

อีกก้าวของคนไทยสร้างนวัตกรรมพิชิตมะเร็งเพื่อมนุษยชาติ ตอบโจทย์แนวเศรษฐกิจ BCG และหนุนการก้าวเป็นเมดิคัลฮับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คิดค้น นวัตกรรม ‘อนุภาคคาร์บอนเรืองแสง’ จากสารชีวพอลิเมอร์ทะลายปาล์ม เพื่อส่งยารักษามะเร็งลำไส้แบบมุ่งเป้า (Synthesis of Fluorescent Carbon Dots Derived From Palm Empty Fruit Bunch For The Targeted Delivery of Anti-Cancer)
ดยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ Nature.com ชูธงนาโนเทคโนโลยีผสานวิศวกรรมเคมีขั้นสูงและชีวพอลิเมอร์ที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกายรศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรคมะเร็งถือเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นของประชากรที่มีอายุต่ํากว่า 70 ปี โดยในปี 2018 พบจํานวนผู้ป่วยใหม่ทั่วโลกมากถึง 18 ล้านคน ส่วนประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ปีละ 1.4 แสนคน และเสียชีวิตปีละกว่า 8 หมื่นคน โดยมี 5 โรคมะเร็งที่คร่าชีวิตสูงสุด คือ มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม การวิจัยพัฒนานวัตกรรมของคนไทยนี้เป็นที่น่าภาคภูมิใจและได้รับความสนใจจากนานาประเทศโดยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก Nature.com ทั้งนี้ทีมนักวิจัยไทย 5 คน ประกอบด้วย รศ.ดร.จุฬารัตน์ ศักดารณรงค์ หัวหน้าโครงการวิจัย ดร.สุธิดา บุญสิทธิ์ ดร.สาคร ราชหาด อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อมรรัตน์ แสงจันทร์ นักศึกษา ป.โท สาขาวิศวกรรมเคมี ม.มหิดล และ ดร.กนกวรรณ ศันสนะพงษ์ปรีชา หน่วยปฏิบัติการเวชศาสตร์นาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สนง.พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนโดยทุนอัจฉริยภาพนักวิจัยรุ่นกลาง สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
รศ.ดร.จุฬารัตน์ ศักดารณรงค์ หัวหน้าโครงการวิจัย อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงที่มาของงานวิจัยว่า วิธีการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันมีหลายวิธี อาทิ การผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก การฉายรังสีบําบัด และเคมีบําบัดซึ่งยังมีข้อด้อย เนื่องจากสารออกฤทธิ์ที่กว่าจะไปถึงเป้าหมายจะเหลือปริมาณตํ่า จึงต้องใช้ยาในปริมาณที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติ ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงต่างๆ เราจึงมีแนวคิดในการพัฒนา ’นาโนเทคโนโลยี’ สำหรับการรักษาโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้า โดยใช้ ‘อนุภาคนาโน’ เป็นวัสดุในการนำส่งยาต้านมะเร็ง (Drug Delivery) สู่เซลล์เป้าหมาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จากการศึกษาวิเคราะห์พบว่าอนุภาคคาร์บอน (Carbon Dots) มีคุณสมบัติความเข้ากันได้ทางชีวภาพ ความเป็นพิษต่ำ มีความสามารถในการละลายน้ำสูง พื้นที่ผิวสูง ปรับปรุงหมู่ฟังก์ชันพื้นผิวได้ง่าย มีขนาดเฉลี่ยต่ำกว่า 10 นาโนเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสม สามารถเคลื่อนที่เข้าไปในเซลล์ได้ดี และมีคุณสมบัติในการเรืองแสงหลายสีตามหมู่ฟังก์ชันที่ดัดแปลงซึ่งจะช่วยติดตามการบำบัดรักษาได้ว่ายาอยู่ส่วนไหนของร่างกาย
ทีมวิจัยจึงคิดค้น นวัตกรรม ‘อนุภาคคาร์บอนเรืองแสงจากสารชีวพอลิเมอร์ทะลายปาล์ม เพื่อส่งยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า’ ซึ่งการใช้อนุภาคคาร์บอน ที่เป็นวัสดุนาโน ในการนําส่งยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อเข้าไปขัดขวางและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง รวมถึงจํากัดบริเวณเพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติโดยรอบได้ และลดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ สำหรับการสังเคราะห์อนุภาคคาร์บอนได้ทดลองพัฒนาด้วยหลากหลายกระบวนการ ในที่สุดทีมวิจัยได้เลือกใช้กระบวนการไฮโดรเทอมัล คาร์บอไนเซชัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ มีศักยภาพในการขยายขนาดในภาคอุตสาหกรรม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และง่ายต่อการสังเคราะห์อนุภาคคาร์บอนใหม่ๆ จากสารตั้งต้นอื่นๆในอนาคต อาทิ เปลือกส้ม เปลือกมะม่วง ฟางข้าว นม สาหร่าย กรดซิตริค กรดโฟลิค ยูเรีย กลีเซอรอล เป็นต้น รวมทั้งใช้พลังงานต่ำและไม่ต้องปรับสภาพหรืออบแห้งชีวมวล
จุดเด่นของการสังเคราะห์อนุภาคคาร์บอนจากทะลายปาล์ม ซึ่งเป็นวัสดุระดับนาโนจากชีวมวลเหลือจากอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันนำมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่าทางอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยนำมาเป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมการ
ผลิตอนุภาคคาร์บอน ทั้งนี้โครงสร้างหลักของทะลายปาล์ม คือกลุ่มของลิกโนเซลลูโลส (Lignocellulose) ที่ประกอบด้วยเซลลูโลส (Cellulose) 35-50% เฮมิเซลลูโลส (Hemicellulose) 20-35% และลิกนิน (Lignin) 10-25% ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการปรับสภาพและแยกองค์ประกอบจะเป็นอนุภาคคาร์บอนที่ดี
รศ.ดร.จุฬารัตน์ ศักดารณรงค์ กล่าวสรุปผลวิจัยว่า อนุภาคคาร์บอน (Carbon Dots) ที่ผลิตจากกระบวนการนี้จะเป็นสารละลายสีน้ำตาล จากการศึกษาพบว่าเมื่อนำอนุภาคคาร์บอนมากระตุ้นด้วยแสง UV จะให้ผลได้ควอนตัม และคุณสมบัติในการเรืองแสงสูงสุด ในกระบวนการนำส่งยาต้านมะเร็งสู่เซลล์มะเร็งเป้าหมาย จึงได้ทำปฏิกิริยาการเชื่อมโยงหมู่ฟังก์ชัน COOH บนอนุภาคคาร์บอนเข้ากับหมู่ OH ของโมเลกุลพอลิเอทิลีนไกลคอลที่ขนาดโมเลกุลต่างๆ และ NH2 ของยาต้านมะเร็ง ได้แก่ Doxorubicin จากนั้น การนำส่งยาจะถูกทดสอบกับเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองเปรียบเทียบกับเซลล์ปกติ ด้วยนาโนเทคโนโลยีการเชื่อมขวางอนุภาคคาร์บอนเข้ากับ ’โปรตีนจำเพาะ’ ซึ่งจะไปต่อเข้ากับ ‘ตัวรับ’ หรือ ‘รีเซ็ปเตอร์’ ของเซลล์มะเร็ง เพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งยาเข้าสู่เป้าหมายได้แม่นยำ ในอนาคตจะนำไปสู่การทดลองกับสัตว์และมนุษย์ต่อไป
ประโยชน์ของนวัตกรรม ‘อนุภาคคาร์บอนเรืองแสงจากสารชีวพอลิเมอร์ทะลายปาล์ม เพื่อส่งยารักษามะเร็งลำไส้แบบมุ่งเป้า’ เพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีอัตราผู้ป่วยสูง เช่น มะเร็งลำไส้ ลดเวลาจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัดแบบดั้งเดิม โดยเพิ่มทางเลือกในการรักษาด้วย ‘เคมีบำบัดแบบมุ่งเป้า’ ต้นทุนต่ำ และมีราคาถูก ไม่มีพิษต่อร่างกาย ลดความเหลื่อมล้ำช่วยให้ประชากรในประเทศสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพได้ทั่วถึง ส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตจากวัตถุดิบการเกษตรที่มีในประเทศ ลดการนำเข้าวัสดุนำส่งยาที่มีราคาแพง ตลอดจนโอกาสต่อยอดในอุตสาหกรรมการแพทย์และส่งเสริมประเทศไทยก้าวเป็นเมดิคัลฮับ โดยสอดคล้องกับแนวทาง BCG ของประเทศไทยและกลุ่มภูมิภาค APEC อีกด้วย
นับเป็นความหวังและทางเลือกใหม่ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในไทยและเพื่อนมนุษย์
ชี้เทรนด์ “อาหารเพื่อสุขภาพ สแน็ก-ของว่างยามบ่าย และแพ็คเกจสมาชิก” มาแรง
แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยอินไซต์ผู้ใช้บริการเดลิเวอรีปี 2565 ผ่าน “รายงานเทรนด์ธุรกิจเดลิเวอรีปี 2565” (Delivery Trend Report 2022) โดยได้ศึกษาพฤติกรรมและสำรวจความคิดเห็นผู้ใช้บริการ*ที่มีต่อแพลตฟอร์มเดลิเวอรีกว่าสามหมื่นรายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครอบคลุม 6 ประเทศ อันได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนามและไทย พบยอดการจัดส่งเดลิเวอรีบนแพลตฟอร์มแกร็บทั่วทั้งภูมิภาคโตขึ้นถึง 24% ในปี 2565 โดย 7 ใน 10 ของผู้บริโภคระบุว่าบริการสั่งเดลิเวอรีได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต พร้อมเผยเทรนด์ “อาหารเพื่อสุขภาพ สแน็ก-ของว่างยามบ่าย และแพ็คเกจสมาชิก” กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ชี้ชัดการสมัครแพ็กเกจสมาชิกจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจเดลิเวอรีในยุคต่อไป
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยอุดม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย เผย “ในฐานะผู้นำด้านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี แกร็บ เริ่มจัดทำและเผยแพร่รายงานแนวโน้มการใช้บริการเดลิเวอรีประจำปีมาตั้งแต่ปี 2564 ล่าสุด ในปีนี้เราได้เปิดตัว รายงานเทรนด์ธุรกิจเดลิเวอรีปี 2565 โดยได้
ศึกษาพฤติกรรมพร้อมสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้บริการกว่าสามหมื่นคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีต่อแพลตฟอร์มเดลิเวอรี ทั้งยังได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและแหล่งข้อมูลเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งพบว่าธุรกิจเดลิเวอรียังคงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดย 7 ใน 10 ของผู้บริโภคระบุว่าการใช้บริการเดลิเวอรีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาไปแล้ว”
“ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ยอดการจัดส่งเดลิเวอรีผ่านแพลตฟอร์มแกร็บเติบโตขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าการใช้จ่ายต่อออเดอร์ (Basket size) ของการสั่งสินค้าหรืออาหารผ่านบริการแกร็บฟู้ดและแกร็บมาร์ทในปี 2565 เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 17% เมื่อเทียบกับปี 2562 ทั้งนี้ สำหรับในประเทศไทย 3 เหตุผลหลักที่คนไทยเลือกใช้บริการจัดส่งอาหารเดลิเวอรี คือ ความสะดวกสบายในการใช้บริการ การจัดส่งที่รวดเร็วและตอบโจทย์ความต้องการแบบออนดีมานด์ และเป็นตัวช่วยให้พวกเขาสามารถสังสรรค์กับเพื่อนและครอบครัวได้ง่ายขึ้น”
รายงานดังกล่าวยังตอกย้ำว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน โดยผู้บริโภค 9 ใน 10 คนระบุว่าชื่นชอบแบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ และมองว่าปัจจุบันแอปพลิเคชันเดลิเวอรีไม่ได้ทำหน้าที่เพียงจัดส่งอาหารหรือของใช้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้บริการได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ โดย 88% ของผู้ใช้บริการรู้จักร้านใหม่ๆ ผ่านการใช้แอปพลิเคชันเดลิเวอรี และกว่า 90% ของผู้ใช้บริการเปิดใจสั่งสินค้าจากร้านที่ไม่เคยรู้จักอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ด้านผู้ประกอบการหรือเจ้าของร้านลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า แพลตฟอร์มเดลิเวอรีเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดย 9 ใน 10 รายของผู้ประกอบการในไทยกล่าวว่า แพลตฟอร์มเดลิเวอรีเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด ขณะที่ 73% ของผู้ประกอบการในภูมิภาคระบุว่ายอดขายออนไลน์ส่วนใหญ่มาจากบริการแกร็บฟู้ด
นอกจากนี้ แกร็บยังได้เผยอินไซต์ของผู้ใช้บริการแกร็บฟู้ดและแกร็บมาร์ทที่สะท้อน 3 เทรนด์ที่น่าจับตามองในปีหน้า อันได้แก่
· เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพได้รับความนิยมมากขึ้น: อาหารเพื่อสุขภาพ รวมถึงอาหารประเภทแพลนท์เบส (plant-based) ไม่ได้ถูกจำกัดความนิยมอยู่แค่ผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป 74% ของคนไทยระบุว่าในทุก 2-3 วันจะมีการสั่งอาหารเพื่อสุขภาพอย่างน้อย 1 ครั้ง ขณะที่ 2 ใน 5 ของผู้บริโภคเคยลองรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบหลักจากพืชหรือแพลนท์เบสในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
· สแน็กและของว่างยามบ่ายมียอดขายเพิ่มสูงขึ้น: จากรายงานพบว่าคนไทย 2 ใน 5 ทานอาหารว่างหรือขนมขบเคี้ยวอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่
เริ่มคลี่คลายลง ทำให้ผู้คนกลับมาทำงานที่ออฟฟิศมากขึ้น การรับประทานอาหารว่างหรือสแน็กระหว่างวันจึงกลายเป็นกิจกรรมกลุ่มที่เพิ่มสีสันให้กับผู้บริโภค โดย 64% ของผู้บริโภคระบุว่าพวกเขาสั่งอาหารว่างสำหรับทานมากกว่าหนึ่งคนขึั้นไป
· แพ็กเกจสมาชิกสำหรับผู้ใช้บริการเดลิเวอรีกำลังมาแรง: 1 ใน 3 ของผู้ใช้บริการเดลิเวอรีในปัจจุบันมีการสมัครใช้แพ็กเกจสมาชิก (Subscription) อย่างน้อย 1 แพ็กเกจเพื่อรับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ามากกว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ใช้บริการที่ใช้แพ็กเกจสมาชิกมีอัตราการสั่งอาหารหรือสินค้าผ่านเดลิเวอรีบ่อยขึ้นถึง 44% เมื่อเทียบกับผู้ใช้บริการทั่วไป
รู้หรือไม่?
· 5 เมนูขายดีประจำปีบนแกร็บฟู้ด คือ 1) ไก่ทอด 2) กาแฟ 3) ส้มตำ 4) ข้าวซอย และ 5) ชาเขียวเย็น
· กาแฟคือเครื่องดื่มยอดนิยม: คนไทยนิยมดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ทุกๆ 1 นาทีจะมีผู้ใช้บริการสั่งกาแฟผ่านแกร็บฟู้ดถึง 15 แก้ว หรือมากกว่า 7.8 ล้านแก้วตลอดทั้งปีเลยทีเดียว!
· 5 สินค้าขายดีบนแกร็บมาร์ท คือ 1) น้ำมันประกอบอาหาร 2) น้ำดื่ม 3) น้ำอัดลม 4) น้ำตาล และ 5) นม
· ATK กลายเป็นไอเทมมาแรง: ทุกๆ 1 นาทีมีคนซื้อชุดตรวจโควิด 1 ชุดผ่านแกร็บมาร์ท หรือมากกว่า 525,000 ชุุดตลอดทั้งปี
· สินค้าขายดีช่วงปีใหม่ หนีไม่พ้น น้ำอัดลม พิซซ่า ไก่ทอด รวมถึงมันฝรั่งทอดกรอบ
ดาวน์โหลด “รายงานเทรนด์ธุรกิจเดลิเวอรีปี 2565” ได้ที่ https://www.grab.com/th/en/merchant/food-and-grocery-trends-report-2022/
ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ตอกย้ำจุดยืนการเป็น King of Essence นำเสนอคุณค่าสิ่งดีๆ จากธรรมชาติให้กับทุกคน
นายดรงค์ ถนอมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย ประเทศไทย จับมือ “สลัดแฟคทอรี่” ร้านสลัดที่เสิร์ฟความอร่อยจากเมนูเพื่อสุขภาพที่หลากหลายให้คนทานได้ทานผักจากแหล่งผลิตอาหารที่ดี ภายใต้งานบริหารงานโดยบริษัทกรีนฟู้ดแฟคทอรี่ นำโดย นายปิยะ ดั่นคุ้ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ภายใต้แคมเปญ “Gathering happiness moment” นำเสนอเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพรังสรรค์จากน้ำผักผลไม้ เข้มข้นจากผลิตภัณฑ์ “แบรนด์” กลุ่มผลิตภัณฑ์จากผักผลไม้สกัด (BRAND’S Plant-based Essence) ได้แก่ แบรนด์ เบอร์รี่พลัส แบรนด์พรุนพลัส และแบรนด์แอคทีฟ 14 ในประสบการณ์รูปแบบใหม่ เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ในช่วงเทศกาลปีใหม่
ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนวิสัยทัศน์ ‘Growing for Good’ หรือการเติบโตอย่างยั่งยืน และการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้หลักการ Gemba Focused ของบริษัทฯ ที่เน้นให้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางเป็นหลักสำคัญด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ดีต่อสุขภาพ และมีคุณภาพให้กับผู้บริโภคชาวไทยที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น โดยบริษัทฯ เล็งเห็นถึงจุดยืนในการดำเนินงานของสลัดแฟคทอรี่ที่สอดรับกับแนวทางของบริษัทที่ต้องการมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภคจึงได้ร่วมกันส่งต่อคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายผ่านเมนูเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้สูตรพิเศษ 3 เมนู ที่ใช้ผลิตภัณ์ฑแบรนด์ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์เป็นส่วนผสมเพื่อให้ผู้บริโภคทั้งกลุ่มครอบครัว คนวัยทำงาน และคนรักสุขภาพ ได้ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆกับเครื่องดื่มที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายสูง ประกอบด้วย เมนู Super Duper Berry (ซูเปอร์ดูเปอร์เบอร์รี่) ราคา 135 บาท เมนู Banana & Prune (บานาน่าแอนด์พรุน) ราคา 115 บาท และเมนู Orange Active 14 (ออเรนจ์แอคทีฟโฟร์ทีน) 125 บาท
สามารถลิ้มลองเมนูเครื่องดื่มสูตรพิเศษทั้งสามเมนูได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 ที่ร้านสลัด แฟคทอรี่ 29 สาขา และการสั่งผ่านบริการเดลิเวอรีทุกช่องทาง
C-Lab ทำลายสถิติคว้า 29 รางวัลจากงาน CES 2023 Innovation Awards
ซัมซุงกับความสำเร็จในการพัฒนาสตาร์ทอัพและโครงการมากกว่า 500 รายการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ซัมซุงประกาศเปิดนิทรรศการแสดงสุดยอดนวัตกรรมที่พัฒนาผ่านโครงการ C-Lab ในงาน CES 2023 ที่จัดขึ้นสำหรับประชาชนทั่วไป โดยซัมซุงวางแผนเปิดตัว 4 โครงการล่าสุดที่พัฒนาโดย C-Lab Inside ซึ่งเป็นโครงการเพื่อขับเคลื่อนองค์กร รวมไปถึงโครงการจากสตาร์ทอัพ 8 แห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab Outside ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมในการสนับสนุนสตาร์ทอัพในการคิดค้นนวัตกรรมไปสู่จุดหมาย โดยผู้เข้าชมสามารถเยี่ยชมโครงการนวัตกรรมได้ที่ Eureka Park ในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพื้นที่จัดแสดงหลักสำหรับสตาร์ทอัพมากมายจากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 5-8 มกราคม 2566 ทั้งนี้สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในตลาดโลกด้วยการแสดงผลงานผ่านนิทรรศการ CES เพื่อเสริมสร้างความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และพบปะกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ

C-Lab Inside: โครงการ Metaverse และโครงการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์โดยพนักงานของซัมซุง พร้อมสู่เวทีโลก
ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ซัมซุงได้จัดงาน C-Lab Inside เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ CES โดยโครงการที่นำมาเสนอในปี 2566 เป็น 4 โครงการที่ได้รับการประเมินในระดับสูงทางด้านนวัตกรรมและความสามารถในการสร้างการเติบโตทางการตลาดได้ ดังนี้
• Meta-Running แพลตฟอร์ม metaverse เพื่อการเรียนรู้รูปแบบในการวิ่งที่เหมาะสม
• Porkamix แพลตฟอร์ม metaverse ที่จัดเตรียมงานคอนเสิร์ตในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟ
• Soom ประสบการณ์การทำสมาธิพร้อมคำแนะนำแบบเรียลไทม์
• Falette การจำลองรูปแบบ 3D สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านที่ทำจากผ้าผ่านระบบดิจิทัล
C-Lab Outside: สตาร์ทอัพพร้อมโชว์ เทคโนโลยี AI และอีกมากมาย ฉายแสงสู้ในงาน CES
C-Lab Outside จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพในการพัฒนาโครงการต่างๆ อย่างรวดเร็ว และกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวในวงการสตาร์ทอัพในประเทศเกาหลีใต้ สตาร์ทอัพที่ลงทะเบียนในโปรแกรม C-Lab Outside จะได้รับการจัดสรรพื้นที่สำนักงาน พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากพนักงานของ ซัมซุง รวมไปถึงการให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลและการเงิน การสนับสนุนเพิ่มเติมรวมไปถึงความร่วมมืออย่างมีศักยภาพกับ ซัมซุง และโอกาสในการเข้าร่วมนิทรรศการด้านไอทีที่ทรงอิทธิพล อย่าง CES และ KES (Korea Electronics Show)
ในปีที่ผ่านมา ซัมซุง Daegu Center และ Gyeong-buk Center for Creative Economy & Innovation ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของโครงการ C-Lab Outside ได้บ่มเพาะสตาร์ทอัพเหล่านี้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของตนและพร้อมที่จะแสดงผลงานในเวทีโลก ณ งาน CES 2023 โดย 8 สตาร์ทอัพที่ได้รับการคัดเลือก ได้แก่
• NdotLight โซลูชันสำหรับงานออกแบบ 3 มิติผ่านเว็บไซต์
• NEUBILITY บริการจัดส่งในพื้นที่เมืองผ่านหุ่นยนต์ไร้คนขับ
• 40FY แอปพลิเคชันการให้การบริการดูแลสุขภาพจิต ตั้งแต่การประเมินไปสู่การรักษาผ่านระบบ
ดิจิทัล CELLICO การฝังดวงตาเทียมแบบอิเลคโทรนิคส์ สำหรับผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อม
• Plask ระบบ AI และเครื่องมือจับการเคลื่อนไหวและแก้ไขภาพเคลื่อนไหวผ่านเบราว์เซอร์
• Wrn Technologies บริการฝึกการเขียนและสร้างคอนเทนต์ผ่านเทคโนโลยี Generative AI
• Catius หุ่นยนต์ AI เพื่อนสนทนาโต้ตอบสำหรับเด็ก
• Erangtek เครื่องขยายสัญญาณในการควบคุมระบบ IoT ภายในบ้านเพื่อปรับปรุงคุณภาพ
สัญญาณโทรศัพท์
สตาร์ทอัพ C-Lab ทำลายสถิติคว้า 29 รางวัลจากงาน CES 2023 Innovation Awards
ในเดือนพฤศจิกายน 2022 สมาคม Consumer Technology Association (CTA) ได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล CES 2023 Innovation Awards สำหรับผลิตภัณฑ์ใน 28 หมวดหมู่ รวมไปถึง Best of Innovation โดยโครงการจากสตาร์ทอัพของโครงการ C-Lab คว้ารางวัล Best of Innovation Awards ไปถึง 2 รางวัล และได้รับรางวัล Innovation Awards อีก 27 รางวัล ส่งผลให้ C-Lab ได้สร้างเกียรติประวัติให้ประเทศด้วยการคว้ารางวั ลInnovation Awards มากถึง 22 รางวัลในปี 2565 และอีก 7 รางวัลในปี 2566 สำหรับเทคโนโลยีที่โดดเด่น
ซัมซุงเผยถึงกุญแจแห่งความสำเร็จในการคว้ารางวัลอันมากมายจากเวที CES Innovation Award และการก้าวเข้าสู่ตลาดโลกโดย Hark Kyu Park ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า "เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab ได้พิสูจน์ความสามารถทางเทคโนโลยีของตนในเวทีระดับโลก พิสูจน์ได้จากรางวัลด้านนวัตกรรมที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในงาน CES เราหวังว่าสตาร์ทอัพ C-Lab จะมุ่งมั่นในการบุกตลาดโลกอย่างแข็งขันมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศของสตาร์ทอัพในเกาหลีใต้"
หนึ่งในบริษัทที่โดดเด่นอย่าง Dot Inc. ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สำหรับผู้พิการทางสายตา ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ชนะรางวัล CES 2022 Best of Innovation Award ในหมวดความช่วยเหลือเพื่อเข้าถึงระบบการทำงาน และยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับรางวัล CES Innovation Awards อีก 2 รางวัล
และบริษัท Verses ผู้พัฒนาระบบ Meta Music สำหรับการสตรีมได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ชนะรางวัล CES 2023 Best of Innovation Award ในหมวดการสตรีมอีกด้วย
ทั้งนี้ สตาร์อัพ 7 ใน 8 บริษัทที่ได้เข้าร่วมเปิดบูธในงานนิทรรศการ C-Lab ได้แก่ NEUBILITY, 40FY, NdotLight, CELLICO, Plask, Catius, และ Wrtn Technologies สามารถคว้ารางวัล Innovation Awards ในปีนี้ไปครอง
นอกจากนี้ สตาร์ทอัพที่แจ้งเกิดจาก C-Lab Inside ที่ปัจจุบันมีการดำเนินธุรกิจเป็นของตนเอง ได้คว้ารางวัลไปถึง 7 รายการ และสตาร์ทอัพศิษย์เก่าจาก C-Lab Outside 11 บริษัท ได้รับรางวัล Best of Innovation Awards จำนวน 2 รางวัล และรางวัล Innovation Awards จำนวน 20 รางวัล
ซัมซุงบรรลุเป้าหมายในการบ่มเพาะสตาร์ทอัพและโปรเจ็กต์ 500 รายการในระยะเวลาเพียง 5 ปี
ในปี 2561 ซัมซุง ประกาศเป้าหมายในการพัฒนาสตาร์ทอัพเกาหลีใต้ 300 โครงการ ผ่าน โปรแกรม C-Lab Outside และ อีก 200 โครงการผ่าน C-Lab Inside โดยภายในระยะเวลา 5 ปี บริษัทมุ่งมั่นที่จะบ่มเพาะสตาร์ทอัพและโครงการทั้งหมด 506 รายการ (304 จาก C-Lab Outside และ 202 จาก C-Lab Inside)
นอกจากนี้ ซัมซุงได้จัดตั้งโครงการ C-Lab Family ซึ่งเป็นเครือข่ายมืออาชีพอันโดดเด่น จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรวมตัวของศิษย์เก่าสตาร์ทอัพที่ยินดีทำงานร่วมกับซัมซุงแม้ว่าจะจบการศึกษาจากโครงการ C-Lab Outside ไปแล้ว หรือปัจจุบันได้ดำเนินธุรกิจของตัวเอง นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง C-Lab Scale-Up Committee และวางแผนที่จะค่อยๆ ขยายความร่วมมือและการลงทุนสำหรับ C-Lab Family ในอนาคต
บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC แนะ 3 ทริคการลงทุนทองอย่างไรไม่โดนหลอก ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ เผยเลือกบริการผ่อนทองกับผู้ให้บริการที่มีประวัติการดำเนินธุรกิจ ที่น่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพทางการเงิน และเลือกลงทุนกับผู้นำเข้าทองคำที่เชื่อถือได้ เปิดให้บริการมานาน เตือน 5 พฤติกรรมแก๊งค์มิจฉาชีพ ตอกย้ำสินเชื่อออมทอง CLICK2GOLD ร่วมกับพาร์ทเนอร์ห้างทองชั้นนำ ราคายุติธรรม การันตีได้ทอง 100% เมื่อผ่อนครบ โดยSGC ผู้ให้บริการธุรกิจสินเชื่อชั้นนำในแวดวงอุตสาหกรรม เชื่อถือได้ ยึดหลักธรรมาภิบาลการดำเนินธุรกิจความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เชื่อถือได้
นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผย การลงทุน “ทองคำ” ทั้งรูปแบบทองคำแท่งและทองรูปพรรณ ยังคงเป็นการเลือกลงทุนที่ได้รับความนิยมในการออมเพื่อทรัพย์สินหมุนเวียนและใช้เป็นเครื่องประดับมาอย่างต่อเนื่องสำหรับคนไทย ขณะเดียวกันพบผู้บริโภคหลายกลุ่มมองทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีมูลค่าไม่ลดน้อยลงมากนัก หรือมีความผันผวนต่ำ แม้ในยามวิกฤติยุคเศรษฐกิจผันผวน ทำให้การลงทุนทองเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากผู้บริโภค โดยเป็นการลงทุนทองเพื่อเก็บออมสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ หรือแม้แต่การเตรียมของขวัญล่วงหน้าสำหรับเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นปี 2566 “ทอง” นับเป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ในการเลือกซื้อ หรือลงทุนสะสมทองเพื่อเป็นของขวัญให้กับตัวเองและสมาชิกในครอบครัว แต่ด้วยรูปแบบการผ่อนทองปัจจุบันที่หลากหลาย เพื่อให้ตอบโจทย์และเข้าถึงผู้บริโภคหลายกลุ่ม จึงกลายเป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพใช้กลโกงล่อลวงประชาชนร่วมผ่อนทองหรือออม จนสูญเงินกันไปจำนวนมาก ทั้งรูปแบบแชร์ลูกโซ่ หรือจูงใจด้วยโปรโมชั่นราคาถูก และให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง ทั้งบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมทั้งในโซเชียลมีเดีย
ทั้งนี้ SGC ฐานะผู้ให้บริการธุรกิจสินเชื่อชั้นนำ เชี่ยวชาญด้านบริการในแวดวงอุตสาหกรรมการเงิน ล่าสุดก้าวสู่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ยึดหลักธรรมาภิบาลการดำเนินธุรกิจบนความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสที่ตรวจสอบได้ มุ่งสร้างความมั่นใจที่เชื่อถือได้กับบริการสินเชื่อ CLICK2GOLD บริการสินเชื่อผ่อนทองรูปพรรณ ในราคายุติธรรม การันตีได้ทอง 100% เมื่อผ่อนครบสัญญา พร้อมแนะทริค 3 วิธี
ให้ผู้บริโภครู้เท่าทันมิจฉาชีพและเลือกลงทุนผ่อนทองที่คุ้มค่า มีความปลอดภัย ไม่เสี่ยงสูญเงิน ได้แก่ 1. เลือกผ่อนทองกับผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียง เชื่อถือได้ มีประวัติให้บริการมานาน 2. เลือกลงทุนกับแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดีย เฉพาะกับผู้ประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือ มีตัวตนและที่อยู่ชัดเจน เปิดดำเนินธุรกิจมานาน และมีสภาพคล่องทางการเงินที่มั่นคง หรือเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 3. เลือกลงทุนกับผู้นำเข้าทองคำที่มีความน่าเชื่อถือ ให้บริการมานาน และควรรีเช็คทุกครั้งว่าเว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดียดังกล่าวที่เปิดให้บริการลงทุนทองคำเป็นของผู้ประกอบการรายนั้นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพปลอมแปลงขึ้นเพื่อหลอกลวง
สำหรับพฤติกรรมที่เข้าข่ายและเป็นกลโกงของแก๊งค์มิจฉาชีพที่พบหลายรูปแบบในปัจจุบัน ประกอบด้วย 1. ปิดบังไม่ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับหน่วยงาน คุณสมบัติเปิดกว้างให้ทุกเพศ ทุกวัย เข้าร่วมลงทุนได้โดยไม่จำกัดวงเงิน 2. ราคาทองต่ำกว่าราคาตลาด แต่ให้ผลตอบแทนสูงเกิดความเป็นจริง เพื่อล่อลวงให้คนมาลงทุนจำนวนมาก 3. ลักษณะการออม เป็นการเปิดรับตัวแทน มีแม่ข่าย เน้นสร้างเครือข่าย รับผลตอบแทนเพิ่มเมื่อสามารถเพิ่มเครือข่ายได้จำนวนมาก กระบวนการคล้ายแชร์ลูกโซ่ 4. ช่วงแรกจ่ายปันผล ได้ทองจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และจูงใจให้ใส่เงินลงทุนหาเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น 5. เมื่อจำนวนสมาชิกเพิ่ม เงินลงทุนมากขึ้นก็จะเริ่มติดต่อยาก และหนีหายติดต่อไม่ได้ ทั้งนี้ หากพบพฤติกรรมต้องสงสัยตั้งแต่ข้อแรกให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อเข้าร่วมลงทุน เพราะไม่มีการลงทุนใดที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงเกินความเป็นจริง
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย มั่นใจตลอดระยะเวลาการผ่อนทอง พร้อมการันตีได้ทอง 100% เมื่อผ่อนครบสัญญา ในราคาที่ยุติธรรมตรงตามจริง ณ วันเริ่มสัญญา กับบริการสินเชื่อผ่อนทองรูปพรรณ CLICK2GOLD เพื่อสะสมทรัพย์ โดยร่วมจับมือกับผู้นำธุรกิจค้าทองคำและเครื่องประดับเพชรชั้นนำ ให้บริการผ่อนทองบนแพลตฟอร์มไลน์ LINE Official: SG Capital พร้อมมุ่งส่งเสริมให้คนไทยซื้อทองได้ตามกำลังทรัพย์และรายได้ ในรูปแบบของการผ่อนเพื่อเก็บออม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ไม่ได้มีรายได้ประจำ อาชีพพ่อค้า แม่ค้า รับจ้าง คนรุ่นใหม่ที่ประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ ให้สามารถเป็นเจ้าของทอง เพื่อสะสมทรัพย์ที่ปลอดภัย สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ “CLICK2GOLD” ผ่อนทองสะดวก รับทองสบาย โทร. 02-028 2828 และเพิ่มเพื่อนเพื่อใช้บริการได้ที่ LINE Official: SG Capital หรือ https://line.me/R/ti/p/%40444yqxoe
แคมเปญ #TeamUnstoppable ปีที่ 2 จุดประกายคนรุ่นใหม่แชร์เรื่องราว “ความไม่ยอมแพ้” ของตนเองรวมกว่า 300,000เรื่องบน TikTok
ซัมซุงปิดฉากแคมเปญ #TeamUnstoppable ปีที่ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างสวยงาม โดยแคมเปญระดับภูมิภาคของซัมซุงในครั้งนี้ ได้จัดขึ้นเพื่อท้าทายชาว Gen MZ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เอาชนะอุปสรรค ร่วมส่งต่อกำลังใจให้ผู้อื่น และสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า พร้อมเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดียิ่งขึ้น
ซัมซุงได้จุดกระแสความเคลื่อนไหวเพื่อต่อยอดความสำเร็จของแคมเปญ #TeamUnstoppable 2022 นี้ต่อจากปีที่แล้วกับการเดินหน้าส่งเสริมให้เยาวชนยุคดิจิทัลร่วมกันบอกเล่าเรื่องราว “ความไม่ยอมแพ้” (Unstoppable) ของตนเองอย่างสร้างสรรค์ แคมเปญในปีนี้ได้ขยายการสื่อสารให้เข้าถึงชุมชนคนรุ่นใหม่อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกม อาหาร แฟชั่น ตลอดจนผู้ที่สนใจประเด็นปัญหาด้านความยั่งยืนและการศึกษา โดยเน้นไปที่กลุ่ม TikTok Community เป็นหลัก รวมถึงช่องทางโซเชียลอื่นๆด้วย
สำหรับในประเทศไทย เยาวชนคนรุ่นใหม่หัวใจนักสู้รวม 300,500 คนได้ร่วมเปิดเผยและแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวในการ ฝ่าฟันอุปสรรคที่ตนเองประสบพบเจอ โดยใช้เทคโนโลยีจากซัมซุงเป็นตัวช่วย กระทั่งกลุ่มคนเหล่านี้สามารถยืนผงาดเป็นตนเองในเวอร์ชั่นที่เก่งกล้ายิ่งขึ้น ซึ่งในวันนี้ซัมซุงจะได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะการประกวด ตลอดจนเรื่องราวของพวกเขาที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นต่อไปได้ โดยผู้ที่ชนะการประกวดในครั้งนี้ได้แก่ @iamhartz ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศและได้รับ Samsung Galaxy Z Fold4 มูลค่า 59,900 บาท
นางสาวปารมี ทองเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เผยว่า “บทบาทของแคมเปญ #TeamUnstoppable ในฐานะที่เป็นเวทีให้เยาวชนได้แสดงออกถึงการเป็นนักสู้ และไม่ยอมแพ้ มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมและส่งต่อกำลังใจให้กับผู้อื่นๆ ในชุมชน โดยผลงานที่ชนะการประกวดมีความโดดเด่น เป็นเรื่องราวของ คุณ “ฮารท์” หรือผู้ใช้ยูสเซฮร์ @iamhartz ผู้มีความฝันในการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์และเต็มเปี่ยมไปด้วยแพชชันในการทำคลิปวิดีโอ โดยมีจุดเริ่มต้นจากการทำคลิปรีวิวของเล่นสุดฮิตอย่างสกุชชี่และสไลม์เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว และได้เจอกับอุปสรรคมากมายระหว่างทาง รวมทั้งคำสบประมาทต่างๆ แต่เขาก็ไม่ได้ย่อท้อ โดยฮาร์ทได้พัฒนาการทำคอนเทนต์ของตัวเองมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ประสบความสำเร็จบน TikTok ซึ่งในขณะนี้มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งแสนคนด้วยกัน นอกจากนี้อีกหนึ่งความฝันของฮาร์ท คือการได้เป็นศิลปินส่งความสุขให้กับทุกๆ คนผ่านเสียงเพลง โดยฮาร์ทก็ยังได้สานต่อความฝันในการเป็นศิลปินของตน โดยการออกซิงเกิลของตนเองถึง 2 เพลงด้วยกันในปัจจุบัน ละจะยังสู้ต่อไปจนกว่าจะสามารถขึ้นไปยืนร้องเพลงบนเวทีคอนเสิร์ตอย่างที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ”
แคมเปญ #TeamUnstoppable 2022 เปิดฉากขึ้นด้วยการเผยแพร่วิดีโอที่บอกเล่าเรื่องราวก้าวต่อไปไม่สต๊อปของคนรุ่นใหม่ในระดับภูมิภาค 6 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ ‘หมอเน๋ง ศรัณย์’ สัตวแพทย์หนุ่มที่ดูแลสัตว์ที่ด้วยความรักและความเข้าใจมาร่วมบอกเล่าเรื่องราวความพยายามจนประสบความสำเร็จของตนเอง พร้อมส่งต่อความรู้และประสบการณ์สู่สังคม โดยหมอเน๋งได้บอกเล่าเรื่องราวการก้าวต่อของตนเองผ่าน 3 วิดีโอ ซึ่งหมอเน๋งเป็นบุคคลที่นับได้ว่าประสบความสำเร็จกับทั้ง 2 อาชีพ ที่อาศัยความรักในทั้ง 2 อาชีพมาเป็นแรงผลักดัน โดยมุ่งมั่นที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงในไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้หมอเน๋งยังมีใจรักในด้านการแสดง จึงพยายามฝ่าฟันทุกความลำบาก เอาชนะทุกความท้าทาย รวมทั้งได้แรงสนับสนุนจากครอบครัว จนทำให้หมอเน๋งสามารถประสบความสำเร็จได้ในที่สุด โดยหนึ่งในสิ่งที่สำคัญสำหรับการก้าวต่อไปของหมอเน๋งคือเทคโนโลยีที่ดีแต่ตอบโจทย์การใช้งาน ช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของทุกคนให้สะดวกสบายและสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้นโดยหมอเน๋งก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้ใช้เทคโนโลยีของซัมซุงในการก้าวต่อของตัวเองและส่งต่อความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ ให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมอีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจรับชมเรื่องราว “ก้าวต่อไปไม่สต๊อป” เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจสามารถรับชมเพิ่มเติมได้แบบเต็มๆ ทั้งสามตอนได้ที่ ลิงก์ Ep.1 https://vt.tiktok.com/ZS8jUxob7/ Ep.2 https://vt.tiktok.com/ZS8jUjqax/ Ep.3 https://vt.tiktok.com/ZS8jUfVfR/ หรือผ่านแฮชแท็ก #วิชาก้าวต่อ #TeamUnstoppableTH บน Tiktiok และ Tiktok : @samsungthailand
เอสซีจีกลุ่มชั้นนำในภูมิภาคอาเซียนได้มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและนักศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งสิ้น 270 คน ทำให้ใน 9 ปีที่ผ่านมา
มีผู้ได้รับทุนการศึกษาจากกลุ่มตามโครงการเพื่อสังคมด้านการศึกษาไปแล้วมากกว่า 1,500 คนจำนวน 270 ทุนนี้แบ่งออกเป็นทุนที่มอบให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 250 ทุน และเป็นทุนที่มอบให้แก่นิสิตนักศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีจำนวน 20 ทุน
นายรัชต์ยุตม์ เกษมชัยศิริ Country Director เอสซีจี กัมพูชา กล่าวว่าการศึกษานั้นถือเป็นหนึ่งใน 3 ด้านสำคัญที่เอสซีจีมุ่งเน้นในโครงการรับผิดชอบต่อสังคม โดยอีก 2 ด้านคือด้านสุขภาพและด้านสิ่งแวดล้อม
นายรัชต์ยุตม์ เกษมชัยศิริ กล่าวว่า “ที่เอสซีจี เราได้มุ่งมั่นกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคนในประเทศที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ และการส่งเสริมด้านการศึกษาเป็นปัจจัยหลักเพื่อบรรลุจุดประสงค์นี้ได้ ดังนั้นเราเชื่อว่าการสนับสนุนเงินทุนจะทำให้นักเรียนทุนฯ สามารถตั้งใจศึกษาได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องทุนทรัพย์ และเราหวังว่าโครงการ Sharing the Dream นี้จะช่วยผลักดันให้นักเรียนทุนฯ สามารถทำฝันให้เป็นจริงได้”
พิธีมอบทุนการศึกษานี้จัดขึ้นโดยมี H.E. Som Rattana ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬาของกัมพูชา และนายเชิดเกียรติ อัตถากร เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศกัมพูชาร่วมเป็นประธานในพิธี
H.E. Som Rattana กล่าวว่าเอกชนอย่างเอสซีจีได้มีส่วนสำคัญมากในการส่งเสริมและสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาในด้านการศึกษา
“การมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษาเพื่อช่วยสานฝันให้ทุกคนนั้นสำคัญมาก บางคนอาจมีความฝันต่างๆ แต่ขาดปัจจัยที่จะสานต่อความฝันนั้นๆ ให้เป็นจริงได้ ดังนั้นการช่วยทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริงนั้นจึงสำคัญมากต่อพวกเราทุกคน”
ด้านนายเชิดเกียรติ อัตถากร เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศกัมพูชาได้กล่าวอวยพรให้นักเรียนทุนฯ ประสบความสำเร็จในการศึกษาด้วยการสนับสนุนจากเอสซีจี
นายชูเกียรติกล่าวว่า “นอกจากการศึกษาจะเป็นประตูสู่โอกาสต่างๆ สำหรับนักเรียน นักศึกษาแล้ว การศึกษายังถือเป็นการรักษาความสงบและความรุ่งเรืองของประเทศด้วย ประเทศกัมพูชาเองเต็มไปด้วยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและศักยภาพ ซึ่งต้องการความเอาใจใส่และจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนอนาคตที่สำคัญของประเทศต่อไป”
นาย Khom Keo นักเรียนทุนฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากมหาวิทยาลัยวิทยาการสุขภาพ ได้กล่าวแสดงความยินดีหลังจากได้รับทุนสนับสนุนนี้ว่า “ผมมีความสุขมากเพราะว่าโครงการนี้ได้ช่วยสนับสนุนนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่ยากจน และยังคงให้การสนับสนุนต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้วย ดังนั้นจึงช่วยให้คนที่ขาดกำลังทรัพย์แต่มีความฝัน ได้สานต่อความฝันและสร้างอนาคตของตนเองได้”
โครงการ SCG Sharing the Dream เริ่มจัดตั้งขึ้นในปีพ.ศ.2557 เป็นโครงการที่มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อ และต้องการเงินทุนสนับสนุน รวมทั้งมีความห่วงใย ใส่ใจสังคมและเคารพญาติผู้ใหญ่ด้วย
นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จับมือนายภเดช กันตจินดา กรรมการบริหาร “ร้านนิตยาไก่ย่าง” ร้านอาหารไทยอีสานระดับตำนาน ที่เปิดให้บริการคนไทยมานานกว่า 22 ปี และขยายกิจการต่อเนื่องจนปัจจุบันมีจำนวนร้านอาหารทั้งสิ้น 25 สาขา ร่วมกันมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี อิ่มอร่อยสุดคุ้มกับสิทธิพิเศษ 2 ต่อดังนี้
1) รับฟรี เลมอนลิ้นจี่หวานเย็น 1 ที่ มูลค่า 50 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป และ
2) ลดเพิ่ม 15% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ต่อเซลส์สลิป ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 - 31 ตุลาคม 2566
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือที่เว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/promotion/dining/thai/nittayakaiyang สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก เคทีซี ทัช ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ http://bit.ly/apply-ktc
รายงาน Quarterly Global Outlook ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ของธนาคารยูโอบี เผย 10 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศในอาเซียนสามารถรับมือความผันผวนของตลาดในอนาคต
ปี 2565 ถูกรุมเร้าด้วยผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 ความขัดแย้งทางทหารระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน การหยุดชะงักของอุปทานในกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราเงินเฟ้อสูงในรอบหลายทศวรรษทั่วโลก การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเฟดและธนาคารกลางอื่นๆ และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ แต่เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถต้านทานความผันผวนของตลาดการเงินในปี 2565ไว้ได้
รายงานของยูโอบี ได้สรุป 10 ปัจจัยสำคัญที่สะท้อนความยืดหยุ่นของประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับความผันผวนของตลาดตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการรับมือกับความผันผวนของตลาดในอนาคตด้วยเช่นกัน
1. เศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 2-3 ของปี 2565 จากการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยมาเลเซียมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในอาเซียนในไตรมาส 3 ปี 2565
2. ผลผลิตของประเทศในอาเซียน (ยกเว้นประเทศไทย) กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิดแล้ว จากอุปสงค์การส่งออกและการเปิดเศรษฐกิจใหม่ที่กระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ
3. การค้าในอาเซียนยังแข็งแกร่ง โดยในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ผู้ส่งออกและภาคการผลิตในอาเซียนเป็นผู้ได้ประโยชน์หลัก แต่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอุปสงค์ทั่วโลกคาดว่าจะอ่อนตัวลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและกิจกรรมทางธุรกิจ
4. การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การยกเลิกข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และการเปิดเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ในอาเซียนอีกครั้งตั้งแต่กลางปี 2565 ทำให้อาเซียนฟื้นตัวเร็วขึ้นจากกระแสนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและตลาดภาคบริการที่ดีดตัวขึ้น ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะเป็นเสาหลักสำหรับเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2566 และเมื่อจีนผ่อนคลายนโยบายปลอดโควิดและเปิดพรมแดนอีกครั้งจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนให้การท่องเที่ยวในอาเซียนฟื้นตัว
5. อัตราเงินเฟ้อในอาเซียนโดยทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วในปี 2565 ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
6. การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน สัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จากอาเซียนโดยเฉพาะเวียดนามเพิ่มขึ้น ในขณะที่การนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีนลดลงหลังจากปี 2559 ซึ่งโดยรวมจะส่งผลดีต่ออาเซียนในฐานะศูนย์กลางการผลิตและการส่งออก
7. จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานส่งผลให้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอาเซียนเพิ่มขึ้น 44% ในปี 2564 ทำสถิติสูงสุดที่ 175.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอาเซียนมี FDI ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐฯ และจีน
8. ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่สะสมเพิ่มขึ้นตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ทำให้มีเกราะป้องกันมากขึ้นจากความผันผวนของตลาดการเงิน
9. ความสามารถในการชำระค่านำเข้าเป็นอีกปัจจัยที่สะท้อนความแข็งแกร่ง โดยประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่มีเงินสำรองเพียงพอสำหรับการชำระค่านำเข้า 3 เดือน
10. ประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่มีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเงินสำรอง
เศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตช้าลงในปี 2566
นายเอ็นริโก้ ทานูวิดฮาฮา นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารยูโอบี สิงคโปร์ เผยว่า “แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นช่วยให้ตลาดอาเซียนสามารถต้านทานความผันผวนของตลาดการเงินในปี 2565 ได้ แต่คาดว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ท้าทายและมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ภาวะการเงินที่ตึงตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ตึงเครียดมากขึ้น และความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงปัจจัยเสริมอื่นๆ เนื่องจากเศรษฐกิจของอาเซียนมุ่งเน้นการส่งออกเป็นหลักตลอดจนเป็นแหล่งรองรับเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก เราจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้”
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงเหล่านี้อาจถูกลดทอนลงบ้างจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมภายในประเทศ การผ่อนคลายข้อจำกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเปิดการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม การเดินทาง ที่พัก และอื่นๆ ภายในประเทศ และเมื่อจีนเปิดพรมแดนอีกครั้งจะช่วยฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม
“โดยรวมแล้วเราคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของ GDP ทั่วโลกจะลดลงในปี 2566 โดยตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และอังกฤษ มีอัตราการเติบโตที่ลดลงทั้งปี ในขณะที่ประเทศเศรษฐกิจหลักในอาเซียน (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และ เวียดนาม) คาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงต่ำกว่า 5% ในปี 2566 จากที่สูงกว่า 6% ในปี 2565” นายเอ็นริโก้ กล่าวปิดท้าย
ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ แพทยสภา เปิดตัวแอปพลิเคชัน MD eConnect ผู้ช่วยบริหารจัดการสำหรับแพทย์และนักศึกษาแพทย์ทั่วประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลสำคัญบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ลดการเดินทาง เข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตอบโจทย์วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ พร้อมมุ่งเป้าต่อยอดความร่วมมือ ยกระดับการพัฒนาบริการด้านสาธารณสุขทั่วประเทศอย่างยั่งยืน
ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และยกระดับการให้บริการด้านสาธารณสุขให้ทันสมัย มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ตามนโยบาย Thailand 4.0 โดยในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากธนาคารกรุงไทย นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเชื่อมโยงข้อมูลสมาชิกของแพทยสภาในระบบ MD eService และพัฒนาขึ้นมาเป็น แอปพลิเคชัน MD eConnect ที่สามารถใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ ได้ทุกที่ทุกเวลา 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการให้บริการกับสมาชิกแพทยสภาซึ่งปัจจุบันมีแพทย์จำนวนประมาณ 70,000 คน และนักศึกษาแพทย์จำนวนประมาณ 16,800 คนทั่วประเทศ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (PDPA) เป็นสำคัญ และรักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วยเทคโนโลยี Self-Sovereign Identity (SSI) ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ ของแพทยสภา ผดุงไว้ซึ่งความเป็นธรรม มุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐานวิชาชีพ และมาตรฐานด้านสุขภาพของประชาชน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ พร้อมยกระดับชีวิตคนไทยทุกกลุ่มในทุกมิติ โดยให้ความสำคัญกับแผนงานด้านการรักษาพยาบาลและสุขภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ระบบนิเวศน์หลักของธนาคาร เดินหน้ายกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศโดยพัฒนาระบบ Krungthai Digital Health Platform สำหรับกลุ่มโรงพยาบาล คลินิก และร้านยา รวมถึงพัฒนาฟังก์ชันและบริการใหม่ๆ ของ Health Wallet บนเป๋าตังสำหรับประชาชน เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และสร้างระบบการบริการสุขภาพที่ทันสมัย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และมีการขยายความร่วมมือกับโรงพยาบาลพันธมิตร ในการพัฒนา Smart Hospital มาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดร่วมมือกับแพทยสภา พัฒนาแอปพลิเคชัน MD eConnect ยกระดับการให้บริการแก่แพทย์ภายใต้การดูแลของแพทยสภาประมาณ 70,000 คน และเตรียมพร้อมขยายการให้บริการ รองรับนักศึกษาแพทย์ทั่วประเทศ ด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ ของผู้ใช้ เชื่อมต่อกับระบบยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ให้สามารถยืนยันตัวตนผ่านแอปฯ "เป๋าตัง" ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้งาน เพื่อความมั่นใจ แม่นยำและอำนวยความสะดวกผู้ใช้ พร้อมด้วยฟีเจอร์ Digital MD Card บัตรประจำตัวในรูปแบบ Virtual ID ที่เชื่อมโยงข้อมูลจาก MD Card สามารถแสดงบัตรประจำตัวผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้กระดาษ นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัวผ่านแอปฯ ด้วยตนเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้การจัดการ ด้านข้อมูลส่วนบุคคล และการจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบเอกสารรับรอง (Verifiable Credential: VC) ดำเนินการผ่านระบบดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี Self-Sovereign Identity (SSI) ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล พร้อมเพิ่มระดับความปลอดภัยในการใช้งานด้วยรหัส PIN และ Biometric
MD eConnect เป็นแอปพลิเคชันที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแพทย์และนักศึกษาแพทย์ ที่มีข้อจำกัด ในเรื่องเวลา ตอบโจทย์ให้ชีวิตง่ายขึ้นในแอปฯ เดียว ครอบคลุมทุกบริการ สะดวก ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งการสมัคร และจ่ายค่าธรรมเนียมการออกบัตร MD Card การลงทะเบียนสมัครเรียนและสอบ เช็กคะแนนในระบบการศึกษาต่อเนื่องของแพทย์ (CME) และการลงคะแนนเลือกตั้งแพทยสภา พร้อมบริการอัปเดตข้อมูลข่าวสารจากเว็บไซต์แพทยสภาให้ไม่พลาดกิจกรรมและข้อมูลสำคัญ เพิ่มช่องทางการติดต่อกับแพทยสภา ด้วยบริการส่งเรื่องร้องเรียน และคำปรึกษาผ่านบริการกล่องข้อความ
ธนาคารกรุงไทย มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานบริการสาธารณสุข นำเทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาเชื่อมต่อข้อมูลและประวัติการรักษาคนไข้ในระบบ HIE (Health Information Exchange) จากโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการกว่า 260 โรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อให้แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลด้วยการสแกน QR Code แทนการกรอกบัญชีผู้ใช้งานและรหัสผ่าน ช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลรวดเร็ว ครบถ้วนและถูกต้อง ประหยัดเวลาในการรักษา หลีกเลี่ยงการตรวจรักษาที่ไม่จำเป็น และช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องในกรณีที่ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาต่างโรงพยาบาล นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย ยังมีแผนร่วมมือกับแพทยสภา ต่อยอดการนำ MD Digital ID เชื่อมโยงกับระบบต่างๆ ทางการแพทย์ เพื่อให้การยืนยันตัวตนของแพทย์ถูกต้อง ได้มาตรฐาน ป้องกันการปลอมแปลง โดยสามารถนำไปสนับสนุนการออกเอกสารรับรองในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ใบรับรองแพทย์ดิจิทัล เพื่อเป็นเอกสารประกอบการพิจารณาและในการเบิกจ่าย โดย MD Digital ID ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นในการเข้ารับบริการ การแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine ให้กับประชาชน เพื่อการยกระดับการบริการ สร้างระบบการบริการสุขภาพที่ทันสมัย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ เสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบสาธารณสุขในประเทศอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน
พล.อ.ท. นพ. อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภากล่าวว่า แพทยสภาจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อจัดทำโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศ ร่วมกับธนาคารกรุงไทยเป็นเวลากว่า 2 ปี โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูล ของแพทยสภาและการบริการของสมาชิกผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม สมาชิกที่สนใจสามารถใช้บริการ MD eConnect ในเฟสแรกและส่งคำแนะนำกลับมายังแพทยสภา เพื่อนำไปพัฒนาและยกระดับการให้บริการให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งนี้สมาชิกแพทยสภาสามารถดาวน์โหลดแอปฯ MD eConnect และแอปฯ เป๋าตัง เพื่อใช้ยืนยันตัวตน ได้ตั้งแต่วันนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tmc.or.th หรือสอบถามข้อมูลการใช้งาน MD eConnect ได้ที่ แพทยสภา หมายเลขโทรศัพท์ 02-590-1887 และ 099-498-4509 และสอบถามข้อมูลการยืนยันตัวตน ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ได้ที่ Krungthai Contact Center 02-111-1111