

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2566 ฟื้นตัวต่อเนื่อง เติบโต 3.4% จากแรงขับเคลื่อนของภาคการท่องเที่ยวที่สนับสนุนเศรษฐกิจทดแทนการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัว
ชี้ไทยเผชิญ 5 ปัจจัยการเปลี่ยนผ่านสำคัญ เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับภาคธุรกิจ “การก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ-เศรษฐกิจโลกชะลอตัว-ภาคท่องเที่ยวฟื้น-ดอกเบี้ยขาขึ้น-ภาวะต้นทุนสูง” แนะภาคธุรกิจแสวงหาโอกาสและวางแผนรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมิน ปี 2566 ว่า เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง นำพาเศรษฐกิจไทยไปอยู่ในจุดที่ไม่คุ้นเคย ภายใต้โลกใหม่ที่มีความผันผวนและซับซ้อนมากขึ้น โดยมีการเปลี่ยนผ่าน หรือ Transition สำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะชะลอตัว เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่ภาคการท่องเที่ยว การเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นของไทย และการเปลี่ยนผ่านท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น
“Krungthai COMPASS มองว่า การเปลี่ยนผ่านทั้ง 5 ด้านมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เป็นได้ทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับภาคธุรกิจ เช่น ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญกับอุปสรรคในการปรับตัวเข้าบริบทโลกใหม่ที่ใส่ใจกับเรื่อง climate change และความยั่งยืน อาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากการปรับธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในยามที่ต้นทุนอื่นๆ ก็สูงขึ้นรอบด้านทั้งดอกเบี้ย ค่าไฟ และค่าแรง แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น ผู้ประกอบการที่ปรับตัวจะมองเห็นลู่ทางธุรกิจใหม่ๆ มีโอกาสเติบโตแม้ในยามที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว”
ดร. ฉมาดนัย มากนวล นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า แม้ว่าประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ จะชะลอตัวจากการขึ้นดอกเบี้ย และยุโรปมีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤตพลังงาน แต่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศเหล่านั้น ยังมีทิศทางที่เข้มข้นมากขึ้น สะท้อนจากการตอกย้ำจุดยืนของประชาคมโลกรวมถึงประเทศไทยในเวทีการประชุม COP27 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา สำหรับในปี 2566 ภาคธุรกิจต้องติดตามประเด็นด้านกฎเกณฑ์ที่สำคัญ อาทิ การเดินหน้าบังคับใช้มาตรการการเก็บภาษีคาร์บอนที่พรมแดน หรือ CBAM ของยุโรป และแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม หรือ Taxonomy ของประเทศไทย นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังต้องมองหาโอกาสจากนโยบายรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น นโยบายเศรษฐกิจ BCG และนโยบายการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติภายใต้แนวคิด “Better and Green Thailand 2030” เป็นต้น
นายชนม์นิธิศ ไชยสิงห์ทอง นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า Krungthai COMPASS คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 3.4% ฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ขยายตัวได้ 3.2% แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจะถูกเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคการท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 22.5 ล้านคนหรืออาจจะมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนหลังประเทศจีนผ่อนคลายนโยบาย Zero COVID อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงลงจะกระทบต่อการส่งออก ซึ่งอาจขยายตัวเพียง 0.7% เท่านั้น ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยเดินหน้าด้วยเครื่องยนต์เดียวจึงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก
นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อสูงจะยังไม่หมดไปเนื่องจากภาคธุรกิจยังต้องรับมือกับการเปลี่ยนผ่านด้านต้นทุนที่ปรับสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีจะยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้คาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% ในปี 2565 ขึ้นสู่ระดับ 2% ในปี 2566 และอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal rate) อาจอยู่ที่ 2.5% ในปี 2567 เป็นยุคดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มตัวของประเทศไทย ส่วนค่าเงินบาทยังเผชิญความผันผวนจากการคาดการณ์นโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33.75-36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ตารางสรุปประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2565-2566
2564 2565f 2566f
GDP Thai (%YoY) 1.5 3.2 3.4
Private Consumption (%YoY) 0.3 6.2 3.5
Government Consumption (%YoY) 3.2 -0.1 -0.2
Private Investment (%YoY) 3.3 3.5 3.2
Public Investment (%YoY) 3.8 -1.4 2.2
Export USD (%YoY) 19.2 7.0 0.7
Import USD (%YoY) 23.9 15.0 1.3
Headline Inflation (%) 1.2 6.1 3.1
Tourism Arrivals (Million Persons) 0.43 10.2 22.5
Policy Rate (End of Period) 0.50% 1.25% 2.00%
THB / USD (Year Range) 30.0 – 33.5 32.7 – 37.9 33.75 – 36.50
ที่มา: ประเมินโดย Krungthai COMPASS (ณ ธันวาคม 2565)
ทีม Marketing Strategy
10 มกราคม 2566
การเกษตรยุคใหม่ หรือ สมาร์ทฟาร์มมิ่ง (Smart Farming) เป็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิต โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก ได้มีการส่งเสริมเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะสมาร์ทฟาร์มมิ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีกินดีของเกษตรกรที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สมาร์ทฟาร์มมิ่งยังสอดคล้องกับทิศทางของประเทศในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถของภาคการเกษตร ด้วยการนำความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้เพื่อช่วยให้บริหารจัดการการเกษตรได้ง่ายขึ้น มีต้นทุนลดลง แต่ได้ผลผลิตที่ดีและมากกว่าเดิม รวมทั้งเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรให้สูงขึ้น
ไทยวา ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งและอาหารชั้นนำ เป็นหนึ่งในภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการเกษตรยุคใหม่ จากแนวคิดของบริษัทที่ต้องการนำนวัตกรรมมาสร้างคุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมชาวไร่มันสำปะหลังซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบหลัก โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาไทยวาได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาเป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร และยกระดับการทำเกษตรกรรม โดยยึดหลักเกษตรยั่งยืน

นางสาวหทัยกานต์ กมลศิริสกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายกลยุทธ์ ความยั่งยืน นวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยวาร่วมผลักดันการนำสมาร์ทฟาร์มมิ่งมาใช้ทั้งในแง่เทคโนโลยีและความรู้ เพื่อช่วยให้เกษตรกรได้ผลผลิตต่อไร่และผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น เช่น การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาสายพันธุ์มันสำปะหลัง ระบบขนส่งผลผลิต การใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร รวมถึงวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้อง เพราะเราเชื่อว่าการเติบโตร่วมกับเกษตรกรเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรของไทยในระยะยาว”
ที่ผ่านมาไทยวาได้จัดโครงการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ให้แก่เกษตรกร ทดแทนการทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ใช้แรงงานจำนวนมากและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ให้ผลผลิตไม่แน่นอน โดยในขั้นตอนการเตรียมแปลงเพาะปลูก ไทยวาได้แนะนำให้รู้จักการใช้เครื่องปลูกมันสำปะหลังพร้อมยกร่องและใส่ปุ๋ย ที่ช่วยประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานลงได้อย่างมาก จึงวางแผนและเพาะปลูกได้เร็วขึ้น ส่วนในขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ไทยวาได้แนะนำให้เกษตรกรใช้เครื่องขุดเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังกึ่งอัตโนมัติ หรือ TW Raptor ที่เก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว ทำให้สามารถเตรียมแปลงเพาะปลูกรอบถัดไปหรือปลูกพืชบำรุงดินได้เร็วกว่าเดิม

นอกจากการให้ความรู้เรื่องเครื่องจักรกลทางการเกษตรแล้ว ไทยวายังร่วมกับพันธมิตรในการนำ Precision agriculture หรือการเกษตรแม่นยำ มาประยุกต์ใช้ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเกษตรแบบดิจิทัลที่ทำให้สามารถวิเคราะห์และวางแผนได้อย่างแม่นยำ เป็นแนวทางบริหารจัดการที่เกษตรกรในประเทศพัฒนาแล้วนำมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว สามารถให้น้ำ ปุ๋ย และผลิตภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชได้อย่างเหมาะสมทั้งในแง่ปริมาณและเวลา ถือเป็นหลักการบริหารจัดการเพาะปลูกในระดับแปลงหรือโรงเรือนที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบว่าเกษตรกรในเครือข่ายของไทยวาที่นำการเกษตรแบบแม่นยำมาใช้ ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับวิธีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม
ตัวอย่างของเทคโนโลยีเกษตรแบบแม่นยำที่ไทยวาร่วมพัฒนาให้กับเกษตรกรในเครือข่าย เช่น ระบบระบุตำแหน่งความแม่นยำสูง และการตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกด้วยภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งให้ความแม่นยำในการตรวจวัดผลผลิตและพื้นที่เพาะปลูกได้สูงกว่า 90% นอกจากนี้ยังพัฒนาแอปพลิเคชันตรวจวัดสภาพอากาศที่สามารถวิเคราะห์และพยากรณ์อากาศและปริมาณน้ำฝนล่วงหน้าได้ถึง 9 เดือน และมีความละเอียดในระดับวันและสัปดาห์
ไทยวายังนำการเกษตรแบบแม่นยำมาใช้เพิ่มคุณภาพของผลผลิต ผ่านโมเดลวิเคราะห์และประเมินคุณภาพมันสำปะหลัง เพื่อช่วยให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและราคารับซื้อที่น่าพอใจ ปัจจุบันโมเดลดังกล่าวสามารถวัดเปอร์เซนต์เชื้อแป้งได้แม่นยำถึง 70% และไทยวาตั้งเป้าจะพัฒนาความแม่นยำให้ได้ 90% ในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทยังแนะนำมันสำปะหลังพันธุ์แวกซี่ให้แก่เกษตรกรในเครือข่าย ซึ่งเป็นมันสำปะหลังสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตและคุณภาพสูงกว่าเดิม และให้ลักษณะของแป้งที่เหนียวซึ่งเป็นที่ต้องการของหลายอุตสาหกรรม ทำให้มีราคารับซื้อสูงกว่าพันธุ์ทั่วไป นอกจากนี้ยังเพาะต้นพันธุ์ที่สะอาดปลอดโรคเพื่อแจกจ่ายให้กับชาวไร่ในเครือข่ายด้วย
นายอิษฎากร ดาราษฎร์ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในอำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เล่าว่า “ผมเพิ่งเปลี่ยนมาปลูกมันสำปะหลังได้ 10 ปี เริ่มแรกยังไม่มีความรู้เลย ทำให้ได้ผลผลิตไม่แน่นอนและไม่คุ้มทุนเพราะต้องใช้ปุ๋ยและสารเคมีมาก แต่หลังจากไทยวาเข้ามาให้ความรู้และคำแนะนำ ช่วยวางระบบน้ำหยดและสอนการทำปุ๋ยน้ำหมักเพื่อฉีดพ่นทางใบ ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 30% และเมื่อ 2 ปีที่แล้วไทยวายังแนะนำให้ลองปลูกมันสำปะหลังพันธ์แว็กซี่ที่มีราคารับซื้อสูงกว่าพันธุ์ปกติถึง 50% ทำให้ผมและครอบครัวมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม อยากเชิญชวนชาวไร่คนอื่นๆ มาลองปลูกมันสำปะหลังแบบสมาร์ทฟาร์มมิ่ง เพราะมีข้อดีมากกว่าเดิมจริงๆ”
ส่วน นางอารีรัตน์ หอมอ่อน เกษตรกรอีกท่านหนึ่งในอำเภอหนองวัวซอ เปิดเผยว่า “ครอบครัวเราเคยปลูกมันสำปะหลังแบบดั้งเดิม พอมีภัยธรรมชาติหรือฝนแล้งก็ไม่รู้จะปรับตัวยังไง แต่พอไทยวาเข้ามาแนะนำก็พบว่าได้ผลผลิตดีและมันสำปะหลังหัวใหญ่ขึ้น ถึงบางปีจะเจอฝนแล้งแต่ต้นมันสำปะหลังก็ยังแข็งแรงอยู่รอดเพราะเรารู้วิธีการดูแล
เช่น บำรุงดินด้วยปุ๋ยหมักจากเปลือกมันสำปะหลัง และเพิ่มอินทรีย์วัตถุในพื้นที่เตรียมปลูก แต่ก่อนจะเน้นใส่ปุ๋ยเคมีมากๆ แต่เมื่อลองใช้ปุ๋ยหมักพบว่าต้นทุนลดลง ได้ผลผลิตมากขึ้นจากเดิมที่ได้ไร่ละ 5 ตัน ก็สูงขึ้นเป็น 8 – 10 ตัน ตอนนี้ไทยวายังเข้ามาช่วยติดตั้งระบบน้ำหยด และแนะนำให้ปลูกมันสำปะหลังพันธ์แว็กซี่ที่มีราคารับซื้อดี อยากแนะนำให้ชาวไร่มันสำปะหลังคนอื่นๆ หันมาปลูกมันสำปะหลังพันธุ์นี้ และมาลองทำการเกษตรแบบใหม่ตามที่ไทยวาแนะนำ เพราะยังมีอะไรดีๆ อีกมากที่เรายังไม่เคยรู้”
ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จในการส่งเสริมสมาร์ทฟาร์มมิ่งของไทยวา เพื่อช่วยให้เกษตรกรไทยอยู่ดีกินดี และทำให้อุตสาหกรรมการเกษตรของไทยแข่งขันได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ความร่วมมือร่วมใจเหล่านี้จะก่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการเพาะปลูกให้กับเกษตรกรไทยต่อไป
นายสุรชัย นิ่มละออ Chief Innovation & Technology Officer บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด และนายวิเชษฐ์ ชูเชื้อ Chief Operating Officer บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลง
“การศึกษาความเป็นไปได้ในการดักจับคาร์บอนและการใช้ประโยชน์จากก๊าซเผาไหม้ ที่ปล่อยจากกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” กับนาย Takashi Suzuki (ทาคาชิ ซูซูกิ) BoD Environment Energy Sector - Nippon Steel Engineering Co., Ltd. (NSE) และ นาย Masaya Watanabe (มาซายะ วาตานาเบะ) CEO - Thai Nippon Steel Engineering and Construction Corporation, Ltd. (TNS) โดยความร่วมมือดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนบางส่วนจาก New Energy and Industrial Technology Development Organization (NEDO) ของรัฐบาลญี่ปุ่น สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ นำโดย นายชนะ ภูมี Vice President – Cement and Green Solution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี และนาย Yukito Ishiwa (ยูกิโตะ อิชิวะ) Representative Director and President – NSE Group เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Cement & Concrete ในปี 2050
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 30 ล้านตันต่อปี ซึ่งอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ได้ให้ความสำคัญและเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) อย่างเร่งด่วน หนึ่งในแผนการดำเนินงาน คือ การศึกษาและนำเอา Carbon Capture and Utilization (CCU) เทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและเหมาะสำหรับการนำมาใช้ดักจับก๊าซเผาไหม้ที่มีความดันค่อนข้างต่ำและความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำในปริมาณมาก เช่น ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ทุกประเภท รวมถึงก๊าซจากปล่องของโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ เป็นต้น
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ทางเอสซีจี และ NSE จะได้ร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในระบบการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบดูดซับสารเคมีที่พัฒนาขึ้นภายในบริษัท ที่เรียกว่า “ESCAP™”[1] เพื่อดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากก๊าซเผาไหม้ที่ปล่อยออกมาจากโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของเอสซีจี ที่จังหวัดสระบุรี และจะพัฒนาโครงการ[2] และโมเดลทางธุรกิจในการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ประโยชน์ โดยจะเปลี่ยนให้เป็นก๊าซมีเทน รวมถึงก๊าซออกซิเจนที่เกิดจากกระบวนการผลิต จะถูกนำกลับไปใช้ในโรงงานปูนซีเมนต์ นอกจากนี้ความร้อนที่เกิดจากระบบส่วนหนึ่งจะถูกนำไปหมุนเวียนในระบบ ESCAP™ เพื่อเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตปูนซีเมนต์ด้วยความรับผิดชอบต่อโลกและสิ่งแวดล้อม โดยเบื้องต้นเอสซีจี มีแผนเตรียมโรงงานนำร่อง (Demonstration Plant) ที่พัฒนาร่วมกับ NSE ในปี 2024 (โดยประมาณ) เพื่อนำผลการศึกษาความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีดังกล่าว และนำข้อมูลไปออกแบบและติดตั้งโรงงานในเชิงพาณิชย์ (Commercial Plant) ต่อไป เพื่อให้ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับโรงงานผู้ผลิตปูนซีเมนต์ อันเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของเอสซีจี เพื่อบรรลุเป้าหมาย “Net Zero Cement & Concrete ภายในปี 2050” สอดคล้องตามแนวทาง ESG 4 Plus ได้แก่ “1. มุ่ง Net Zero 2. Go Green 3. Lean เหลื่อมล้ำ 4. ย้ำร่วมมือ Plus เชื่อมั่น โปร่งใส”
Razer™ แบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำสำหรับเหล่าเกมเมอร์ ได้ร่วมยกทัพนวัตกรรมและสินค้ารุ่นใหม่มาอวดโฉมสู่สายตาแฟน ๆ เป็นครั้งแรก ในงาน CES2023 โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิดการนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อเปิดโอกาสให้คอเกมและผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีได้สัมผัส ทดลองใช้งานนวัตกรรมใหม่ก่อนวางจำหน่ายจริง ซึ่งหนึ่งในไฮไลต์ของงานคือผลิตภัณฑ์ Razer Edge สุดยอดเครื่องเล่นเกมพกพาระบบแอนดรอยด์ที่มีกำหนดวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้
Razer Edge โดดเด่นด้วยหน้าจอ AMOLED 6.8 นิ้ว ความละเอียด 2400x1080 FHD+ พร้อม Refresh Rate 144Hz เพื่อมอบประสบการณ์เกมมิ่งที่เชื่อมต่อออนไลน์ได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยเป็นเครื่องเล่นเกมพกพารุ่นแรกที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานกับ Snapdragon G3x Gen 1 Gaming Platform รุ่นใหม่ล่าสุดโดยเฉพาะ พร้อมระบบระบาย
ความร้อนแบบแอ็กทีฟเพื่อให้สามารถเล่นเกมระดับ AAA รวมถึงเกมอื่น ๆ ได้อย่างยาวนานโดยไม่ต้องกังวลว่าประสิทธิภาพจะลดลงเนื่องจากปัญหาความร้อน Razer Edge จะวางจำหน่าย 2 รุ่น ในสหรัฐฯ เริ่มจำหน่ายในวันที่ 26 มกราคม โดยรุ่น Razer Edge (Wi-Fi) จำหน่ายเฉพาะช่องทาง Razer.com และศูนย์จำหน่าย RazerStore ทั่วสหรัฐฯ ในราคา 399.99 ดอลลาร์ และรุ่น Razer Edge 5G จำหน่ายเฉพาะช่องทาง Verizon.com และศูนย์จำหน่าย Verizon Store
แนวคิดการออกแบบ Project Carol เบาะรองศีรษะรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมระบบเสียง Near-field Surround Sound และระบบการสั่นตอบสนองแบบ Haptics
เรเซอร์นำเสนอ Project Carol เบาะรองศีรษะรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมระบบเสียง Near-field Surround Sound และระบบการสั่น Haptics เพื่อนำเกมเมอร์สู่โลกใบใหม่แห่งประสบการณ์เสียงที่เต็มอิ่มในทุกอารมณ์พร้อมการสั่นสะเทือนที่สมจริง โดย Project Carol เป็นผลงานการออกแบบนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของแผนกวิจัยและพัฒนาของเรเซอร์ ซึ่งประกอบด้วยทีมงานที่ทุ่มเทเพื่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายกลุ่มสินค้าของเรเซเอร์ในอนาคต และสามารถคว้ารางวัลงาน CES Innovation and Best of Show Awards มาแล้วมากมาย
![]()
Project Carol ยกระดับอารมณ์ร่วมและความสมจริงของเกมขึ้นไปอีกระดับด้วยความชาญฉลาดในการใช้ระบบเสียง Near-field Surround Sound ที่มอบเสียงที่ชัดใส ทำงานควบคู่กับระบบ 7.1 Surround Sound เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์เกมมิ่ง โดยระบบ Near-field Surround Sound ของ Project Carol แตกต่างจากหูฟังทั่วไปเนื่องจากจะให้เสียงที่ชัดเจนกว่าเพราะส่งตรงมาจากด้านหลัง มอบทัศนียภาพของเสียง (Soundscape) ที่โอบล้อมตัวผู้ใช้งานมากกว่า Project Carol ยังใช้เทคโนโลยีของเรเซอร์เจ้าของรางวัลระดับโลกอย่าง Razer™ HyperSense จึงสามารถเปลี่ยนเสียงในเกมให้เป็นการสั่นตอบสนองแบบเรียลไทม์ ทำให้เกมเมอร์สามารถรู้สึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลังได้ ช่วยวางตำแหน่งผู้ใช้เสมือนอยู่กลางสมรภูมิในเกมได้อย่างสมจริง
Project Carol รองรับการทำงานบนพีซีและถูกออกแบบให้เหมาะสมกับเก้าอี้เกมมิ่งทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงเก้าอี้รุ่นยอดนิยมของเรเซอร์อย่างซีรีส์ Iskur และ Enki โดยมีสายรัดที่ยืดปรับระดับได้ตามต้องการ เมื่อเชื่อมต่อด้วยสัญญาณไร้สาย 2.4GHz จะทำให้ Project Carol สามารถใช้เล่นเกมได้นานต่อเนื่องถึง 8 ชั่วโมงก่อนที่จะต้องทำการชาร์จใหม่อีกรอบ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Project Carol ของเรเซอร์ที่นี่
โน้ตบุ๊ก Razer Blade รุ่นใหม่
การพัฒนาโน้ตบุ๊ก Razer Blade ในปี 2023 คือการเปลี่ยมาตรฐานใหม่ของเกมมิ่งแล็ปท็อป โดยผสานฟีเจอร์จอแสดงผลรุ่นใหม่อัตราส่วน 16:10 เข้ากับเทคโนโลยีการประมวลผลกราฟิกรุ่นใหม่ที่ทรงพลังสูงสุด และทั้งหมดอัดแน่นอยู่ในตัวเครื่องที่บางเบาตามแบบฉบับของเรเซอร์
![]()
โน้ตบุ๊ก Razer Blade 16 และ Razer Blade 18 เผยโฉมครั้งแรกในงาน CES 2023 โดยทั้งสองรุ่นติดตั้งขุมพลังชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด 13th Generation Intel®️ Core™ i9 HX หน่วยประมวลผลกราฟิก NVIDIA®’s next-Generation RTX™ 40 Series ทำงานได้สูงสุดที่ 175W TGP และเมโมรีรุ่นอัปเกรดอย่าง DDR5 5600MHz ซึ่งการผสานเทคโนโลยีทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันต้องอาศัยนวัตกรรมการออกแบบขั้นสูงเพื่อให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพภายใต้ข้อจำกัดด้านอุณหภูมิ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีระบบระบายความร้อนซึ่งเป็นสิทธิบัตรของเรเซอร์
Razer Leviathan V2 Pro ซาวด์บาร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Beamforming รุ่นแรกของโลกพร้อมฟีเจอร์ Head-Tracking AI
Razer Leviathan V2 Pro นำเสนอนวัตกรรมล่าสุดของระบบเสียง 3 มิติ เป็นซาวด์บาร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Beamforming สำหรับใช้งานกับเดสก์ท็อปรุ่นแรกของโลกพร้อมฟีเจอร์ Head-Tracking AI ด้วยความร่วมมือกับผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเสียงอย่าง THX® และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านระบบเสียง Beamforming 3 มิติอย่าง Audioscenic ซึ่งทำให้ซาวด์บาร์รุ่นใหม่จากเรเซอร์นี้มอบเสียงที่ดีที่สุดทั้งสองรูปแบบ โดยมอบเวทีเสียงที่ครอบคลุมรอบทิศทางและสามารถกำหนดให้ผู้ใช้งานอยู่ในตำแหน่งรับเสียงที่ถูกต้องแม่นยำเสมอเพื่อมอบประสบการณ์ด้านเสียงที่ดีเยี่ยมที่สุด โดยเทคโนโลยีทั้งหมดถูกติดตั้งอยู่ในตัวเครื่องที่กะทัดรัด รูปทรงสวยงามสุดพรีเมียม พร้อมการตั้งค่าที่ง่ายดาย ช่วยให้โต๊ะทำงานของคุณดูทันสมัย เรียบง่าย และสบายตา
![]()
เมื่อผสานระบบเสียง Beamforming Surround Sound เข้ากับเทคโนโลยี Head-Tracking AI ทำให้ Leviathan V2 Pro มอบเสียงแบบ 3 มิติที่ให้คุณดื่มด่ำในทุกอารมณ์ผ่านการทำงานร่วมกับกล้อง IR ที่ช่วยตรวจจับตำแหน่งของผู้ใช้งาน ซาวด์บาร์จึงสามารถปรับทิศทางเสียงให้พุ่งตรงไปยังตำแหน่งของผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ใช้งานอยู่ในตำแหน่งรับเสียงที่ถูกต้องอยู่เสมอและได้รับประสบการณ์เสียงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เมื่อผสานการทำงานร่วมกับ THX® Spatial Audio เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงที่เต็มอิ่ม ร่วมกับการปรับทิศทางเสียงตามตำแหน่งผู้ใช้งาน Audioscenic User Adaptive Beamforming ทำให้ซาวด์บาร์รุ่นนี้มอบประสบการณ์เสียงแบบ 3 มิติที่แท้จริงและตอบโจทย์ทุกคอนเทนต์ความบันเทิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถเลือกรับประสบการณ์เสียง 3 มิติได้ 2 โหมด ได้แก่ โหมด THX® Spatial Audio Virtual Headset สำหรับคอนเทนต์เสียงแบบสเตอริโอทุกรูปแบบ โดยให้สัญญาณเสียงที่แม่นยำตามตำแหน่งของชุดหูฟังที่สวมใส่อยู่ ในขณะที่โหมด THX® Spatial Audio Virtual Speakers ใช้กับคอนเทนต์ที่มีเสียงหลายชาแนล มอบเวทีเสียงที่กว้างครอบคลุมทั้งห้อง มอบประสบการณ์เสียงที่ดีเยี่ยมเหมือนกับการใช้ระบบเสียงโฮมเธียร์เตอร์ภายในบ้าน
Leviathan V2 Pro ติดตั้งซับวูเฟอร์ ถือเป็นซาวด์บาร์สำหรับพีซีที่มีไดรเวอร์หลายตัวเพื่อมอบเสียงแหลมที่ชัดใสและลึกและเสียงเบสที่หนักแน่น รองรับการทำงานกับระบบไฟ Razer Chroma™ RGB ให้คุณดื่มด่ำกับรูปแบบการจัดไฟมากถึง 30 โซนด้วยสีแสงไฟมากถึง 16.8 ล้านสี ซึ่งมีเกมที่รองรับระบบไฟที่ครอบคลุมที่สุดในโลกนี้มากกว่า 200 เกม
ดูรายละเอียดของ Leviathan V2 Pro ได้ที่นี่ กำหนดวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไปในราคาเริ่มต้น 399.99 ดอลลาร์ / 489.99 ยูโรที่ Razer.com และศูนย์จำหน่าย RazerStore
Razer Kiyo Pro Ultra เว็บแคมเซ็นเซอร์ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเพื่อคุณภาพสูงระดับกล้อง DSLR
ยิ่งเซ็นเซอร์ใหญ่ ยิ่งให้คุณภาพของภาพสูง ซึ่ง Razer Kiyo Pro Ultra ได้สร้างนิยามใหม่ของมาตรฐานด้านภาพเพื่อนักสร้างคอนเทนต์และนักสตรีมมิ่งรุ่นใหม่ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในตลาดเว็บแคม เพื่อมอบประสบการณ์ภาพขั้นสูงที่ให้รายละเอียดความคมชัดระดับเดียวกับกล้อง DSLR พร้อมการใช้งานที่ง่ายดายแบบเว็บแคมทั่วไปที่เสียบสายแล้วใช้งานได้ทันที
![]()
หัวใจสำคัญของเว็บแคมระดับมืออาชีพของเรเซอร์คือการใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่สุดของอุตสาหกรรมอย่าง Sony 1/1.2″ STARVIS™ 2 ด้วยขนาดพิกเซล 2.9 μm สามารถเก็บแสงและข้อมูลภาพได้ทุกพิกเซล ทำให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดและสีสันที่ครบถ้วน และเพื่อให้เซ็นเซอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ Kiyo Pro Ultra จึงใช้เลนส์ที่สั่งทำโดยเฉพาะที่มีรูรับแสงกว้างพิเศษขนาด F/1.7 ซึ่งเก็บแสงได้มากกว่าเว็บแคมทั่วไปถึง 4 เท่า เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดใสแม้ถ่ายในสภาพแสงน้อย
คุณภาพขั้นสูงของภาพเกิดจากการทำงานของหน่วยประมวลผลที่ทันสมัยที่สามารถแปลงคลิป Raw 4K 30 FPS (หรือ 1080P 60 FPS) เป็น 4K 24 FPS, 1440p 30 FPS, หรือ 1080p 60 FPS (แบบ uncompressed) ได้โดยตรงเมื่อคุณทำการสตรีม และเพื่อรับประกันว่านักสตรีมจะอยู่ในตำแหน่งจุดสนใจในกรอบภาพเสมอ ระบบ AI-powered Face Tracking Auto-focus) ของ Kiyo Pro Ultra จะคอยตรวจจับใบหน้าของผู้ใช้งานตลอดเวลาเพื่อให้เห็นภาพใบหน้าที่ชัดเจน ไม่หลุดโฟกัส พร้อมกับการช่วยเบลอพื้นหลังได้อย่างสวยงามด้วย Bokeh Effect ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำจบในตัวโดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ต่อพ่วงหรือติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังมีระบบ High Dynamic Range (HDR) ที่รองรับการถ่ายที่ระดับ 30FPS ทำให้นักสร้างคอนเทนต์ได้ภาพที่สวยงามสมจริงผ่านความสามารถของ Kiyo Pro Ultra ในการระบุค่าแสงและคอนทราสต์ได้แบบอัตโนมัติไปพร้อมกับการปรับค่าในโซนสว่างและโซนมืดให้ได้ระดับสมดุล ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นรายละเอียดและพื้นผิวที่มีสีสันเข้มขึ้นได้อย่างชัดเจน นักสร้างคอนเทนต์ยังสามารถใช้งานร่วมกับ Razer Synapse เพื่อการปรับค่าที่ละเอียดขึ้น
เพื่อยกระดับคุณภาพคอนเทนต์ผ่านการตั้งค่าสำเร็จรูปที่ปรับแต่งเองได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นค่า ISO ความเร็วชัตเตอร์ การแพน-ทิลท์ และอีกมากมาย
นอกจากนี้ Kiyo Pro Ultra ยังสามารถเสียบสายใช้งานและต่ออนไลน์ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ผ่านการเชื่อต่อด้วยสาย USB 3.0 ที่เรียบง่าย ผู้ใช้จึงสามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงการสร้างไฟล์คุณภาพระดับมืออาชีพได้อย่างรวดเร็ว
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Razer Kiyo Pro Ultra ได้ที่นี่ โดยกำหนดวางจำหน่ายในงันที่ 5 มกราคม 256 ในราคาเริ่มต้น 299.99 ดอลลาร์ / 299.99 ยูโร ผ่านทาง Razer.com และศูนย์จำหน่าย RazerStore
อุปกรณ์ต่อพ่วง VR สำหรับ Meta Quest 2 เพื่อประสบการณ์ Virtual Reality ที่สมจริง
เรเซอร์ยังเผยโฉมอุปกรณ์ต่อพ่วง VR อีก 2 รุ่นสำหรับ Meta Quest 2 ได้แก่ Razer Adjustable Head Strap System และ Razer Facial Interface เพื่อยกระดับการเล่นเกม VR และเพิ่มความสะดวกสบาย ซึ่งทั้ง Razer Adjustable Head Strap System และ Razer Facial Interface ออกแบบสำหรับใช้งานกับ Meta Quest 2 โดยความร่วมมือระหว่างเรเซอร์และ ResMed ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าด้านมนุษยปัจจัย (Human Factors)
\
Razer Adjustable Head Strap System ถูกออกแบบมาให้สวมใส่สบาย ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานด้วยการสร้างสมดุลของน้ำหนักที่สอดรับกับศีรษะทุกรูปทรง ด้วยวัสดุไนลอนคุณภาพสูงที่มอบความทนทาน สวมใส่สบายและเชื่อถือได้ ทั้งยังช่วยประจายน้ำหนักให้รู้สึกสวมใส่ได้อย่างสมดุลในระหว่างการเล่นเกม แถบปรับขนาดที่นุ่มสบายจะช่วยให้เกมเมอร์สามารถสวมใส่ได้อย่างลงตัวและง่ายดายเพื่อลดการหยุดชะงักขณะเล่นเกมโปรด
ส่วน Razer Facial Interface ถูกพัฒนาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการรองรับที่สมบูรณ์แบบ ผลิตด้วยวัสดุเมมเบรนขึ้นรูปที่มีผิวสัมผัสบางละเอียด จึงช่วยลดแรงกดบนใบหน้า ทั้งยังเป็นวัสดุเกรดทางการแพทย์ อ่อนโยนไม่ทำให้เกิดอาการแพ้เพื่อลดอาการระคายเคืองผิว เมื่อสวมใส่จะสามารถปิดกั้นแสงได้ทั้งหมด แต่ยังสามารถระบายอากาศได้ดี ช่วยให้เกมเมอร์ดื่มด่ำกับประสบการณ์เกมมิ่งที่เหนือกว่า และยังใช้วัสดุพื้นผิวที่ไม่มีรอยต่อเพื่อให้ถูกสุขลักษณะและง่ายต่อการดูแลทำความสะอาด ในขณะที่รูปทรงโค้ง 3 มิติช่วยสร้างสมดุลและรองรับได้อย่างสบายตลอดเวลาที่สวมใส่
อุปกรณ์ต่อพ่วง VR สำหรับ Meta Quest 2 ของเรเซอร์กำหนดวางจำหน่ายในสหรัฐฯ ช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 และจะจัดจำหน่ายที่ภูมิภาคอื่น ๆ ในอนาคต ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่
Amezon Web Services หรือ AWS มองว่าในปี 2566 ระบบคลาวด์จะมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้น ในการช่วยให้อาเซียนและประเทศไทยบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ภายใต้การมุ่งสู่ Digital Transformation
โดย AWS หวังว่าจะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จาก AWS Cloud ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุดเพือสร้างนวัตกรรม ลดค่าใช้จ่าย และช่วยเปิดตลาดให้กับหลายๆ ธุรกิจของไทยไปสู่ตลาดระดับภูมิภาคและระดับโลก
จุดเปลี่ยน
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา จะพบว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศไทย องค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยเริ่มหันมาใช้ระบบคลาวด์และมุ่งสู่ digital transformation เพื่อความคล่องตัวทางธุรกิจที่มากขึ้นและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของตน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เรายังคงเห็นการเร่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากของการนำระบบคลาวด์มาใช้ในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ องค์กรรูปแบบใดขนาดไหนก็ตาม
จากข้อมูลของธนาคารโลก มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับการเติบโตที่ช้าลงในปี 2566 เนื่องจากภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก และตามรายงานของบริษัทวิจัย Gartner แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการคลาวด์สาธารณะของประเทศไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 31.8% ในปี 2566 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 20.7% ค่าใช้จ่ายสำหรับบริการคลาวด์สาธารณะโดยผู้ใช้ในประเทศไทยคาดว่าจะสูงถึง 54.4 ล้านบาทในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 41.3 ล้านบาทในปี 2565
นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี
ในงาน AWS re:Invent 2022 ที่จัดขึ้นที่เมืองเมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 55,000 คน และผู้เข้าร่วมทางออนไลน์ถึง 300,000 คน แสดงให้เห็นว่าธุรกิจต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์จากคลาวด์ โดยภายในงาน Adam Selipsky, CEO ของ AWS ได้เน้นย้ำว่าข้อมูลเป็นรากฐานที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของทุกองค์กร ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ปริมาณข้อมูลจะมีมากขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้นของยุคดิจิทัล ทำให้การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการเติบโตของข้อมูลนั้น เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับทุกองค์กร
ภายในงาน AWS re:Invent 2022 ได้มีการประกาศนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น
· Data and Analytics - Amazon Aurora: เป็นบริการที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของ AWS และมีลูกค้า AWS หลายแสนรายที่ใช้ Amazon Aurora ที่เป็นการรวมประสิทธิภาพและความพร้อมใช้งานของฐานข้อมูลแบบดั้งเดิม ผสมผสานเข้ากับความเรียบง่าย และความคุ้มค่าของฐานข้อมูลโอเพ่นซอร์ส มีประสิทธิภาพมากกว่า MYSQL ถึงห้าเท่า และประสิทธิภาพมากกว่า PostgreSQL ถึงสามเท่า โดยมีค่าใช้จ่ายเพียงหนึ่งในสิบของฐานข้อมูลเชิงพาณิชย์
· Data and Analytics – Redshift: สามารถนำข้อมูลที่หลากหลายจากแอปพลิเคชันมาจัดเก็บในที่ต่างๆ ซึ่งต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่เหมาะสมเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลประเภทต่าง ๆ Redshift คือคลังข้อมูลขนาดเพตะไบต์ (petabyte) ที่มีการจัดการเต็มรูปแบบ ใช้โดยลูกค้า AWS หลายหมื่นรายเพื่อจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดเอกซะไบต์ (exabyte) มันให้ประสิทธิภาพด้านราคาที่ดีกว่าคลังข้อมูลคลาวด์อื่น ๆ ถึงห้าเท่า
· AI/ML – SageMaker: เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยให้เราสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ และยังช่วยสร้างข้อมูลอัจฉริยะให้กับระบบและแอปพลิเคชันต่าง ๆ AWS มีเทคโนโลยี ML และ AI ที่สมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบัน ลูกค้าหลายหมื่นรายใช้ SageMaker เพื่อฝึกโมเดลที่มีพารามิเตอร์หลายพันล้านตัว เพื่อทำการคาดการณ์มากกว่าล้านล้านรายการทุกเดือน ซึ่ง AWS ได้ประกาศความสามารถของ Amazon SageMaker ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่อีก 8 รายการในงาน AWS re:Invent อีกด้วย
· Security: Amazon GuardDuty: ความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานและบริการของ AWS ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความปลอดภัยสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้นออกแบบ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การดูแลสุขภาพ ธนาคาร และหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น โดยโครงสร้างพื้นฐานของ AWS ได้รับการตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน
· Security: Amazon Security Lake: AWS ประกาศเปิดตัว Amazon Security Lake แบบ preview ซึ่งเป็นบริการที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลความปลอดภัยในระดับเพตะไบต์ได้อัตโนมัติ ลูกค้าสามารถสร้างที่เก็บข้อมูลความปลอดภัยได้โดยอัตโนมัติด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง ทำให้มองเห็นข้อมูลความปลอดภัยทั้งหมดและสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของเวิร์กโหลด แอปพลิเคชัน และข้อมูล AWS Security Lake จะรวบรวมข้อมูลความปลอดภัยโดยอัตโนมัติจากโซลูชันของคู่ค้า เช่น Cisco, Crowdstrike และ Palo Alto Networks รวมถึงเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากกว่า 50 รายการที่รวมอยู่ใน security hub
ทิศทางธุรกิจของ AWS ในประเทศไทยในปี 2566
AWS ในประเทศไทยในปีนี้ จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าในธุรกิจการเงิน ธุรกิจค้าปลีก และอุตสาหกรรมการผลิต ที่คาดการณ์ว่ามีอัตราการเติบโตสูงในด้านการใช้คลาวด์ โดย AWS กำลังเพิ่มจำนวน AWS Partner และทีมงานในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2564 AWS ได้แต่งตั้งบริษัทเอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น ประเทศไทย จำกัด มหาชน (SiS) ดิสทริบิวเตอร์สินค้าไอทีชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งมีลูกค้าเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอทีมากกว่า 7,000 รายทั่วประเทศ ให้เป็นดิสทริบิวเตอร์อย่างเป็นทางการ โดย SiS จะเป็นเป็นดิสทริบิวเตอร์ของ AWS รายแรกในประเทศไทยสำหรับกลุ่มผู้ใช้บริการที่เป็นภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมการเติบโตด้านดิจิทัลโดยการขยายฐานคู่ค้าและตัวแทนจำหน่าย AWS ในประเทศไทย โดยในปี 2566 นี้ SiS จะสนับสนุน reseller ในการสร้าง Solution Packages สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (small to medium-sized business: SMB) รวมถึงเว็บไซต์ การสำรองข้อมูล การย้ายข้อมูล และ VDI และสนับสนุน reseller ในการขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อการเข้าสู่ตลาดผ่านการสัมมนาผ่านเว็บและการมีส่วนร่วมกับลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเพิ่มลูกค้าใหม่ในกลุ่ม SMB
การลงทุนของ AWS ในประเทศไทย
เมื่อไม่นานมานี้ AWS ได้ประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ในประเทศไทย AWS Asia Pacific (Bangkok) Region ด้วยเงินลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 1.9 แสนล้านบาท) ในระยะเวลา 15 ปี ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของ AWS ในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
ในปี 2565 AWS ได้ประกาศแผนเตรียมเพิ่มบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์มายังประเทศไทยด้วย AWS Local Zone แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัว Local Zones ใหม่ 10 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและญี่ปุ่น (APJ) เพื่อทำให้ลูกค้าของ AWS ในประเทศไทยสามารถมอบประสิทธิภาพความเร็วในหลักหน่วยของมิลลิวินาที (single-digit millisecond) แก่ผู้ใช้ปลายทางของพวกเขาได้
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว มีส่วนทำให้เกิดช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลที่กว้างขึ้น ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขเพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายในปี 2566 ทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้การฝึกอบรมทักษะมีความสำคัญมากกว่าที่เคย ภาครัฐและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วอาเซียนกำลังเผชิญกับการขาดแคลนผู้มีความสามารถและทักษะด้านดิจิทัล ซึ่ง AWS กำลังแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านดิจิทัล โดยได้เริ่มฝึกอบรมบุคลากรมาแล้วกว่า 700,000 คนทั่วอาเซียนด้วยทักษะด้านระบบคลาวด์ตั้งแต่ปี 2560
TUXSA ปริญญาโทออนไลน์โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ SkillLane ได้ร่วมถอดรหัสทักษะสำหรับคนทำงานยุคใหม่จากซีรีส์สัมภาษณ์ผู้บริหารของหลากหลายบริษัทชั้นนำ ที่ร่วมทำกับ 8 บรรทัดครึ่ง เพจของ คุณกวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ผู้บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จํากัด (มหาชน) เพื่อให้คนทำงานนำไปปรับใช้ เตรียมความพร้อมรับมือโลกการทำงานในปี 2023 และอนาคตต่อจากนั้น
ในยุคที่องค์กรและคนทำงานต่างก็ต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอด คนทำงานทุกระดับจำเป็นต้องมีความรู้ที่ช่วยให้ตอบโจทย์โลกทำงานยุคใหม่ TUXSA ปริญญาโทออนไลน์โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ SkillLane แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์อันดับ 1 ของไทย จึงได้ร่วมกับ 8 บรรทัดครึ่งเพจของ กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ผู้บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จํากัด (มหาชน) จัดทำซีรีส์สัมภาษณ์ผู้บริหารจากหลากหลายบริษัทชั้นนำ อาทิ ดุสิตธานี SCG และ Tencent เป็นต้น เพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องการบริหารงานและบริหารคน โดยผู้บริหารที่มาร่วมรายการต่างให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และพัฒนาตนเองของพนักงาน เช่น การเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ที่ช่วยให้บุคลากรเข้าถึงความรู้คุณภาพได้จากทุกที่ทุกเวลา และหนึ่งในประเด็นที่ผู้บริหารต่างกล่าวถึงคือ ทักษะสำหรับพนักงานยุคใหม่ ที่คนทำงานน่าเรียนรู้แล้วนำไปปรับใช้กับการทำงานของตัวเอง
ในวาระก้าวสู่ปีใหม่ TUXSA ได้สรุป 5 ทักษะสำหรับคนทำงานยุคดิจิตัล จากมุมมองของผู้นำองค์กรธุรกิจชั้นนำที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันออกไป เพื่อช่วยให้คุณก้าวเข้าสู่โลกการทำงานในอนาคตได้อย่างมั่นใจ และมีโอกาสเติบโตได้มากยิ่งขึ้น
5 ทักษะที่คนทำงานยุคใหม่ควรมี
1. Ability to Learn - Ability to Unlearn (ฮาวทูเลิร์น และ ฮาวทูทิ้ง): การเปิดกว้างในเรื่องการเรียนรู้ และการไม่ยึดติดกับความรู้ก่อนหน้า ตลอดจนรีเฟรชความรู้ที่มีอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้คือทักษะจำเป็นเพื่อให้เราก้าวไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอนาคต
คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เผยว่า “สิ่งที่เคยทำมาและยึดติดอาจไม่ใช่สิ่งที่ช่วยให้เราเดินไปข้างหน้า พนักงานต้องคอยทำให้ความรู้ของตัวเองสดใหม่ เรียนรู้ และเปิดกว้างสำหรับสิ่งที่แตกต่างให้ได้ ทักษะนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนเก่งที่คิดว่าทำแบบนี้แล้วสำเร็จ เดี๋ยวทำอีกก็สำเร็จอีก ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงอาจไม่ใช่อย่างนั้น”
2. Digital & Data Literacy (ทักษะเชิงข้อมูล): ความสามารถในการอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ โดยพนักงานยุคใหม่ต้องรู้ว่าจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้อย่างไร เพื่อมาใช้ในการตัดสินใจในสิ่งสำคัญ รวมไปถึงการคัดสรรข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่ท่วมท้นให้เป็น ตลอดจนการแบ่งปันและการสื่อสารข้อมูลให้เป็นประโยชน์เพื่อช่วยให้การทำงานรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
3. Communication (ทักษะการสื่อสาร): ความสามารถในการสื่อสาร ครอบคลุมตั้งแต่การพูดจูงใจ การรับฟังความต้องการของผู้อื่น การเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ เป็นต้น หากมีทักษะในการสื่อสารที่ดีจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ทำงานได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงเช่นกัน
4. T-Shaped Skill (รู้รอบ และ รู้ลึก): ทักษะการเรียนรู้ที่กว้างขวาง หลากหลายไม่จำเจ ผสานกับทักษะการเรียนรู้เชิงลึก กล่าวคือพนักงานต้องมีทักษะความชำนาญที่ไม่ใช่เพียงแค่ในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องรู้กว้างขวางในอีกหลากหลายด้าน นำไปสู่การต่อยอดการทำงานและการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี
คุณอภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer บริษัท SCG Cement-Building Materials จำกัด (SCG-CBM) กล่าวถึงการพัฒนาบุคลากรในทีมทำงานด้านนวัตกรรมให้มีทักษะนี้ไว้ว่า “เราจะพัฒนาให้บุคลากรมี Technical skills ที่เป็น T-Shaped คือไม่ใช่แค่รู้ลึก แต่ยังต่อยอดทักษะพนักงานให้รู้กว้างออกไป เช่น ถ้าพนักงานเป็นโปรแกรมเมอร์ซึ่งรู้ลึกด้านเทคโนโลยี เราก็จะต่อยอดด้านการออกแบบและด้านธุรกิจให้เขา”
5. Problem-solving skill (ทักษะการแก้ปัญหา): เครื่องมือที่จะช่วยให้สามารถทำความเข้าใจปัญหา คิดวิเคราะห์ และนำไปสู่แนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม เป็นทักษะที่เราจำเป็นต้องใช้ในแทบทุกสถานการณ์
คุณกฤตธี มโนลีหกุล รองประธาน เทนเซ็นต์ คลาวด์ อินเตอร์เนชันแนลประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมว่า “อีกทักษะจำเป็นคือ Problem-solving ที่ต้องรู้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหา เพื่อรับมือกับปัญหาที่อาจจะมาในรูปแบบเดิมอีกในครั้งต่อไป อย่างที่มีคนกล่าวไว้ว่าการแก้ปัญหาไม่ใช่ถึงปลายทางแล้วก็จบ แต่เป็นการเดินทางที่เราต้องชื่นชมทุกอย่างในระหว่างทางด้วย เพื่อให้เข้าใจว่าเราเดินทางไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร”
สำหรับผู้ที่สนใจซีรีส์สัมภาษณ์ผู้บริหารของ TUXSA และ 8 บรรทัดครึ่ง สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงย้อนชมและย้อนอ่านบทสรุปการสัมภาษณ์ของซีอีโอแต่ละท่านได้ทางเพจ TUXSA
หากพูดถึงหนึ่งฟันเฟืองของคนทำงานด้านเทคโนโลยีหรือคนเบื้องหลังของแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนมากมายในวันนี้ ต้องยอมรับบุคคลที่ได้ชื่อว่า “นักพัฒนา หรือ Engineer” คือทีมงานเบื้องหลังในการคิดค้นนวัตกรรม เทคโนโลยีในการรังสรรค์โปรดักส์และบริการต่างๆ ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยให้การใช้งานแพลตฟอร์มมีประสิทธิภาพและสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนได้เป็นอย่างดี โดย LINE ประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการเสริมแกร่งนักพัฒนา ผ่านการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์แก่สังคม ทั้งผู้ใช้งาน ภาคธุรกิจ และประเทศชาติ โดยในปี 65 ที่ผ่านมา LINE Engineer ได้สร้างปรากฏการณ์หลากหลายอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ผู้คนในทุกมิติ
เปิดวิสัยทัศน์สร้าง ‘โอกาส’ ให้คนไทย
ทีม LINE Engineer ประเทศไทย ถือเป็นทีมงานสำคัญที่พัฒนาบริการต่างๆ บน LINE ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ในทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานเพื่อชีวิตดิจิทัลให้คนไทยมาโดยตลอดจนถึง
ปัจจุบัน โดยทีม LINE Engineer มองว่าแพลตฟอร์ม LINE คือ ‘โอกาส’ ที่ล้วนสำคัญกับทุกคน ทั้ง ‘โอกาสสำหรับชีวิต’ ที่สะดวก สบาย และสนุกยิ่งกว่าเดิมผ่านบริการต่างๆ จาก LINE ที่ง่ายต่อการใช้งาน ‘โอกาสแห่งการเติบโต’ สำหรับภาคธุรกิจท่ามกลางการแข่งขัน ไปจนถึง ‘โอกาสแห่งการสร้างสรรค์’ เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ของนักพัฒนาไทย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ทีมงานมองเห็นความสำคัญ เพราะนักพัฒนาไทย คือแรงกำลังเบื้องหลังอันสำคัญที่จะช่วยผลักดันโลกแห่งเทคโนโลยีในเมืองไทยให้เติบโตได้ เพื่อให้ผู้ใช้และภาคธุรกิจไทยได้นำเทคโนโลยีที่หลากหลายไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม
ต่อยอดนักพัฒนาไทยใช้ LINE เสริมสร้างโอกาส
LINE ถือเป็นพื้นที่แห่งการส่งเสริมความแข็งแกร่งให้เหล่านักพัฒนาไทย ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย เพื่อต่อยอดไปสู่การพัฒนาบริการใหม่บนแพลตฟอร์ม LINE ผ่านช่องทางและกิจกรรมต่างๆ ที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยทีม LINE Engineer ไทย เน้นการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดี ภายใต้แนวคิด ‘โดยคนไทย เพื่อคนไทย’ โดยเชื่อว่า ความเข้าใจในพฤติกรรมและความต้องการของคนไทยอย่างแท้จริงคือกุญแจสำคัญช่วยให้การสร้างสรรค์นวัตกรรมตรงโจทย์และรู้ใจคนไทยมากที่สุด
![]()
ซึ่งเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ริเริ่มด้วยฝีมือทีม LINE Engineer ไทย ภายใต้แนวคิดดังกล่าวมีมากมาย ตัวอย่างเช่น MyShop เครื่องมือสำหรับจัดการบริหารร้านค้าออนไลน์ MyCustomer เครื่องมือจัดการข้อมูลลูกค้าในรูปแบบ Customer Data Platform (CDP) ที่ไม่เพียงถูกนำมาใช้ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังต่อยอด
ไปสู่การใช้งานในไต้หวันอีกด้วย เป็นต้น ทั้งนี้ ในส่วนของนักพัฒนาไทย พบว่า 5 อันดับเทคโนโลยี LINE ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนาไทยตลอดปี 65 ที่ผ่านมา ได้แก่ Messaging API, LIFF, LINE Notify, LINE Login และ LINE Beacon
นอกจากการสร้างเครื่องมือ แพลตฟอร์มให้มีประสิทธิภาพแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ความรู้ ความเข้าใจในการใช้เครื่องมือ เทคโนโลยีต่างๆ LINE Engineer ไทย จึงให้ความสำคัญกับการสร้าง Community เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจกับกลุ่มนักพัฒนาคนไทย ให้สามารถสร้างประโยชน์จากการใช้งานเทคโนโลยีของ LINE ให้กับผู้คน สังคม ภาคธุรกิจ และประเทศชาติได้ โดยที่ผ่านมาได้สร้างช่องทางคอมมิวนิตี้มากมาย เพื่อมอบความรู้ ข่าวสารอัพเดทเชิงเทคนิคสู่นักพัฒนาไทยได้อย่างครอบคลุม ทั้งโซเชียลมีเดียต่างๆ และ Podcast ไปจนถึงแหล่งเรียนรู้ออนไลน์อย่าง LINE Developers Codelab การจับมือร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง Skooldio สู่คอร์สออนไลน์เต็มรูปแบบ และการเปิดตัวเว็บไซต์อย่างเป็นทางการเมื่อกลางปีที่ผ่านมา จนปัจจุบัน มีผู้ติดตามช่องทางต่างๆ จำนวนรวมกันกว่า 150,000 คน
ความสำเร็จ LINE Engineer กับการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยในปี 65
ในปี 65 ที่ผ่านมา LINE Engineer ได้สร้างปรากฏการณ์มากมายในแง่ของการสร้างประโยชน์ให้แก่คนไทย ไม่ว่าจะเป็น
· มุมของผู้ใช้ – สร้างและอัปเกรดบริการต่างๆ บน LINE ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้ง่ายและสะดวกขึ้น เช่น LINE Call, LINE Meeting, LINE OpenChat, LINE Melody, LINE ดูดวง เป็นต้น รวมถึงบริการต่างๆ ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนที่ล้วนช่วยเสริมให้การดำเนินชีวิตของผู้ใช้ง่ายและสะดวกขึ้นเช่นกัน อาทิ หมอพร้อม การประปา และธนาคารชั้นนำต่างๆ ทั่วไทย ไปจนถึงการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อเป็นส่วนหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมอย่าง Traffy Fondue
![]()
· มุมของนักพัฒนา – สร้างและอัปเกรดเทคโนโลยีบน LINE อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักพัฒนาสามารถต่อยอดเพื่อสร้างสรรค์บริการที่ดีและมีคุณภาพสำหรับคนไทย โดยในปี 65 มียอดการเรียกใช้งาน LINE API หรือ LINE API calls ถึง 2.43 พันล้านครั้ง แสดงให้เห็นถึงความนิยมใช้งาน LINE API ในหมู่นักพัฒนาโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีจำนวนการใช้งาน Chatbot ถึง 250,000 ซึ่งเติบโต 40% และมี 100,000 LIFF App ถูกสร้างขึ้นโดยนักพัฒนาไทย เติบโต 50% จากปีก่อนหน้าเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google, Microsoft เริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี LINE โดยมีการนำ LINE API เข้าไปพัฒนาร่วมในบริการต่างๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ก้าวต่อไปของ LINE Engineer ไทยในปี 66
ก้าวต่อไปของ LINE Engineer ในปี 66 นี้ ยังคงเดินหน้าวิสัยทัศน์สร้าง ‘โอกาส’ ให้กับคนไทย ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีตอบโจทย์ผู้ใช้งานในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือใหม่ๆ มากมายที่น่าตื่นเต้นสำหรับภาคธุรกิจในปี 66 เช่น LINE SHOPPING API, Persona Targeting, MyCustomer สำหรับ SME, MyCRM และอีกมากมาย พร้อมให้ภาคธุรกิจไทยได้เลือกใช้ต่อยอดสร้างโอกาสแห่งการเติบโต
ในส่วนของ ‘โอกาสแห่งการสร้างสรรค์’ สำหรับนักพัฒนาไทย ทีม LINE Engineer เตรียมพร้อมขนทัพกิจกรรมออฟไลน์มากมาย กลับมาให้นักพัฒนาไทยได้พบปะ เข้าร่วมคอมมิวนิตี้กันได้อย่างใกล้ชิด นำโดยการแข่งขัน Hackathon สุดยิ่งใหญ่อย่าง LINE HACK ที่จะกลับมาอีกครั้งในปีนี้ เปิดโอกาสให้ทั้งกลุ่มเยาวชนนักศึกษา และนักพัฒนาทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่มาร่วมทดลองสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ปล่อยของกันได้เต็มพิกัด!
งาน Dev Meetup พื้นที่ให้เหล่านักพัฒนาไทยได้มาพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์อย่างเป็นกันเองกำลังจะกลับมาอีกครั้งเช่นกัน ไปจนถึงโครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ ทั่วประเทศกับ University workshop มอบความรู้กันแบบเจาะลึกสู่นักศึกษาภาควิชาที่เกี่ยวข้อง เพื่อบ่มเพาะทักษะเยาวชนที่มีใจรักด้านเทคโนโลยี ตลอดปีนี้อย่างแน่นอน
ดีป้า รุกจัดทัวนาเมนต์อีสปอร์ตเพื่อเหล่าเกมเมอร์รุ่นเยาว์ในกิจกรรม NATIONAL CHILDREN’S ESPORTS DAY ดวลมันส์..วันเด็ก
หวังส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้ดิจิทัลคอนเทนต์อย่างสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจในการเลือกอาชีพใหม่แก่เด็กและเยาวชน พร้อมสร้างความตระหนักรู้แก่ภาคสังคมให้เห็นถึงบทบาทของอุตสาหกรรมเกมที่มีผลต่อภาคเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในประเทศและระดับสากล
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมปลูกฝังองค์ความรู้และคุณประโยชน์ ก่อนนำไปสู่การประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์แก่เด็กและเยาวชนไทย ดีป้า จึงดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลผ่านการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต ในชื่อ NATIONAL CHILDREN’S ESPORTS DAY ดวลมันส์..วันเด็ก ชิงทุนการศึกษาและถ้วยรางวัลจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
“กิจกรรม NATIONAL CHILDREN’S ESPORTS DAY ดวลมันส์..วันเด็ก ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 มกราคมนี้ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้ดิจิทัลคอนเทนต์อย่างสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจในการเลือกอาชีพใหม่แก่เด็กและเยาวชนผ่าน ‘เกม’ ไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์ นักกีฬาอีสปอร์ต นักพากย์เกม และอาชีพอื่น ๆ ในแวดวง อีกทั้งสร้างความตระหนักรู้แก่ภาคสังคม โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมเกมที่มีผลต่อภาคเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่ง ดีป้า เราถือเป็นหน่วยงานรัฐที่พร้อมให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเกม และมุ่งมั่นผลักดันให้เกิดการนำเกมมาใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่โอกาสของเด็กและเยาวชนไทย รวมไปถึงผู้ที่สนใจในอนาคต” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
ภายในกิจกรรมจะได้พบกับการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตด้วย Nintendo Switch Sports ใน 3 ชนิดกีฬา ประกอบด้วย กีฬาฟันดาบ (Chambara) ในรุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี ทั้งประเภทชายและหญิง และกีฬาแบตมินตัน ในรุ่นอายุ 10-15 ปี ประเภทชายและหญิง ซึ่งผู้ชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษา พร้อมถ้วยรางวัลจาก นายกรัฐมนตรี ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก TESF ของสมาคมกีฬาอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย (Thailand E-Sports Federation) และเว็บไซต์ https://tesf.or.th/tournament/childrenesportsday/
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต พร้อมร่วมสนุกกับเกมอื่น ๆ และรับของที่ระลึกมากมายภายในบูธของ ดีป้า
SCB CIO ปรับมุมมองการลงทุนตลาดหุ้นจีนเป็นบวก ให้น้ำหนักที่ตลาดหุ้น A-Share รับเปิดเมืองและเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ผนวกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุนการบริโภคฟื้นตัว คาด ธนาคารกลางจีน จะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลงในช่วงครึ่งปีแรก และมีแนวโน้มออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจที่เป็นกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเป้าหมาย จับตากลุ่มธุรกิจได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มอินเทอร์เน็ต กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและสายการบิน กลุ่มบริการร้านอาหาร และ กลุ่มสุขภาพ หรือ Healthcare
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า SCB CIO ได้ปรับมุมมองการลงทุนที่มีต่อตลาดหุ้นจีนใหม่โดยมีมุมมองเป็นบวก (Positive) กับตลาดหุ้นจีน A-Shares และมีมุมมองค่อนข้างบวก (Slightly Positive) กับตลาดหุ้นจีน H-Shares ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีการปรับมุมมองการลงทุนต่อหุ้นจีน คือ การเปิดเมืองและเปิดประเทศที่เร็วกว่าคาด โดยมีลดระดับการจัดการโรคโควิด-19 ให้เป็นโรคติดเชื้อระดับ B ซึ่งเป็นระดับเดียวกับโรคไข้เลือดออก และอนุญาตให้ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนไม่ต้องกักตัว มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป
“เรามองว่า การเปิดประเทศครั้งนี้ มาจากแรงกดดันทั้งในประเด็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลงอย่างมากและการชุมนุมประท้วงบนท้องถนนในช่วงเดือน พ.ย. 2565 โดยในช่วงแรกของการเปิดเมืองและเปิดประเทศ เราคาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นจนอาจทำให้ตลาดกังวลกับประเด็นนี้ แต่เรามองว่า เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะข้างหน้า” ดร.กำพล กล่าว
สำหรับปัจจัยบวกอื่นๆ ที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น ได้แก่ การที่ทางการจีนผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งจะยังมีต่อเนื่องสำหรับระยะต่อไป คาดว่า ธนาคารกลางจีน (PBoC) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมอีก ด้วยการปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลงเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีแรก และมีแนวโน้มออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจที่เป็นกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเป้าหมาย ขณะที่รัฐบาลจีนมีแนวโน้มออกนโยบายการคลังที่เน้นกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับปรุงบ้าน สนับสนุนรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลผู้สูงอายุ ในส่วนของนโยบายภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ทางการจีนจะออกมาตรการเยียวยาภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม และการเปิดเมืองจะช่วยหนุนการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้ภาคอสังหาฯ ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ค่อนข้างชัด
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรง ได้แก่ กลุ่มอินเทอร์เน็ต มีทั้งผู้ให้บริการส่งอาหารในท้องถิ่น กลุ่มอี-คอมเมิร์ซ และกลุ่มที่พึ่งพารายได้โฆษณาออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและสายการบิน ที่เตรียมรับอานิสงส์ยอดการท่องเที่ยวในประเทศปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างเร็วในช่วงไตรมาสที่ 2 และอาจฟื้นตัวไปสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดได้ภายในสิ้นปี 2566 ส่วนการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ คาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และฟื้นตัวไปถึงระดับก่อนการระบาดได้ภายในปี 2567
กลุ่มบริการร้านอาหาร หรือ Catering ที่จะปรับตัวดีขึ้น จากการที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการร้านอาหารมากขึ้น กลุ่มชุดกีฬา หรือ Sportwear เนื่องจากกิจกรรมการกีฬาต่างๆ กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ และกลุ่มสุขภาพ หรือ Healthcare เนื่องจากการเปิดเมืองนำไปสู่การใช้บริการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น โดยเราประเมินว่า ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ร้านขายยา ผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ผู้ผลิตชุดตรวจโควิด-19 ผู้ผลิตยาในการรักษาอาการโควิด-19 และผู้ผลิตยาที่เกี่ยวเนื่องกับไข้หวัด จะได้อานิสงส์เชิงบวก
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ได้อานิสงส์ทางอ้อมจากการเปิดเมือง ประกอบด้วย กลุ่มอุปกรณ์เกี่ยวกับทางรถไฟ เพราะทางการจีนมีแนวโน้มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับรถไฟมากขึ้น รองรับการจราจรของรถไฟโดยสารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังเปิดเมือง กลุ่มระบบอัตโนมัติในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเมื่อระบบโลจิสติกส์กลับมาเป็นปกติ ปัญหาห่วงโซ่อุปทานเบาบางลง ความต้องการระบบอัตโนมัติไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น และสุดท้ายคือ กลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากการเปิดเมืองจะช่วยหนุนสินเชื่อขยายตัว รายได้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย รายได้ค่าธรรมเนียม ทรงตัวหรือปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ก็มีแนวโน้มดีขึ้น จากความเสี่ยงภาคอสังหาฯ ที่ลดลง และงบดุลภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ฟื้นตัว
ดร.กำพล กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่ SCB CIO มีมุมมองบวกกับตลาดหุ้นจีน A-Shares มากกว่า H-Shares เพราะว่า เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าหุ้นของทั้ง 2 ตลาดนี้กับมูลค่าย้อนหลัง 5 ปี แล้วพบว่า มูลค่าตลาดหุ้น A-Shares ยังถูกกว่า H-Shares ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าความเสี่ยงเรื่องการเพิกถอนบริษัทจีนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ADRs Delisting) จะลดลง และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบบนกลุ่มแพลตฟอร์มลดลงแล้ว ทำให้ตลาด H-Shares มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น แต่ตลาดฯ ก็ยังเผชิญปัจจัยกดดันจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนโดยเฉพาะจากประเด็นการกีดกันด้านเทคโนโลยี (Tech war)
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน ในฐานะสถาบันเพื่อการออม ที่มุ่งมั่นสนับสนุนให้ประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงเยาวชน ได้มีจิตสำนึกรักการออม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ธนาคารได้จัดแคมเปญฝากเงินรับกระปุกออมสินเนื่องในวันเด็กแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี สำหรับในปีนี้ ธนาคารได้ร่วมกับมูลนิธิออทิสติกไทย เปิดโอกาสให้ศิลปินเด็กออทิสติกของมูลนิธิฯ เป็นผู้วาดภาพลวดลายของกระปุกออมสินวาระโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 โดยการจ้างงานผ่านบริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (Art Story by Autistic Thai) มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้เด็กพิเศษกลุ่มนี้ได้แสดงออกถึงศักยภาพและความชำนาญในการใช้ศิลปะบำบัด ที่สามารถนำมาต่อยอดสร้างรายได้ช่วยเหลือตนเองและครอบครัว นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียมในสังคมได้เช่นเดียวกับเด็กและเยาวชนทั่วไป แนวคิดความร่วมมือในครั้งนี้จึงสอดคล้องตามจุดยืนของธนาคารที่มุ่งสร้างผลลัพธ์เชิงบวกในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
กระปุกออมสิน “ตุ๊กตาล้มลุก” เป็นการนำผลงานวาดภาพของศิลปินเด็กออทิสติก มาออกแบบและพิมพ์ลวดลายลงบนกระปุกออมสิน 3 แบบ 3 ลวดลาย สื่อความหมายถึงพลังในการดำเนินชีวิตที่คนเราเมื่อล้มได้ ก็ยังสามารถลุกขึ้นต่อสู้ต่อไปได้ทุกครั้ง โดยมุ่งหวังสร้างแรงบันดาลใจในการต่อสู้กับวิกฤติ และเป็นพลังใจแก่ผู้ออมที่แม้บางครั้งอาจพบกับอุปสรรค แต่ยังสามารถกลับมาออมต่อได้ใหม่ทุกครั้ง เพื่อบรรลุเป้าหมายการออมที่ตั้งใจไว้
ทั้งนี้ เด็กและเยาวชนที่ประสงค์ฝากเงินและรับกระปุกออมสินเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ปี 2566 สามารถลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองสิทธิ์ฝากเงินได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2566 เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป ถึงวันที่ 12 มกราคม 2566 ผ่าน 2 ช่องทาง คือ เว็บไซต์ธนาคารออมสิน : www.gsb.or.th และ Line Official : GSB Society โดยใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เยาว์ลงทะเบียนเพื่อไปฝากเงินในวันที่ 14 มกราคม 2566 (วันเด็กปี 2566) ที่สาขาของธนาคารออมสินทั่วประเทศ หรือที่แอปพลิเคชัน MyMo หรือที่เครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติ (ADM) ก็ได้ จากนั้นนำหลักฐานการลงทะเบียนและฝากเงินมาขอรับกระปุกออมสิน“ตุ๊กตาล้มลุก” ได้ ณ สาขาที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ฝากเงินไว้ จำนวน 1 ชิ้น ต่อ 1 สิทธิ์ (ของมีจำนวนจำกัด) ตั้งแต่วันที่ 14-31 มกราคม 2566 ทั้งนี้ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์สำหรับบัญชีเงินฝาก หรือ สลากออมสินที่มีชื่อผู้เยาว์ หรือเพื่อประโยชน์ผู้เยาว์ เท่านั้น
![]()