December 17, 2025

ฉมา แอ็สเซ็ท เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหาร ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง จากสมุนไพรไทยออร์แกนิค ภายใต้แบรนด์ “ฉมา” ร่วมกับ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัว “ฟรุ๊ตตี้-ซี” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารออร์แกนิคชนิดเม็ดเคี้ยวจากพืชสมุนไพรที่มีวิตามินซีธรรมชาติสูง

สู่การปั้นนวัตกรรมพืชสมุนไพรออร์แกนิคไทย เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าสมุนไพรไทย กระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี โดยตั้งเป้าหมายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์มีวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนตี้ออกซิแดนท์ พกพาสะดวกทานได้ทุกที่ ทุกเวลา ตอบโจทย์ตลาดคนรักสุขภาพมาแรง นิยมบริโภคสมุนไพร และธรรมชาติบำบัด ดูแลรักษาสุขภาพ

 

นางสาวปรินดา ตั้งพิรุฬห์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉมา แอ็สเซ็ท จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์สุขภาพ (Wellness) ได้รับความนิยมอย่างมาก และจะได้รับความนิยมต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ โดยผู้คนตระหนักถึงสุขภาพที่แข็งแรง ช่วยให้มีภูมิคุ้มกันที่ดีห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียั่งยืนรอบด้าน โดยเฉพาะเทรนด์การบริโภคสมุนไพร และธรรมชาติบำบัด เนื่องจากคนหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับการกิน ซึ่งมีผลต่อสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก เลือกรับประทานของที่ดีต่อร่างกาย อาทิ ผักและผลไม้ สมุนไพรออร์แกนิค เสริมภูมิคุ้มกัน ดูแลสุขภาพและร่างกาย จากแนวโน้มความต้องการดังกล่าว ฉมา ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสมุนไพรไทยออร์แกนิค จึงได้ร่วมกับ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ดเคี้ยวจากพืชสมุนไพรที่มีวิตามินซีจากธรรมชาติไม่มีสารปรุงแต่ง ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้มีตัวเลือกบริโภควิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ สารฟีนอลิกและสารแอนโทไซยานินจากพืชสมุนไพรออร์แกนิค นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน นำจุดแข็งของสมุนไพรไทยมาต่อยอดและสร้างมูลค่าให้กับสุมนไพรไทยสู่ตลาดในประเทศและตลาดสากล

จากแนวคิดที่สำคัญดังกล่าว ผนวกกับจุดแข็งในด้านความพร้อมเรื่องสมุนไพร ซึ่งเป็นแหล่งผลไม้ที่มีวิตามินซีตามธรรมชาติสูง ทั้งหม่อน กระเจี๊ยบ มะนาวและมีฟาร์มเกษตรอินทรีย์ โดยเริ่มตั้งแต่การเพาะปลูก จนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยวอย่างครบวงจร จึงได้ริเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามินซีจากธรรมชาติ จากพืชออร์แกนิคในรูปแบบเม็ดเคี้ยว โดยใช้ส่วนเนื้ออบแห้ง เป็นส่วนผสมหลักและควบคุมคุณภาพด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และมาตรฐานการผลิตที่ดี โดยร่วมทำการวิจัยกับศูนย์นวัตกรรมทางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ รวมถึงการขยายต่อยอดจากการวิจัยไปสู่ระดับการผลิตในเชิงพาณิชย์ที่สถานปฏิบัติการนำร่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์และสร้างนวัตกรรมจากพืชสมุนไพร เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารฟรุ๊ตตี้-ซี รูปแบบเคี้ยวที่มีสารสำคัญ สะดวก เคี้ยวสนุกได้ทุกที่ ทุกเวลา” นางสาวปรินดากล่าว

 

ด้าน รศ.ภก.ดร. พรชัย โรจน์สิทธิศักดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจที่สำคัญคือ การช่วยสนับสนุน ส่งเสริมผู้ประกอบการที่ต้องการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรในประเทศ ซึ่งโจทย์ของบริษัทฯ สามารใช้เครื่องมือเครื่องจักรและเทคโนโลยีของทางคณะฯ ในการพัฒนาสูตรตำรับ และขยายขนาดการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมได้ ภายใต้การรับรองมาตรฐานที่ดีในการผลิต (Good Manufacturing Practice: GMP) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว โดยโครงการนี้ เป็นโครงการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 มีเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อทดลองขยายขนาดการผลิต ในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อทดสอบพารามิเตอร์ต่าง ๆ ก่อนเข้าสู่ระดับอุตสาหกรรมต่อไป

สำหรับผลิตภัณฑ์ “ฟรุ๊ตตี้-ซี” วิตามินซีชนิดเคี้ยว เป็นวิตามินจากสมุนไพรออร์แกนิค ที่ได้จากหม่อนและกระเจี๊ยบแดงซึ่งพบสารแอนโทไซยานิน และสารฟีนอลิกที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมะนาว ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งสมุนไพรดังกล่าวมีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่ โอสถศาลา – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และช่องทางออนไลน์ LINE official : @chamafarm หรือ Facebook : Chamafarm

อีกก้าวของคนไทยสร้างนวัตกรรมพิชิตมะเร็งเพื่อมนุษยชาติ ตอบโจทย์แนวเศรษฐกิจ BCG และหนุนการก้าวเป็นเมดิคัลฮับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คิดค้น นวัตกรรม ‘อนุภาคคาร์บอนเรืองแสง’ จากสารชีวพอลิเมอร์ทะลายปาล์ม เพื่อส่งยารักษามะเร็งลำไส้แบบมุ่งเป้า (Synthesis of Fluorescent Carbon Dots Derived From Palm Empty Fruit Bunch For The Targeted Delivery of Anti-Cancer)

โดยงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ Nature.com ชูธงนาโนเทคโนโลยีผสานวิศวกรรมเคมีขั้นสูง และชีวพอลิเมอร์ที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย อีกทั้งเพิ่มมูลค่าวัสดุการเกษตรเหลือทิ้งมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

 

รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรคมะเร็งถือเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นของประชากรที่มีอายุต่ํากว่า 70 ปี โดยในปี 2018 พบจํานวนผู้ป่วยใหม่ทั่วโลกมากถึง 18 ล้านคน ส่วนประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ปีละ 1.4 แสนคน และเสียชีวิตปีละกว่า 8 หมื่นคน โดยมี 5 โรคมะเร็งที่คร่าชีวิตสูงสุด คือ มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม การวิจัยพัฒนานวัตกรรมของคนไทยนี้เป็นที่น่าภาคภูมิใจและได้รับความสนใจจากนานาประเทศโดยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก Nature.com ทั้งนี้ทีมนักวิจัยไทย 5 คน ประกอบด้วย รศ.ดร.จุฬารัตน์ ศักดารณรงค์ หัวหน้าโครงการวิจัย ดร.สุธิดา บุญสิทธิ์ ดร.สาคร ราชหาด อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อมรรัตน์ แสงจันทร์ นักศึกษา ป.โท สาขาวิศวกรรมเคมี ม.มหิดล และ ดร.กนกวรรณ ศันสนะพงษ์ปรีชา หน่วยปฏิบัติการเวชศาสตร์นาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สนง.พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนโดยทุนอัจฉริยภาพนักวิจัยรุ่นกลาง สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

รศ.ดร.จุฬารัตน์ ศักดารณรงค์ หัวหน้าโครงการวิจัย อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงที่มาของงานวิจัยว่า วิธีการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันมีหลายวิธี อาทิ การผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก การฉายรังสีบําบัด และเคมีบําบัดซึ่งยังมีข้อด้อย เนื่องจากสารออกฤทธิ์ที่กว่าจะไปถึงเป้าหมายจะเหลือปริมาณตํ่า จึงต้องใช้ยาในปริมาณที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติ ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงต่างๆ เราจึงมีแนวคิดในการพัฒนา ’นาโนเทคโนโลยี’ สำหรับการรักษาโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้า โดยใช้ ‘อนุภาคนาโน’ เป็นวัสดุในการนำส่งยาต้านมะเร็ง (Drug Delivery) สู่เซลล์เป้าหมาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จากการศึกษาวิเคราะห์พบว่าอนุภาคคาร์บอน (Carbon Dots) มีคุณสมบัติความเข้ากันได้ทางชีวภาพ ความเป็นพิษต่ำ มีความสามารถในการละลายน้ำสูง พื้นที่ผิวสูง ปรับปรุงหมู่ฟังก์ชันพื้นผิวได้ง่าย มีขนาดเฉลี่ยต่ำกว่า 10 นาโนเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสม สามารถเคลื่อนที่เข้าไปในเซลล์ได้ดี และมีคุณสมบัติในการเรืองแสงหลายสีตามหมู่ฟังก์ชันที่ดัดแปลงซึ่งจะช่วยติดตามการบำบัดรักษาได้ว่ายาอยู่ส่วนไหนของร่างกาย

ทีมวิจัยจึงคิดค้น นวัตกรรม ‘อนุภาคคาร์บอนเรืองแสงจากสารชีวพอลิเมอร์ทะลายปาล์ม เพื่อส่งยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า’ ซึ่งการใช้อนุภาคคาร์บอน ที่เป็นวัสดุนาโน ในการนําส่งยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อเข้าไปขัดขวางและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง รวมถึงจํากัดบริเวณเพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติโดยรอบได้ และลดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ สำหรับการสังเคราะห์อนุภาคคาร์บอนได้ทดลองพัฒนาด้วยหลากหลายกระบวนการ ในที่สุดทีมวิจัยได้เลือกใช้กระบวนการไฮโดรเทอมัล คาร์บอไนเซชัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ มีศักยภาพในการขยายขนาดในภาคอุตสาหกรรม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และง่ายต่อการสังเคราะห์อนุภาคคาร์บอนใหม่ๆ จากสารตั้งต้นอื่นๆในอนาคต อาทิ เปลือกส้ม เปลือกมะม่วง ฟางข้าว นม สาหร่าย กรดซิตริค กรดโฟลิค ยูเรีย กลีเซอรอล เป็นต้น รวมทั้งใช้พลังงานต่ำและไม่ต้องปรับสภาพหรืออบแห้งชีวมวล

จุดเด่นของการสังเคราะห์อนุภาคคาร์บอนจากทะลายปาล์ม ซึ่งเป็นวัสดุระดับนาโนจากชีวมวลเหลือจากอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันนำมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่าทางอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยนำมาเป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมการผลิตอนุภาคคาร์บอน ทั้งนี้โครงสร้างหลักของทะลายปาล์ม คือกลุ่มของลิกโนเซลลูโลส (Lignocellulose) ที่ประกอบด้วยเซลลูโลส (Cellulose) 35-50% เฮมิเซลลูโลส (Hemicellulose) 20-35% และลิกนิน (Lignin) 10-25% ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการปรับสภาพและแยกองค์ประกอบจะเป็นอนุภาคคาร์บอนที่ดี

รศ.ดร.จุฬารัตน์ ศักดารณรงค์ กล่าวสรุปผลวิจัยว่า อนุภาคคาร์บอน (Carbon Dots) ที่ผลิตจากกระบวนการนี้จะเป็นสารละลายสีน้ำตาล จากการศึกษาพบว่าเมื่อนำอนุภาคคาร์บอนมากระตุ้นด้วยแสง UV จะให้ผลได้ควอนตัม และคุณสมบัติในการเรืองแสงสูงสุด ในกระบวนการนำส่งยาต้านมะเร็งสู่เซลล์มะเร็งเป้าหมาย จึงได้ทำปฏิกิริยาการเชื่อมโยงหมู่ฟังก์ชัน COOH บนอนุภาคคาร์บอนเข้ากับหมู่ OH ของโมเลกุลพอลิเอทิลีนไกลคอลที่ขนาดโมเลกุลต่างๆ และ NH2 ของยาต้านมะเร็ง ได้แก่ Doxorubicin จากนั้น การนำส่งยาจะถูกทดสอบกับเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองเปรียบเทียบกับเซลล์ปกติ ด้วยนาโนเทคโนโลยีการเชื่อมขวางอนุภาคคาร์บอนเข้ากับ ’โปรตีนจำเพาะ’ ซึ่งจะไปต่อเข้ากับ ‘ตัวรับ’ หรือ ‘รีเซ็ปเตอร์’ ของเซลล์มะเร็ง เพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งยาเข้าสู่เป้าหมายได้แม่นยำ ในอนาคตจะนำไปสู่การทดลองกับสัตว์และมนุษย์ต่อไป

ประโยชน์ของนวัตกรรม ‘อนุภาคคาร์บอนเรืองแสงจากสารชีวพอลิเมอร์ทะลายปาล์ม เพื่อส่งยารักษามะเร็งลำไส้แบบมุ่งเป้า’ เพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีอัตราผู้ป่วยสูง เช่น มะเร็งลำไส้ ลดเวลาจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัดแบบดั้งเดิม โดยเพิ่มทางเลือกในการรักษาด้วย ‘เคมีบำบัดแบบมุ่งเป้า’ ต้นทุนต่ำ และมีราคาถูก ไม่มีพิษต่อร่างกาย ลดความเหลื่อมล้ำช่วยให้ประชากรในประเทศสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพได้ทั่วถึง ส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตจากวัตถุดิบการเกษตรที่มีในประเทศ ลดการนำเข้าวัสดุนำส่งยาที่มีราคาแพง ตลอดจนโอกาสต่อยอดในอุตสาหกรรมการแพทย์และส่งเสริมประเทศไทยก้าวเป็นเมดิคัลฮับ โดยสอดคล้องกับแนวทาง BCG ของประเทศไทยและกลุ่มภูมิภาค APEC อีกด้วย

นับเป็นความหวังและทางเลือกใหม่ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในไทยและเพื่อนมนุษย์

ธนาคารกรุงไทย ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.40% มีผล 3 มกราคม 2566 สะท้อนต้นทุนทางการเงินที่แท้จริง จากกรณีธปท.ปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ เป็นอัตราปกติที่ 0.46% เดินหน้าช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางอย่างตรงจุด ทันการณ์ และฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ (Policy Normalization) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและชัดเจนขึ้น โดยธปท.ประกาศปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ให้กลับเข้าสู่อัตราปกติที่ 0.46% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 จากที่ประกาศปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF เหลือ 0.23%ต่อปี เพื่อลดต้นทุนสถาบันการเงิน ให้ส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังภาคธุรกิจและภาคประชาชน โดยธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลง 0.40% ไปแล้วก่อนหน้านี้

การปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ดังกล่าว ส่งผลให้ธนาคารจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทวงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย (MRR) ในอัตรา 0.40% ต่อปี ตามที่ได้ปรับลดลงไป 0.40% ในช่วงก่อนหน้า มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2566 เป็นต้นไป โดยอัตราดอกเบี้ย MLR เท่ากับ 6.15% MOR เท่ากับ 6.72% และ MRR เท่ากับ 6.77% ต่อปี สอดคล้องกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

โดยที่ธนาคารกรุงไทย ให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง โดยพิจารณาอย่างรอบคอบให้มีผลกระทบกับลูกค้าน้อยที่สุด โดยเฉพาะลูกค้ารายย่อย ผู้ประกอบการรายเล็กและกลุ่มเปราะบาง ที่รายได้ยังไม่กลับมาปกติ เพื่อดูแลช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยมาตรการความช่วยเหลือจะพิจารณาให้เหมาะสมกับลูกค้า แต่ละกลุ่ม เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้ตรงจุด และทันการณ์ ครอบคลุมทั้งการลดภาระทางการเงิน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม การไกล่เกลี่ยหนี้ และการเสริมสภาพคล่อง โดยคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต พร้อมสนับสนุนการปรับตัวรองรับทิศทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว สามารถแข่งขันได้ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นในทุกมิติ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน

 บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จํากัด ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เดินหน้าสานต่อโครงการ “แบรนด์...พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต 2566” (BRAND’S Young Blood 2023) ต่อเนื่องปีที่ 23 ภายใต้แนวคิด “Give Blood…Give Lives” ชวนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ ร่วมเป็น “ผู้ให้” ด้วยการเริ่มต้นบริจาคโลหิตสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยบริจาคโลหิต

พร้อมรณรงค์กระตุ้นให้ผู้ที่เคยบริจาคแล้วหันมาบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน รวมถึงจัดการประกวดแต่งเพลงสั้น และประกวดร้อง เต้น และลิปซิงค์ “TikTok Challenge” ชิงโล่พระราชทาน ทุนการศึกษา และรางวัลต่างๆ พร้อมจัดกิจกรรมโรดโชว์ และออกหน่วยรับบริจาคโลหิตไปยังสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ ตั้งเป้าโลหิตที่ได้รับบริจาคในโครงการฯ จำนวน 90,000 ยูนิตทั่วประเทศ

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า “ภารกิจหลักในปี 2566 ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มุ่งมั่นจัดหาโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอ และมีคุณภาพสูงสุด โดยตั้งเป้าในการจัดหาโลหิตให้ได้ปีละประมาณ 2,500,000 ยูนิต เพื่อรองรับกับปริมาณการเบิกใช้โลหิตที่เพิ่มขึ้น 8-10% ทุกปี ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันพบว่า การบริจาคโลหิตยังไม่สม่ำเสมอ และมีบางช่วงเวลาที่โลหิตขาดแคลน เช่น ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการบริจาคโลหิตลดน้อยลงมาก ดังนั้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จึงจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายและภาคีร่วมในการรณรงค์ และประชาสัมพันธ์ชวนให้มีการบริจาคโลหิต เพื่อกระตุ้นให้มีผู้บริจาคโลหิตเพิ่มขึ้น และเพื่อจัดหาโลหิตคุณภาพให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในแต่ละปี รวมถึงจำเป็นต้องมีโลหิตสำรอง เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ต้องการใช้โลหิตอย่างเร่งด่วนอย่างน้อย 2-5 วัน”

“ในส่วนกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นผู้บริจาคโลหิตที่มีคุณภาพ คือ กลุ่มนิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีช่วงระยะเวลาการบริจาคโลหิตได้ยาวนานและยั่งยืนในอนาคต ซึ่งโครงการฯ มุ่งหวังให้เยาวชนมีความตระหนักถึงความสำคัญและรับรู้ถึงการบริจาคโลหิตว่า เป็นเรื่องที่จำเป็นและเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน รวมถึงสร้างจิตสำนึกการเป็น “ผู้ให้” แก่เยาวชนที่มีสุขภาพดีที่ยังไม่เคยบริจาคโลหิตได้เริ่มต้นเป็นผู้บริจาคโลหิตรายใหม่ รวมถึงรณรงค์กระตุ้นให้กลุ่มดังกล่าวบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือนอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาเป็นโลหิตสำรองคงคลังไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ตลอดจนยังเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนได้มีส่วนรับผิดชอบสังคมร่วมกัน ด้วยการรณรงค์การบริจาคโลหิตด้วยความสมัครใจ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ โดยในปีนี้ตั้งเป้าโลหิตที่ได้รับบริจาค จำนวน 90,000 ยูนิตทั่วประเทศ”

นางมธุวลี สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย และอินโดไชน่า กล่าวว่า “บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินงานภายใต้ค่านิยม “Giving back to society” ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อตอบแทนสิ่งดีๆ คืนสู่สังคม ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมไทย บริษัทฯ จึงได้ริเริ่มโครงการ “แบรนด์...พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต” (BRAND’S Young Blood) ร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย และดำเนินโครงการฯ มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมาช่วงระหว่างปี 2563-2564 เราได้รับโลหิตจากการบริจาคภายใต้กิจกรรมรณรงค์ของโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 68,701 ยูนิต สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งการให้ของบรรดานิสิต นักศึกษา และเยาวชน ที่มีจิตอาสาอย่างแท้จริง นอกจากนี้เรายังได้มีการจัดกิจกรรมการประกวด BRAND’S Young Blood Game Creator ในหัวข้อ BRAND’S Young Blood Hero การสร้างสรรค์ผลงานเกมจากคอมพิวเตอร์ เสนอแนวคิด พร้อมภาพและเสียงประกอบสื่อสารการรณรงค์บริจาคโลหิต สร้างจิตสำนึก และความภูมิใจของการเป็น “ผู้ให้” โดยทีมของน้องๆ เยาวชนที่ชนะเลิศการประกวดผลงานเกมจากคอมพิวเตอร์ ได้แก่ทีม I am alone จากมหาวิทยาลัยรังสิต

สำหรับโครงการ “แบรนด์...พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต 2566” (BRAND'S Young Blood 2023) ปีที่ 23 โครงการฯ ได้เตรียมออกหน่วยรับบริจาคโลหิตไปยังสถานศึกษาต่างๆ และจัดกิจกรรมโรดโชว์ เพื่อสร้างความรับรู้โครงการฯ ทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าสานต่อกิจกรรมเพื่อให้กลุ่มนิสิตนักศึกษาได้ร่วมแสดงพลัง และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ โดยมีกิจกรรมหลัก ดังนี้

1. การประกวดแต่งเพลงสั้น ชวนบริจาคโลหิต ในหัวข้อ “Give Blood…Give Lives” เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาที่มีอายุระหว่าง 17-22 ปี ที่มีพรสวรรค์ ความรู้ ความสามารถด้านการแต่งเนื้อร้อง หรือทำนองเพลง ได้แสดงความคิดเชิงสร้างสรรค์ผ่านทางบทเพลงเชิญชวนเยาวชนคนรุ่นใหม่มาร่วมบริจาคโลหิต และรวมถึงสร้างจิตสำนึก และความภูมิใจของการเป็น “ผู้ให้” โดยผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศจะได้รับโล่พระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเกียรติบัตร และทุนการศึกษาจำนวน 30,000 บาท และผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดดื่มฟรีตลอดปี สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมสามารถส่งผลงานด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม - 31 มีนาคม 2566 โดยโครงการฯ จะประกาศผลผู้ที่รับรางวัลในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566

2. การประกวดเต้น “TikTok Challenge” จากเพลงสั้น “Give Blood…Give Lives” ให้นิสิตนักศึกษาที่มีอายุระหว่าง 17-22 ปี ได้แสดงความสามารถด้วยลีลา ท่าทาง และความคิดสร้างสรรค์ สไตล์ที่เป็นตัวเอง เพียงแค่ร้อง เต้น หรือลิปซิงค์เพลง Give Blood…Give Lives ลงในแพลตฟอร์ม TikTok เพื่อเป็นสื่อชวนเชิญ และสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มาร่วมบริจาคโลหิต โดยผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศจะได้รับเกียรติบัตร พร้อมทุนการศึกษาจำนวน 10,000 บาท และผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดดื่มฟรีตลอดปี สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมสามารถกรอกใบสมัครเข้าร่วมการประกวดได้ที่ email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. เริ่มโพสต์ผลงานใน TikTok ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน 2566 โดยโครงการฯ จะประกาศผลผู้ที่ได้รับรางวัล วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566

นายภูศิลป์ วารินรักษ์ หรือเต๋า ศิลปินและนักร้องชื่อดังที่ร่วมรณรงค์โครงการฯ ในปีนี้ กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘แบรนด์...พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต’ อยากชวนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาร่วมกันทำความดี ด้วยการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และสำหรับน้องๆ ที่มีความสามารถด้านงานเพลง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งเพลง หรือการร้องและเต้น ผมก็อยากเชิญชวนน้องๆ มาร่วมส่งผลงานประกวดแต่งเพลงสั้น และประกวดร้อง เต้น หรือลิปซิงค์ใน ‘TikTok Challenge’ เพราะนอกจากจะเป็นเวทีให้น้องๆ ได้ฝึกความสามารถให้เก่งยิ่งขึ้นแล้ว ผลงานของเรายังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ หันมาสนใจการบริจาคโลหิตเพื่อเป็นคลังสำรองในยามฉุกเฉินได้อีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ผมอยากส่งมอบความห่วงใย และชวนน้องๆ ร่วมกันบริจาคโลหิตได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย หรือหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศครับ”

ทั้งนี้ นิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการฯ บริจาคโลหิต และต้องการร่วมกิจกรรมต่างๆ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.blooddonationthai.com และ www.brandsworld.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายจัดหาผู้บริจาคโลหิตและสื่อสารองค์กร โทร. 02-255-4567, 02-263-9600 ต่อ 1743

บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นกำลังใจและมอบแพ็กเกจประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ “แอกซ่า สมาร์ท ทราเวลเลอร์ พลัส” (AXA Smart Traveller Plus) ให้แก่ “แอนนา เสืองามเอี่ยม” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022

และคณะทีมงาน ที่ออกเดินทางไปร่วมแข่งขันในเวทีประกวดนางงามจักรวาล 2022 หรือมิสยูนิเวิร์ส 2022 ครั้งที่ 71 ณ เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ แอกซ่าขอเป็นอีกหนึ่งแรงเชียร์ร่วมกับคนไทยทั่วประเทศ ส่งกำลังใจให้ “แอนนา เสืองามเอี่ยม” คว้าตำแหน่งมิสยูนิเวิร์ส 2022 ได้สำเร็จดังที่ทุกคนรอคอย

ประกันภัครั้งยการเดินทางต่างประเทศ “แอกซ่า สมาร์ท ทราเวลเลอร์ พลัส” เพื่อนร่วมทางที่จะช่วยให้ลูกค้าเดินทางได้อย่างมั่นใจ อุ่นใจ ไร้กังวลในทุกการเดินทาง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยการเดินทางของแอกซ่า สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://www.axa.co.th/axa-smarttraveller

 

SkillLane นำโดยคุณเอกฉัตร อัศวรุจิกุล Co-founder & COO ร่วมกับ อ. เบรฟ-ธัญญพัฒน์ ธัญญศิริ (ซ้าย) อ. ปิง-ประกิต สิริวัฒนเกตุ (กลาง) ผู้สันทัดกรณีด้านการลงทุนในประเทศไทย ร่วมเปิดตัวคอร์สออนไลน์ใหม่รับปี 2566 หวังช่วยผลักดันองค์ความรู้ด้านการลงทุนให้แก่คนไทยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

SkillLane แพลตฟอร์มเรียนรู้ระบบออนไลน์ ล่าสุดได้ผนึกความร่วมมือกับ  “อ.เบรฟ” “อ.ปิง” และ “Stock JourNoey”  เปิดตัวคอร์สออนไลน์ใหม่ล่าสุดรับปี 2566 เพื่อช่วยผลักดันองค์ความรู้ด้านการลงทุนให้แก่คนไทย ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งเป็นช่องทางเรียนรู้ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เน้นเทรนด์การลงทุนที่น่าสนใจสำหรับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมทั้งการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหน้าใหม่ ๆ เข้ามาร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนการสอนล้ำสมัย พร้อมเผยเทรนด์การลงทุน และคำแนะนำสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่

ณเอกฉัตร อัศวรุจิกุล Co-founder & COO จาก SkillLane กล่าวว่า “SkillLane ถือเป็นแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์อันดับ 1 ของไทย ที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงความรู้ได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา เรามีคอร์สเรียนจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายวงการ และมีผู้เรียนมากกว่า 650,000 คน สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ เนื่องจากเราสังเกตเห็นว่าคอร์สออนไลน์ด้านการลงทุนได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เราจึงได้เชิญอาจารย์ที่ทำงานร่วมกับ SkillLane และเชี่ยวชาญด้านการเงินการลงทุนมาร่วมจัดทำคอร์สเรียนด้านการลงทุนใหม่ๆในปี 2566 นี้ เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ด้านการลงทุนให้คนไทยที่สนใจ และช่วยให้พวกเขาเข้าถึงองค์ความรู้ดังกล่าวได้จากทุกที่ ทุกเวลา”

ทั้งนี้อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการลงทุนทั้ง 3 ท่านซึ่งเป็นตัวแทนอาจารย์ของ SkillLane และเป็นผู้ที่จะมาร่วมสร้างคอร์สใหม่ร่วมกับแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์นี้ในปี 2566 นี้ ได้แก่ “อ.เบรฟ” ธัญญพัฒน์ ธัญญศิริ ลูกศิษย์เอกของ อ.วันชัย แห่ง บล.กิมเอ็ง (ในอดีต) และหนึ่งในผู้ร่วมคิดค้นการประยุกต์ใช้ศาสตร์ Swing Trade, Elliott Wave, Fibonacci ขั้นสูง และการวิเคราะห์วงจรเวลา (Time Cycle) “อ.ปิง” ประกิต สิริวัฒนเกตุ นักลงทุนมืออาชีพ วิทยากรด้านการลงทุนชื่อดังของไทย และ “Stock JourNoey” ธนพร เจียรนัยกุลวานิช เจ้าของแฟนเพจ StockJourNoey ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 400,000 คน และนักเขียนหนังสือ "5 Steps เทรดหุ้นจากเริ่มต้นจนเทรดเป็น"

อ. เบรฟ-ธัญญพัฒน์ ธัญญศิริ กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมาได้ร่วมทำคอร์สกับ SkillLane และได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจากผู้เรียน ในปี 2566 จึงตั้งใจร่วมทำคอร์สใหม่หลายคอร์สกับทาง SkillLane ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง Elliott Wave ในประเด็นต่างๆ โดยมีตัวอย่างเนื้อหาเช่น การใช้ Time cycle การนำทฤษฎี Elliott Wave ไปประยุกต์ใช้หน้างานในการเทรด/ซื้อ-ขายจริง และการนำเครื่องมือต่างๆ อย่าง Fibonacci MACD Trend-line Volume มาใช้ในการช่วยนับคลื่นให้แม่นยำยิ่งขึ้น

อ. ปิง-ประกิต สิริวัฒนเกตุ กล่าวเสริมว่า “ได้ทำงานกับ SkillLane มาหลายปี ร่วมทำคอร์สเรียนมามากกว่า 5 คอร์ส โดยส่วนตัวมองว่า ได้ผลตอบรับที่ดีและทีม Skilllane ก็ช่วยทำให้การจัดทำคอร์สเรียนออนไลน์เป็นเรื่องสะดวกสำหรับผู้สอน ในปีหน้าจึงมีแผนร่วมทำคอร์สกับ SkillLane เพิ่มเติม โดยครั้งนี้จะเป็นคอร์สที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Option trading และ DW ที่ลงลึกในรายละเอียด เข้าใจง่าย และใช้งานได้จริง”

อ. ธนพร เจียรนัยกุลวานิช หรือ StockJourNoey กล่าวต่อว่า “คอร์สแรกที่ร่วมทำกับ SkillLane อย่างคอร์สมือใหม่เรียนหุ้นกับ StockJourNoey นั้นเป็นที่นิยมของผู้เรียนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้ว่ามีคนสนใจเข้าสู่วงการการลงทุนอยู่ไม่ขาด และคอร์สการลงทุนแบบออนไลน์นั้นตอบโจทย์ผู้เรียนได้จริง ในปีหน้าจึงเตรียมที่จะออกคอร์สใหม่กับ SkillLane เป็นคอร์สสำหรับทุกคนที่จะให้ความรู้ทั้งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis)”

สำหรับเทรนด์ด้านการลงทุนจากผู้ลงทุนชาวไทยในปี พ.ศ. 2566 อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั้ง 3 ท่านกล่าวว่า จะยังคงเน้นเรื่อง asset allocations เพื่อเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงเวลา และการเลือกความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยตลาดโซนเอเชียหลายตลาดเริ่มฟื้นตัว แต่ยังมีความท้าทายที่นักลงทุนไทยควรระวังคือ เรื่องการจัดการความโลภ ความกลัว และความไม่รอบรู้ของตัวนักลงทุนเอง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (Financial Products) ใหม่ ๆ ที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ การลงทุนด้าน Option trading และ DW จะเป็นทางเลือกที่ดีในเวลาที่ตลาดหุ้นเป็นขาลงในปีหน้า และสำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนระยะยาว ธีมพลังงานทดแทน (Renewable Energy) และธีมที่ได้ประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันลงอย่างเช่น การขนส่งโลจิสติกส์ (Logistics) นับเป็นธีมที่น่าสนใจในปีพ.ศ. 2566

และสำหรับนักลงทุนมือใหม่ อาจารย์ทั้ง 3 ท่านของ SkillLane แนะนำว่า ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แนะนำให้เริ่มจากการบริหารจัดการเงินก่อน จากนั้นให้ศึกษาหาความรู้และข้อมูลให้แน่นที่สุด โดยศึกษากับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง นึกถึงความเสี่ยงจากการขาดทุนก่อนเป็นอันดับแรก รู้ตัวว่าเราเป็นนักลงทุนรูปแบบไหน และเริ่มลงทุนจากเงินจำนวนน้อยก่อน

ทั้งนี้ สำหรับอาจารย์และผู้ที่สนใจร่วมถ่ายทอดความรู้ให้คนไทยผ่านคอร์สเรียนออนไลน์ ทาง SkillLane มีการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่ร่วมออกแบบและผลิตคอร์สจนถึงวางแผนการตลาด นอกจากนี้ SkillLane ยังมีอีโคซิสเต็มใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ทำให้คอร์สจากอาจารย์ผู้สอนสามารถนำไปเผยแพร่ได้ในหลากหลายแพลตฟอร์มอีกด้วย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.skilllane.com/teach

· รายงานของอะโดบีคาดการณ์ว่าเทรนด์และธีม creative visual ทั่วโลก ได้แก่ ศิลปะแบบ Psychic Waves, Real is Radical, Retro Active, และศิลปะที่เกี่ยวกับสัตว์และอินฟลูเอนเซอร์ จะเป็นที่ต้องการและได้รับความสนใจอย่างมากในปี 2566

· รายงานแสดงให้เห็นว่าหลังจากความยากลำบากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคกำลังค้นหาแรงบันดาลใจ และความสบายใจผ่านธรรมชาติ ความคุ้นเคย และความสนุกสนาน ด้วยภาพที่กระตุ้นความคิดใหม่ๆ

· ผู้บริโภคมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและสร้างความก้าวหน้าโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และขับเคลื่อนสังคมผ่านภาพที่เกิดขึ้นจริง

· 46% ของ Gen Z กล่าวว่าพวกเขาวิตกกังวลและเครียดเกือบตลอดเวลา จึงมีความต้องการเห็นภาพที่ช่วยให้อารมณ์ดี

ซานโฮเซ แคลิฟอร์เนีย — อะโดบี (Nasdaq:ADBE) เผยรายงานด้านเทรนด์ครีเอทีฟจาก Adobe Stock ประจำปี 2566 (Adobe Stock 2023 Annual Creative Trends Forecast) ซึ่งเป็นรายงานที่นำเสนอเทรนด์ภาพ และธีมครีเอทีฟที่กำลังได้รับความนิยมโดยกำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำหรับครีเอเตอร์ในการสร้างผลงานให้ตรงตามความต้องการ และสร้างความประทับใจแก่ผู้คนตลอดปี 2566 โดยปีนี้นับเป็นปีที่หกติดต่อกันที่อะโดบีได้วิเคราะห์ธีม visual cultural ที่เกิดขึ้นใหม่ และการออกแบบแคมเปญที่น่าสนใจในเซ็กเม้นต์ต่างๆ ตั้งแต่ผลงานของนักออกแบบแฟชั่นชื่อดังไปจนถึงผลงานของครีเอเตอร์ในชีวิตประจำวัน และรวบรวมข้อมูลอุตสาหกรรม Stock เพื่อระบุเทรนด์การออกแบบและความสวยงามที่จะยึดพื้นที่ดิจิทัลในปีหน้า

อะโดบีเป็นผู้นำด้านครีเอทีฟตลอดระยะเวลา 40 ปี และยังคงนำเสนอประสบการณ์ และเทรนด์ที่น่าสนใจสู่อุตสาหกรรมครีเอทีฟอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้อะโดบีได้คาดการณ์ธีมครีเอทีฟที่น่าสนใจหลักๆ 4 ธีม ซึ่งครอบคลุมทั้งภาพ การออกแบบ และโมชั่นกราฟฟิก ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างคอนเทนต์ในการถ่ายภาพ การถ่ายทำวิดีโอ การเขียนงานครีเอทีฟ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย บล็อก และอื่นๆ ได้แก่ 'Psychic Waves,' 'Real is Radical,' 'Retro Active' และ 'Animals and Influencers' โดยธีมการออกแบบที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้คาดว่าจะเป็นแนวทางให้ Creator Economy ซึ่งมีจำนวนครีเอเตอร์กว่า 303 ล้านคนทั่วโลกใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างดิจิทัลคอนเทนต์ที่โดนใจผู้ชมในปี 2566

เบรนด้า มิลิส หัวหน้าฝ่ายพฤติกรรมผู้บริโภค และ Creative Insights ของอะโดบีกล่าวว่า “ในขณะเรากำลังฟื้นตัวจากความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาด ผู้คนต่างโหยหาคอนเทนต์ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแต่ “สดใหม่” และกระตุ้นความรู้สึกผ่านประสบการณ์ที่แท้จริง โดยไม่มีการแต่งเติมหรือใส่ filter ใดๆ เทรนด์เหล่านี้บ่งชี้ว่าครีเอเตอร์จะมองเห็นภาพและกำหนดทิศทางด้านศิลปะบนโลกอย่างไร และใช้แพลตฟอร์มของพวกเขาเพื่อแบ่งปันคอนเทนต์มาสู่ผู้คนทั่วโลกที่นำมาซึ่งความสุขที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา”

 4  เทรนด์ที่สำคัญจากรายงาน Adobe Stock 2023 Creative Trends:

· Psychic Waves หลังการแพร่ระบาด มีการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น โดยได้มีการขับเคลื่อนแนวทางใหม่ในการสำรวจสุขภาพจิตผู้คน ธรรมชาติ และสุขภาพที่ดี โดย 46% ของ Gen Z กล่าวว่าพวกเขาวิตกกังวลและเครียด จึงเป็นที่มาของ Psychic Waves ที่ไล่ระดับสีสันที่สดใส เทรนด์ใหม่นี้เน้นที่ creative authenticity เพื่อเป็นช่องทางในการแสดงออก รวมถึงการหลีกเลี่ยงความจริงด้วยการไล่ระดับสี การใช้สีสันที่สดใส และความสวยงามที่ผสมผสานกับความเซอร์เรียลลิสม์เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ที่มองไม่เห็นและไม่สามารถจับต้องได้

· Real is Radical จากการที่ปัจจุบันมีคอนเทนต์ที่ถูกแชร์มาจากแหล่งต่างๆ มากมายหลายครั้ง หรือคอนเทนต์ที่ได้รับการปรับแต่งจากหลากหลายผู้เขียนนั้น ทำให้เทรนด์ Real is Radical ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างตรงไปตรงมา โดยที่แบรนด์ต่าง ๆ ได้เปิดรับแคมเปญที่รองรับทุกเชื้อชาติ เพศ อายุ ความสามารถ และขนาด — เปลี่ยนจาก curated content เป็น candid moments จากรายงาน Pinterest Body Neutrality Report ฉบับล่าสุด มีการค้นหาคำว่า "รักตัวเอง" 36% และการค้นหา "ทำอย่างไรให้มีความมั่นใจมากขึ้น" 32% โดยเทรนด์ดังกล่าวมีปรากฏอยู่ในโซเชียล แคมเปญของแบรนด์ และแอปใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอย่าง BeReal และ Locket ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เรื่องความขัดแย้ง ความดื้อรั้น ความก้าวร้าว ไปจนถึงความเปราะบาง ดังนั้นวิช่วลแบบ Real is Radical จึงเป็นการสร้างการเชื่อมต่อที่ทรงพลัง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนผ่านช่องทางสื่อและแพลตฟอร์มต่างๆ

· Retro Active ได้รับแรงบันดาลใจจากครีเอเตอร์ Gen Z ที่กำลังเติบโตและหลงใหลในสุนทรียภาพยุคก่อน โดยเทรนด์ Retro Active ให้ความสำคัญกับสไตล์วินเทจ และการทำให้ร่วมสมัยมากขึ้น ทั้งครีเอเตอร์ Gen Z, Millennial และ Gen X กำลังศึกษาการกลับมาของเทรนด์นี้ โดยค้นหาความหมายของครีเอทีฟในยุค 90 และ Y2K เช่น ฉากสเก็ตบอร์ดย้อนยุคไปจนถึงแฟชั่นคัลเลอร์ฟูล วิทยุแบบ Boombox และวิดิโอเกมแบบคลาสสิก แม้ว่าครีเอเตอร์ Gen Z จะมีอิทธิพลในการพัฒนาเทรนด์เหล่านี้ แต่คนรุ่นมิลเลนเนียลยังคงเป็นครีเอเตอร์กลุ่มใหญ่ของ Creator Economy ที่แท้จริง คิดเป็น 42% ของ Creator Economy ที่ขับเคลื่อนเทรนด์นี้

· Animals and Influencers วิช่วลที่เกี่ยวกับสัตว์และอินฟลูเอนเซอร์ ธีมนี้เกิดขึ้นจากความรักและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคกับสิ่งมีชีวิตที่มีเสน่ห์และน่ารัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนขนปุกปุยในชีวิตจริงหรืออวาตาร์อนิเมะที่มีเสน่ห์ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ดึงดูด และสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในการสื่อถึงแบรนด์ โดยขยายไปในรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นอะนิเมะ ภาพประกอบ (illustration) ภาพถ่าย และภาพ 3 มิติ ความรู้สึกที่กระตุ้นผู้บริโภคและครีเอเตอร์คือ “ความสุข การคิดบวก และความบันเทิง” ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ความต้องการอนิเมะทั่วโลกเพิ่มขึ้น 118% ขณะเดียวกันกับที่เวอร์ชวลอินฟลูเอนเซอร์เติบโตและมีส่วนร่วมมากกว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นบุคคลจริงๆ ถึงสามเท่า (หลายคนพบว่าพวกเขาน่าเชื่อถือและเข้าถึงได้มากกว่า) แบรนด์ต่างๆ จึงใช้ประโยชน์จากเวอร์ชวลอินฟลูเอนเซอร์ในโฆษณามากขึ้นเรื่อยๆ

บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน แบบครบวงจร เปิดเทรนด์และมุมมองเชิงลึกด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในปี 2566 ชี้องค์กรธุรกิจกำลังเผชิญความท้าทายจาก 3 ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มาแรงสูงสุด

ได้แก่ Ransomware-as-a-service จะมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว การโจมตีซัพพลายเชนจะเป็นภัยใกล้ตัวกว่าที่เคย และการโจรกรรมข้อมูลจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อองค์กร ด้วยเหตุนี้ภาคธุรกิจจึงควรเร่งปิดความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการปรับใช้แนวคิด ‘Cyber Resilience’ ซึ่งประกอบด้วย 5 แนวทางที่จะทำให้องค์กรสามารถตั้งรับและตอบสนองต่อการโจมตีทางไซเบอร์ได้อย่างดี รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการกู้คืนธุรกิจให้กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันถือเป็นเรื่องสำคัญของภาคธุรกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี อาทิ ระบบคลาวด์ (Cloud Computing) บล็อกเชน (Blockchain) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI) และ Internet of Things (IoT) สามารถสร้างข้อได้เปรียบและโอกาสการเติบโตทางธุรกิจได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความซับซ้อนในระบบนิเวศของธุรกิจ จนเกิดช่องโหว่หรือจุดอ่อนให้อาชญากรทางไซเบอร์เข้ามาหาประโยชน์ได้ ยิ่งความต้องการใช้เทคโนโลยีมีมากเท่าไร ความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ก็มากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้ไซเบอร์ซิเคียวริตี้กลายเป็นความกังวลอันดับต้นๆ ของผู้นำองค์กรทั่วโลก

แนวโน้มความเสียหายจากภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 World Economic Forum คาดการณ์มูลค่าความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลกจะแตะ 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 15% (YoY) เป็นไปในทิศทางเดียวกับการใช้จ่ายด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ที่จะเพิ่มขึ้น 12% (YoY) เป็น 194,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแนวโน้มของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวลนี้เป็นสัญญาณเตือนให้องค์กรต้องเร่งยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทาง ไซเบอร์ของตนเอง

บลูบิค เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงตกเป็นเป้าหมายการโจมตีสูงสุด ได้แก่ ผู้ให้บริการวิชาชีพต่างๆ ธุรกิจการเงิน สุขภาพ โรงพยาบาล ค้าปลีก และโรงแรม ตามลำดับ ซึ่ง 3 ภัยคุกคามทางไซเบอร์ระดับตัวท็อป คือ

1) มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมากขึ้นเพราะ Ransomware-as-a-service : โดยจะมีการปล่อยไวรัสมัลแวร์เข้าสู่ระบบเพื่อเจาะเข้าสู่ระบบสำคัญ แล้วทำการเรียกค่าไถ่

ปัจจุบันแฮกเกอร์มีการพัฒนา Ransomware-as-a-service ที่จะมาพลิกโฉมการเรียกค่าไถ่แบบเดิมๆ ด้วยการขายมัลแวร์ที่ฝังตัวอยู่ในระบบของเป้าหมายในตลาดมืด และตกลงซื้อขายภายใต้เงื่อนไขการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันหากผู้ซื้อสามารถเรียกค่าไถ่ได้สำเร็จ ทำให้นับจากนี้การใช้มัลแวร์เรียกค่าไถ่จะทำได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูงอีกต่อไป ขอเพียงแค่เข้าถึงตลาดมืดหรือชุมชนออนไลน์ที่เหล่าแฮกเกอร์ใช้งานอยู่ก็พอ

รายงานของหน่วยงาน Cybersecurity ของประเทศในทวีปอเมริกา เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 ปีนี้ ค่าเฉลี่ยของจำนวนเงินค่าไถ่ทางไซเบอร์อยู่ที่ราว 250,000 เหรียญสหรัฐ และพบว่ามีองค์กรกว่า 58% ต้องตกเป็นเหยื่อมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ขณะที่ 14% ขององค์กรเหล่านี้ต้องจ่ายค่าไถ่มากกว่า 1 ครั้ง โดยมีองค์กรที่ตกเป็นเหยื่อมากกว่าครึ่งที่ต้องใช้เวลามากกว่า 1 เดือน ในการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้น

2) การโจมตีในซัพพลายเชนหรือห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain / 3rd Parties Attack) จะเป็นภัยใกล้ตัวกว่าที่เคย : การโจมตีระบบขององค์กรเป้าหมายอาจจะทำได้ยากขึ้นในปัจจุบัน เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะองค์กรต่างๆ มีการยกระดับการป้องกันที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นแฮกเกอร์จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี โดยมุ่งเป้าไปเป็นการเจาะระบบของ ผู้ให้บริการภายนอก (Vendor) ที่มีการให้บริการกับหลายๆ องค์กร และมีช่องทางการเข้าสู่ระบบหลังบ้านขององค์กรลูกค้าต่างๆ อยู่แล้ว แฮกเกอร์จึงเจาะระบบของผู้ให้บริการภายนอก เพื่อใช้เป็นช่องทางที่จะเข้าไปสู่ระบบขององค์กรเป้าหมาย โดย บลูบิค ไททันส์ มองว่าการโจมตีผ่านระบบของซัพพลายเชนจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

จากผลสำรวจของ Ponemon Institute พบว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีองค์กรกว่า 54% ถูกโจมตีทางไซเบอร์ผ่านซัพพลายเชนหรือผู้ให้บริการภายนอก โดยมีเพียง 34% ที่มีความมั่นใจว่าตนเองจะได้รับการแจ้งเตือนจากบริษัท ผู้ให้บริการ หากเกิดเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ขึ้นกับระบบของผู้ให้บริการ อย่างไรก็ตาม มีองค์กรมากถึง 60% ที่มีความกังวลว่าการโจมตีทางไซเบอร์ผ่านห่วงโซ่อุปทานจะเพิ่มมากขึ้น

3) การโจรกรรมข้อมูล (Data Breach) บทเรียนสำคัญที่อาจนำมาซึ่งความสูญเสียชื่อเสียง ความเชื่อมั่น และทรัพย์สินเกินคาดการณ์ : การโจรกรรมข้อมูลเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในโลกไซเบอร์ โดยมีเป้าหมายหลักเป็นผลประโยชน์ทางการเงิน และพุ่งเป้าไปที่ข้อมูลสำคัญ ความลับทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา หรือข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เพื่อนำไปเรียกค่าไถ่หรือขายต่อในตลาดมืด โดยความเสียหายจากเหตุการณ์โจรกรรมข้อมูลมีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6,000 บาทต่อ 1 รายการข้อมูล และก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรหลายด้าน เช่น ค่าใช้จ่ายจากการแก้ไขปัญหา ตลอดจนผลกระทบจากธุรกิจหยุดชะงัก และที่เลวร้ายที่สุดคือการสูญเสียความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อองค์กร

รายงานของ IBM ประเมินว่า ในปี 2022 ความเสียหายจากการโจรกรรมทางข้อมูลขององค์กรในภูมิภาคอาเซียนมีมูลค่าเฉลี่ยสูงถึง 2.87 ล้านเหรียญสหรัฐต่อครั้ง และมีองค์กรกว่า 83% ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 1 ครั้ง โดย 45% เป็นการโจรกรรมข้อมูลบนระบบคลาวด์ซึ่งองค์กรมีการใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อาจจะยังขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม

นายพลสุธี ธเนศนิรัตศัย ผู้อำนวยการ บริษัท บลูบิค ไททันส์ จำกัด กล่าวว่า การเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องเร่งทำ เพราะการโจมตีทางไซเบอร์สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและสร้างความเสียหายมหาศาลทั้งด้านการเงินและความน่าเชื่อถือองค์กร ซึ่งการสร้างภูมิต้านทานภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้องค์กรสามารถทำได้ด้วยการประยุกต์ใช้แนวคิด ‘Cyber Resilience’ ที่ประกอบด้วย 5 แนวทาง ดังนี้

1) พิจารณาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยกรอบการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กร (Manage Cybersecurity as an Enterprise Risk) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ควรอยู่ภายใต้กระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับองค์กร กล่าวคือ การพิจารณาประเด็นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้สะท้อนออกมาในรูปแบบของความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงผลกระทบในมุมมองต่างๆ เช่น ความเสียหายทางการเงิน การละเมิดกฎหมาย ความเชื่อมั่นจากลูกค้าและคู่ค้า เป็นต้น ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ผู้บริหารองค์กรมีกรอบในการตัดสินใจ และเลือกมาตรการควบคุมที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งองค์กรสามารถนำมาตรฐานของหน่วยงานที่น่าเชื่อถือมาประยุกต์ใช้หรือนำมาเปรียบเทียบกับการดำเนินการขององค์กรในปัจจุบัน เพื่อวางแผนการยกระดับต่อไป

2) ผู้บริหารระดับสูงควรสนับสนุนให้มีการกำกับดูแลความเสี่ยงทางไซเบอร์ และส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังภัย (Executive Play a Key Role in Governance and Fostering a Culture of Cybersecurity Vigilance) การบริหารจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ควรได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ในการกำกับดูแลนโยบาย แผนกลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้ รวมถึงการเน้นย้ำถึงความสำคัญและส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยการดำเนินการควรประกอบด้วยโปรแกรมที่สำคัญ ดังนี้ 1) แผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ 2) แผนกู้คืนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) แผนบริหารจัดการวิกฤตจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่ครอบคลุมทั้งวิธีการสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้องและการเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญ และ 4) การสร้างความตระหนักในภัยคุกคามทางไซเบอร์และการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย รวมถึงการซักซ้อมกระบวนการรับมือเหตุการณ์ เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตนมากยิ่งขึ้น

3) ผู้บริหารระดับสูงควรกำกับดูแลสถานะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างใกล้ชิด (Executive Oversee Cybersecurity Posture) ผู้บริหารระดับสูงควรเข้ามากำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างใกล้ชิด โดยการสอบทานรายงานการปฏิบัติ ซึ่งอาจครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น ความเสี่ยงที่สำคัญและแนวทางการบริหารจัดการ ภาพรวมของสถานะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และแผนกลยุทธ์เพื่อการยกระดับมาตรฐาน เป็นต้น

4) กำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามข้อบังคับทางกฎหมายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Maintain Compliance with Cybersecurity Laws and Regulations) องค์กรควรมีการกำกับดูแลและปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงติดตามการออกกฎหมายลูกฉบับใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด โดยองค์กรสามารถนำกฎหมายและข้อบังคับเหล่านี้มาใช้เป็นเกณฑ์ขั้นต้นในการปรับปรุงมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของตนเองได้

5) ให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สำคัญ (Implement Essential Cybersecurity Hygiene) การยกระดับองค์กรให้มีขีดความสามารถในการป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ดีนั้นต้องการทรัพยากรและความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องการเวลาสำหรับบางองค์กร ในขณะที่ความเสี่ยงทางไซเบอร์อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ อย่างน้อยองค์กรควรให้ความสำคัญกับเรื่องสำคัญพื้นฐาน เช่น การจัดการทะเบียนสินทรัพย์สารสนเทศที่ถูกต้องและครบถ้วน การพิสูจน์ตัวตนแบบหลายชั้น ความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล การอัปเดตระบบเพื่อปิดช่องโหว่ การจัดการข้อมูลบันทึกระบบ แผนการรับมือเหตุละเมิด การบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากผู้ให้บริการ เป็นต้น

การบริหารจัดการไซเบอร์ซิเคียวริตี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากหากมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์บริหารจัดการ และสามารถร้อยเรียงความเสี่ยงเข้ากับแผนงานและกลยุทธ์ขององค์กร ทำให้การยกระดับระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นไปอย่างเหมาะสม ส่งผลให้หน่วยงานภายในองค์กรสามารถดำเนินกิจกรรมตามแผนที่ได้วางไว้อย่างมั่นใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งภายในและภายนอกองค์กร” นายพลสุธี กล่าวปิดท้าย

cr: Bluebik Group

 บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำเจตนารมณ์ในการสร้างความตระหนักรู้และการเข้าถึงนวัตกรรมและบริการทางการแพทย์ เพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีของคนไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการเปิดตัวแคมเปญ “เตรียมภูมิคุ้มกันให้ทุกความพิเศษ” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการรับรู้ถึงความสำคัญของการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายในสถานการณ์ที่โควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง

ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือวิธีการอื่นๆ เช่น ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป หรือ LAAB (Long-acting Antibody) โดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในการดำเนินชีวิตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มากกว่าคนทั่วไป การได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปจะช่วยลดความเสี่ยงจากอาการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต พร้อมสร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วยสามารถออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แคมเปญเตรียมภูมิคุ้มกันให้ทุกความพิเศษ เป็นอีกหนึ่งโครงการที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าในการเดินหน้าดูแลสุขภาพของคนไทยทั้งในช่วงการแพร่ระบาดและหลังจากนี้ต่อไป แม้ว่าปัจจุบันจะมีการผ่อนคลายมาตรการการป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย แต่ประชาชนยังคงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ และเกิดการเจ็บป่วยจากโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เพียงพอ เราจึงอยากสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการเสริมภูมิคุ้มกัน รวมถึงภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป เพื่อช่วยให้ประชากรกลุ่มเสี่ยง รู้จัก เข้าใจและได้รับการปกป้องจากโรคระบาดนี้”

เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง แคมเปญดังกล่าวได้พาทุกคนไปรู้จักกับเรื่องราวที่สะท้อนถึงความสำคัญของภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 ผ่านการสื่อสารทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมเปิดตัวสองภาพยนตร์สั้นชุด “เตรียมภูมิคุ้มกันให้ทุกความพิเศษ” บอกเล่าเรื่องราวของ ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง และผู้ป่วยโรคไต ที่ไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตได้อย่างคนทั่วไป เพราะร่างกายอาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เพียงพอเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน จึงมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อและมีอาการรุนแรงจากโควิด-19 มากกว่าที่หลายคนคาดคิด ซึ่งนอกจากจะสร้างการตระหนักรู้ถึงผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงในสังคมแล้ว ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องยังได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยง และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ

เกี่ยวกับ LAAB (Long-acting Antibody)

LAAB (Long-acting Antibody) หรือ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป คือยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาวแบบผสม ปัจจุบันได้รับการอนุมัติแบบมีเงื่อนไขในประเทศไทยให้นำมาใช้สำหรับการฉีดป้องกันและรักษาโควิด-19 ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยใช้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และมีน้ำหนักตัวอย่างน้อย 40 กิโลกรัม โดย LAAB จะฉีดที่สะโพกเพื่อให้ร่างกายสามารถรับแล้วนำไปใช้ได้เลยภายใน 6 ชั่วโมง จึงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยงที่ตอบสนองต่อวัคซีนได้น้อยกว่าคนทั่วไป หรือไม่ตอบสนองต่อวัคซีน

กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางการใช้ LAAB เพื่อการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อในกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดหรือมะเร็งที่อวัยวะอื่นๆ ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิ รวมไปถึงผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มสุดท้ายเกิน 6 เดือน ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือ ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มสุดท้ายเกิน 6 เดือน เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายในการรับยา LAAB ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข สามารถแจ้งที่แพทย์ผู้ให้การรักษา เพื่อให้แพทย์ได้ประเมินและดำเนินการแจ้งความจำนงขอเข้ารับยาต่อไป

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ แอนติบอดีออกฤทธิ์ยาวแบบผสม และรับชมภาพยนตร์สั้นชุด “เตรียมภูมิคุ้มกันให้ทุกความพิเศษ” ฉบับเต็มได้ทาง https://bit.ly/3uQ7P0c

ภายใต้คำขวัญ “การศึกษาคือสุดยอดของขวัญแห่งชีวิต” หรือ “The Gift of Education Lasts a Lifetime” สิ่งดี ๆ เพื่อเยาวชนหญิงไทยที่ยังขาดโอกาสจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจากสมาคมสตรีอเมริกันแห่งประเทศไทย (American Women's Club of Thailand) ที่เป็นพันธมิตรกับมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ในการมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนหญิงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ยากจนต่อเนื่องติดต่อกันมาทุกปีตั้งแต่ปีการศึกษา 2555

ล่าสุด สมาคมสตรีอเมริกันแห่งประเทศไทยโดยนางเจนนิเฟอร์ สปาร์คส (แถวยืน-ที่ 4 จากซ้าย) ประธานคณะกรรมการด้านทุนการศึกษา และมูลนิธิ EDF โดยนางสาวศิริลักษณ์ อันตรเสน (แถวยืน-ที่ 3 จากขวา) ผู้จัดการโครงการทุนการศึกษา และนางสาวผกามาศ ทู้ไพเราะ (แถวยืน-ที่ 2 จากซ้าย) เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ถ่ายภาพร่วมกับอาสาสมัครสมาชิกสมาคมสตรีอเมริกันแห่งประเทศไทย คณะครู และตัวแทนนักเรียนในโอกาสจัดกิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษ (English camp) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนที่เข้าร่วมได้ฝึกฝนด้วยการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษจากหลากหลายกิจกรรมที่จัดขึ้นกับเจ้าของภาษาโดยตรง ณ โรงเรียนแตลศิริวิทยา จังหวัดสุรินทร์ สร้างความสนุกสนานแก่นักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นอย่างมาก

และในโอกาสไปจัดกิจกรรมครั้งนี้ สมาคมสตรีอเมริกันแห่งประเทศไทยและมูลนิธิ EDF ยังได้ร่วมพูดคุยกับนักเรียนทุนในการอุปการะของสมาคม ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเรียน โอกาสการศึกษาต่อและทำงานในอนาคต รวมทั้งไปเยี่ยมบ้านนักเรียนทุนและครอบครัวอีกด้วย

สำหรับมูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลลำดับที่ 255 ของประเทศไทยที่ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 และเริ่มมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนที่ขาดแคลนมาตั้งแต่ พ.ศ.2531 รวมถึงดำเนินโครงการซีเอสอาร์ พัฒนาโรงเรียนและชุมชนให้องค์กรที่สนใจ

หน่วยงานหรือผู้สนใจต้องการสนับสนุนทุนการศึกษาหรือทำกิจกรรมซีเอสอาร์ในโรงเรียนและชุมชนร่วมกับมูลนิธิ EDF สามารถติดต่อมูลนิธิได้ที่โทรศัพท์ 02 579 9209-11 (วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น.) ทาง LINE @edfthai อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือคลิกเว็บไซต์ www.edfthai.org ทุกการบริจาคหรือทำกิจกรรมผ่านมูลนิธิ EDF สามารถนำใบเสร็จรับเงินไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้ตามที่กฎหมายกำหนด

X

Right Click

No right click