

บทเรียนสำคัญที่เราได้รับในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็คือ อนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
เราได้เห็นหลายๆ องค์กรในภูมิภาคนี้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปภายหลังการแพร่ระบาด และสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่ผลมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก สำหรับปี 2566 องค์กรธุรกิจต่างๆ จะต้องตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของพนักงาน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดที่มุ่งเน้นดิจิทัลและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ธุรกิจและเทคโนโลยีที่สำคัญในปีใหม่นี้มีอะไรบ้าง และองค์กรธุรกิจต่างๆ จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร?
![]()
1. ธุรกิจจำเป็นต้องปรับปรุงเรื่องไซเบอร์ซีเคียวริตี้และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที เพื่อให้ทันกับแลนด์สเคปที่เปลี่ยนแปลงไป
การเชื่อมต่อระหว่างผู้คน อุปกรณ์ และข้อมูลมีการขยายตัวอยู่ตลอดเวลา โดยมีจุดเชื่อมต่อที่เปิดกว้าง รองรับการใช้งานร่วมกัน และเข้าถึงได้นับพันล้านจุด และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการทำงานแบบไฮบริดที่ใช้ระบบคลาวด์ “เครือข่าย” เปรียบเสมือนระบบประสาทที่ทำให้ทุกสิ่งสามารถทำงานร่วมกัน และแม้ว่าเครือข่ายจะรองรับความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความซับซ้อนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากองค์กรและผู้ใช้กระจัดกระจายมากขึ้น อีกทั้งยังมีความต้องการในการเข้าถึงแอปพลิเคชันได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครือข่าย เพื่อรองรับการเชื่อมต่ออย่างราบรื่น ควบคู่ไปกับการรักษาความปลอดภัย จากการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 7 ใน 10 คนในอาเซียนเชื่อว่าปัญหาการเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือข้อจำกัดที่สำคัญสำหรับบุคลากรที่ทำงานนอกสถานที่ อย่างไรก็ดี 27% ระบุว่าบริษัทของพวกเขายังคงต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่เหมาะสม ธุรกิจต่างๆ ยังต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้ทันสมัยโดยใช้เทคโนโลยี SD-WAN ซึ่งจะช่วยให้สามารถเชื่อมต่อผู้ใช้ อุปกรณ์ต่างๆ และอุปกรณ์ IoT เข้ากับระบบ แอป และข้อมูลได้อย่างปลอดภัย ด้วยการจัดการแบบรวมศูนย์และการบริหารนโยบายด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังต้องเปลี่ยนย้ายจากระบบรักษาความปลอดภัยแบบสแตนด์อโลน ไปสู่กลยุทธ์แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อที่มุ่งเน้นไปที่การตรวจจับ การตอบสนอง และการกู้คืน
![]()
2. ยุคใหม่ของเครือข่ายที่ “รองรับการคาดการณ์” ได้มาถึงแล้ว และจะเปลี่ยนความคล่องตัวของธุรกิจ
การแข่งขันในโลกดิจิทัลปัจจุบันมีความมุ่งหมายเดียว นั่นคือ อะไรก็ตามที่สามารถส่งมอบในรูปแบบดิจิทัลได้ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ แอปพลิเคชันเป็นเพียงประตูที่เปิดไปสู่โลกดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของขนาดและความซับซ้อน ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าตลาด Super App ในอาเซียนจะมีรายได้สูงถึง 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 25681 กุญแจสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีเยี่ยมก็คือ ความสามารถในการตรวจสอบทั่วทุกจุด ทั้งในส่วนของข้อมูล การโต้ตอบกับระบบ ความเชื่อมโยงระหว่างกัน และดัชนีชี้วัดทางธุรกิจที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เฟซดิจิทัล โดยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการในส่วนนี้ก็คือ เอนจิ้นเครือข่ายสำหรับการคาดการณ์ซึ่งทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลการตรวจวัดทางไกลจำนวนมาก และผสานรวมเข้ากับโมเดลต่างๆ เพื่อคาดการณ์ปัญหาเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เทคโนโลยีที่ว่านี้จะช่วยลดช่องว่างระหว่างทีมงานฝ่ายไอทีและฝ่ายธุรกิจ โดยผู้บริหารฝ่ายไอทีจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ล่วงหน้าก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นจริง ขณะที่ทีมงานฝ่ายธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่ความคล่องตัวและการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อให้โดนใจลูกค้า
![]()
3. Physical spaces หรือพื้นที่ทางกายภาพ เช่น ออฟฟิศ และสถานพยาบาล จะถูกพลิกโฉมเพื่อรองรับการทำงานแบบไฮบริดสำหรับทุกคน
ผลการสำรวจล่าสุดเปิดเผยว่า พนักงานที่ทำงานจากที่บ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในตอนนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า 98%2 ของการประชุมจะมีผู้เข้าร่วมผ่านรีโมทอย่างน้อยหนึ่งคน อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกมีห้องประชุมและห้องเรียนเพียง 6% เท่านั้นที่รองรับวิดีโอ และในปีใหม่นี้ การทำงานแบบไฮบริดจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ทำงานทางกายภาพ โดยองค์กรต่างๆ ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมจะต้องคิดใหม่ทำใหม่เกี่ยวกับพื้นที่ทำงานขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศหรือสถานพยาบาล เพื่อขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์แก่ทุกคน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นผ่านการทำงานร่วมกันที่ใกล้ชิดยิ่งระหว่างฝ่ายไอที ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และฝ่ายอาคารสถานที่ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การผสานรวมฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ระบบเสียงอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI/การตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ไปจนถึงการจัดเตรียมพื้นที่ทางกายภาพโดยใช้อุปกรณ์การประชุมทางวิดีโอที่เหมาะสม เพื่อรองรับการทำงานร่วมกันแบบไฮบริดที่ราบรื่นและปลอดภัย รวมถึงการปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับพนักงานและแนวทางปฏิบัติของบริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนจะได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมในระยะยาว ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานจากที่ใดก็ตาม
![]()
4. Private 5G พร้อมด้วย Wi-Fi6 จะปฏิวัตินวัตกรรมคลาวด์, เอดจ์ (Edge) และ IoT
เนื่องจากองค์กรธุรกิจจำนวนมากในเอเชีย-แปซิฟิกเริ่มตระหนักถึงประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีแห่งอนาคต เราจึงคาดการณ์ว่าจะมีการปรับใช้ 5G เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้รายได้รวมของ 5G ในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นจาก 2.13 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 เป็น 23.89 พันล้านดอลลาร์ในปี 25683 นอกจากนี้ การรวมกันของ Wi-Fi 6 และ 5G จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่สำคัญ และจะปูทางสู่อนาคตใหม่ของการเชื่อมต่อสำหรับเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยจะให้แบนด์วิธเพิ่มขึ้นสามเท่า และความเร็วเพิ่มขึ้นห้าเท่าเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5 เทคโนโลยีนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทในภาคอุตสาหกรรมเช่น ภาคการผลิต ซึ่งต้องการความสามารถทางวิศวกรรมที่มีความแม่นยำสูง เพื่อใช้แอปพลิเคชันใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ระบบโรงงานอัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติภายในกระบวนการต่างๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ พลังของเทคโนโลยีมาจากความสามารถในการตรวจสอบและจัดการทรัพย์สินหลายพันรายการ และความสามารถในการปรับขนาดจะช่วยรองรับการใช้งานหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในวงกว้าง รวมไปถึงยานยนต์ไร้คนขับ และด้วยเหตุนี้ เราจึงคาดการณ์ว่าบริษัทต่างๆ จะมองหาหนทางในการปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าว เมื่อมีการกำหนดคลื่นความถี่และจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
5. Purpose หรือจุดมุ่งหมายจะเชื่อมโยงทุกสิ่งที่ธุรกิจทำ ขณะที่ ESG จะเป็นวาระการประชุมของคณะกรรมการบริหาร
Purpose หรือจุดมุ่งหมาย จะมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นและมีความสำคัญอย่างมากต่อบริษัทต่างๆ ในปีใหม่นี้ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจ โดยจากผลการศึกษาของ Harvard Business Review พบว่ามากกว่า 50%ของบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมายมีการเติบโตทางธุรกิจ 10% เมื่อเทียบกับ 42% ของบริษัทที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย นอกจากนี้ ยังนับเป็นเรื่องดีสำหรับบุคลากร เพราะจากการศึกษาวิจัยพบว่า “จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน” คือกุญแจสำคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และสุดท้าย นับเป็นสิ่งที่ดีสำหรับโลกของเรา กล่าวคือ แทนที่จะเป็นแบบฝึกหัดที่กาเครื่องหมายในช่องตัวเลือก การวัดผลกระทบของการดำเนินงานตามจุดมุ่งหมายของแต่ละบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นเวทีกลางสำหรับการตัดสินใจขององค์กรมากขึ้น และเราจะเห็นองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อกำหนดกรอบการรายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงการกำหนดกฎระเบียบและเป้าหมายด้านความยั่งยืน
![]()
โดย: นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน, กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทยและพม่า
ไมโครซอฟท์และ LinkedIn ได้ร่วมกันเผยถึงก้าวต่อไปในโครงการ Skills for Jobs
โดยจะเปิดให้ผู้เรียนได้เข้าถึงหลักสูตรต่างๆ เพิ่มเติมอีกกว่า 350 คอร์สโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมด้วยประกาศนียบัตรระดับ “Career Essentials” หรือพื้นฐานอาชีพ ที่รับรองทักษะสำคัญใน 6 ตำแหน่งงานอันเป็นที่ต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลนี้ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์และ LinkedIn ยังพร้อมมอบสิทธิในการเป็นสมาชิก LinkedIn Premium รายปี รวมกว่า 50,000 ราย ให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าถึงความรู้และทักษะเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา เพื่อปูทางสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดในอาชีพการงาน
ภายใต้โครงการนี้ ไมโครซอฟท์มีเป้าหมายที่จะยกระดับทักษะเชิงดิจิทัลให้กว่า 10 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2025 โดยนับเป็นการต่อยอดจากโครงการ Global Skills Initiative (GSI) ที่ได้ช่วยให้ผู้คนกว่า 80 ล้านคนทั่วโลกได้เข้าถึงทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ทักษะเชิงดิจิทัล และปูทางไปสู่อาชีพการงานที่ดีกว่า ปัจจุบัน ไมโครซอฟท์ได้ให้การสนับสนุนกับผู้เรียนรวมกว่า 14 ล้านคนในทวีปเอเชีย ผ่านทางแพลตฟอร์มการเรียนรู้อย่าง LinkedIn และ Microsoft Learn โดยจากจำนวนนี้ คิดเป็นผู้เรียนชาวไทยรวมกว่า 534,000 ราย
สำหรับหลักสูตรและประกาศนียบัตรใหม่ทั้งหมดนี้ เป็นผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลจาก LinkedIn และสถาบัน Burning Glass Institute โดยไมโครซอฟท์นำรายการตำแหน่งงานที่เปิดรับบุคลากรมาประมวลผลเพื่อค้นหา 6 ตำแหน่งงานที่มีความต้องการสูงสุด ซึ่งได้แก่ พนักงานธุรการ (Administrative Professional), ผู้จัดการโครงการ (Project Manager), นักวิเคราะห์เชิงธุรกิจ (Business Analyst), ผู้ดูแลระบบไอที (Systems Administrator), นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) และนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) โดยสำหรับประเทศไทย จะมีการนำเสนอหลักสูตรเต็มรูปแบบภายใต้ชื่อ LinkedIn Learning Pathways สำหรับทักษะและสายงานต่างๆ ดังนี้: Critical Soft Skills, Project Manager, Digital Marketing Specialist, Financial Analyst, Data Analyst และ Sales Development Representative
ส่วนประกาศนียบัตรระดับ Career Essentials จะช่วยให้ผู้เรียนได้เดินหน้าต่อ จากการสร้างเสริมทักษะดิจิทัลในระดับพื้นฐาน สู่ทักษะเชิงเทคนิคที่ลงลึกยิ่งขึ้น และต่อยอดไปสู่ประกาศนียบัตรและการรับรองมาตรฐานความรู้อื่นๆ ที่ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสในการทำงานมากขึ้น เมื่อเรียนรู้จนสำเร็จหลักสูตรหนึ่งแล้ว ผู้เรียนจะได้รับตรารับรองจาก LinkedIn ซึ่งเป็นเครื่องหมายบ่งบอกให้องค์กรผู้ว่าจ้างเล็งเห็นถึงทักษะของผู้เรียน
การประกาศขยายโครงการในครั้งนี้จะช่วยสานต่อพันธกิจของไมโครซอฟท์ในการเปิดให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมมากขึ้น ผ่านทางทักษะ เทคโนโลยี และช่องทางในการมุ่งสู่ความสำเร็จ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังคงเคลื่อนเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยทุกหลักสูตรในโครงการนี้สามารถเรียนได้ผ่าน LinkedIn ที่เว็บไซต์ opportunity.linkedin.com นอกจากนี้ ผู้เรียนยังสามารถพบกับหลักสูตรเพิ่มเติมอื่นๆ จากไมโครซอฟท์ได้ทาง Microsoft Community Training (MCT) ขณะที่องค์กรไม่แสวงผลกำไรก็ยังสามารถดาวน์โหลดหลักสูตรไปปรับใช้กับระบบการเรียนการสอน (Learning Management Systems; LMS) ของตนเองได้อีกด้วย คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “ข้อมูลจาก สำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ระบุว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตด้วยอัตราระดับสองหลักในปี 25661 แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะไปในทิศทางใด ไมโครซอฟท์ก็มีความตั้งใจที่จะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนของประเทศไทยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในด้านเทคโนโลยี จากศักยภาพของนวัตกรรมระดับโลกที่มั่นใจได้ในความปลอดภัย ด้านความร่วมมือ กับเครือข่ายพันธมิตรในหลากหลายภาคส่วนที่ขับเคลื่อน Digital Transformation ไปด้วยกัน และในด้านบุคลากร กับเป้าหมายในการเสริมทักษะให้คนไทย 10 ล้านคน การประกาศหลักสูตรเพิ่มเติมจาก LinkedIn ในโอกาสนี้ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราอีกครั้ง ภายใต้เป้าหมายที่จะผลักดันให้คนไทย ธุรกิจไทย และเศรษฐกิจไทย ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงสู่ยุคแห่งการสร้างธุรกิจและนวตกรรมในประเทศที่ Born in Thailand อย่างเต็มตัว”
ผู้ที่สนใจเสริมสร้างทักษะเชิงดิจิทัลในประเทศไทย สามารถเรียนรู้จากหลักสูตรออนไลน์ของโครงการ รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ของพันธมิตรทั้งหมด ซึ่งให้บริการแก่ผู้เรียนภายในโครงการทั้งหมด รวมถึงบุคคลทั่วไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษาตลอดหลักสูตรจะได้รับใบรับรองประกาศนียบัตรอีกด้วย ทั้งนี้ แพลตฟอร์มออนไลน์ของพันธมิตร ประกอบด้วย · สถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล กระทรวงแรงงาน: ฝึกทักษะออนไลน์หมวดโปรแกรมคอมพิวเตอร์และทักษะดิจิทัล · สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน): https://e-training.tpqi.go.th/ · ยูเนสโก: https://lll-olc.net/th/ · สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa): www.digitalskill.org/
อรินแคร์ (ARINCARE) สตาร์ทอัพผู้ให้บริการแพลตฟอร์มร้านขายยาออนไลน์สำหรับเภสัชกรและร้านขายยา ประกาศปิดดีล Series B มูลค่า 4,000,000 ดอลล่าสหรัฐฯ เดินหน้ายกระดับและต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ไทย คว้ากลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เชื่อมต่อบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นหนึ่งเดียว และ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ร่วมผนึกกำลังลงทุนใน Health Tech แตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการครบวงจร ชี้ 2 ทุนช่วยเติมเต็มระบบนิเวศ อุดช่องโหว่การดูแลสุขภาพในระดับชุมชน เพิ่มโอกาสเข้าถึงยาและบริการดูแลสุขภาพ เผยปี 2565 เติบโต 100% เตรียมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งเป้า IPO ในปี 2569 ปัจจุบันมีร้านขายยาใช้บริการกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ ย้ำ ARINCARE มุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้แนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ หรือ ทำให้บริการดูแลสุขภาพมีราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน เสริมแกร่งให้เภสัชกรและร้านขายยาชุมชนที่เป็นด่านหน้าสามารถดูแลผู้ป่วยได้รวดเร็วในราคาที่ประหยัดกว่า ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่สังคมไทยที่ยั่งยืน
![]()
นายธีระ กนกกาญจนรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรินแคร์ จำกัด เผย การร่วมระดมทุนปิดดีล Series B ผนึกกำลังครั้งสำคัญจาก 2 พาร์ทเนอร์ใหญ่ ด้วยเงินทุนมูลค่า 4,000,000 ดอลล่าสหรัฐฯ โดยมีกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เป็นผู้ร่วมลงทุนหลัก รวมทั้งได้เงินทุนสนับสนุนจาก PTG ในครั้งนี้ นับเป็นแรงอัดฉีดเสริมแกร่ง เพิ่มแรงขับเคลื่อนสู่การเดินหน้ายกระดับและต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ไทยตามโรดแมปที่ตั้งไว้ โดยปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งโรคอุบัติใหม่ในยุคโควิด-19 การแพร่ระบาดของโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมและรับมือกับยุคการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทยในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญเรื่องการดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัวเพิ่มมากขึ้น บวกกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคดิจิทัล กระตุ้นการพัฒนาบริการแพลตฟอร์ม ARINCARE มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์และเกิดประโยชน์สำหรับร้านขายยาและเภสัชกร รวมถึงผู้บริโภคอย่างสูงสุด ทำให้ ARINCARE สามารถขยายตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ด้วยภาพรวมปี 2565 ที่ผ่านมา มีการเติบโตกว่า 100%
ทั้งนี้ จากภาพรวมปีที่ผ่านมาทำให้เห็นพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยวางกลยุทธ์ปี 2566 เดินหน้าขยายตลาดไปพร้อมกับความร่วมมือครั้งสำคัญกับกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) บนทิศทางการมุ่งสร้าง Healthcare ecosystem ที่สมบูรณ์ระหว่างโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพท้องถิ่น เชื่อมโยงไปถึงเภสัชกร
ในร้านยาชุมชนบนเครือข่าย ARINCARE มากกว่า 3,000 ราย เข้ากับทีมการแพทย์ของ CHG เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลสุขภาพคนในชุมชนได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ยังร่วมจับมือกับ MaxCard ของ PTG ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคคนไทยได้มากที่สุด เสริมแกร่งให้กับเภสัชกรและร้านยาชุมชนที่เป็น SME ท้องถิ่นให้เข้มแข็ง เพิ่มการดูแลและบริการด้านสุขภาพให้กับคนไทยผ่าน MaxCard พร้อมเดินเกมรุก เป้าหมายเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ IPO ในปี 2569
“ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านขายยากว่า 20,000 ร้านทั่วประเทศ โดย 80% เป็น SME และมีเพียง 20 % เป็นของแฟรนไชส์หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ ในปี 2562 มีมูลค่า 35,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% แต่มูลค่าตลาดที่เกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพเติบโตอย่างมากหลังการระบาดของโควิด-19 และเชื่อว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 13-17% ในปี 2565 มีมูลค่าราว 40,000 ล้านบาท เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ช่องว่างบริการสาธารณสุขไทยจึงเป็นโอกาสของธุรกิจ Health Tech ในประเทศไทย ประกอบกับระบบบริการสาธารณะสุขของรัฐฯ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ในขณะที่บริการสาธารณสุขของเอกชน คลินิก และโรงพยาบาลกระจุกตัวในเมืองหรือชุมชนขนาดใหญ่ และมาพร้อมค่าบริการที่สูง ร้านขายยาและเภสัชกรชุมชนคือประตูเปิดให้คนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ดีขึ้น และเมื่อเกิดการเชื่อมโยงระบบนิเวศเกี่ยวกับบริการสาธารณสุขบนแพลตฟอร์มก็จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขด้วยเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น” นายธีระกล่าว
การร่วมผนึกกำลังครั้งสำคัญนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวของการสร้างระบบนิเวศสาธารณสุขไทย เพราะนอกจากการปิดดีลด้านธุรกิจแล้ว ทุกฝ่ายยังมีเป้าหมายและความตั้งใจในทิศทางเดียวกัน โดยมุ่งมั่นสร้างโอกาสการมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีของคนไทย โดยยึดชุมชน ผู้บริโภค และผู้ป่วยเป็นจุดศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการดูแลรักษาครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกรอบแนวคิดของ ARINCARE ที่มุ่งมั่นพัฒนาบริการด้วยแนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ ให้ทุกคนในพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายในราคาที่สมเหตุสมผลมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งยกระดับ Supply Chain ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงระบบสาธารณสุข การดูแลรักษาสุขภาพ รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ และยารักษาในราคาที่ยุติธรรม นอกจากนี้ ยังมุ่งเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการเจ้าของร้านยา ทั้งร้านขายยาขนาดกลาง ถึงขนาดเล็ก ที่เป็น SME รวมทั้งเภสัชกร ได้มีเครื่องมือที่ช่วยบริหารธุรกิจและบริการผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงการทำงานด้านการดูแลผู้ป่วยระหว่างแพทย์ และเภสัชกร เพื่อยกระดับบริการสาธารณสุขประเทศ สอดรับกับเทรนด์ใหม่ในการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน และพร้อมรับมือกับการแข่งขันทางธุรกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว
![]()
นพ.กำพล พลัสสินทร์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) กล่าวว่า ด้วยแนวคิดและทิศทางธุรกิจของ ARINCARE ที่สอดรับกับวิสัยทัศน์ของทาง CHG ทำให้เล็งเห็นถึงโอกาสของการต่อยอดธุรกิจ ที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ในการร่วมสนับสนุนธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพให้เข้าถึงในระดับชุมชน ต่อยอดการเติบโตระบบนิเวศของ Health Tech ยกระดับปรับโครงสร้างระบบสาธารณสุข ให้มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เพื่อโอกาสการเข้าถึงในการดูแลผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) เข้าด้วยกัน ยกระดับบริการแบบไร้รอยต่อ สู่คุณภาพชีวิตที่ดี โดยการนำเทคโนโลยีที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ARINCARE โดยเฉพาะระบบ e-prescription ซึ่งเป็นการแชร์ข้อมูลของผู้ป่วยให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อการดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง โดยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยประมวลผลการวินิจฉัยให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยให้การดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถเข้าถึงการรักษาและรับยาได้สะดวกขึ้น ลดปัญหาการใช้ใบสั่งยาที่คลาดเคลื่อน ใบสั่งยาปลอม การแอบนำไปใช้ซ้ำ รวมถึงสามารถติดตามตรวจสอบผลการดูแลรักษาผู้ป่วย ดูประวัติใบสั่งยา ข้อมูลยาที่ผู้ป่วยได้รับใช้งานง่ายและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม
![]()
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เผยว่า การร่วมลงทุนกับ ARINCARE นับเป็นโอกาสดีในการร่วมต่อยอดและเติมเต็ม Health Tech Ecosystem ของไทย และหนึ่งในเป้าหมายของ PTG ในการร่วมลงทุนครั้งนี้ นับเป็นการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง โดยผ่าน MAX Ventures ผูกพันธมิตรทางธุรกิจ สร้างโอกาสเป็น New S-Curve รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งและต่อยอดธุรกิจในเครือข่ายของ PTG เพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนไทย ซึ่งจากภาพรวมตลาดในไทยหลายปีที่ผ่าน พบหนึ่งเทรนด์ธุรกิจที่มาแรงและเติบโตแบบก้าวกระโดด คือ Healthcare ปัจจุบันขึ้นแท่นอุตสาหกรรมอนาคตที่มีโอกาสสร้าง New S-curve ให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การแพทย์ เวชภัณฑ์ และยา ขณะเดียวกันพบพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เน้นให้ความสำคัญด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ในการมีสุขภาพดีที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล ทำให้ PTG มองเห็นโอกาสแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการ เสริมศักยภาพให้สถานี PT ทั่วประเทศ ที่จากเดิมมุ่งมั่นเป็นมากกว่าสถานีให้บริการน้ำมัน แต่คาดหวังเป็นสถานีบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการรอบด้าน ทั้งร้านค้า และร้านขายยาโดย NEXX Pharma ที่บริการทั้งจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ โดยเภสัชกรผู้มีประสบการณ์ วางแผนให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี การร่วมผนึกกำลังครั้งใหญ่ร่วมกับกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เชื่อมต่อบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นหนึ่งเดียว และกับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เพื่อแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการครบวงจรยิ่งขึ้นในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานของ ARINCARE
ภายใต้แนวคิด ‘Make Healthcare Affordable’ หรือ ทำให้บริการดูแลสุขภาพมีราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ให้เภสัชกรและร้านขายยาในชุมชนที่เป็นด่านหน้าสามารถดูแลผู้ป่วยได้รวดเร็วในราคาที่ประหยัดกว่า ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมไทยที่ยั่งยืน
ซัมซุงนำเสนอวิสัยทัศน์ของโลกซึ่งใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อยกระดับวิถีชีวิตของผู้บริโภค โดยมอบประสบการณ์ที่ฉลาดและเข้าใจง่ายกว่าที่เคย ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์โลกที่เชื่อมโยงกันและเอื้อต่อการควบคุมของผู้บริโภคบนโลกมากขึ้น
โดยซัมซุงและพันธมิตรทางธุรกิจรายสำคัญได้ขึ้นกล่าวร่วมกันในงานแถลงข่าวของซัมซุง ในงาน CES 2023 เพื่อนำเสนอการบริการและทิศทางต่างๆ ของซัมซุงและพันธมิตร ในการร่วมกันสร้างโลกที่เชื่อมโยงกันได้ดีกว่าเดิมและมีส่วนร่วมต่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่าที่เคย
![]()
นายจอง ฮี ฮาน, Vice Chairman, CEO and Head of the DX (Device eXperience) Division ของซัมซุงขึ้นกล่าวเปิดงานแถลงข่าวในงานนี้ โดยเน้นถึงกลยุทธ์ของซัมซุงที่ตั้งใจจะส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตบนโลกที่ทุกๆ อุปกรณ์ในพื้นที่หรือจุดสำคัญที่มีความจำเป็นกับผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น บ้าน รถ และสถานที่ทำงาน ซึ่งจะดำเนินไปพร้อมกับการมีส่วนร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิม ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของซัมซุงที่จะมอบพลังการควบคุมให้กับผู้บริโภคบนโลกสามารถใช้ทุกอุปกรณ์เชื่อมโยงกัน สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีกว่า เข้าถึงผู้บริโภคแต่ละคนได้มากกว่าและใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม โดยซัมซุงจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาให้อุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ พร้อมกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้การใช้งานเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมีความยั่งยืนมากขึ้น
นายจองกล่าวเพิ่มเติมว่า “ซัมซุงทราบดีว่าวิสัยทัศน์ของเราเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ และการเข้าใจความต้องการหรือความปรารถนาของผู้บริโภคในอนาคต ซัมซุงต้องใช้เวลารวมไปถึงความร่วมมือกับพันธมิตรของเราทั่วโลกเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์”

ซัมซุงผสานความยั่งยืนในทุกระดับ
ซัมซุงให้ความสำคัญสูงสุดกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดรับกับความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญ โดยผสานเป้าหมายต่างๆ ด้านความยั่งยืน การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ล้ำหน้า และความร่วมมือเชิงกลยุทธเข้าด้วยกัน ตามแนวทางนี้ ทุกกลุ่มธุรกิจของซัมซุงจะใช้พลังงานไฟฟ้าในอัตราเท่ากับไฟฟ้าที่กำเนิดจากแหล่งพลังงานทดแทน รวมทั้งมีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยในอนาคตอันใกล้ แผนก DX จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานที่กำเนิดจากแหล่งพลังงานทดแทนทั้งหมดภายในปี 2027 รวมถึงการให้การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2030
เพื่อขยายขอบเขตของเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน ซัมซุงยังนำเสนอคุณสมบัติต่างๆ ด้านความยั่งยืนในผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้รับความนิยมของบริษัทฯ ภายในโครงการ “ความยั่งยืนในทุกวัน -Everyday Sustainability” อันจะช่วยให้ซัมซุงมีส่วนร่วมต่อการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้ยังสรรสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนมากขึ้นโดยใช้วัสดุที่ใช้พลังงานน้อยลงรวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการประหยัดพลังงาน
“ความยั่งยืนที่ซัมซุงนำเสนอผ่านประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ของซัมซุงนั้นส่งผลให้เราและผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของเราทั่วโลกมีส่วนร่วมต่อการสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม” นาวสาวอิน ฮี ชุง รองประธาน Corporate Sustainability Center ของซัมซุงกล่าว “ขณะนี้ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของซัมซุงจำนวนหนึ่ง ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนสูงที่สุดของเรา”
ซัมซุงยังประกาศว่าทีวีและสมาร์ทโฟนหลายรุ่น มีการใช้วัสดุรีไซเคิลในหลายจุด เช่น การใช้พลาสติกรีไซเคิลจากตาข่ายดักปลาที่เสื่อมสภาพแล้ว ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน หน่วยความจำ และชิปเซตสำหรับการรับสัญญาณ 5G ยังช่วยประหยัดพลังงานให้กับผู้ใช้มากยิ่งขึ้น และบริการเครือข่ายต่างๆ เช่น SmartThings Energy และ AI Energy Mode ยังช่วยให้ผู้บริโภคลดต้นทุนด้านพลังงานไปพร้อมกับการลดผลกระทบต่อสภาวะอากาศ
ซัมซุงและพาทาโกเนีย ผู้นำของโลกด้านเครื่องแต่งกายสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง ยังขึ้นกล่าวบนเวทีพร้อมกันเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกันเพื่อลดปัญหาไมโครพลาสติก หรือพลาสติกขนาดเล็กที่มักพบในเสื้อผ้า และจะไหลลงสู่แหล่งน้ำผ่านกระบวนการซักรีด นายวินเซนต์ สแตนลีย์ ผู้อำนวยการด้านปรัชญาองค์กร (Director of Philosophy) ของพาทาโกเนีย กล่าวเกี่ยวกับแนวทางที่ทั้งสองบริษัทร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการซักผ้าชื่อ “เลส ไมโครไฟเบอร์ ไซเคิล (Less Microfiber Cycle1) ซึ่งมีให้ใช้งานแล้วในเครื่องซักผ้าของซัมซุง มีคุณสมบัติช่วยลดการปล่อยไมโครพลาสติกลงสู่แหล่งน้ำในกระบวนการซักรีดได้มากถึงร้อยละ 542 ซัมซุงและพาทาโกเนียยยังร่วมกันพัฒนาตัวกรอง เลส ไมโครไฟเบอร์ ฟิลเตอร์ (Less Microfiber Filter3) ซึ่งสามารถช่วยกรองไมโครพลาสติก ลดการปล่อยไมโครพลาสติกลงสู่แหล่งน้ำเมื่อสิ้นสุดการซักผ้าได้
นายเจมส์ ควอน หัวหน้าผ่ายผลิตภัณฑ์, ENERGY STAR for Consumer Electronics at the U.S. Environmental Protection Agency (EPA) สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ ยังประกาศว่า แพลตฟอร์ม SmartThings ที่ใช้เชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านเข้าด้วยกันนั้นเป็นแพลตฟอร์ม Smart Home สำหรับผู้บริโภคแพลตฟอร์มแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านพลังงาน ENERGY STAR SHEMS นอกจากนี้ ซัมซุงยังสานความร่วมมือด้านความยั่งยืนกับหลายภาคส่วน ทั้งการเข้าร่วมพันธมิตรคาร์บอนทรัสต์ และร่วมกับผู้นำทางเทคโนโลยีอีกหลายรายเพื่อพัฒนามาตรฐานกลางให้เป็นมาตรฐานแรกเริ่มของอุตสาหกรรมเพื่อวัด คำนวณค่า และอัตราการลดการปล่อยคาร์บอนจากอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ที่ผู้บริโภคในครัวเรือนใช้
บ้านที่เชื่อมโยง ชีวิตที่เชื่อมต่อ เพิ่มความสะดวกให้ชีวืตมากขึ้น
ซัมซุงยังกล่าวถึงรายละเอียดของแผนการที่จะมอบประสบการณ์การเชื่อมโยงทุกอุปกรณ์อย่างสมบูรณ์แบบทั้งในวันนี้และในอนาคต โดย นางสาว แจ ยอน จุง Executive Vice President and Head of SmartThings นำเสนอความสะดวกสบายที่ผู้บริโภคจะได้รับผ่านประสบการณ์การเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงคุณสมบัติอย่าง SmartThings Home Monitorและ SmartThings Pet Care อันเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและแบ่งปันการแจ้งเตือนต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งผิดปกติทั้งต่อผู้อาศัยในบ้านและสัตว์เลี้ยง คุณสมบัติต่างๆ ที่สามารถสั่งการได้จากสมาร์ททีวีของซัมซุง ซัมซุงและ SmartThings จะช่วยมอบประสบการณ์บ้านที่อัจฉริยะมากขึ้นให้กับผู้บริโภค
หัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบ้านที่อัจฉริยะมากขึ้นนั้น ก็คือความยืดหยุ่นในการใช้งานผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ที่มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ซัมซุงหรืออุปกรณ์ที่ผลิตโดยพันธมิตรในอุตสาหกรรม ในขณะนี้ ผู้ผลิตต่างๆ ต่างมุ่งมั่นจะใช้มาตรฐานแมตเทอร์เป็นมาตรฐานกลางเพื่อความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ Smart Home ซึ่ง ซัมซุงได้ยึดมั่นแนวทางดังกล่าว โดย SmartThings ถือเป็นแพลตฟอร์มแรกๆ ที่รองรับมาตรฐานแมตเทอร์ และซัมซุงยังเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง กลุ่มพันธมิตรมาตรฐานการเชื่อมโยงอุปกรณ์ในบ้าน (HCA)
นอกจากนี้ ซัมซุงยังภูมิใจเสนอ SmartThings Station นวัตกรรม Smart Home ล่าสุดและเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของบริษัทที่รองรับมาตรฐานแมตเทอร์มาตั้งแต่ต้น SmartThings Station เป็นอุปกรณ์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้เริ่มต้นการใช้งาน SmartThings ที่บ้าน และช่วยให้มีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันได้ โดย SmartThings Station จะช่วยเปลี่ยนที่ประจุไฟแบบไร้สายของซัมซุงให้เป็น Smart Home Hub เรียกใช้คุณสมบัติต่างๆ เพื่อความสะดวกในบ้านได้เพียงแค่กดปุ่ม4
ความร่วมมือใหม่ๆ ยังเป็นหัวใจที่สำคัญของการสร้างประสบการณ์ Smart Home ที่ดียิ่งขึ้น ซัมซุงได้ขยายความร่วมมือกับ Philips Hue โดย นายแจสเปอร์ เวอร์วูต รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป Philips Hue กล่าวถึงวิธีการใหม่จะเชื่อมเนื้อหาต่างๆ จากสมาร์ททีวีของซัมซุงให้เข้ากับระบบไฟของ Philips Hue โดยใช้แอปที่ชื่อ Philips Hue Sync TV โดยสามารถดาวน์โหลดแอปนี้ได้จากสโตร์ในทีวีของซัมซุง และนี่เป็นโซลูชั่นแรกสำหรับการเชื่อมแสงไฟและเนื้อหาในทีวีของซัมซุงโดยไม่จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์อื่น
เมื่อมีอุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้นยิ่งกว่าที่เคย ซัมซุงจึงนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว อันจะเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างอีโคซิสเต็มของอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน ซัมซุงใช้โอกาสนี้ยกระดับประสบการณ์ด้านความปลอดภัยไปอีกขั้นด้วยโซลูชั่น Samsung Knox Matrix ที่พร้อมจะให้บริการในอนาคตอันใกล้ โซลูชั่นนี้จะช่วยเชื่อมต่อความปลอดภัยระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย ปกป้องข้อมูลที่สำคัญด้วยระบบตรวจสอบร่วมกันหลายชั้น ที่จะทำงานอยู่บนรากฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชนส่วนตัว

ผู้บริโภคยังสามารถสัมผัสประสบการณ์การเชื่อมโยงนี้แม้ขณะเดินทาง โดย นายมาร์คุส ฟัตเทอร์ลีบ จาก Harman ได้ใช้โอกาสนี้นำเสนอแผนความร่วมมือระหว่างระหว่างซัมซุงกับ Harman เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ระบบต่างๆ ในห้องโดยสารรถยนต์ที่อัจฉริยะและสะดวกแบบเฉพาะบุคคล แกนหลักของแนวคิดนี้คือเทคโนโลยี Harman Ready Care ซึ่งใช้อัลกอรึธึมของการเรียนรู้เพื่อรวบรวมและประมวลผลข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ ของรถเพื่อวัดระดับความง่วงและการสูญเสียสมาธิ ก่อนจะดำเนินการต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างสุขภาวะที่ดีขณะขับรถ
วิสัยทัศน์เพื่ออนาคต
ซัมซุงยังนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยียุคใหม่ที่อาศัยการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ล่าสุด อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรอบทิศ (Spatial AI) เช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่นJet Bot AI+ นั้นถือเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาประสบการณ์อัจฉริยะในบ้านที่ละเอียดถึงระดับมิติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
ซัมซุงยังเปิดตัวโหมดใหม่ของทีวีที่เรียกว่า “รีลูมิโน่โหมด (Relumino Mode) ซึ่งซัมซุงจะนำมาใช้ในทีวีกลุ่ม NEO QLED 8K และ 4K บางรุ่นที่จะออกจำหน่ายในปี 2023 นี้ เพื่อประสบการณ์ในการรับชมเนื้อหาต่างๆ ให้กับผู้ที่มีความบกพร่องด้านการมองเห็น
รีลูมิโน่โหมดจะช่วยเน้นเค้าโครง ยกระดับความต่างของแสงและสีสัน ให้เนื้อหาที่รับชมดูคมชัดและรับชมได้โดยง่ายขึ้น5 นอกจากนี้ ซัมซุงยังนำเสนอแว่นรีลูมิโน่ ซึ่งเคยเปิดตัวในงาน CES 2018 ในฐานะโครงการริเริ่มของ C-Lab รวมไปถึงแอปพลิเคชันของแว่นสำหรับอุปกรณ์มือถือที่เมื่อทำงานร่วมกันแล้วจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การรับชมบนหน้าจอทุกแบบให้สนุกและเป็นแบบเฉพาะตัวมากขึ้น

นอกจากนี้ ในงาน CES 2023 ซัมซุงยังได้จัด Samsung VD First Look เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ Odyssey, ViewFinity และ Smart Monitor เพื่อจุดประกายเทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต รวมไปถึงก้าวสู่ยุคใหม่ของหน้าจอที่มีประสิทธิภาพอันทรงพลัง และการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของ Neo QLED, MICRO LED และ Samsung OLED อีกทั้งยังมีงาน Samsung DA Bespoke Home Private Showcase เปิดตัว Bespoke Infinite Line ตู้เย็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่ผสมผสานดีไซน์เหนือกาลเวลาเข้ากับประสิทธิภาพขั้นสูงสุด อีกทั้งยังเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ Bespoke ใหม่เพิ่มประสบการณ์ในห้องครัวที่เชื่อมต่อและปรับแต่งได้ตามสไตล์เฉพาะบุคคล รวมถึง SmartThings แอปพลิเคชั่นอัจฉริยะอีกด้วย
“PointX” (พอยท์เอกซ์) แพลตฟอร์มที่รวมทุกคะแนนสะสมไว้ในที่เดียว เปลี่ยนประสบการณ์การใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัดให้สามารถใช้พอยท์ได้เหมือนเงินสด พัฒนาโดย “เอสซีบี เทคเอกซ์” (SCB TechX) บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) เริ่มต้นปีใหม่กับโลกใหม่ของการใช้พอยท์ ให้คุณสนุกกับการใช้พอยท์แทนเงินสดได้ทุกที่ ส่งแคมเปญ “แจกพอยท์รัวๆ” สำหรับลูกค้าใหม่ที่ถือบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ และบัตรเครดิตคาร์ดเอกซ์ ทุกประเภท (ยกเว้นบัตร CardX Family Plus และบัตรเครดิต SCB M) รับสิทธิพิเศษสุดคุ้ม เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน PointX และทำการโอนคะแนนจากบัตรเครดิตที่เข้าร่วมรายการมาเป็นคะแนน PointX รับพอยท์เพิ่มสูงสุด 20,000 PointX ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 – 31 มกราคม 2566 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center 02-777-7777 หรือเว็บไซต์ https://www.pointx.scb/topup-get-rewards-jan2023
รายละเอียดการโอนคะแนนจากบัตรเครดิต SCB | CardX มาเป็นคะแนน PointX
· โอน 2,000-3,999 คะแนน รับเพิ่ม 400 PointX
· โอน 4,000-5,999 คะแนน รับเพิ่ม 1,000 PointX
· โอน 6,000-9,999 คะแนน รับเพิ่ม 1,800 PointX
· โอน 10,000-49,999 คะแนน รับเพิ่ม 4,000 PointX
· โอน 50,000 คะแนนขึ้นไป รับเพิ่ม 20,000 PointX
สำหรับผู้ที่สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “PointX” โลกใหม่ของการใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัด สามารถดาวน์โหลดได้ที่ · ลิงก์สำหรับดาวน์โหลด https://www.pointx.scb/get/
· QR Code สำหรับดาวน์โหลด
![]()
· รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.pointx.scb/
#PointX #โลกใหม่ของการใช้พอยท์ #ใช้พอยท์เอกซ์แทนเงินสด
ธุรกิจห้าดาว (Five Star) เปิดร้าน 'ข้าวมันไก่ไห่หนาน' (Hainanese Chicken Rice) ในทำเลสุดฮอต สาขาศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศูนย์กลางแห่งงานประชุมระดับโลก รังสรรค์เมนูหลากหลายด้วยวัตถุดิบระดับพรีเมียม 'ไก่เบญจา' สุดยอดนวัตกรรมอาหารที่เลี้ยงด้วยข้าวกล้อง แก่ผู้คนทั่วทุกมุมโลกที่มาเยือน โดยมี นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจห้าดาว และนายณัฐยุทธ รามสูตร ผู้อำนวยการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ตัวแทนศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ร่วมแสดงความยินดีกับ นางพรพิมล-นายอัครวุฒิ อัคราเดชาวุฒิ เจ้าของร้าน
นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กล่าวว่า ร้านข้าวมันไก่ไห่หนาน แฟรนไชส์เกรดพรีเมียม นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามองและน่าลงทุน มีเมนูมากมายให้ลิ้มลอง อาทิ ข้าวมันไก่เบญจาต้ม ข้าวมันไก่ทอดคลาสสิค ข้าวมันไก่ย่างต้นตำรับ ข้าวยำไก่แซ่บ และเมนูติ่มซำ ให้คำปรึกษาโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านแฟรนไชส์ร้านอาหาร ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบอย่างใส่ใจและพิถีพิถัน การสรรหาทำเลที่เหมาะสม เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายและฐานลูกค้า และสร้างมาตรฐานความอร่อยให้ร้านแฟรนไชส์ทุกสาขา เป็นการส่งต่ออาหารคุณภาพพรีเมียมแก่ผู้บริโภคทุกวัย ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากนี้ยังตกแต่งร้านให้เป็นเอกลักษณ์ด้วยสไตล์จีนโมเดิร์น ฉีกกรอบร้านข้าวมันไก่รูปแบบเดิม
สำหรับ 'ไก่' ที่นำมาเป็นวัตถุดิบหลักของร้าน 'ข้าวมันไก่ไห่หนาน' มาจาก 'ไก่เบญจา' ซึ่งเป็นวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศ คัดเลือกสายพันธุ์พิเศษภายในโรงเรือนระบบปิดด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดกระบวนการผลิต และเป็นเจ้าแรกในไทยที่เลี้ยงด้วย Super Foods ทั้งข้าวกล้อง อุดมไปด้วยสารกาบา (GABA) สารต้านอนุมูลอิสระ และ Flaxseed ทำให้เนื้อไก่เบญจา หอม นุ่ม ฉ่ำกว่าเนื้อไก่ปกติ 55 เท่า มีโอเมก้า 3 ปริมาณสูงและโปรตีนชั้นดี ปลอดสาร ปลอดภัย ไม่ใช้ฮอร์โมน ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ 100% การันตีคุณภาพและความปลอดภัย ด้วยรางวัลด้านรสชาติอาหารระดับโลก หรือ Superior Taste Award 2022 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
ใครที่สนใจไปลิ้มลองความอร่อยของ 'ข้าวมันไก่ไห่หนาน' ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ! ซื้อชุดไก่พร้อมข้าวมัน เพียง 129 บาท ฟรี! น้ำเก็กฮวยน้าเน็ค 1 ขวด พร้อมเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-20.00 น. ที่ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (สำหรับผู้ที่เดินทางมาด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ลงสถานีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เดินตรงจากทางเชื่อมมาที่บริเวณ Flagship Store) ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของธุรกิจสามารถติดต่อ ขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/Hainanesechickenriceth ./
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยกโมเดลความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และ พลังงาน ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เยาวชน ควบคู่กับการนำแนวทาง BCG Economy ประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา ส่งเสริมให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้ทฤษฎีและฝึกปฏิบัติจริง
นายจารุบุตร เกิดอุดม รองกรรมการผู้จัดการ สำนักความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน (SHE&En) ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจและมีส่วนร่วมดูแลสังคมและชุมชนในทุกมิติ รวมไปถึงให้ความสำคัญกับเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ ด้วยการนำแนวทางการปฏิบัติจริงในโรงงานและเกิดผลสำเร็จ ถ่ายทอดความรู้สู่สถานศึกษาและเยาวชน อาทิ การนำความรู้ในเรื่องของความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะและสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของเยาวชนในกิจกรรม "CPF SHE&En Active Learning" ที่มีการดำเนินการในโรงเรียนใกล้สถานประกอบการ เนื่องจากบริษัทฯคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กและบุคลากรทางการศึกษา เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ โดยล่าสุด มีการส่งมอบโครงการให้โรงเรียนที่มีการดำเนินโครงการได้สำเร็จ 100% ได้แก่ โรงเรียนบ้านมะขามเฒ่า (เปรมประชารัฐวิทยา) อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้สถานประกอบการ และเป็นโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ภายใต้การดูแลของซีพีเอฟ
"ซีพีเอฟ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความรู้ไปยังเยาวชนในโรงเรียนต่างๆ ผ่านกิจกรรมด้านความปลอดภัยฯ เพื่อร่วมพัฒนาโรงเรียนเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยต่อเด็กๆ และบุคลากรทางการศึกษา ด้วยการให้ความรู้กับเยาวชนในการรับมือกับอันตรายใกล้ตัว ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติ ทั้งการปฐมพยาบาลเพื่อการฟื้นคืนชีพ หรือ CPR การอบรมดับเพลิงขั้นต้น ซึ่งดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และการฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ ซี่งมีการดำเนินการกับนักเรียนและบุคลากรทั้งโรงเรียนรวม 150 คน นอกจากนี้ ทีมงานด้าน SHE&En ของซีพีเอฟ ยังได้ปรับปรุงระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหมั และสายต่อลงดิน เพื่อป้องกันไฟฟ้าดูด เพื่อให้ทุกคนในโรงเรียนมีความปลอดภัยมากขึ้นทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ปรับปรุงเครื่องกรองน้ำดื่ม ทำให้มีน้ำดื่มที่สะอาด ถูกสุขอนามัย ควบคู่กับการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการนำแนวทาง BCG มาใช้ในการการบริหารจัดการขยะในโรงเรียน ต่อยอดสู่ครอบครัว ทั้งฝึกอบรมแยกขยะ จัดให้มีถังแยกประเภท การนำขยะมาใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่า เป็นต้น " นายจารุบุตร กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนทีได้รับการถ่ายทอดความรู้จากซีพีเอฟ ด้านความปลอดภัยและแนวทาง BCG ไปใช้ จนเกิดผลสำเร็จ อาทิ โครงการ SAFETY SCHOOL ของสายธุรกิจอาหารสัตว์บก โดย โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้รับรางวัลโครงการซีพีเพื่อความยั่งยืน ประจำปี 2565 จากการเดินหน้าให้ความรู้ด้าน SHE&En แก่โรงเรียนชุมชนบ้านน้ำน้อย อย่างต่อเนื่องมานานกว่า 5 ปี จนกลายเป็นหนึ่งในหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ด้วยการเรียนรู้ความปลอดภัย ทั้งการดับเพลิงขั้นต้นและอพยพหนีไฟ กิจกรรมขับขี่ปลอดภัยมีวินัยจราจร การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เรียนรู้พิษภัยของยาเสพติด ถ่ายทอดความรู้กิจกรรม 5 ส. การจัดการขยะ และการอนุรักษ์พลังงาน ทำให้เยาวชนรู้จักจุดเสี่ยงและสามารถค้นหาจุดเสี่ยง ที่ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุและอัคคีภัยในโรงเรียน ส่งผลให้ไม่มีการบาดเจ็บและสูญเสียทรัพย์สิน หรืออุบัติเหตุเป็นศูนย์
จากความรู้เรื่องความเสี่ยงที่นักเรียนได้รับจากทีมงานของซีพีเอฟและวิทยากรจากภาครัฐและภาคเอกชน เป็นการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีแก่เยาวชนในการสร้างสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา และโรงเรียนยังผ่านการรับรองสถานศึกษาปลอดภัยระดับประเทศ4ปีต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาสู่โรงเรียนต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัยฯ ระดับประเทศได้อย่างน่าภูมิใจ และบริษัทได้ต่อยอดการจัดอบรมแก่โรงเรียนท่าจีนอุดมวิทยา รวมทั้งมีแนวทางขยายโครงการนำหลักสูตรและระบบการบริหารจัดการ ไปขยายผลในโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงและต่างจังหวัด โดยปี 2566 จะดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรด้วยการใช้สื่อ VDO ในการเรียนการสอน ให้โรงเรียนมีหลักสูตรด้านความปลอดภัยเป็นคู่มือการศึกษา พร้อมมอบหลักสูตรให้ สพฐ. หรือกระทรวงศึกษาธิการต่อไป
นอกจากนี้ โครงการ SAFETY SCHOOL สร้างความปลอดภัยให้กับโรงเรียนในชุมชน โดย ศูนย์ปรับปรุงพันธุกรรมกุ้งปะทิว จ. ชุมพร เป็นอีกหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนให้ศูนย์ฯ ได้รับรางวัลสถานประกอบการต้นแบบดีเด่นประจำปี 2565 เป็นปีที่15 เข้าร่วมให้ความรู้และสนับสนุนกิจกรรมวันชมรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ด้วยกิจกรรมอบรมความปลอดภัยแก่นักเรียนและครู โรงเรียนวัดดอนทรายแก้ว อ.เมือง จ.ชุมพร และโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ใน อ.ปะทิว จ.ชุมพร เพื่อปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยฯสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในกรณีพบเห็นหรือสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ผ่านการอบรมดับเพลิงขั้นต้นและอพยพหนีไฟ อบรมความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้าและการฟื้นคืนชีพพื้นฐาน (CPR) โดยพนักงานซีพีเอฟและหน่วยงานราชการ ควบคู่กับกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การจัดการขยะ และการเก็บขยะชายหาด./
เข้าสู่ช่วงแห่งการเฉลิมฉลองหลายคนเริ่มมองหาของขวัญเพื่อมอบให้กับคนที่รัก แต่นอกเหนือจากสิ่งของแล้วการมอบของขวัญทางใจก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะรู้กันดีอยู่แล้วว่าจิตใจมีความสำคัญพอๆ กับร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รักในวัยเกษียณหรือผู้สูงวัยในครอบครัวยิ่งต้องการความรักจากครอบครัวเพื่อสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายและจิตใจเป็นพิเศษ GEN HEALTHY LIFE ได้รวบรวม 6 วิธีการออกกำลัง “ใจ” ให้แข็งแรงสำหรับผู้สูงวัยที่คุณรัก
เมื่ออายุมากขึ้น เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสมอง เป็นเรื่องปกติของอายุที่มากขึ้น ทว่าวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่ามีทางเลือกในการดำเนินชีวิตมากมายที่สามารถทำได้ทุกวันและตลอดชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยในยามที่คุณแก่ตัวลง ดังนั้นนอกเหนือจากการสร้างร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และรับประทานอาหารที่สมดุลแล้วนั้น การฝึกสมองก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน เพราะสมองก็สามารถอ่อนแรงลงได้หากไม่มีการกระตุ้น ซึ่งจากการศึกษาวิจัย พบว่า การทำให้สมองทำงานอยู่ตลอดผ่านการ “ออกกำลังใจ” จะช่วยเลี่ยงกับภาวะความรู้คิดบกพร่องได้
เริ่มจาก “เกมลับสมอง” ลองหาเวลาว่างหยิบเกมสนุก ๆ ท้าทายความคิด บังคับให้อยู่นิ่ง และมีสมาธิ อย่าง ตัวต่อจิ๊กซอว์ เกมไพ่ เกมปริศนาตัวเลข หรือเกมคำศัพท์ มาเล่นกับผู้สูงวัย เพียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง นอกจากความสนุก ความสัมพันธ์ในครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้สมองของผู้สูงวัยไม่หยุดพัฒนาอีกด้วย ต่อมาคือ
“เรียนรู้ทักษะใหม่” การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น เครื่องดนตรี ภาษา หรือศิลปะสร้างสรรค์ สามารถช่วยให้รู้สึกมีความสุขและสุขภาพดีขึ้นได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการกระตุ้นจิตใจด้วย นอกจากนี้ยังอาจพัฒนาความจำได้เช่นกัน จากการศึกษาหนึ่ง พบว่าผู้สูงวัยที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมท้าทายใหม่ ๆ เช่น เรียนรู้การถ่ายภาพดิจิทัล การทำงานเย็บปัก สามารถช่วยทำให้มีความจำที่ดีขึ้น
“ใช้แอปพลิเคชันฝึกสมอง” เป็นอีกหนึ่งวิธีออกกำลังใจเพื่อฝึกสมองที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้ผู้สูงวัยเข้าถึงกิจกรรมสนุก ๆ มากมายได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น เกมที่มีแบบฝึกหัดประจำวันท้าทายทักษะทางคณิตศาสตร์ ภาษา และความจำ การออกกำลังใจวิธีถัดมาคือ “ทดสอบความจำ” เมื่อจะออกไปไหน ลองแจ้งให้ผู้สูงวัยลองจำเส้นทาง อาจเริ่มจากเส้นทางใกล้ ๆ และพัฒนาเป็นเส้นทางที่ไกลออกไป หรือลองเล่นเกมฝึกความจำ เช่น รวบรวมเซ็ตสิ่งของและพยายามจำสิ่งเหล่านั้นให้ได้ จากนั้นก็ทดสอบด้วยการเขียนสิ่งที่จำได้ลงไปในกระดาษ
“การทำสมาธิ” เป็นวิธีที่ผู้สูงวัยหลายคนชื่นชอบ การทำให้ใจสงบนิ่งเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการความเครียดได้เป็นอย่างดี ส่งผลต่อการพักผ่อนที่เพียงพอ โดยอาจทำการนั่งสมาธิวันละ 5 นาทีในทุก ๆ เช้าก่อนจะเริ่มต้นทำกิจกรรม และอีก 5 นาทีก่อนเข้านอน สุดท้ายคือ
“การเข้าสังคม” การออกไปข้างนอกเพื่อพบปะเพื่อนฝูงและครอบครัวสามารถช่วยเพิ่มความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมได้ โดยจากการวิจัยแนะนำว่าวิธีนี้สามารถเพิ่มความรู้ความเข้าใจได้อีกด้วย ควรให้ผู้สูงวัยเข้าสังคมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการไปทานอาหาร ดื่มกาแฟ ออกกำลัง เล่นเกม หรือการสนทนากับเพื่อน ๆ ก็ล้วนเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้จิตใจของคุณจดจ่ออยู่กับที่
ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็ถือเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่จะมอบให้กับคนที่รัก ที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าทางด้านจิตใจและร่างกาย ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการเคล็ดลับการดูสุขภาพสามารถติดตามบทความดี ๆ ได้ที่ Gen Healthy Life
บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นพ.กร ตาลทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อความร่วมมือภายใต้โครงการ Healthy Lung Thailand
ส่งมอบอุปกรณ์การตรวจสมรรถภาพปอดสไปโรมิเตอร์ จำนวน 2 เครื่อง ให้แก่สำนักงานเขตสุขภาพที่ 11 กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคระบบทางเดินหายใจต่าง ๆ เช่น โรคหืดหรือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล โดยมี นพ.จิรชาติ เรืองวัชรินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นผู้รับมอบสไปโรมิเตอร์เครื่องแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2565 ณ โรงพยาบาลท่าโรงช้าง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยจะมีการส่งมอบสไปโรมิเตอร์อีกจำนวนหนึ่งเครื่องในเร็ว ๆ นี้
สไปโรมิเตอร์ (Spirometer) เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการทดสอบสมรรถภาพทางปอดตามมาตรฐานสากล โดยจะทำหน้าที่วัดปริมาตรอากาศเข้าและออกจากปอด ทั้งในเชิงปริมาตร (volume) และอัตราการไหลของอากาศ (air flow) ซึ่งจะทำให้แพทย์ได้ข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการประเมินและวินิจฉัยสมรรถภาพของปอดของผู้ป่วย
ต่อไป จากข้อมูลการใช้งานของหน่วยงานสาธารณสุข เครื่องสไปโรมิเตอร์จำนวนสองเครื่องที่ได้รับมอบคาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัยโรคระบบทางเดินหายใจให้แก่ผู้ป่วยกว่า 2,380 รายต่อปี นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยการคัดกรองผู้ป่วยในกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจเช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจหลังจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ โรคหืด (Asthma) ถือเป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ Non-communicable diseases (NCDs) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคหืดกว่า 2,000 ราย ส่วนโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตลำดับต้น ๆ ของประชากรไทย โดยในปี 2561 มีผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวมากกว่า 3 ล้านคน และมีแนวโน้มที่การเสียชีวิตจะสูงขึ้นทุกปีเช่นเดียวกับทั่วโลก
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักและความเข้าใจให้เห็นถึงความสำคัญของโรค พร้อมส่งเสริมศักยภาพความรู้และทักษะของบุคลากรการแพทย์ รวมถึงขยายขีดความสามารถและเพิ่มการเข้าถึงบริการสำหรับโรคหืด (Asthma) และปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
โครงการ Healthy Lung Thailand ถือเป็นโครงการเพื่อสังคมแบบยั่งยืนผ่านความร่วมมือระหว่าง แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และสมาคมทางการแพทย์ โดยมีเป้าหมายให้ทุกคนมีสุขภาพปอดที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการรณรงค์เสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคมะเร็งปอด และยกระดับการพัฒนาองค์ความรู้ เสริมสร้างศักยภาพ และการเข้าถึงการบริการเพื่อนำไปสู่พัฒนาการด้านการรักษา และจัดการโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
ธันวาคม 2565 — ดีลอยท์ ประเทศไทย ประกาศ 4 ผู้บริหารใหม่ ร่วมทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง บริการด้านการสอบบัญชี และที่ปรึกษาด้านภาษีและกฎหมาย
เสริมศักยภาพในการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยองค์ความรู้เชิงลึก ประสบการณ์ ทักษะและมุมมองใหม่จากทีมผู้บริหารทั้ง 4 ท่าน ผสมผสานกับความรู้และความเชี่ยวชาญระดับโลกของดีลอยท์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของดีลอยท์ในการส่งมอบบริการคุณภาพสูงสุดให้กับลูกค้าในประเทศไทย
การเสริมทัพผู้บริหารในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนเพื่อขยายขีดความสามารถและสร้างความแข็งแกร่งในการให้บริการแก่ลูกค้า และดึงดูดบุคลากรคุณภาพในภูมิภาค
นายสุภศักดิ์ กฤษณามระ กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเริ่มที่จะฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 แต่ภาคธุรกิจยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย และความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา องค์กรส่วนใหญ่ยังคงต้องการคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางธุรกิจเพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ดีลอยท์พร้อมสนับสนุนลูกค้าในทุกขนาด ทุกภาคส่วน และทุกอุตสาหกรรม และให้ความสำคัญกับการเสริมทัพบุคลากร โดยยังคงมองหาผู้มีความสามารถในทุกระดับ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมีพาร์ทเนอร์ใหม่มาร่วมทีมในครั้งนี้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่า ดีลอยท์มีความพร้อมที่จะให้บริการและช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างแข็งแรง ยั่งยืน และประสบความสำเร็จในอนาคต”
นายอัสสเดช คงสิริ ร่วมงานกับดีลอยท์ ประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางการเงิน มีประสบการณ์กว่า 30 ปีในการทำงานกับองค์กรขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีประสบการณ์กว่า 20 ปี ในด้านวานิชธนกิจ โดยได้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ และธุรกรรมในตลาดทุนที่ประสบความสำเร็จมากมาย ด้วยเป้าหมายสูงสุดของดีลอยท์ในการให้บริการที่มีคุณภาพ และเป็นที่ปรึกษาที่ลูกค้ามอบความไว้วางใจ (trusted advisor) เพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายและความต้องการทางธุรกิจ อัสสเดชจะนำทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ในการให้บริการด้านการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะทางการเงิน การประเมินมูลค่าธุรกิจ รวมถึงการให้คำปรึกษาทางการเงินทั่วไป และสร้างการเติบโตของบริการที่ปรึกษาทางการเงินของ ดีลอยท์ ประเทศไทย ต่อไป
นายวรพงษ์ สุธานนท์ ร่วมทีมในตำแหน่ง พาร์ทเนอร์ ที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศไทย ในการให้คำปรึกษาด้านอาชญากรรมทางการเงินและความเสี่ยง โดยในปี 2554 วรพงษ์เป็นหนึ่งในคนไทยเพียงไม่กี่คน ที่ได้รับสิทธิบัตรจากสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าจากสหรัฐอเมริกา ด้านการตรวจจับการฉ้อโกง การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี ในการทำงานด้านอาชญากรรมทางไซเบอร์และการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อพิพาท รวมถึงแก้ปัญหาวิกฤตและปัญหาทางธุรกิจที่มีความท้าทาย ทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วภูมิภาคอาเซียนกับหนึ่งในบริษัทกลุ่ม Big4 อีกทั้งยังเคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงให้กับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ในงานปรับปรุงและแก้ไขงานด้านความเสี่ยงต่าง ๆ ทำให้วรพงษ์สั่งสมประสบการณ์และความเข้าใจเชิงลึก ในหน้าที่ความรับผิดชอบของทั้งกรรมการบริหารระดับสูงและคณะกรรมการตรวจสอบ นอกจากนั้นยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กรให้ก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการควบคุมดูแลความเสี่ยง จริยธรรม และการปฏิบัติในองค์กรให้เป็นไปตามตามกฎข้อบังคับ
นายวิชัย สุขในใบบุญ ร่วมงานกับดีลอยท์ในตำแหน่ง พาร์ทเนอร์ ที่ปรึกษาด้านการสอบบัญชี มีประสบการณ์กว่า 30 ปี ด้านการตรวจสอบบัญชี และการพัฒนาโซลูชั่นสำหรับองค์กร ให้คำปรึกษาแก่บรรดาบริษัทข้ามชาติ และกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศ วิชัยมีประสบการณ์กว้างขวางในหลายด้าน ซึ่งรวมถึงการจัดการการขายเทคโนโลยีระดับองค์กร การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเงิน การปรับปรุงกระบวนการ วิชัยเชี่ยวชาญด้านกฎระเบียบและบรรษัทภิบาล การบริหารความเสี่ยง ตลอดจนเรื่องบริการ Digital Controllership วิชัยนำทีมที่ปรึกษาบริการด้านบัญชีและปฏิบัติงานด้านการรายงานทางการเงิน (Accounting Operation Advisory) ของดีลอยท์ ประเทศไทย มุ่งเน้นการให้คำปรึกษาและบริการในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธภาพของระบบงาน และขั้นตอนการทำงานของหน่วยงานทางด้านการเงินขององค์กรธุรกิจ
ด้าน นางสาวพัชรพร ภู่ทรานนท์ รับตำแหน่ง พาร์ทเนอร์ ที่ปรึกษาด้านภาษีและกฎหมาย มีประสบการณ์ กว่า 15 ปี ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศในฐานะที่ปรึกษาด้านกฎหมาย โดยมีความเชี่ยวชาญด้านตลาดทุน การควบรวมกิจการ และการปรับโครงสร้างธุรกิจ ในฐานะผู้นำในการให้บริการด้านกฎหมาย พัชรพรมีความมุ่งมั่นที่จะขยายทีมงาน เพื่อให้สามารถส่งมอบบริการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของดีลอยท์ ประเทศไทย ที่ครบถ้วนครอบคลุม และใช้แนวทางแบบองค์รวมของดีลอยท์ในการขยายขีดความสามารถในการรองรับบริษัทที่กำลังจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
“ผมยินดีต้อนรับพาร์ทเนอร์ใหม่ทุกท่านมาร่วมทีมผู้บริหารของเรา ความเชี่ยวชาญของแต่ละท่าน ครอบคลุมบริการหลักของดีลอยท์ที่มีความสำคัญและตอบสนองความต้องการเชิงกลยุทธ์ของลูกค้า สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของดีลอยท์ ในการนำเสนอความเชี่ยวชาญครอบคลุม เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าของเรา" นายสุภศักดิ์ กล่าวในที่สุด