% ตามลำดับ และในปี 2020 จะมีแนวโน้มลดลง 0.27% และ 0.95% ตามลำดับ

Implication

  • มุมมองของอีไอซีต่อเศรษฐกิจไทยสอดคล้องกับประมาณการใหม่ของ IMF โดย IMF ปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยดีขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน ซึ่งในปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 4.6% จาก 3.9% และในปี 2019 ขึ้นเป็น 3.9% จาก 3.8% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยโดยอีไอซีที่ระดับ 4.5% และ 4.0% ในปี 2018 และ 2019 ตามลำดับ ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวตามประมาณการใหม่ของ IMF สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาสามารถขยายตัวได้ดีกว่าที่เคยประเมิน โดยไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม ASEAN-5 ที่ IMF ปรับประมาณการเพิ่มขึ้นทั้งในปีนี้และปีหน้า ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า IMF จะมองว่าการเติบโตของไทยอาจชะลอลงบ้างในระยะข้างหน้า แต่อัตราการเติบโตในระดับดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีก่อนหน้า (2013-2017) ที่เติบโตเฉลี่ยเพียง 2.8% ต่อปี เศรษฐกิจไทยยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายทั้งจากในประเทศและต่างประเทศที่มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ไทยควรจับตาผลกระทบและความเสี่ยงจากปริมาณการค้าโลกที่ IMF ประเมินว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวลดลงในปีหน้า จากสาเหตุของการชะลอตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและสงครามการค้า รวมถึงผลกระทบของนโยบายการเงินที่มีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น ทั้งนี้ ธุรกิจไทยยังต้องจับตาผลกระทบทั้งในเชิงบวก เช่น การย้ายฐานการผลิตของธุรกิจจีนเข้ามาไทย และผลกระทบเชิงลบ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและการค้าโลกหากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น

 

  • ภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ อีไอซีมองว่าภาระหนี้ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่เป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและการเงินที่ตึงตัวขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว อาจทำให้เกิดการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุน การเคลื่อนไหวของค่าเงินที่รุนแรง และเงินทุนไหลเข้าที่ชะลอตัวลงของกลุ่มประเทศ EM โดยเฉพาะประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ทั้งนี้ อีไอซีมองว่าจุดเปราะบางที่สำคัญสำหรับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ได้แก่ ภาระหนี้สิน เนื่องจากในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น สภาพคล่องที่ลดลง ทำให้กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีความเสี่ยงจากเรื่องภาวะหนี้สูงขึ้น จากข้อมูล Institute of International Finance (IIF) พบว่า หนี้ต่อ GDP ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนี้ภาคธุรกิจและหนี้ที่อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและหากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยนั้นยังแข็งแกร่ง เนื่องจากในปี 2017 ไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 11% ต่อ GDP เงินทุนสำรองต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้นประมาณ 3 เท่า และมีหนี้ที่อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศค่อนข้างต่ำหากเปรียบเทียบกับในกลุ่มประเทศ EM ด้วยกัน

โดย :

ทีมเศรษฐกิจมหภาค (This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.)

Economic Intelligence Center (EIC)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

EIC Online: www.scbeic.com

 

 

 

 

X

Right Click

No right click