December 17, 2025

นายเบนจามิน ซาวัคกี้ ผู้เชี่ยวชาญโครงการระดับอาวุโสของมูลนิธิเอเชีย กล่าวสุนทรพจน์ในงาน EAS Hackathon Combatting Marine Plastic ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565

 ออสเตรเลีย อินเดีย และสิงคโปร์ ผนึกกำลังร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแฮกกาธอนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก หรือ EAS (East Asia Summit) Hackathon ในหัวข้อ “การต่อสู้กับปัญหาขยะพลาสติกในทะเล (Combating Marine Plastic)” เมื่อวันที่ 13 - 16 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยงานแฮกกาธอนครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พณฯ วิล แนนเคอร์วิส (H.E. Will Nankervis) เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำอาเซียน; พณฯ ไชยันต์ โคบราเกด (H.E. Jayant Khobragade) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอาเซียน และนาย บอร์ก เซียน ธรรม (Borg Tsien Tham) อุปทูตผู้แทนถาวรประเทศสิงคโปร์ประจำอาเซียน เป็นประธานเปิดการแข่งขัน ร่วมด้วยเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่จาก EAS รวมถึงเจ้าหน้าที่อาวุโสจากสำนักเลขาธิการอาเซียน องค์กรภาคประชาสังคม และผู้แทนจากภาคเอกชน ทั้งนี้ มีตัวแทนจากประเทศไทย 1 ทีมเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

การแข่งขันแฮกกาธอนครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จของงาน EAS Marine Plastic Debris Workshop ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2565 โดยได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิเอเชีย (TAF) มูลนิธิอาเซียน และ องค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งเครือจักรภพ (CSIRO) ประเทศออสเตรเลีย นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประเทศสิงคโปร์ (Singapore’s National Environment Agency) และศูนย์บริการข้อมูลมหาสมุทรและการวิจัยชายฝั่งแห่งชาติประเทศอินเดีย (India’s National Centres for Ocean Information Services and Coastal Research) ที่มาร่วมแบ่งปันข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทางทะเลระดับภูมิภาคให้แก่ผู้เข้าร่วมงานได้รับทราบ

เยาวชนจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วม EAS (EPCs) ได้เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลอย่างแอปพลิเคชันในการช่วยตรวจสอบปริมาณขยะในทะเลให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการทิ้งขยะเป็นจำนวนมาก รวมถึงกระตุ้นให้ภาคธุรกิจลดการใช้พลาสติกและหันมารีไซเคิลพลาสติกให้มากขึ้น

ลพิษขยะพลาสติกในทะเลถือเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง โดยคิดเป็น 80% ของมลพิษทางทะเลทั้งหมด ซึ่งในแต่ละปีจะมีปริมาณพลาสติกมากถึง 8-14 ล้านเมตริกตันถูกทิ้งลงในมหาสมุทร อีกทั้งยังมีพลาสติกและไมโครพลาสติกกว่า 20-75 ล้านล้านชิ้นในมหาสมุทร ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2593 ปริมาณขยะพลาสติกจะมีน้ำหนักมากกว่าปลาทั้งหมดในมหาสมุทร โดยปัญหาดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบร้ายแรงกับสัตว์ทะเลและระบบนิเวศเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และสุขภาพของมนุษย์เช่นเดียวกัน

หลายภาคส่วนได้ริเริ่มมาตรการและโครงการต่างๆ มากมายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการห้ามใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic) การจัดตั้งธนาคารแปรรูปขยะ และการสนับสนุนการใช้พลาสติกรีไซเคิล เช่นเดียวกับแอปพลิเคชันที่เหล่าเยาวชนได้พัฒนาขึ้นระหว่างการแข่งขันแฮกกาธอนครั้งนี้ ที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการจัดการกับปัญหามลพิษขยะทางทะเลที่เกิดขึ้น

พณฯ วิลล์ นานเคอร์วิส เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำอาเซียน กล่าวว่า “ปัญหาของพลาสติกในทะเลจะไม่ได้รับการแก้ไข หากขาดการมีส่วนร่วมของเยาวชนอย่างยั่งยืน”

“เพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ การตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมในวงกว้างจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคมถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง” พณฯ ไชยันต์ โคบราเกด เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอาเซียน กล่าวเสริม

นาย บอร์ก เซียน ธรรม อุปทูตผู้แทนถาวรประเทศสิงคโปร์ประจำอาเซียน กล่าวย้ำว่า “งานแฮกกาธอนครั้งนี้เปรียบเสมือนเวทีสำคัญที่ให้เหล่าเยาวชนของเราได้มีโอกาสโชว์ทักษะความสามารถและไอเดียการแก้ปัญหาที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์”

งานแฮกกาธอนครั้งนี้มีทีมผู้แข่งขันจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกทั้งหมด 13 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา อินเดีย อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ สาธารณรัฐเกาหลี ไทย และเวียดนาม โดยในระหว่างการแข่งขัน ทีมที่เข้าร่วมยังได้รับคำแนะนำจากคณะผู้เชี่ยวชาญ และต้องผ่านการประเมินจากคณะกรรมการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลาสติกในทะเล และกลุ่มผู้ประกอบการต่างๆ

ชาญฤทธิศักดิ์ พก และบุญเนตร พึง จากประเทศกัมพูชา ผู้ชนะรางวัลอันดับหนึ่ง ของ EAS Hackathon ในหัวข้อ Combatting Marine Plastic

ทีมตัวแทนจากกัมพูชา ชาญฤทธิศักดิ์ พก (Chanrithisak Phok ) และ บุญเนตร พึง (Bunnet Phoung) ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะรางวัลอันดับหนึ่งของการแข่งขัน EAS Hackathon หลังจากผ่านกระบวนการการตัดสินอย่างยุติธรรมและเข้มข้น โดยทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการสร้างแอปพลิเคชันที่มาจากความภักดีของลูกค้า หรือ loyalty-based application ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถลดการใช้พลาสติกลงได้ แอปพลิเคชันนี้ยังเชื่อมต่อกับร้านค้ามากมาย ตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงร้านขายของใช้ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าจากร้านค้าเหล่านี้โดยไม่ใช้พลาสติก จะได้รับสิทธิ์ในการสแกนคิวอาร์โค้ดที่กำหนดไว้เพื่อเปลี่ยนเป็นรางวัลผ่านทางแอปพลิเคชันได้

รางวัลที่สองและรางวัลที่สามตกเป็นของทีมตัวแทนจากสาธารณรัฐเกาหลี กู ฮง มิน (Gu Hong Ming) และ ทอ ฮง มิน (To Hong Ming) และทีมตัวแทนจากมาเลเซีย ห่าวเจียต้า (Hoh Jia Da) ฟาง แจ๊ค ออสการ์ หลิง (Fang Jack Oscar Ling) ตามลำดับ

“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้ และรู้สึกตื่นเต้นที่เราจะมีโอกาสได้นำเสนอไอเดียของเราต่อบุคคลสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโปรแกรมการอบรมของ CSIRO และเครือข่ายที่เราสร้างขึ้น

(ในช่วงการแข่งขันแฮกกาธอน) จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันของเรา และสร้างผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ในที่สุด” ชาญฤทธิศักดิ์ พก และบุญเนตร พึง ทีมผู้ชนะจากกัมพูชา กล่าว

ชาญฤทธิศักดิ์ พก ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าแนวคิดของพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้อมูลที่พวกเขาค้นพบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนทำให้เกิดมลพิษขยะพลาสติกในทะเลมากถึง 31%

นอกจากโอกาสในการได้เป็นวิทยากรในเวทีระดับภูมิภาคแล้ว ผู้ชนะการแข่งขันแฮกกาธอนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก (EAS Hackathon) ยังได้รับรางวัลเงินสดมูลค่าทั้งสิ้น 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือราว 250,000 บาท) พร้อมโอกาสในการเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมที่ศูนย์นวัตกรรมพลาสติกของ CSIRO ด้วย

ดร. หยาง หมี่ เอ็ง ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิอาเซียน กล่าวว่า “การมีส่วนร่วมของเยาวชนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความตระหนักรู้เรื่องปัญหาพลาสติกในทะเล ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าพลังของเยาวชนจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการแก้ปัญหานี้ได้ โดยเมื่อพิจารณาจากผลงานที่ทีมผู้เข้าแข่งขันได้ส่งเข้ามา เราพบไอเดียความสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่น่าสนใจมากมายที่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เราหวังว่าการแข่งขันแฮกกาธอนครั้งนี้จะช่วยปูทางไปสู่การวิจัย การสร้างสรรค์นวัตกรรม และสร้างความตระหนักรูู้แก่สาธารณชนโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนให้มากขึ้นในอนาคต

มินเทลเผยรายงานภาพรวมตลาดอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

มินเทล ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยความต้องการของผู้บริโภคและปัจจัยขับเคลื่อน ได้เผยแพร่รายงานภาพรวมตลาดอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ให้ความสำคัญกับปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ เงินเฟ้อและความคุ้มค่า สุขภาพกายและสุขภาพจิต และ ประสบการณ์รสสัมผัสยุคใหม่ ผ่านการสำรวจแนวโน้มผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงของตลาดอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

คุณ โจลีน อึ้ง นักวิเคราะห์อาวุโสด้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลกของมินเทล กล่าวถึงกลยุทธ์ที่แบรนด์ควรใช้เพื่อช่วยผู้บริโภคในเอเชีย-แปซิฟิกจัดการกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ความคุ้มค่ากลายเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ข้อแนะนำต่าง ๆ ในรายงานนี้มาจากการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารระดับภูมิภาคของมินเทล

 

เงินเฟ้อและความคุ้มค่า

“ผู้บริโภคที่คำนึงถึงงบประมาณการใช้จ่ายจะเลือกเข้าร้านที่ถูกกว่าและเลิกซื้อสินค้าจากแบรนด์ประจำเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานการณ์นี้เป็นทั้งความเสี่ยงต่อร้านค้าปลีกเพราะผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปเข้าร้านคู่แข่งที่มีความคุ้มค่ามากกว่า และยังเป็นทั้งโอกาสให้ร้านค้าปลีกจัดโปรโมชันราคาประหยัดเพื่อดึงดูดลูกค้า การจัดโปรโมชันสำหรับสินค้าจำเป็นที่เน่าเสียยากจะดึงดูดผู้บริโภคได้ดีเพราะพวกเขากำลังให้ความสนใจกับสินค้าแช่แข็งและสินค้าที่เก็บได้นาน

“นอกจากนี้ หมวดหมู่อาหารเพื่อความสุขจะมีความต้องการสูง ในช่วงการระบาดใหญ่ ผู้บริโภคได้หาความสุขให้ตัวเองผ่านความสะดวกสบาย แต่ในปัจจุบัน งบที่น้อยลงทำให้ผู้บริโภคหันไปหาความสุขจากสินค้าที่มีราคาถูกกว่าเดิม แบรนด์ค้าปลีกสามารถใช้โอกาสนี้ในการเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคที่เกิดจากการลดการจับจ่ายนอกบ้านด้วยการมอบอาหารและบริการเพื่อความสุขในราคาที่ถูกลง

“เงินเฟ้อยังมอบโอกาสให้แบรนด์ขนมขบเคี้ยวของร้านค้าปลีกพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ แบรนด์ขนมขบเคี้ยวสามารถนำเสนอคุณภาพของสินค้าและจัดวางตำแหน่งทางการตลาดในหมวดหมู่สินค้าราคาประหยัด การเพิ่มรสชาติใหม่ ๆ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นสิ่งสำคัญในการขยายฐานลูกค้า”

สุขภาพกายและสุขภาพจิต

“โควิด-19 ได้เปลี่ยนชีวิตประจำวันของคน เปลี่ยนการนอนหลับของผู้บริโภคในทุกช่วงอายุ งานวิจัยด้านความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภคอินเดียในด้านจิตใจและอารมณ์พบว่าร้อยละ 66 ของผู้ใหญ่ชาวอินเดียบอกว่าปัญหาด้านการนอนหลับ (เช่น การนอนไม่หลับและความเหนื่อยล้า) มีอาการเหมือนเดิมหรือแย่ลงในช่วงการระบาด แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคทุกกลุ่มต้องการอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยแก้ปัญหาด้านการนอนหลับเพื่อการมีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่แข็งแรง นอกเหนือจากการนอนหลับ แบรนด์สามารถช่วยผู้บริโภคจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลด้วยการมอบการสนับสนุนทางโภชนาการส่วนบุคคลเพื่อความสมดุลของฮอร์โมนและสุขภาพที่ดี

“เทรนด์ความงามที่กินได้ยังมอบโอกาสให้กับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ในประเทศจีน ผู้บริโภคหญิงชาวจีนเชื่อในแนวคิดความงามจากภายใน งานวิจัยของเราพบว่าร้อยละ 67 ของผู้บริโภคเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความงามมีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกายโดยรวมได้เช่นกัน ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสามารถใช้ประโยชน์จากแนวคิดของผู้บริโภคได้ด้วยการนำเสนอโซลูชันสุขภาพองค์รวม ตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มหลังออกกำลังกายที่มีการเพิ่มคุณสมบัติด้านความงามอาจได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น”

ประสบการณ์รสสัมผัสยุคใหม่

“ไลฟ์สไตล์การสร้างความสำราญภายในบ้านช่วยให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้นในการรับประทานเบเกอรีที่บ้าน ในประเทศญี่ปุ่น สินค้าพร้อมอบแช่แข็งได้รับความนิยมสูงเพราะทำง่ายและเก็บได้นาน โดยเฉพาะชนิดที่อบง่ายและละลายเร็ว

“การโฆษณาผลิตภัณฑ์เบเกอรีนั้นทำได้หลายวิธี แต่การนำเสนอด้วยรูปภาพที่น่าสนใจจะเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดลูกค้า งานวิจัยของเราพบว่าร้อยละ 38 ของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นคิดว่าการนำเสนอนั้นมีความสำคัญเทียบเท่ากับรสชาติของอาหาร

แบรนด์อาหารเพื่อความสุขควรพัฒนาการรับรองด้านสุขภาพและมอบตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับลูกค้า โดยเฉพาะในหมู่ผู้บริโภคที่คำนึงถึงสุขภาพ

“ในขณะเดียวกัน แบรนด์ในหมวดหมู่น้ำอัดลมควรหาวิธีในการใช้รสชาติเป็นตัวช่วยให้ผู้บริโภคแสดงออกถึงความสนใจและวัฒนธรรมของพวกเขา ดอกไม้และพืชต่าง ๆ เป็นรสชาติใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และแบรนด์สามารถเชื่อมโยงรสชาติเหล่านั้นกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ เช่นการใช้รสซากุระซึ่งเป็นดอกไม้ที่สื่อถึงประเทศญี่ปุ่น การเชื่อมโยงรสชาติเข้ากับวัฒนธรรมยังช่วยเพิ่มความหมายของรสชาตินั้น ๆ ได้อีกด้วย” คุณโจลีน อึ้ง กล่าวสรุป

ปี 2022 ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ได้เวลาที่ LINE ประเทศไทย เปิดอินไซต์พฤติกรรม ความชอบ เทรนด์ฮิตจากผู้ใช้รวมกว่า 53 ล้านคนตลอดปีที่ผ่านมา ผ่านนานาบริการบนแอป LINE ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิตดิจิทัลตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน พบ มูเตลู – เคป๊อป – ช้อปออนไลน์ – อัปสกิลดิจิทัล ครองความนิยมประชากรออนไลน์ไทย พร้อมอีกหลายอินไซต์ที่น่าจับตาอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้า

 

1. มูไม่แผ่ว มูทั่วไทย มูได้ทั้งวัน

· เรื่องมูและความเชื่อ ไม่เคยแผ่วไปจากใจคนไทย เช่นเดียวกันกับบนแอป LINE ที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์และบริการที่เกี่ยวกับสายมูเตลูได้หลากหลาย จนแทบจะเรียกได้ว่าครบวงจรมู เริ่มจาก LINE ดูดวง ที่ออกมาเผยว่ามีคนตักบาตรออนไลน์มากขึ้นถึง 4 เท่าจากปีทีแล้ว โดยเฉพาะช่วงวันพระ ขณะที่สถานที่ที่คนขอพรกับ LINE ดูดวง มากที่สุด 3 ลำดับคือ หลวงพ่อทันใจ ไอ้ไข่ และท้าวเวสสุวรรณ โดยวันที่คนเข้ามาขอพรออนไลน์ มากที่สุดในปีนี้ คือ วันคเณศจตุรถี เป็นวันเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองบูชาพระพิฆเนศ

· ด้าน LINE TODAY ที่มีแท็บดูดวงโดยเฉพาะ ก็เผยว่าฟีเจอร์ “สีเสื้อมงคล” มีคนเปิดเช็กสีถึง 30,000 ครั้งต่อวัน และเข้ามาเปิดไพ่ทาโร่ถึง 42 ล้านครั้งในปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว ไหนจะคนที่เข้ามาตรวจผลลอตเตอรี่ที่พุ่งถึง 10 ล้านครั้งหลังดูไลฟ์ประกาศผลที่แตะยอดวิวถึง 4 ล้านวิวต่องวด

· หรือจะเป็น LINE STICKERS ที่คนหันมาใช้ธีมลายมูเตลู สำหรับความรัก การงาน ความมั่งคั่ง เกินกว่าครึ่งของยอดดาวน์โหลดรวมทั้งหมดเลยทีเดียว

2. เคป๊อป คอนเทนต์เกาหลี – นางงาม พลังแฟนด้อมแรงดีไม่มีตก

· กระแสเคป๊อปเป็นอีกแนวที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะมีเหล่าพลังแฟนด้อมคอยสนับสนุนอย่างเหนียวแน่น ทำให้บริการต่างๆ ของ LINE จัดเต็มคอนเทนต์เคป๊อปกันตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็น LINE VOOM ที่มีคอนเทนต์เกาหลีจาก OSEN และ Muply หรือจะกิจกรรม VOOM riBBon You with BAMBAM ชวนแฟนคลับของ “แบมแบม” ร่วมสนุก หรือจะเป็นแคมเปญพิเศษจาก LINE STICKERS x LINE MELODY พา #TEAMWANG ไปงานแฟนมีทที่งาน Jackson Wang Magic Man Fanmeet

· ด้าน LINE WEBTOON ก็มีเว็บตูนถึง 15 เรื่องที่ถูกนำไปผลิตเป็นซีรีส์ - ภาพยนตร์ในปีที่ผ่านมา อย่าง เช่น All of us are dead, Love and Leashes, The Golden Spoon, Reborn Rich, Lookism, Connect และ ด้านเว็บตูนไทยก็ไม่น้อยหน้า เพราะถูกนำไปแปลและโด่งดังในต่างประเทศ เช่น Good Morning Professor ในฝรั่งเศสและจีน, วันทองไร้ใจ ในอินโดนีเซีย, เมื่อฉันต้องไปอยู่โรงเรียนชายล้วน ในไต้หวัน, อุนจิเรื่องวุ่นๆ ของพระเอกหมาๆ ในอินโดนีเซีย, 25th Hour และ Pastel Love ที่ประเทศจีน ฯลฯ

· ฟาก ‘นางงาม’ ก็ไม่น้อยหน้า เพราะเป็นประเภทที่ได้เติบโตสูงบน LINE OPENCHAT เช่น อิงฟ้า วราหะ เป็นนางงามที่มีกรุ๊ปโอเพนแชทที่เต็ม 5,000 คนเร็วที่สุดภายใน 5 นาทีที่เปิดกรุ๊ปขึ้นมา

3. ช้อปปิ้งออนไลน์ ช้อปได้โหดขึ้นเรื่อยๆ

· ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ LINE SHOPPING พบ “นักช้อปสายเปย์” Top Spender ที่ซื้อของไปแล้วกว่า 5,800 ออเดอร์ เฉลี่ยแล้วเทียบเท่าหนึ่งเดือนช้อปเกือบ 600 ออเดอร์เลย ขณะที่ออเดอร์ที่มูลค่าสูงสุดได้แก่ออเดอร์เครื่องประดับ กว่า 1.8 ล้านบาท ด้าน “นักช้อปสายคุ้ม” ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ ได้ LINE POINTS รวมสะสมเกือบ 7 หมื่นพอยท์ เทียบเท่า 7 หมื่นบาท ซื้อของทุกเดือนเหมือนได้เงินคืนเกือบแสนในหนึ่งปีเลยก็ว่าได้

4. คนไทยตื่นตัว อัปสกิลโลกดิจิทัล ธุรกิจ - ชีวิตส่วนตัว กันอย่างครึกครื้น

· LINE for Business ให้ความรู้คนไทย สู่การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์มาแล้วเกิน 1 ล้านคนในปี 2022 เรียกได้ว่าเป็น 1 ใน 3 ของ SME ไทยทั้งประเทศ ผ่านกิจกรรมอัปเดตเทรนด์ความรู้มากมายตลอดปี ไม่ว่าจะเป็น Thailand Now & Next, NFT for Business ไปจนถึง SME BOOTCAMP Roadshow ที่บุกกระจายความรู้สู่ต่างจังหวัด 4 ภาคทั่วไทย และรายการ SME Biz Talk ที่ออกอากาศผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และโทรทัศน์ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ความรู้คนไทยสู่การทำธุรกิจบนโลกดิจิทัลได้อย่างไร้ข้อจำกัด

· ขณะที่ด้านการเป็นแอปแชทของ LINE ก็พบว่าผู้ใช้มีความพยายามที่จะจัดระเบียบชีวิตและการสื่อสารบนโลกออนไลน์ให้ลงตัวยิ่งขึ้น จากการใช้ฟีเจอร์ไม่ลับ (แต่คนไม่ค่อยรู้) เพิ่มขึ้น อย่าง Chat Folder ที่จะช่วยจัดกลุ่มประเภทแชท ให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น โดยจะแบ่งทั้งเป็นแบบแชทส่วนตัว แชทกลุ่ม บัญชีทางการ โอเพนแชท ซึ่งบน LINE Desktop ยังสามารถเพิ่มโฟลเดอร์ใหม่ได้ด้วย กับฟีเจอร์ Silent Messaging ไม่ว่าจะส่งข้อความ หรือ ไฟล์ กดค้างที่ปุ่มส่งออกและเลือก "ส่งโดยไม่แจ้งเตือน' ก็สามารถส่งแบบเงียบๆ ได้แล้ว ซึ่งสามารถตั้งค่าเปิดใช้งานได้ที่ LINE Labs ในแท็บตั้งค่า

นอกจากนี้ เก็บตกอินไซต์ที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายบนแอป LINE ในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่:

· อาหารอีสานครองแชมป์เมนูยอดฮิตอันดับ 1 บน LINE MAN ไม่ว่าจะเป็น ส้มตำปูปลาร้า, ส้มตำป่า, ส้มตำไทย, ลาบหมู, คอหมูย่าง, น้ำตกหมู และข้าวเหนียว คนไทยนิยมสั่งเดลิเวอรีมากินตลอดวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น

· เทรนด์ LINE STICKERS ที่คนใช้เยอะในปีนี้ เป็นแนว ‘มินิมอล’

· เพลงฮิต รางวัล BLACK MELODY ยอดดาวน์โหลดบน LINE MELODY สูงสุด ได้แก่ 1. แค่มีเธอไปเดินเตะคลื่นทะเลด้วยกัน - No One Else 2. ถ้าเธอยังไหว(เพลงจากละคร ใต้หล้า) - บูม สหรัฐ 3. ฮอร์ไมโอน้อง (Hermionong) - TheChanisara 4. ชอบตัวเองตอนอยู่กับเธอ - Billkin 5. วาดไว้ – BOWKYLION

· ผู้เล่นเกม LINE Rangers ต้องทำการช่วยเหลือ Sally เฉลี่ยสัปดาห์ละกว่า 42 ล้านครั้ง เท่ากับ Sally จะต้องตกอยู่ในอันตราย เฉลี่ยวันละ 6 ล้านครั้ง คิดแล้วเหนื่อยแทน Sally จริงๆ

· Rabbit LINE Pay ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ออกบัตรเครดิต LINE POINTS สูงสุด แจกพอยท์ไปแล้วกว่า 650 ล้านพอยท์ตั้งแต่เปิดตัวในเดือน ก.ค. 2564 โดย 98% พอยท์ที่ถูกนำไปใช้เป็นส่วนลดแทนเงินสดผ่าน Rabbit LINE Pay เช่น ชำระบิล หรือซื้อสินค้าที่ LINE SHOPPING

· Envelope ที่คนนิยมส่งมากที่สุดเมื่อมีการโอนเงินบน LINE BK คือ 1. บอกรัก 2. แสดงความยินดี 3. บอกรักพ่อแม่

 กรมประมง ร่วมกับ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOA) เพื่อร่วมกันศึกษาวิจัยการจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล เพื่อการประมงจากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมนอกชายฝั่งอ่าวไทย ณ ห้องประชุมอานนท์ กรมประมง กรุงเทพฯ

การศึกษาวิจัยการจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลเพื่อการประมงจากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม นอกชายฝั่งทะเลอ่าวไทยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อการประมง ฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์ รวมถึง ส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาองค์ความรู้ของประเทศต่อการบริหารทรัพยากร สัตว์น้ำให้สอดคล้องกับแนวทางการรักษาสมดุลระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืนอีกด้วย

นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงด้วยมาตรการหลากหลายรูปแบบ การจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลหรือปะการังเทียมเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของ สัตว์น้ำนับเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญในการสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ เพื่อฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์ทะเลตามธรรมชาติ ที่ผ่านมากรมประมงได้มีการศึกษาและพัฒนาวัสดุและรูปแบบการจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลมาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันกรมประมงใช้แท่งคอนกรีตเป็นมาตรฐานในการจัดสร้าง เนื่องจากเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับความร่วมมือในการจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลด้วยวัสดุขาแท่นปิโตรเลียม เป็นการนำร่องในการศึกษา ด้านแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลรูปแบบใหม่ในประเทศไทยที่ยังมีการศึกษาที่ไม่ครอบคลุมด้านการประมงจึงต้องอาศัยความร่วมมือกัน ในการพัฒนาองค์ความรู้ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อวางแนวทางการใช้ประโยชน์จากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมอย่างเหมาะสมในอนาคต นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับด้านวิชาการและด้านการประมงที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศใหม่ที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ เพิ่มความมั่นคงทางด้านอาหาร ตลอดจนส่งเสริมการทำประมงนอกชายฝั่งและการทำประมงชายฝั่งให้เกิดความยั่งยืนต่อการประกอบอาชีพของพี่น้องชาวประมง อีกทางหนึ่งด้วย

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ. ดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ในอ่าวไทยมากว่า 37 ปี ซึ่งปัจจุบันกิจกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบางพื้นที่ในอ่าวไทยได้สิ้นสุดลง สิ่งติดตั้งและอุปกรณ์ การผลิตซึ่งจะต้องทำการรื้อถอนหลังจากที่สิ้นสุดการทำหน้าที่ ในการผลิตปิโตรเลียมเพื่อเป็นพลังงานให้กับประเทศแล้วนั้น ยังสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อในการทำหน้าที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลได้ ซึ่งการนำขาแท่นผลิตปิโตรเลียมไปจัดสร้างเป็นปะการังเทียมในระดับน้ำลึกราว 50-60 เมตร เพื่อเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลและช่วยเพิ่มผลผลิตที่เป็นประโยชน์ ต่อการประมง ซึ่งนับเป็นแนวทางที่ทั้ง 5 หน่วยงาน จะมาร่วมกันศึกษาเพื่อเป็นทางเลือกในการนำทรัพยากรดังกล่าวมาใช้ให้เกิดคุณค่าและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อท้องทะเลไทย

การลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกหน่วยงานมาร่วมกันศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ในการนำ ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมไปจัดสร้างเป็นแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลเพื่อการประมง รวมถึง การนำไปต่อยอดให้เกิดการปฏิบัติได้จริง ในอนาคต

 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้เส้นทางการบินระหว่างประเทศ ฮานอย – กรุงเทพฯ พร้อมให้บริการผู้โดยสารทุกวัน ด้วยค่าโดยสารเริ่มต้นเพียง 88 บาท ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวเส้นทางการบินระหว่างประเทศครั้งแรกของสายการบินเวียดทราเวล ผู้โดยสารทุกท่านสามารถจองตั๋วโดยสาร ดูข้อมูลเที่ยวบิน และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vietravelairlines.com/

แพทย์ รพ. วิมุต เผยกลุ่มเสี่ยง สัญญาณอันตราย และวิธีดูแลสุขภาพปอดให้แข็งแรง ในช่วงที่โควิด-19 ยังอยู่และฝุ่น PM 2.5 กลับมาแล้ว

ปอด เป็นหนึ่งในอวัยวะภายในที่สำคัญของร่างกาย ที่ทุกคนได้เรียนกันตอนเด็ก ๆ ว่า มนุษย์หายใจด้วยปอด เพราะปอดเป็นส่วนสำคัญของระบบทางเดินหายใจ ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ (gas exchange) โดยเอาก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต (blood circulation) ของร่างกายและนำเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการสันดาปพลังงานเพื่อเผาผลาญอาหารออกไปจากร่างกาย ออกซิเจนที่ร่างกายได้รับจากการหายใจจากปอด ก็เข้าสู่หลอดเลือด และหัวใจสูบฉีดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้นหากระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะปอดทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลต่อการทำงานของเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายนั่นเอง

โรคปอด สาเหตุการชีวิตอันดันต้น ๆ ของประชากรไทย

ในปัจจุบัน โรคที่เกี่ยวกับปอด โดยเฉพาะโรคปอดอักเสบ เริ่มเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง หลังจากที่โลกต้องเผชิญกับการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธ์ใหม่หรือโรค โควิด-19 ซึ่งหลาย ๆ ครั้งทำให้เกิดอาการปอดอักเสบรุนแรงจนอาจเสียชีวิตได้ แต่บางคนอาจไม่ทราบว่า จริง ๆ แล้ว ก่อนที่โควิด-19 เกิดเป็นปัญหาโรคระบาดทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย พบว่าประชากรไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะปอด (lung cancer) และปอดอักเสบจากการติดเชื้อ (pneumonia) ในทุกปี ปัจจุบันจากข้อมูลทางสถิติ โรคระบบทางเดินหายใจทั้งสอง นับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในห้าอันดับแรกของประชากรไทย นอกเหนือไปจากโรคหัวใจขาดเลือด และอัมพาตุหรืออัมพฤกษ์ จากโรคหลอดเลือดในสมอง ที่จัดว่าเป็นโรคไม่ติดต่อที่สำคัญที่พบได้บ่อยในประชากรไทย (non-communicable diseases; NCD)

ที่มา https://www.worldatlas.com/articles/leading-causes-of-death-in-thailand.html

วันนี้ รศ.นพ. ธีระศักดิ์ แก้วอมตวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ศูนย์อายุรกรรม รพ.วิมุต จะมาไขข้อข้องใจในเรื่องโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับปอด รวมไปถึงประชากรกลุ่มเสี่ยง ปัจจัยกระตุ้น และปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรค สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ไปจนถึงแนวทางป้องกันโรคปอดที่ทุกคนพึงสามารถทำได้ อย่างเช่น การดูแลสุขภาพปอด หลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ (air pollutants) หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (aeroallergen) ในผู้ป่วยโรคหืดและกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งการงดสูบบุหรี่ (smoking cessation) และ การฉีดวัคซีน (vaccine) เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่นไข้หวัดใหญ่ (influenza) และป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมค็อกคัส ( pneumococcus) เป็นต้น

แพทย์ชี้คนทุกเพศทุกวัยก็เสี่ยงเป็นโรคปอดได้

“ปอดของมนุษย์ไม่ได้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์มาตั้งแต่แรกเกิด เพราะสมรรถภาพปอดที่ดี ต้องอาศัยการเจริญเติบโตที่ดีต่อเนื่องตั้งแต่ในครรภ์ แรกเกิดและในวัยเด็ก (prenatal and perinatal period) ปอดมีพัฒนาการอย่างเต็มที่ในช่วงอายุ 20-25 ปี หลังจากนั้น จะเริ่มคงที่และค่อย ๆ เสื่อมลงตามวัย (aging lungs) แต่เสื่อมเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัยที่มีผลกระทบ เช่น มลพิษทางอาการหรือหรือติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ” รศ.นพ. ธีระศักดิ์ แก้วอมตวงศ์ อธิบาย “ในแง่ของกรรมพันธุ์ ประชากรที่มีโรคปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เช่น โรคหืด หรือ ภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ มีโอกาสที่ปอดทำหน้าที่ไม่เท่ากับประชากรปกติ นอกจากนี้ ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือทารกแรกเกิดที่ตัวเล็กน้ำหนักตัวน้อยก็อาจมีพัฒนาการของปอดที่ไม่ดี อีกปัจจัยหนึ่ง คือคนไข้ที่มีอาการติดเชื้อในปอดแบบเป็น ๆ หาย ๆ การทำงานของปอดก็มีโอกาสเสื่อมถอยลงได้รวดเร็วขึ้น ประกอบกับเมื่อผู้ป่วยดังกล่าวสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้น เช่น ควันบุหรี่ หรือมลพิษทางอากาศ เช่นฝุ่นขนาดเล็กในอากาศ (particulate matter 2.5 หรือ PM 2.5)nทำให้ปอดที่ไม่ดีอยู่แล้ว เกิดเสื่อมถอยของสมรรถภาพปอดเร็วมากขึ้นไปอีก” ดังรูป

ที่มา M. Tsuge et al Children 2022, 9(8), 1253; https://doi.org/10.3390/children9081253

สาเหตุของโรคปอดประเภทต่าง ๆ

โรคเกี่ยวกับปอดจะแบ่งเป็น 2 ประเภทได้ง่ายจากกลไกก่อโรค ได้แก่ โรคติดเชื้อ (infectious diseases) และโรคไม่ติดเชื้อ (non-infectious diseases) ซึ่งโรคปอดจากการติดเชื้อที่เรารู้จักกันได้แก่ ปอดอักเสบจากการติดเชื้อ หรือปวดบวม รวมทั้งโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีการติดเชื้อจากแบคทีเรียและไวรัสอื่น ๆ นอกจากโควิด 19 อีกด้วย เช่น ไข้หวัดใหญ่ และวัณโรคปอด ส่วนโรคไม่ติดเชื้อก็จะแบ่งเป็น โรคที่เป็นมาแต่กำเนิด (inherited diseases) และโรคที่เกิดภายหลัง (acquired diseases) โรคปอดพิการแต่กำเนิด โรคหืด หรือกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้ มักพบในวัยเด็ก มีประวัติในครอบครัวเป็นโรค ซึ่งการป้องกันทำได้ยาก เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยช่วงตั้งครรภ์ หรือก่อนคลอด ส่วนโรคปอดที่เกิดภายหลัง เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต (life style factors) หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว (environmental factors) เช่น การสูบบุหรี่หรือการรับควันบุหรี่มือสอง เพิ่มความเป็นโรคถุงลมโป่งพอง หรือปอดอุดกั้นเรื้อรัง และมะเร็งปอด นอกจากนี้ การสูดมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5, มลพิษทางอากาศ ที่เกิดจากการทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน โดยโรคปอดที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ เหล่านี้ เป็นโรคที่พบในประชากรไทยได้บ่อยมากขึ้น” รศ.นพ. ธีระศักดิ์ กล่าว ส่องสัญญาณเตือนปอดทำงานผิดปกติ แพทย์แนะสังเกตอาการตัวเองก่อนสาย

“สัญญาณเตือนอันดับแรกคือการไอ โดยเฉพาะอาการไอเรื้อรัง อันดับที่ 2 คือ อาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายผิดปกติเมื่ออกแรง อันดับที่ 3 อาการเจ็บหน้าอก ซึ่ง 3 อาการที่พบในผู้ป่วยนี้ เรียกว่าเป็นอาการที่สัมพันธ์กับโรคปอดและระบบทางเดินหายใจ ” รศ.นพ. ธีระศักดิ์ อธิบาย โดยหากมีอาการไอเรื้อรังหรือเกิน 8 สัปดาห์ขึ้นไป ส่วนมากจะไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัสและจะหายเองไม่ได้ จำเป็นต้องรับการตรวจหาสาเหตุ สำหรับอาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ก็อาจเป็นเรื่องปอดหรือไม่ใช่ก็ได้ เช่น อาจเหนื่อยหอบเพราะเป็นโรคโลหิตจางหรือโรคหัวใจ ทั้งนี้ก็ควรพบแพทย์เพื่อประเมินและหาสาเหตุอย่างจริงจัง สุดท้าย สำหรับการเจ็บหน้าอก บางคนเข้าใจว่าเจ็บหน้าอกเป็นเรื่องโรคหัวใจเท่านั้น จริง ๆ อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการโรคปอดได้เหมือนกัน เช่น เจ็บแปลบ ๆ ที่บริเวณชายโครงแบบสามารถชี้จุดที่เจ็บได้ชัดเจน สัมพันธ์กับการหายใจ หรืออาการไอ (pleuritic chest pain) ซึ่งจะต่างจากโรคหัวใจที่จะมีอาการเจ็บใต้ลิ้นปี่ หรือเจ็บหน้าอกด้านซ้ายและชี้จุดที่เจ็บไม่ได้ชัดเจน และสัมพันธ์กับการออกแรง (anginal chest pain) มีอาการเหงื่อแตก ใจสั่น ดังนั้น ถ้าเกิดอาการเหนื่อยหอบ เจ็บหน้าอกดังกล่าว หรือมีอาการไอร่วมด้วย ผู้ป่วยดังกล่าวควรรีบมาตรวจเพื่อสืบค้นสาเหตุและรับการรักษาต่อไป

แนวทางการดูแลให้ปอดแข็งแรงและวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในปอด

สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคปอดมาก่อน เช่น โรคหืดหรือภูมิแพ้ระบบทาง แนะนำให้ติดตามอาการและพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าไม่มีโรคประจำตัว การป้องกันการสัมผัสปัจจัยกระตุ้น มีผลป้องกันการเกิดโรค ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ รวมทั้งควันบุหรี่ ทั้งสูบเองและการรับควันบุหรี่มือสอง ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรตรวจติดตามกับแพทย์ เพื่อให้ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบของปัจจัยดังกล่าวต่อการเกิดโรคไว้ก่อน เพราะหากนิ่งนอนใจ โรคอาจรุนแรงและรักษาได้ยากลำบาก “แต่สำหรับโรคปอดติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อโรคที่มากับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นไวรัส หรือแบคทีเรีย ที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะอาจไปรับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว การป้องกันในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่นผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ที่มีโอกาสเสียชีวิตจากการติดเชื้อดังกล่าวในระบบทางเดินหายใจ มากกว่าประชากรทั่วไป ในประเทศไทย นอกจากการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ หรือโควิด 19 ยังมีวัคซีน 2 ตัวที่ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และปอด คือวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza vaccine) กับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine) ทั้งนี้แนะนำให้พบแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำก่อนฉีดวัคซีนดังกล่าว การรู้จักโรคทางเดินหายใจ

ปัจจัยเสี่ยง และสัญญาณเตือน และมาตรการป้องกัน ทั้งปัจจัยจาก สารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ มลพิษทางอากาศรวมทั้งควันบุหรี่ และโรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ ถือว่าเป็น ปัจจัยทั้งสาม (triple threats) ส่งผลกระทบร่วมกันต่อสุขภาพปอดของคนไทยในปัจจุบัน ด้วยแนวทางดังกล่าว ช่วยเสริมให้ประชากรไทยมีสุขภาพปอดที่ดียิ่งขึ้น” รศ.นพ. ธีระศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจบริการของศูนย์อายุรกรรมของรพ. วิมุต เพื่อพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจและภาวะวิกฤตระบบการหายใจ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์อายุรกรรม ชั้น 3 รพ.วิมุต หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ ออนไลน์ผ่าน ViMUT Application คลิก https://bit.ly/372qexX

 

 

 

 

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GC ลงนามสัญญาการสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan: SLL) เป็นครั้งแรก จำนวน 15,000 ล้านบาท

ระหว่าง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการสภาพคล่องให้เหมาะสมกับแผนการดำเนินงานในอนาคต และเป็นการตอกย้ำการเดินหน้าในแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนครอบคลุมการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจและบรรษัทภิบาล (ESG) ของทั้ง 2 พันธมิตรทางธุรกิจ โดยมี ดร. คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมพิธีลงนาม ณ SCB Academy ชั้น 18 อาคารไทยพาณิชย์ปาร์ค (East Tower) สำนักงานใหญ่

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GC กล่าวว่า การลงนามสัญญาการสนับสนุนสินเชื่อ SLL นี้ เพื่อการจัดหาวงเงินกู้ระยะยาว แบบ Sustainability-linked Loan เป็นครั้งแรกของ GC วงเงิน 15,000 ล้านบาท เป็นเงินกู้สนับสนุนการดำเนินการด้านความยั่งยืนของ GC มีตัววัด KPI ที่เชื่อมโยงกับ การจัดอันดับ Dow Jones Sustainability Indexes (DJSI) และ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย GC ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความสมดุล ESG อย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนตามกลยุทธ์ 3 Step Plus มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 นอกจากนี้ GC ได้รับการจัดอันดับจาก DJSI ให้เป็นที่ 1 ของโลก ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ 4 ปีต่อเนื่อง

การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า GC และ SCB มีเป้าหมายร่วมกันในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดย SCB เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะสนับสนุนก้าวเดินไปกับ GC เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ Together to Net Zero

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะสถาบันการเงินสำคัญของประเทศ ธนาคารตระหนักถึงบทบาทในการสร้างเสริมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำให้แก่ประเทศไทย ธนาคารให้ความสำคัญทางด้านนโยบาย ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (ESG) และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเพื่อความยั่งยืนขึ้นมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ที่รับผิดชอบต่อสังคม ธนาคารมีความภาคภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจจาก GC ในการสนับสนุนสินเชื่อ Sustainability-linked Loan (SLL) จำนวน 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานทางด้านความยั่งยืนของ GC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสำเร็จในครั้งนี้นับเป็นสินเชื่อ SLL ครั้งแรกของ GC ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญที่จะร่วมสร้างความยั่งยืนต่อไปในอนาคต ด้วยความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์และแนวทางบริหารจัดการทางด้านความยั่งยืนของ GC ธนาคารฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความสำเร็จร่วมกันในวันนี้จะผลักดันให้ GC บรรลุเป้าหมายความยั่งยืน “Together To Net Zero” ปี 2050 หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ภายในปี 2593 ได้ตามที่มุ่งหวัง"

สำหรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เชื่อว่าทุกคนต่างมองหาของขวัญสำหรับตัวเอง บุคคลพิเศษในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือร่วมแบ่งปันเรื่องราวหรือสิ่งดี ๆ ให้กับเด็ก ๆ ที่ยังขาดโอกาส

มูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ขอเชิญร่วมแบ่งปันโอกาสในเทศกาลคริสต์มาส ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2566 ที่กำลังจะมาถึงด้วยการมอบทุนการศึกษาเพื่อเป็น “ของขวัญแห่งโอกาส” ให้กับนักเรียนที่ยังขาดโอกาส ร่วมช่วยแต่งเติมความหวัง ความฝันของน้อง ๆ ให้ได้เรียนหนังสือได้อย่างมีความสุข และมีอนาคตที่สดใสต่อไป

มูลนิธิ EDF เชื่อว่า “ของขวัญแห่งโอกาส” หรือทุนการศึกษาที่เด็ก ๆ นักเรียนที่ยังขาดโอกาสได้รับอาจจะช่วยเปลี่ยนแปลงอนาคตและชีวิตของพวกเขาได้ตลอดไป รวมทั้งยังสร้างความสุขใจทั้งผู้ให้ และอิ่มเอมใจให้กับผู้รับ รวมถึงอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาส่งมอบโอกาสให้กับผู้ที่ยังรอโอกาสในอนาคตต่อไปเช่นเดียวกัน โดยทุกการบริจาคผ่านมูลนิธิ EDF สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด และหากต้องการบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีภาษี 2565 กรุณาทำรายการบริจาคภายใน 31 ธันวาคม 2565

ผู้สนใจสามารถร่วมมอบทุนการศึกษา “ของขวัญแห่งโอกาส” ให้นักเรียนที่ยังขาดโอกาสทางออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์มูลนิธิ www.edfthai.org หรือบริจาคโดยสแกนคิวอาร์โค้ดผ่านระบบ E-Donation กรมสรรพากร หรือบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สาขางามวงศ์วาน เลขที่บัญชี 319-2-77744-8 หรือโอนเงินผ่านธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 161-4-56698-0 ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 070-2-45369-0 ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 980-7-59891-5 หรือธนาคารทีทีบี เลขที่บัญชี 069-2-41110-1 ชื่อบัญชี "มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา หรือ มูลนิธิ EDF" หรือแอปพลิเคชันของทุกธนาคาร หลังจากนั้นสามารถส่งสำเนาหรือภาพถ่ายสลิปการโอนเงินพร้อมรายละเอียดเพื่อออกใบเสร็จรับเงินบริจาคไปที่อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. โทรสาร 02-940-5266 หรือ LINE @edfthai

ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา มูลนิธิ EDF ได้เปิดรับบริจาคทุนการศึกษาล่วงหน้าสำหรับปีการศึกษา 2566 และจะปิดรับภายใน 30 มิถุนายน 2566 โดยปัจจุบันสามารถระดมทุนการศึกษาในโครงการทุนการศึกษาต่าง ๆ ได้แล้ว 3,459 ทุน ทั้งนี้มูลนิธิ EDF ได้ประเมินว่าจะมีนักเรียนสมัครขอรับทุนการศึกษาผ่านทางโรงเรียนในปีการศึกษา 2566 ที่จะถึงนี้ไม่น้อยกว่า 10,000 คน

สำหรับมูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลลำดับที่ 255 ของประเทศไทย ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนที่ด้อยโอกาสด้วยการมอบทุนการศึกษา รวมถึงจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ในโรงเรียนและชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 และได้รับการยอมรับจากหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศและได้รับรางวัล เช่น รางวัลยอดเยี่ยมองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งประเทศไทยประเภทองค์กรขนาดใหญ่จากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ สถาบันคีนันแห่งเอเชีย และ เดอะ รีซอร์ส อัลลิอันซ์ รางวัลประกาศนียบัตรองค์กรสาธารณกุศลระดับ 5 ดาว จากการดำเนินงานและบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพทางการเงิน และมีความโปร่งใสจากสมาคมกิฟวิ่ง แบค รางวัลกัลปพฤกษ์ทองคำจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นในฐานะหน่วยงานที่ทำความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม และรางวัลคนดีต้นแบบคุณธรรมไทยจากสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย เป็นต้น

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตร ส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์ที่ปลูกโดยใช้เมล็ดที่ผ่านการท่องอวกาศนาน 7 เดือน ให้แก่โรงเรียน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐรวม 21 แห่งทั่วประเทศ

เพื่อนำไปปลูก เพื่อต่อยอดสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการศึกษาเปรียบเทียบการเติบโตระหว่างต้นราชพฤกษ์อวกาศที่ปลูกด้วยเมล็ดจากอวกาศกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติ

ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ร่วมกับ JAXA และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) บริษัท กรีน อินโนเวทีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด และ SPACETH.CO ร่วมกันดำเนินการโครงการ Asian Herb in Space (AHiS) โดยแบ่งกิจกรรมย่อยออกเป็น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการทดลองปลูกโหระพาเปรียบเทียบระหว่างบนอวกาศกับบนพื้นโลก และโครงการราชพฤกษ์อวกาศ

ในวันนี้ สวทช. ได้เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รับ ‘ต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ’ นำไปปลูกเปรียบเทียบกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติ เพื่อร่วมศึกษาวิจัยและติดตามการเจริญเติบโตของเมล็ดราชพฤกษ์อวกาศ สำหรับโครงการราชพฤกษ์อวกาศ สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คัดเลือก ‘เมล็ดราชพฤกษ์’ เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความหมายต่อคนไทย ในฐานะ ‘ดอกไม้ประจำชาติ’ อีกทั้งดอกราชพฤกษ์ยังมีสีเหลืองงดงาม เป็นสีประจำคณะวิทยาศาสตร์ในหลายมหาวิทยาลัย ทาง สวทช. ได้ส่งมอบเมล็ดพันธุ์ราชพฤกษ์ จำนวน 360 เมล็ด ให้แก่ JAXA เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบร่วมกับเมล็ดพันธุ์พืชจากอีก 11 ประเทศ ก่อนส่งขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติ ในวันที่ 7 ธันวาคม 2563 โดยเมล็ดราชพฤกษ์ของไทยถูกเก็บรักษาไว้ในห้องทดลอง Kibo Module ของ JAXA เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน ก่อนจะส่งกลับถึงพื้นโลกในวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 อย่างไรก็ตามหวังว่าการส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศให้แก่สถาบันการศึกษาในเฟสแรกนี้ จะช่วยสร้างโอกาสให้เยาวชนและประชาชนไทยได้เรียนรู้และใกล้ชิดเทคโนโลยีอวกาศมากยิ่งขึ้น”

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ฤทัยวรรณ โต๊ะทอง รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงความร่วมมือการเพาะกล้าราชพฤกษ์อวกาศและการศึกษาวิจัยว่า

ทางคณะฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนความร่วมมือด้านกิจกรรมและการวิจัยระหว่างกลุ่มสาขาวิชาชีวนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพอัจฉริยะ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สวทช. และ JAXA ซึ่งนอกจากการส่งมอบตัวอย่างพืชจากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เพื่อการวิจัยแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์เข้าร่วมกิจกรรม มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับหน่วยงานวิจัยระดับชาติ สามารถสร้างแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในการวิจัยขั้นแนวหน้าสำหรับอนาคตของ ทั้งนี้ โครงการ Asian Herb in Space (AHiS) ได้รับความอนุเคราะห์ให้ใช้โรงเรือนวิจัยของภาควิชาพฤกษศาสตร์ในพื้นที่ศาลายาสำหรับดำเนินโครงการราชพฤกษ์อวกาศ ทางคณะฯ มีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าต้นราชพฤกษ์อวกาศที่แจกจ่ายไปยังหน่วนงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้ผ่านสภาพแวดล้อมที่รุนแรงในอวกาศมาแต่ยังสามารถเจริญเติบโตอย่างงดงามต่อไปได้ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนของประเทศไทยและความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจด้านอวกาศของมวลมนุษยชาติ

สำหรับโครงการราชพฤกษ์อวกาศเฟสแรก มีสถาบันการศึกษาที่ได้รับมอบต้นกล้าราชพฤกษ์จำนวน 21 แห่ง ประกอบด้วย ภาคกลาง โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนโยธินบูรณะ, St. Andrews International School Bangkok, โรงเรียนยอแซฟอยุธยา, โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์, โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย และภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ภาคเหนือ โรงเรียนอุตรดิตถ์, โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ พะเยา, และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาคอีสาน โรงเรียนอุบลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลัย นครราชสีมา, โรงเรียนประทาย, โรงเรียนวัดห้วยจรเข้วิทยาคม, โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม, โรงเรียนม่วงสามสิบอัมพวันวิทยา, โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์, โรงเรียนยางตลาดวิทยาคาร, โรงเรียนบ้านม่วงพิทยาคม, โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดกะพังสุรินทร์) และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทั้งนี้หน่วยงานที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการราชพฤกษ์อวกาศในระยะต่อไป สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation

ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เขียนหนังสือ “The Lost Skills”

ไม่มีใครปฏิเสธได้จริง ๆ ว่าในช่วง 3 – 4 ปีมานี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก แนวคิด ทัศนคติ กระแสสังคม พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทักษะอาชีพที่เรียกได้ว่าเคยเป็นงานนอกกระแสกลับบูมอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น ไรเดอร์ส่งอาหาร, TikToker, ขายของออนไลน์, นักเล่นหุ้น, นักเขียนนิยายออนไลน์ ฯลฯ หรือหลายคนก็ยังคงเกาะตำแหน่งเหนียวแน่นไม่ไปไหน ด้วยค่าตอบแทนเท่าเดิม ชีวิตแบบเดิม ทว่าต้องทนกับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่แย่ลงเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็จะได้เห็นว่าท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จกับการใช้ชีวิตอย่างมาก คนที่แค่พออยู่พอกิน ไปจนถึงด้านกลับก็คือคนที่ไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอันจากการพยายามเอาชีวิตรอดในโลกยุคใหม่นี้เลย และกำลังเอาตัวรอดไปในแต่ละวันอย่างยากลำบากเจียนตาย

อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนแต่ละประเภท

ในคนทั้งสามรูปแบบที่กล่าวไปข้างต้น แม้จะมีเรื่องดวงเข้ามาเกี่ยวทำให้แต่ละคนมีระดับความสำเร็จที่ต่างกันไป ถึงอย่างนั้น การมี ‘Soft Skills’ ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งเช่นกัน โดยงานวิจัยจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด, มูลนิธิคาร์เนกี และศูนย์วิจัยสแตนฟอร์ด ระบุว่า 85% ของการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เกิดจากการมี Soft Skills ที่ดี โดยหากขาด Soft Skills ไปก็จะทำให้มาตรฐานการทำงานลดลง ประสิทธิภาพในการผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ ลดลง และยังส่งผลกระทบต่อการผลิตบุคลากรใหม่ ๆ ในวงกว้างอีกด้วย

ภายในงาน SOFT SKILLS BOOTCAMP ครั้งที่ 1 “Work Life Enhance” มี Session หนึ่งที่ชื่อว่า The Lost Skills” ซึ่งมี ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เขียนหนังสือ “The Lost Skills” พาสำรวจทักษะชีวิตที่ใครหลายคนอาจหลงลืมหรือทำหล่นหายไปเสียแล้ว เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขประตูสู่การอยู่รอด และการประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่

เข้าใจว่าการเรียนไม่รู้จบ

ท่ามกลาง Soft Skills นับพันที่ล่องลอยอยู่ตามโลกอินเทอร์เน็ตและหนังสือคู่มือพัฒนาตัวเอง ทักษะแรกที่ ศ.ดร.นภดลเลือกจะแนะนำกลับเป็นเรื่องเบสิค ไม่ต้องมีชื่อจำยากหวือหวาอย่าง “ทักษะการเรียนรู้” โดยได้ให้เหตุผลว่าในยุคสมัยที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วเกินกว่าใครจะคาดคิด เรื่องที่เราเคยสอนเคยเรียนกันในคลาสทุกวันนี้ ปีหน้าอาจล้าสมัยไปเสียแล้ว ฉะนั้นทักษะที่จะซึมซับเรื่องราวใหม่ ๆ เข้ามาเติมเต็มสมองอยู่ตลอดเวลาจึงสำคัญ โดยการฝึกตัวเองให้รักการเรียนรู้ โดยหัวใจสำคัญคือการที่เราต้องรู้ว่า เรียนไปแล้วได้อะไร ความรู้ชุดนี้ใช้ประโยชน์ได้จริงไหม เพื่อทำให้การเรียนอะไรสักอย่างมีความหมาย

เลือกโฟกัสบางเรื่อง เพราะยากที่จะเก่งทุกเรื่องในเวลาเดียวกัน

ในโลกนี้มีความรู้อยู่มากมายหลายศาสตร์ ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยคิดว่าการได้มีคามรู้ติดหัวไว้ยิ่งมากยิ่งดี ดังคำกล่าว ‘Why Choose? When You Can Have Them All’ อยากเก่ง อยากได้ความรู้อะไรก็เลือกช็อปปิ้งแบบบุฟเฟต์จาก Google ไปเลยสิ ทว่าระดับความจำและศักยภาพในการทำความเข้าใจของมนุษย์ก็มีจำกัด หากเทียบกับองค์ความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่รอบตัวในตอนนี้ เราจึงต้องมี “ทักษะการเลือก” เพื่อคัดกรองสิ่งที่ควรต้องเรียน และนำมาจัดลำดับความสำคัญเพื่อไม่ให้ตัวเอง Overload จนเกินไปจะดีกว่า

หมั่นสร้างทักษะที่ไม่มีใครแทนที่ได้

ยุคนี้เป็นยุคที่น่ากลัวสำหรับคนเก่ง เพราะไม่ว่าทักษะใดก็มีวี่แววว่าจะโดนปัญญาประดิษฐ์กับหุ่นยนต์เข้ามาแย่งงานได้ทุกเมื่อ ทั้งงานสายบัญชี, พิสูจน์อักษร, งานออกแบบ ไปจนถึงงานสายความคิดสร้างสรรค์อย่าง Creative Content หรือนักเขียนบทความ ก็มีข่าวว่ามีเอไอที่สามารถผลิตผลงานลักษณะนี้แทนมนุษย์ได้เช่นกัน ฉะนั้นการรับมือที่ดีที่สุดคือการ Up-Skill & Re-Skill อยู่เสมอ เพื่อสร้าง “ทักษะที่ไม่มีใครมาแทนได้” ให้เกิดขึ้นในตนเอง

ศ.ดร.นภดลได้ทิ้งท้ายว่าจากที่กล่าวมาทั้งหมดอาจไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้เลย หากคนเราขาดความเชื่อที่ว่า ตนนั้น ‘เรียนรู้และฝึกฝนได้’ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญเช่นกัน ศ.ดร.นภดลเคยนิยามตัวเองว่าเป็น Introvert คนหนึ่ง คือไม่ชอบที่จะพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ไม่ได้กล้าแสดงออก แต่ก็พัฒนาตัวเองจนกลายมาเป็นอาจารย์และนักจัดพอดแคสต์ในทุกวันนี้ได้ จากความรู้สึกที่อยากจะแบ่งปันความรู้และเรื่องราวดี ๆ ที่ตนได้พบเจอมากให้กับคนอื่น อะไรก็ตามที่เราเคยไม่เก่ง ไม่เคยทำได้มาก่อน หากได้ลองเปิดโอกาสเพื่อฝึกฝนตนเองดูก็อาจพัฒนาจนกลายเป็นทักษะที่มีประโยชน์ต่อตัวเองและโลกใบนี้ก็เป็นได้

X

Right Click

No right click