

ทรู คอร์ปอเรชั่น สนับสนุนซอฟพาวเวอร์อีสานลุยเสริมประสิทธิภาพเครือข่าย 5G และ 4G รองรับงานประเพณีผีตาโขน ซึ่งเป็น “งานบุญหลวง" หรือ "บุญผะเหวด" ที่เป็นประเพณีและการละเล่นสืบทอดมายาวนานของจังหวัดเลย โดยปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 มิถุนายน 2568 ณ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมงานอย่างคับคั่ง
นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เราให้ความสำคัญกับการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสานที่อุดมไปด้วยเสน่ห์ทางศิลปวัฒนธรรม งานประเพณีอันทรงคุณค่า หัตถกรรม ดนตรีและศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย จากความมุ่งมั่นดังกล่าว เราจึงเสริมทัพเครือข่าย 5G และ 4G เพื่อรองรับการใช้งานดิจิทัลในเทศกาลสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ยกระดับเครือข่ายสำหรับงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน จังหวัดเลย ซึ่งนับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก สำหรับการเสริมประสิทธิภาพเครือข่ายเราได้มุ่งเน้นเพิ่มสัญญาณรองรับพื้นที่สำคัญทุกจุดของการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็น บริเวณที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย จุดตั้งขบวนแห่ พื้นที่ชมขบวนผีตาโขน เวทีการแสดง และถนนหน้าวัดโพนชัยซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของขบวนแห่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเชื่อมต่อการสื่อสารความเร็วสูง ใช้งานโซเชียลมีเดีย ถ่ายทอดสดบรรยากาศงานอันน่าประทับใจ แบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยว และเผยแพร่เสน่ห์วัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลกได้ด้วยการสื่อสารประสิทธิภาพสูงสุด"
ทรู คอร์ปอเรชั่น จัดเต็มโซลูชันเสริมสัญญาณ 5G, 4G รองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ดังนี้
· เพิ่มรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (Cell-On-Wheel: COW)
· เพิ่มเสาสัญญาณเฉพาะกิจ (Temporary site)
· ปรับพารามิเตอร์สัญญาณ (Event Parameter) ตามพฤติกรรมการใช้งาน
· จัดทีมวิศวกรเน็ตเวิร์กประจำสนามตลอดการจัดงาน
· เพิ่มสัญญาณ 5G และ 4G รองรับเส้นทางคมนาคม และแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ จ.เลย
· BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ พร้อม AI พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง
"เราคาดการณ์ว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมางานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน จังหวัดเลย เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เราจึงได้เตรียมความพร้อมเป็นพิเศษเพื่อให้ทั้งลูกค้าทรูและดีแทคสามารถใช้งานเครือข่ายได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ แชร์วิดีโอ หรือไลฟ์สตรีมบรรยากาศงาน" นายประเทศกล่าว
งานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนเป็นเทศกาลที่ได้รับการกล่าวขานทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ด้วยเอกลักษณ์ของหน้ากากผีตาโขนที่ทำจากกาบมะพร้าวแกะสลัก มีสีสันสดใสและลวดลายสวยงาม ซึ่งสะท้อนความเชื่อทางพุทธศาสนาและภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานของไทย
"การเตรียมความพร้อมด้านเครือข่ายสำหรับเทศกาลประเพณีเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ร่วมงานได้รับประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานมือถือเท่านั้น แต่ยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลกอีกด้วย" นายประเทศกล่าวในที่สุด
ด้วยความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและการบริการของทรู คอร์ปอเรชั่น ลูกค้าทรูและดีแทคที่เดินทางไปร่วมงานประเพณีสำคัญในภาคอีสานจะสามารถเชื่อมต่อและแบ่งปันประสบการณ์อันน่าประทับใจของประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ประจำปี 2568 รวมถึงการใช้งานโซเชียลมีเดียผ่านเครือข่ายมือถือที่มีประสิทธิภาพสูงตลอดงาน
นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, นางสาวณัฐพร พงษ์ชาญชวลิต ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จํากัด (มหาชน) หรือ SKIN พร้อมด้วยนายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมกับ นายไพโรจน์ เหลืองเถลิงพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA ร่วมนำเสนอข้อมูลธุรกิจ ข้อมูลทางการเงิน และศักยภาพการเติบโต แก่นักลงทุน โดยมีนักลงทุนสนใจเข้ารับฟังข้อมูลเป็นจำนวนมาก ณ ห้องค้า AIRA ชั้น 17 จามจุรีสแควร์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา
เคทีซีเปิดเวทีเสวนา “Beyond Rainbow” ดึงผู้เชี่ยวชาญจากภาคแรงงาน ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ร่วมถอดรหัสความเข้าใจด้าน DEI (Diversity Equity และ Inclusion) พร้อมผลักดันแนวคิด Pink Economy ให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคใหม่
คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดแรงงานทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยมีสาเหตุจากการที่เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพล และทดแทนแรงงานบางประเภท นอกจากนี้ความต้องการด้านทักษะแรงงานใหม่ การทำงานแบบยืดหยุ่นกลายเป็นมาตรฐานของการทำงานยุคใหม่ที่หลายคนต้องการ แต่สิ่งที่ยังเป็นความท้าทายด้านแรงงานคือ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความหลากหลาย เช่น กลุ่ม LGBTQ+ กลุ่มผู้สูงวัย กลุ่มผู้พิการที่ยังถูกมองข้าม ข้อมูลเชิงลึกจาก จ๊อบส์ ดีบี (JobsDB) พบว่า กลุ่มผู้สมัครงานที่มีความหลากหลายยังรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม เพราะองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่มีการประกาศหรือสื่อสารนโยบายด้าน DEI – Diversity (ความหลากหลาย) Equity (ความเท่าเทียม) และ Inclusion (การมีส่วนร่วม) อย่างชัดเจน และในการประกาศรับสมัครงานแต่ละครั้งหลายบริษัทยังมีอคติแฝง เช่น คำที่สะท้อนถึงอายุ เพศ หรือภาพลักษณ์
DEI ที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทางของการสมัครงาน
จ๊อบส์ ดีบี (JobsDB) ให้คำแนะนำว่า องค์กรควรเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระบบรับสมัครงาน โดยใช้ภาษาที่เป็นกลาง หลีกเลี่ยงการตั้งคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถ เช่น เพศ อายุ หรือสถานภาพสมรส รวมถึงการใช้เครื่องมือช่วยเขียนประกาศรับสมัครงาน (Job Ad Writing Tool) เพื่อช่วยลดอคติที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว และนำไปสู่การได้พนักงานที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามภาพรวมของตลาดแรงงานที่ยังมีความท้าทายในการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการ และใช้แนวทาง DEI ในการดูแลพนักงานในองค์กรในทุกมิติ
![]()
คุณปิยะสุดา แคว้นนนทรีย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานทรัพยากรบุคคล “เคทีซี” กล่าวว่า เคทีซีให้ความสำคัญทั้งมิติทางกายภาพและจิตใจ โดยมีการปรับปรุงสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกตามความต้องการของพนักงาน พร้อมสร้างวัฒนธรรมองค์กรในฐานะ Trusted Organization และเปิดโอกาสให้พนักงานรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดเห็น
ออกแบบสวัสดิการจากความเข้าใจตอบรับไลฟ์สไตล์พนักงาน
ปัจจุบัน เคทีซีมีพนักงานประมาณ 1,800 คน โดย 70% เป็นเพศหญิง และกว่า 70% อยู่ในกลุ่ม Gen Y โดยพนักงานทุกคนได้รับสิทธิ์เข้าถึงสวัสดิการอย่างเท่าเทียมโดยไม่จำกัดเพศ นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่ให้พนักงานทุกระดับมีสิทธิ์แสดงความเห็นได้โดยไม่จำกัด เช่น การเปิดรับฟังความคิดเห็นในองค์กรของพนักงานทุกคน หรือเมื่อมี CEO LIVE Talk พนักงานสามารถถามคำถามกับซีอีโอได้โดยไม่ถูกปิดกั้น โดยเคทีซีมีวัฒนธรรมที่เรียกว่า Junior Speak First การให้โอกาสพนักงานที่เด็กกว่า ได้แสดงความคิดเห็นก่อน รวมทั้งเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ การฝึกอบรม โดยไม่จำกัดระดับชั้น เพศ วัย นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้ผู้หญิงได้มีโอกาสเป็นผู้นำในตำแหน่งสูงสุด และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรอีกด้วย
วัฒนธรรมที่เปิดกว้างส่งผล Employee Engagement พุ่งขึ้น Turnover ลดลง
นับตั้งแต่ปี 2560 เคทีซีได้ทำการสำรวจความผูกพันธ์ของพนักงานต่อองค์กร (Employee Engagement) โดยร่วมมือกับบริษัทที่ปรึกษาภายนอก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ได้รับจะถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยและไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ โดยผลสำรวจล่าสุดในปี 2567 พบว่าคะแนนภาพรวมขององค์กรปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา และหัวข้อ Diversity & Inclusion เป็น 1 ใน 3 หมวดที่พนักงานรู้สึกพึงพอใจมากที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเปิดรับความหลากหลายด้านเพศ อายุ เชื้อชาติ ภาษา การศึกษา และแนวคิด เป็นสิ่งที่ถูกฝังรากไว้ในวัฒนธรรมองค์กรของเคทีซีอย่างแท้จริง
แนวทางของเคทีซีในการสร้างความเท่าเทียมทางสวัสดิการและวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับความหลากหลาย สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในบริบทของสังคมยุคใหม่ที่มองความหลากหลายไม่ใช่เพียงแค่การยอมรับแต่เป็นการทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับมุมมองของ รศ.โรจน์ คุณเอนก อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม อดีตรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ชี้ให้เห็นว่าความท้าทายของสังคมในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่การมีอยู่ของความหลากหลาย แต่คือการขาดความเข้าใจต่อความหลากหลาย
DEI เครื่องมือปูพื้น สู่สังคมแห่งความเข้าใจและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
รศ.โรจน์ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลายในปัจจุบัน หลายคนยังคงติดอยู่ในกรอบความคิดแบบเดิมที่มองเพียงแค่ชาย หรือหญิง ขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันมีมิติมากกว่านั้น ดังนั้นการปลูกฝังความเข้าใจเรื่องความหลากหลายจึงควรเริ่มต้นตั้งแต่ในห้องเรียน เพราะเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ร่วมกัน และเป็นการวางรากฐานสำหรับการใช้ชีวิตจริงในสังคม และในโลกของการทำงาน ซึ่งแนวทาง DEI เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ในเรื่องดังกล่าวได้อย่างดียิ่ง
· Diversity (ความหลากหลาย): มุ่งปลูกฝังจิตสำนึกให้นักศึกษาตระหนักและให้คุณค่ากับความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ ความเชื่อ และวิถีชีวิต รวมถึงมีมาตรการส่งเสริมความปลอดภัยและความเข้าใจในด้านเพศสภาพ
· Equity (ความเท่าเทียม): ธรรมศาสตร์เชื่อว่าทุกคนควรได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม โดยบางคณะได้ริเริ่มจัดตั้งห้องน้ำแห่งความเสมอภาคที่ทุกเพศสามารถใช้งานร่วมกันได้
· Inclusion (การมีส่วนร่วม): ส่งเสริมให้นักศึกษาทุกคนเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมและสร้างพื้นที่สาธารณะของมหาวิทยาลัยให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ในการสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การวางรากฐานเรื่องความหลากหลายในสถาบันการศึกษา ถือเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจและสร้างการเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติเมื่อเข้าสู่โลกการทำงานให้ดีมากยิ่งขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของกลุ่มความหลากหลายนี้ หรือ Pink Economy

คุณคุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ นักวิชาการอิสระ นักเล่าเรื่อง ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โลก และภูมิรัฐศาสตร์ กล่าวว่า แก่นแท้ของวิชาประวัติศาสตร์คือการกำหนดความรับรู้ของผู้คนผ่านเรื่องเล่า เมื่อเนื้อหาหลักยังละเลยกลุ่มชายขอบเช่น แรงงานผู้หญิง หรือ LGBTQ+ จึงจำเป็นต้องมีการทบทวน ปรับปรุง และเขียนประวัติศาสตร์ใหม่เพื่อสร้างการมองเห็น และยอมรับความหลากหลายอย่างเท่าเทียม
สิงคโปร์ตัวอย่างประเทศพัฒนาแล้วชู DEI เป็นรากฐานของสังคมเที่ยงธรรม
ประเทศสิงคโปร์ถือเป็นตัวอย่างของการวางรากฐานการเท่าเทียมที่สำคัญเช่น การที่รัฐบาลสิงคโปร์ยกเลิกกฎหมายมาตรา 377A ซึ่งกำหนดโทษสำหรับความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนมกราคมปี 2566 ถึงแม้รัฐธรรมนูญของสิงคโปร์จะกำหนดว่าการสมรสที่กฎหมายยอมรับ ยังคงเป็นเรื่องระหว่างพลเมืองเพศชายกับเพศหญิงเท่านั้น แต่การไม่มองว่าความสัมพันธ์ทางเพศอันหลากหลายเป็นความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายอีกต่อไป ถือเป็นหลักประกันถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญ และจะนำไปสู่ความเท่าเทียมในมิติอื่นๆ ได้ในอนาคต ซึ่งหากประเทศไทยต้องการก้าวสู่การยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริงต้องเริ่มจากระบบการศึกษาโดยเฉพาะการออกแบบหลักสูตร ที่ควรปลูกฝังความเข้าใจตั้งแต่วัยเด็ก
Pink Economy ในไทยมีศักยภาพเติบโตสูง หากได้รับแรงสนับสนุนเชิงนโยบาย
การเปิดกว้างทางวัฒนธรรม และกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่มีผลบังคับใช้ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้บริโภค LGBTQ+ หรือเศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) ในระดับภูมิภาคได้ โดยเฉพาะในภาคบริการที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะกลุ่มมากขึ้นเช่น การจัดงานเทศกาล โรงแรม ที่พัก รวมถึงการขยายไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเช่น การแพทย์ ความงาม เพื่อเจาะกลุ่มตลาดผู้ที่มีอัตลักษณ์หลากหลาย และมีกำลังซื้อสูง
อย่างไรก็ตามการทำให้เศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) เติบโต ภาครัฐต้องทำงานเชิงลึกร่วมกับภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวไทย และชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในฐานะฮับของความหลากหลายในระดับภูมิภาค เช่นมาตรการด้านความปลอดภัย รวมทั้งอำนวยความสะดวก และสร้างแรงจูงใจในให้บริษัทที่มีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับกลุ่ม LGBTQ+ เข้ามาตั้งสำนักงาน และการผลิตในประเทศไทย
ดร.ศศดิศ ชูชนม์ ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (สสปท.) กล่าวสรุปว่า หัวใจสำคัญของ DEI ไม่ได้หมายถึงการยอมรับ แต่คือ การข้ามเส้นแบ่งอคติแห่งความเป็น “เขา” และ “เรา”อันเปราะบางการเคารพในสิทธิของความเป็นมนุษย์ และความเป็นอื่นในมิติอัตลักษณ์ที่ซับซ้อน ที่ไม่ใช่ความต่างเพียงแค่เพศสภาพแต่หมายถึงประสบการณ์มวลรวมของชีวิตที่หลากหลายของแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน
การแพทย์มะเร็งแม่นยำ (Precision Oncology) กำลังเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ไทยอย่างก้าวกระโดด ท่ามกลางสถานการณ์ที่มะเร็งตับยังคงเป็นภัยเงียบอันดับหนึ่งของประเทศ โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่ราว 27,000 ราย และเสียชีวิตมากถึง 26,704 ราย หรือเฉลี่ย 3 รายต่อชั่วโมง กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการตรวจเฝ้าระวังมะเร็งตับ ได้แก่ ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี, ผู้ป่วยตับแข็ง ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี การดื่มแอลกอฮอล์หรือไขมันพอกตับ ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งตับ เป็นต้น จากสถิติจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า มะเร็งตับและท่อน้ำดีเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยในกลุ่มโรคมะเร็ง ซึ่งเฉพาะในภูมิภาคเอเชียพบผู้ป่วยมะเร็งตับสูงถึง 73.3% ของผู้ป่วยทั่วโลก
ในงานประชุมวิชาการเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย (47th ACMTT 2025) บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดเสวนา "พลิกโฉมการแพทย์มะเร็งแม่นยำ ด้วยนวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการทางคลินิก" เพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างแพทย์และนักเทคนิคการแพทย์ในการยกระดับการวินิจฉัยผู้ป่วยมะเร็ง โดยแพทย์ชี้ให้เห็นว่า Biomarker สำหรับวินิจฉัยมะเร็งตับชนิดใหม่ พิฟก้าทู หรือ Protein induced by vitamin K absence or antagonist II (PIVKA-II) สามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้แก่ผู้ป่วย โดยช่วยตรวจพบมะเร็งตับระยะเริ่มต้นได้ถึง 78.9% เทียบกับ Biomarker สำหรับวินิจฉัยมะเร็งตับแบบเดิม Alpha-Fetoprotein (AFP) ที่ตรวจพบเพียง 36%

ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า "บทบาทของห้องปฏิบัติการทางคลินิกในยุคการแพทย์มะเร็งแม่นยำมีความสำคัญมาก ในอดีตเราวินิจฉัยโรคมะเร็งทุกชนิดแบบเดียวกันหมด การรักษาก็ขึ้นอยู่กับระยะของโรค แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการตรวจใหม่ อาทิ เทคโนโลยี Next Generation Sequencing หรือ NGS ทำให้เรารู้ว่ามีความแตกต่างกันในแต่ละชนิดของมะเร็ง นำไปสู่การรักษาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น"
มะเร็งตับ นับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรงของไทย เนื่องจากในอดีตมีข้อจำกัดของเทคโนโลยี ทำให้ยากที่จะตรวจพบมะเร็งตับในระยะแรกที่ยังไม่มีอาการแสดง ผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้ารับการรักษาเมื่อโรคอยู่ในระยะ 3-4 แล้ว ซึ่งลดโอกาสรอดชีวิตลงอย่างมาก"แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการตรวจใหม่ เป็นการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งชนิดใหม่จากการตรวจเลือด ด้วยการตรวจโปรตีนที่เรียกว่า พิฟก้าทู หรือ PIVKA-II (Protein induced by vitamin K absence or antagonist-II) และการ์ดสกอร์ หรือ GAAD Score ที่ทำให้การวินิจฉัยมะเร็งตับแม่นยำกว่าเดิมถึงสองเท่า” ศ.นพ.มานพ กล่าวเพิ่มเติม
![]()
นพ.ภาสกร วันชัยจิระบุญ รองประธานศูนย์ความเชี่ยวชาญระดับสูงสาขามะเร็ง และรองผู้อำนวยการด้าน AI และนวัตกรรมทางการแพทย์ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี กล่าวว่า "PIVKA-II เป็นสารชีวภาพที่ใช้บ่งชี้มะเร็งตับชนิด Hepatocellular carcinoma (HCC) ช่วยในการวินิจฉัย และติดตามผลการรักษาได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้ร่วมกับการตรวจอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) และ AFP จะเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจพบมะเร็งตับในระยะเริ่มต้นและประเมินความรุนแรงของโรคได้ดียิ่งขึ้น"
GAAD Score คือ ค่าที่ได้จากการประมวลผลอัลกอริทึม เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงมะเร็งเซลล์ตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยใช้ผลตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง AFP และ PIVKA-II ร่วมกับเพศและอายุ เพื่อช่วยให้การวินิจฉัย พบได้เร็ว และแม่นยำขึ้น กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการตรวจเฝ้าระวังมะเร็งตับ ได้แก่ ผู้ป่วยตับแข็ง ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี การดื่มแอลกอฮอล์หรือไขมันพอกตับ, ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง, ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง , ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ทำให้การพบระยะมะเร็งตับระยะต้น ทำให้เข้าสู่การรักษาที่หายขาด ได้ดีขึ้นมาก
ศ.นพ.มานพ เน้นย้ำว่า "หากเราทำการวินิจฉัยได้เร็ว เลือกการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ผลการรักษาก็จะดี และถ้าผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการตรวจ เข้าถึงยาได้เร็ว ผลการรักษาก็จะดีด้วย ปัจจุบันการรักษามะเร็งมียา และวิธีการรักษาใหม่มากมาย อาทิ ยามุ่งเป้า ภูมิคุ้มกันบำบัด เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยใหม่ ทำให้สามารถเลือกยา และวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยได้มากขึ้น"
การแพทย์มะเร็งแม่นยำยังพัฒนาไปอีกขั้นด้วยระบบ Tumor Board ระบบโซลูชันดิจิทัลจากโรช ที่ช่วยทีมดูแลผู้ป่วยมะเร็งในการตัดสินใจรักษาผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น มีการรวบรวมข้อมูลจากระบบต่าง ๆ นำเสนอในอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก รวดเร็วขึ้น ช่วยให้ทีมแพทย์สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยได้
การตรวจ PIVKA-II และ GAAD Score ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการคัดกรอง วินิจฉัย และติดตามผลการรักษามะเร็งตับในประเทศไทย โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นที่ยังไม่มีอาการแสดง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้ป่วยชาวไทยโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ด้วยการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำกว่าเดิม
หลังประกาศแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า “วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง” ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของไทย ก็ปั้นโครงการใหม่ไว้ในมือพร้อมเข้าร่วมการประมูลกับภาครัฐ ตามเป้าหมายร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาพลังงานสะอาดของประเทศ ซึ่งล่าสุดก็ชนะการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้ามาเพิ่มเติมอีก 4 โครงการ ขนาดรวม 299 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ ในช่วงปี 2570-2573 จึงได้เริ่มจัดสรรแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจต่อไป หนึ่งในนั้น คือ การออกหุ้นกู้ WEH ครั้งที่ 1/2568 ที่เสนอขายแล้วเมื่อวันที่ 17 – 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา มียอดจองทะลุ 500 ล้านบาท มากกว่าแผนงานที่เตรียมไว้ โดยจะนำเงินลงทุนทั้งหมดไปใช้รองรับการขยายกิจการ ลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ และสำหรับการกู้ยืมหรือชำระหนี้ภายในกลุ่มบริษัท และเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น เพื่อเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
InnovestX เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ตอกย้ำบทบาทผู้นำในการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) ชุดแรก จำนวน 3 ตัว เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตสู่ตลาดจีน
โดยผลิตภัณฑ์ทั้งสาม ประกอบด้วย
1) HSHD23 ที่เป็น DR ETF ที่อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ETF ตัวแรกของประเทศไทย ลงทุนในหุ้นเด่นกลุ่มปันผลสูง มีประวัติการจ่ายปันผลสูงเฉลี่ย 6–8% ต่อปี
2) CATL23 หุ้นเทคแบตเตอรี่แห่งอนาคต ที่เติบโตเคียงข้างยอดขายรถยนต์ EV และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ทั่วโลก
3) BABA23 ที่อ้างอิงหุ้น Alibaba กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีผู้นำอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน
การเปิดตัว DR ชุดนี้ สอดรับกับนโยบายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศให้ง่าย สะดวก และได้ประสิทธิภาพ เสมือนการลงทุนในหุ้นไทย ซื้อขายเป็นเงินบาท ไร้กังวลภาษี ทั้งนี้ DR ทั้ง 3 ตัว พร้อมให้นักลงทุนซื้อขายได้แล้วตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป บนตลาดหุ้นไทยผ่านแอป Streaming พร้อมโปรโมชันช่วงเปิดตัว เทรด DR 3 ตัวใหม่ผ่าน InnovestX ฟรีค่าธรรมเนียม* ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.68 – 31 ก.ค. 68 มูลค่าสูงสุด 2,000 บาท
ในงานเปิดตัว DR23 ครั้งนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมด้วย นาย โรนัลด์ แลม (Ronald Lam) Head of Institutional Sales, Global X by Mirae Asset และ นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer, InnovestX ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR23) วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้
นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า “ในทุกสภาวะตลาด นักลงทุนควรมีทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมและยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ InnovestX จึงพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนที่ทัดเทียมระดับโลก พร้อมเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ครบทุกสินทรัพย์ทั่วโลก (All-Weather Products) เพื่อให้การลงทุนง่าย ราบรื่น และตอบโจทย์ทุกจังหวะการลงทุน รวมถึง DR23 ที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซื้อขายด้วยเงินบาท ภายใต้การกำกับดูแลของไทย ลดข้อจำกัดทั้งด้านภาษีและขั้นตอนการลงทุนต่างประเทศ
DR23 ชุดแรกนี้ เราคัดสรร ETF และหุ้นจีนคุณภาพจากตลาดฮ่องกง ซึ่งเรามองว่าเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ทั้งยังมี Valuation ที่น่าสนใจ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภายใต้นโยบาย Made in China 2025 และการขยายตัวอย่างรวดเร็วใน AI, EV และ Cloud Computing
1. HSHD23 – DR ETF ปันผลสูงตัวแรกในไทย อ้างอิง Global X Hang Seng High Dividend Yield ETF (3110.HK) ลงทุนในหุ้นฮ่องกงที่จ่ายปันผลสูง ความผันผวนต่ำกว่าดัชนีหลัก ได้รับแรงหนุนจากนโยบายรัฐจีนที่ผลักดัน SOE ให้สร้างผลตอบแทนมั่นคง เช่น PCCW Ltd (0008.HK) บริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง หรือ Uni-President China Holdings Ltd (0220.HK) บริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในจีน เป็นต้น
2. CATL23 – DR หุ้น CATL ผู้นำแบตเตอรี่รถ EV ระดับโลก ครองตลาด 37% เป็นพันธมิตรหลักของ Tesla, BMW, Mercedes-Benz มีฐานะการเงินแกร่ง รายได้-กำไรเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนโอกาสในธีมพลังงานสะอาดแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดการเติบโตด้วยธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (ESS)
3. BABA23 – DR หุ้น Alibaba ผู้นำอีคอมเมิร์ซจีน ผ่านแพลตฟอร์ม Taobao–Tmall พร้อมธุรกิจ Cloud, AI และโลจิสติกส์ (Cainiao) มีศักยภาพการเติบโตทั้งกำไร เงินสด และการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง BABA23 จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการเติบโตในธีมเทคโนโลยีจีนและนวัตกรรม
DR23 โดย InnovestX ซึ่งได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA จาก Fitch Ratings เปิดประตูสู่การลงทุนต่างประเทศ ให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นระดับโลกได้ง่ายเหมือนซื้อหุ้นไทย ด้วยราคาซื้อขาย (Fair Price) ที่สอดคล้องกับสินทรัพย์อ้างอิงปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่แข่งขันได้ภายใต้ความร่วมมือในกลุ่ม SCBX พร้อม Market Maker ดูแลสภาพคล่องอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ซื้อขายราบรื่น มั่นใจใน Market Stability โดยจุดแข็งของ DR23 ยังอยู่ที่ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ตรงในการออกและบริหาร DR โดยเฉพาะ และทีมนักวิเคราะห์จาก InnovestX Research ที่สนับสนุนข้อมูลเชิงลึกทั้งเศรษฐกิจ พื้นฐาน ปัจจัยเทคนิค คำแนะนำการลงทุน และพร้อมให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลหุ้นแม่ของ DR23 และเครื่องมือคำนวณราคา DR23 ช่วยลดความคลาดเคลื่อนของ Fair Value เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมั่นใจ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX แพลตฟอร์มลงทุนที่มั่นใจได้จากกลุ่ม SCBX ที่เดียวที่ลงทุนครบ ง่าย ได้เปรียบ ในทุกสภาวะตลาดทั่วโลก”
ผู้ลงทุนสามารถพิมพ์สัญลักษณ์ HSHD23, CATL23 หรือ BABA23 ในแอป Streaming เพื่อส่งคำสั่งซื้อขายได้ทันที ไม่ว่าคุณจะใช้บัญชี InnovestX หรือโบรกเกอร์รายอื่น DR23 ทั้งสามตัวซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ทำให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการลงทุนระดับโลกได้สะดวกและมั่นใจยิ่งขึ้น
เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ผู้ประกอบการเพื่อสังคมของไทย ไม่ได้ฉายแสงบนเวทีระดับโลกที่สนับสนุนผู้นำธุรกิจหญิงที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่าง Cartier Women’s Initiative Awards
ย้อนกลับไปในปีพ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) ประเทศไทยมี fellow คนแรกของโครงการฯ สาลินี ถาวรนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารซันสว่าง ผู้ให้บริการพลังงานสะอาดในพื้นที่ห่างไกล ธุรกิจที่ทำให้คนใน ทุกพื้นที่มีโอกาสเข้าถึงปัจจัยที่สำคัญต่อการใช้และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างไฟฟ้าที่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ หลังจากสาลินี ก็ไม่มีผู้ประกอบการเพื่อสังคมหญิงไทยคนไหนเข้าสู่โครงการอีกเลย แม้ว่าจำนวนผู้ประกอบการและธุรกิจเพื่อสังคมจะเติบโตขึ้น อย่างมีนัยยะสำคัญ ต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงที่ประเทศไทยมีนโยบายส่งเสริมการทำธุรกิจเพื่อสังคมในระหว่าง ปี 2551 –2560 เป็นต้นมา และไม่ใช่ว่าธุรกิจเพื่อสังคมของผู้ประกอบการหญิงคนอื่นๆ ในไทยไม่น่าสนใจและไม่สำคัญ…
ผู้ประกอบการเพื่อสังคมส่วนใหญ่ ริเริ่มและดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง จากการมองเห็นปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่รู้สึก ว่าตนเองสามารถผลักดันหรือร่วมแก้ไขปัญหานั้นได้ และแน่นอนว่าจากความตั้งใจแรกนั้น ผู้ประกอบการเพื่อสังคมไทยส่วนใหญ่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ด้วยทรัพยากรที่จำกัด การเข้าถึงโอกาสในการสนับสนุนด้านต่างๆ อาจทำให้ผู้ประกอบการถอดใจและล้มเลิกไปในที่สุด หากธุรกิจไม่สามารถหากำไรหรือทำรายได้เพียงพอในการเลี้ยงตัว และสร้างการเติบโต ข้อมูลจากโครงการฯ เผยว่า ผู้ประกอบการเพื่อสังคมส่วนใหญ่ลังเล การระบุธุรกิจของตัวเองว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคม เนื่องจากกังวลว่านักลงทุนจะไม่ต้องการสนับสนุน เนื่องจากอาจจะเป็นธุรกิจที่ไม่ทำกำไร

รามา เคย์ยาลี ผู้ก่อตั้งธุรกิจ Little Thinking Minds ธุรกิจเทคโนโลยีด้านการศึกษาจากจอร์แดน ที่สร้างแพลตฟอร์ม การเรียนรู้และฝึกการอ่านภาษาอารบิกแบบดิจิทัล ซึ่งช่วยยกระดับการเรียนรู้ของเด็กในตะวันออกกลาง ผู้ได้รับรางวัล Impact Award ในปีนี้ แชร์ถึงความยากลำบากในการเป็นผู้ประกอบการที่ทำให้เธอเกือบยอมแพ้ และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของระบบสนับสนุน “ฉันคิดว่าเป็นเรื่องยากมากที่ ถ้าเราถามผู้ประกอบการเพื่อสังคมคนไหนแล้ว จะไม่มีคนที่บอกว่าไม่เคยคิดอยากยอมแพ้ มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เกิดจากความยากลำบากที่ต้องเจอ อาจจะเป็นความไม่พร้อมของตลาด นักลงทุนไม่เข้าใจ นโยบายที่เปลี่ยนแปลง วิถีของฉันคือการต้องแน่วแน่และรักในการจะแก้ปัญหาที่เป็นจุดเริ่มต้น ของธุรกิจ เราต้องอยากเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยธุรกิจนี้จริงๆ นอกจากนี้ การฟังเสียงจากคนรอบข้างอาจทำให้ไขว้เขวได้ ดังนั้นการรายล้อมตัวเองด้วยคนที่มีอุดมการณ์-แนวคิดคล้ายคลึงกันจะช่วยให้คุณยังคงมุ่งมั่นกับเป้าหมายได้ อย่างเช่นคน ในคอมมูนิตี้ของ CWI จึงเป็นสิ่งสำคัญ ในวันที่เหนื่อยมากฉันอาจอยากหายตัวไปเพราะมีลูกยังเล็ก แต่การพูดคุยกับ คนในคอมมูนิตี้ที่พบเจอปัญหาในแบบเดียวกัน เป็นคนที่จะยังคงบอกฉันให้ยังไปต่อ”
ในขณะที่ผู้หญิงกลายเป็นกำลังสำคัญของพัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยจำนวนและความสามารถที่ทัดเทียมเพศชาย ผู้หญิง กลับยังคงตกหล่นจากสารระบบเมื่อเป็นเรื่องของการสนับสนุน จากข้อมูลในช่วง Economic Empowerment ของ Mirror International Women’s Day forum ปี 2024 แม้ในแง่การความสามารถแข่งขันผู้หญิงและการถูกรับรู้โดยสังคม ผู้ประกอบการหญิงจะไม่ต่างจากผู้ประกอบการชาย แต่ยังมีช่องว่างในแง่จำนวนนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ชาย และยังมีบางส่วนที่มีอคติโดยไม่รู้ตัว (unconscious bias) ซึ่งส่งผลต่อการเลือกลงทุนให้กับผู้ประกอบการที่มีลักษณะคล้ายตนเอง
ด้วยการเติบโตด้านเศรษฐกิจและสังคม การมีอัตราผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้หญิงเป็นลำดับ 3 ของโลก ประเทศไทยกลายเป็นบ้านให้กับองค์กรที่ส่งเสริมและสนับสนุนผู้หญิงระดับโลกอย่าง UN WOMEN ทั้งยังเปิดกว้างและวิวัฒน์สู่ การมีสมรสเท่าเทียม ด้วยปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด ประเทศไทยดูมีศักยภาพความพร้อมของการมีธุรกิจเพื่อสังคมใหม่ๆ มากมาย หากแต่ขาดการถูกมองเห็น เมื่อแทบไม่มีตัวแทนไปยืนอยู่บนเวทีโลกที่จะสามารถดึงดูดโอกาสที่มากกว่าระดับประเทศมาให้คนไทยได้ ล่าสุดโครงการนานาชาติ Cartier Women’s Initiative ที่เป็น fellowship program ส่งเสริมและสนับสนุนผู้หญิงที่เป็นผู้นำธุรกิจเพื่อสังคมทั่วโลกมาอย่างยาวนาน กำลังจะก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 โดยมีประเทศไทย เป็นหมุดหมายสำคัญ เจ้าภาพของการจัดงานประกาศรางวัลประจำปี 2026

พรปรียา วิวัฒนชาต กรรมการผู้จัดการ คาร์เทียร์ ประเทศไทย กล่าวไว้ว่า “คาร์เทียร์เชื่อมั่นในศักยภาพของผู้หญิง เราเชื่อว่า เมื่อผู้หญิงก้าวไปข้างหน้า มนุษยชาติก็จะก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน มีผู้หญิงมากมายที่สร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านโซลูชันส์ทางธุรกิจ และเพื่อให้ผู้หญิงที่เป็นผู้นำและพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างต่อเนื่องและขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งสำคัญ Cartier Women’s Initiative Awards เป็นโครงการประจำปีที่จะช่วยยกระดับให้ผู้ประกอบการไปได้ไกลกว่าระดับประเทศ ด้วยการติดเครื่องมือที่จะช่วยต่อยอด ไม่เพียงแต่เฉพาะเงินทุนเพื่อพัฒนา แต่ยังมีการสนับสนุนทรัพยากรทุนมนุษย์และทุนสังคมให้แก่ผู้ประกอบการ มอบองค์ความรู้ ผ่านการจัดอบรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟจากสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับโลกอย่าง INSEAD, การโปรโมทประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ ไปจนถึงการมีคอมมูนิตี้ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ และผู้ประกอบการเพื่อสังคมทั่วโลก ซึ่งจะเป็นทั้งแรงบันดาลใจและกำลังใจในการฝ่าฟันอุปสรรคและสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจอย่างยั่งยืน ไปพร้อมๆ กับการตอบแทนสังคม”

ศาสตราจารย์ ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดี ด้านวิชาการและการเชื่อมโยงกับสังคม จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พาร์ทเนอร์ผู้จัดอบรมหลักสูตร CWI Entrepreneurial Program ในระดับประเทศ ซึ่งได้เดินทางไปร่วมในพิธีประกาศรางวัล CWI Impact Awards ในปีนี้ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า “โครงการ Cartier Women’s Initiative ไม่ได้เป็นเวทีแห่งการแข่งขัน แต่คือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ที่เข้มข้นและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ผู้ประกอบการจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ ใหม่ ๆ แนวคิด การวางกลยุทธ์ ไปจนถึงการเสริมสร้างทักษะในด้านต่างๆ อีกทั้งยัง เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจร่วมกับผู้ประกอบการหญิงจากนานาประเทศ และจุดประกายพลังในการขับเคลื่อนธุรกิจ ให้เติบโตอย่างมั่นคง”
โครงการ Cartier Women’s Initiative Awards หรือ CWI มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการหญิงมาอย่างต่อเนื่องกว่า 18 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โครงการได้ให้การสนับสนุนผู้ได้รับการคัดเลือกผ่านการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ อาทิ การให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ การประชาสัมพันธ์ธุรกิจผ่านช่องทางสื่อต่างๆ โอกาสในการสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติ และสิทธิ์เข้าศึกษาหลักสูตรที่ออกแบบโดย INSEAD สถาบันบริหารธุรกิจชั้นนำระดับโลก โอกาสอันทรงคุณค่านี้เปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการหญิงเพื่อสังคมที่มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างยั่งยืนในระดับโลก
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ชู 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะ “Frontier Firms” ผู้นำด้านนวัตกรรมที่นำ AI มาทำงานผสานกับมนุษย์อย่างลงตัว พร้อมเผยข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานวิจัย Work Trend Index ประจำปี 2025 ที่ตอกย้ำถึงทิศทางการปรับเปลี่ยนองค์กรในยุค AI สู่มุมมองและโครงสร้างรูปแบบใหม่ที่เพิ่มความยืดหยุ่นในหลายมิติ
ข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงาน Work Trend Index ของไมโครซอฟท์ เผยให้เห็นถึงความท้าทายที่คนทำงานในปัจจุบันต้องเผชิญ ต่อยอดจากข้อมูลชุดเดิมที่ชี้ว่า 88% ของพนักงานไทยไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะรับมือกับงานในมือ โดยสถิติการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ระบุว่าคนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ทุก 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น 275 ครั้งในแต่ละวัน ซึ่งการแจ้งเตือนดังกล่าว อาจมาจากทั้งอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม นอกจากนี้ ราวครึ่งหนึ่งของการประชุมในแต่ละวันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานแต่ละวัน
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คนทำงานมีแรงและเวลาที่จำกัด ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI จึงเป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก นับตั้งแต่ระยะสั้น ที่องค์กรในไทยราว 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ไปจนถึงระยะยาว ที่เราอาจได้เห็นโครงสร้าง องค์กร และเส้นทางในอาชีพการงานเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ”
ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้
1. ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
2. ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
3. บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
3 องค์กรไทยระดับ “Frontier Firm” กับการผนึก AI เข้าสู่หัวใจองค์กร
ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้เชิญ 3 องค์กรระดับแถวหน้าของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ เอสซีจี เคมิคอลส์ และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการนำ AI เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของทีมงาน ระบบงาน และพันธกิจของแต่ละองค์กร
ทาง SCBX ได้สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน
![]()
ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เราส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่เรามีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดยบุคลากรภายในองค์กรของเราเอง แสดงให้เห็นว่าพนักงานทุกคนและทุกฝ่ายสามารถมีส่วนพัฒนาการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ตัวอย่างเช่น ระบบวิเคราะห์และปรับปรุงวิธีการสื่อสารกับลูกค้าของพนักงานสาขาในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและความถูกต้องของข้อมูล”
สำหรับ SCGC ผู้นำนวัตกรรมพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ได้ส่งเสริมให้พนักงานนำ AI มาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน
![]()
สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC เลือกใช้เทคโนโลยี Azure OpenAI Service, Power Platform และ AI Hub เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI ในองค์กร โดยเฉพาะกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence และได้ต่อยอดนำ Microsoft Azure OpenAI Service มาพัฒนาโครงการ “AILY” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วทั้งองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น
![]()
ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า “AI มีส่วนช่วยให้เราก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน เปิดโอกาสให้เราวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ และในขณะเดียวกัน AI ยังช่วยให้นักกฎหมายของเราทำงานได้เร็วขึ้นในการค้นหาข้อมูลกฎหมายจากฐานข้อมูล การสรุปและกำหนดแนวทางการทำงาน รวมทั้งการพัฒนานโยบายและหลักกฎหมายให้เข้ากับบริบทปัจจุบันของสังคม” สำหรับชุดข้อมูลเพิ่มเติมฉบับเต็มจากรายงาน Work Trend Index 2025 สามารถอ่านรายงานสรุปได้ ที่นี่ หรือย้อนไปอ่านข้อมูลจากรายงานฉบับหลักที่สรุปสถานการณ์และแนวโน้มการสรรสร้าง Frontier Firms ในประเทศไทยได้ ที่นี่
นายสรรชาย นุ่มบุญนํา ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวถึงการเติบโตและโอกาสของประเทศไทยในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มโลก ข้อมูลจาก Credence Research บริษัทวิจัยตลาดและที่ปรึกษาระดับโลกคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดอาหารและเครื่องดื่มจะมีการขยายตัวจาก 6.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2024 เป็นเกือบ 9.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2032 โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ความต้องการอาหารสะดวกซื้อ-อาหารพร้อมทาน การให้ความสำคัญกับสุขภาพและหากเจาะลึกในระดับภูมิภาคจะพบว่าเอเชีย-แปซิฟิกเติบโตเร็วที่สุด โดยเฉพาะจีน อินเดีย ไทย และเวียดนาม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค รวมถึงนวัตกรรมการผลิตอาหารและเครื่องดื่มทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
โดยในปีนี้ ProPak Asia 2025 ที่พึ่งจบไปมีผู้ร่วมจัดแสดงงานสูงถึง 2,000 แบรนด์ จาก 42 ประเทศ มีผู้เข้าเยี่ยมชมงานกว่า 72,000 คน จากทั่วโลก ใช้พื้นที่จัดแสดงงานถึง 55,000 ตารางเมตร และสร้างมูลค่าการค้าการเจรจาธุรกิจสูงกว่า 5.5 พันล้านบาท ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในทุกครั้งของการจัดงานและความต้องการพื้นที่จัดงานที่เพิ่มขึ้นจากทั้งผู้เข้าร่วมจัดงานแสดงสินค้าและบริษัทชั้นนำรายใหม่ๆ ที่ต้องการเข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้สถานที่จัดงานเดิมไม่สามารถรองรับการเติบโตของการจัดงานที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตได้
ดังนั้น การจัดงาน ProPak Asia 2026 จึงมองหาสถานที่จัดงานใหม่ที่มีความเหมาะสม โดยศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค (IMPACT) เมืองทองธานี เป็นสถานที่จัดงานฯ ใหม่ และมีพื้นที่เพียงพอต่อการขยายงานให้ใหญ่ขึ้น การเดินทางที่สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยรถไฟฟ้า รถยนต์ส่วนตัว หรือรถขนส่งสาธารณะ ใกล้สนามบิน และง่ายต่อการเดินทางจากนิคมอุตสาหกรรม อาทิ ชลบุรี อยุธยา ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฯลฯ อีกทั้งยังสามารถรองรับเป้าหมายการพัฒนาการจัดงานฯ ที่จะเติบโตขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการจัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมการผลิต แปรรูป และบรรจุภัณฑ์ระดับโลกอย่างแท้จริง
ProPak Asia 2026 นับเป็นการก้าวสู่มิติใหม่แห่งการขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัด ที่จะเดินหน้าสู่การยกระดับการจัดงานฯ ให้เป็นงานสำคัญของอุตสาหกรรมแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในปี 2027 และก้าวขึ้นสู่การเป็นงานระดับโลก (World Class) ในปี 2028 โดยระหว่างการจัดงาน ProPak 2025 มีผู้ร่วมแสดงสินค้า และผู้สนใจงานร่วมจองพื้นที่จัดงานล่วงหน้าของ ProPak Asia 2026 แล้วถึง 95% เป็นการเสริมความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าร่วมชมงานว่า ProPak Asia 2026 จะเป็นศูนย์กลาง ที่รวมเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม แปรรูปและบรรจุภัณฑ์โดยจะเชื่อมโยงผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า ผู้ประกอบการ หน่วยงาน และ ผู้เข้าเยี่ยมชมงาน เข้ากับ ProPak Connect ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลและเครือข่ายธุรกิจจากการจัดงาน ProPak ทั่วโลก ช่วยให้ทุกส่วนของระบบนิเวศในอุตสาหกรรมฯ เชื่อมต่อกันได้ในทุกมิติ
![]()
ด้านนางลูเซียนา เปลเลกรีโน ประธานองค์กรบรรจุภัณฑ์โลก (World Packaging Organization : WPO) เผยถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เครื่องดื่ม ยา สินค้าอุปโภคบริโภคและธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยมูลค่าของอุตสาหกรรมฯ คาดว่าจะขยายตัวจาก 1.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 เป็น 1.69 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2034 โดยแนวโน้มสำคัญขณะนี้ คือ บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของ WPO ในการส่งเสริมเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ความยั่งยืน และนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ ควบคู่ไปกับการเผยแพร่ข้อมูลและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างองค์กรบรรจุภัณฑ์ระดับนานาชาติ ทั้งนี้ WPO ได้ยกให้ ProPak Asia เป็นหนึ่งในพันธมิตรหลักที่มีบทบาทสำคัญ และรู้สึกยินดีต่อความสำเร็จของงานในแต่ละปี สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2026 ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ พร้อมเปิดรับความท้าทายเพื่อก้าวสู่การเป็นงานแสดงระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่ง WPO พร้อมให้การสนับสนุนงาน ProPak Asia ต่อไปอย่างเต็มที่
![]()
ส่วน ดร. โจเซฟ รอส เอส. จอคสัน ประธานสหพันธ์บรรจุภัณฑ์แห่งเอเชีย (Asian Packaging Federation : APF) กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่า อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีขนาดใหญ่และการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าของอุตสาหกรรมฯ จะอยู่ที่ 190.55 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2025 และคาดว่าจะเติบโตที่ CAGR 4.98% ตั้งแต่ปี 2025 ถึง 2033 จากบทบาทในฐานะศูนย์กลางการผลิตระดับโลก โดนเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงยังได้รับประโยชน์จากการบริโภคภายในภูมิภาคที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการมีประชากรจำนวนมาก สำหรับแนวโน้มสำคัญของอุตสาหกรรมที่ต้องติดตาม ได้แก่ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ การใช้วัสดุที่ยั่งยืนมากขึ้น การเติบโตของบรรจุภัณฑ์ระดับพรีเมียมและเฉพาะบุคคล รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยทางสหพันธ์ฯ ได้ร่วมมือกับงาน ProPak Asia มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนและผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาค จากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งทำให้วันนี้งาน ProPak Asia เติบโตและพัฒนาไปในอีกก้าวสำคัญ ซึ่งจะสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ผลิตและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ทั่วทั้งภูมิภาค โดยทางสหพันธ์บรรจุภัณฑ์แห่งเอเชียจึงพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนการจัดงาน ProPak Asia 2026 และปีต่อๆ ไปอย่างเต็มที่ เพื่อขับเคลื่อนอนาคตและการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก
![]()
ขณะที่นายอลี บาดาร์เนห์ หัวหน้าหน่วยความมั่นคงทางอาหารและระบบอาหาร กรมพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและโครงสร้างพื้นฐาน ยูไนเต็ด เนชั่น อินดัสเทรียล ดิเวลเลิพเมินท ออกาไนซ์เซชั่น หรือ ยูนิโด้ (UNIDO), ออสเตรีย กล่าวว่า องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) เป็นหน่วยงานเฉพาะทางของสหประชาชาติที่ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างครอบคลุมและยั่งยืน ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาวของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ และ งาน ProPak Asia รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่วันนี้งาน ProPak Asia กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ของการเติบโต โดย UNIDO ยืนยันที่จะร่วมสนับสนุนการจัดงาน ProPak Asia 2026 และปีต่อๆ ไปอย่างเต็มที่ เพื่อเร่งสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิต การแปรรูป และบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ระดมความคิด
ระหว่างผู้นำในอุตสาหกรรม ผู้กำหนดนโยบาย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมอาหาร ที่จะร่วมสร้างห่วงโซ่คุณค่าและการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกของอุตสาหกรรมฯ ให้เป็นโซลูชันที่นำไปใช้ได้จริงในระดับท้องถิ่น ซึ่งหลายพื้นที่ของโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างเร่งด่วนจากภาวะความหิวโหยที่เพิ่มขึ้น การสูญเสียและขยะอาหาร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ดังนั้น UNIDO หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือนี้จะสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างระบบอาหารที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคและทั่วโลก
สำหรับงาน ProPak Asia 2026 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้สนใจข้อมูลรายละเอียดการจัดงานฯ สามารถเยี่ยมชมได้ที่www.propakasia.com
งานสายเทคและดิจิทัลกว่า 1,000 อัตรา รอคนรุ่นใหม่มาจับจองที่งาน Job Connect 2025…
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ดึงพลังพันธมิตรชั้นนำ จุดประกายสานฝันคนรุ่นใหม่ให้ได้งานตรงใจในสายอาชีพที่ต้องการ เชื่อมโอกาสที่ใช่ ให้กับผู้ที่ต้องการหางานใหม่ หรือเปลี่ยนสายงาน ทั้งสายเทค ดิจิทัล ครีเอเตอร์ งานขายและการตลาด และอีกหลายสายอาชีพ ครบเครื่องทั้งตำแหน่งงานจากบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ส่องงานใหม่ สมัครไว กับ Job Wall และ Speed Match Interview สัมภาษณ์งานด่วน คัดเลือกไว ไปต่อได้ทันที พร้อมด้วย Work Talk Arena เวทีเสวนาสร้างแรงบันดาลใจจากคนทำงานจริง ในสายงานจริง เจาะลึกเรื่องจริงที่ไม่ใช่แค่ “งานที่ทำ” แต่รวมถึง “วิธีคิด วิธีอยู่รอด และวิธีไปต่อ” ในโลกการทำงานยุคใหม่ที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ ส่วนผู้ที่ยังไม่พร้อมสมัครงาน มาเรียนรู้เทคนิคการเขียนเรซูเม่ ใน Resume Lab ดีไซน์เรซูเม่ให้โดดเด่นโดนใจบริษัทที่กำลังหาคน รวมทั้งเกมและของที่ระลึกอีกมากมาย เตรียมตัวให้พร้อมแล้วปักหมุดรอโอกาสใหม่ๆ ในงาน Job Connect 2025 วันที่ 4 - 6 กรกฎาคม 2568 ที่ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น 3 ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์
![]()
ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า จากความสำเร็จของงาน Job Connect 2024 ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างสถิตินัดพบคนหางานกับบริษัทชั้นนำที่กำลังมองหาคนรุ่นใหม่พร้อมใช้เทคโนโลยี ทำให้มีการกรอกแบบฟอร์มสมัครงานภายในงานมากกว่า 9,000 ใบสมัคร ในปีนี้ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังคงเดินหน้าสร้างโอกาสและเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ในระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี ตอกย้ำแนวคิด “ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้” เตรียมจัดงาน Job Connect 2025 ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด “งานเดียวอยู่หมัดสำหรับคนหางานรุ่นใหม่” รับจบทุกความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่กำลังหางานหรือคนที่อยากเปลี่ยนสายงาน ทั้งในสายเทค ดิจิทัล ครีเอเตอร์ งานขายและการตลาด และอีกหลากหลายสายงาน ชูไฮไลต์เด็ด ทั้งตำแหน่งงานที่มีให้เลือกแบบจุใจ มาพร้อมกับโอกาสพบปะและพูดคุยกับทีม HR ขององค์กรต่างๆ สร้างการรู้จักและเข้าใจวัฒนธรรมองค์กร เพื่อประกอบการตัดสินใจในการสมัครงาน อีกทั้งยังมีกิจกรรมเสริมสร้างทักษะ ผ่านเวทีเสวนาที่อัดแน่นทั้งเทคนิคและแท็กติก (tactic) ในการโลกการทำงานยุคใหม่ให้ทันเทรนด์ AI จากคนทำงานตัวจริงในหลากหลายวงการ อีกทั้งยังมีเวิร์กช็อปและกิจกรรมอัปสกิลอีกมากมาย ตอบโจทย์ทั้งบริษัทชั้นนำให้ได้คนเก่งร่วมทีมแบบตรงใจ และคนหางานให้ได้งานตรงสายกับองค์กรในฝัน คว้าโอกาสเติบโตและขยายขอบเขตความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด
สรุปไฮไลต์ ทำไมต้องมางาน Job Connect 2025
· ตำแหน่งงาน 1000+ ตำแหน่ง จากบริษัทชั้นนำในฝันของคนรุ่นใหม่ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ, กลุ่มบริษัท เด็นโซ่ ประเทศไทย, JobThai, Aware, ทรู คอร์ปอเรชั่น, ไทยออยล์, ศรีจันทร์ และ กรุงไทย-แอกซ่า เป็นต้น
· Job Wall ส่องงานใหม่ สมัครงานไว
· Speed Match Interview สัมภาษณ์งานด่วน
· อัปสกิลและเสวนาเปิดมุมมองใหม่ใน Work Talk Arena จากคนที่ทำงานจริง พลิกเส้นทางชีวิตในโลกการทำงานยุคใหม่ อาทิ คุณณัชชา จันทร์ตระกูล Content creator–โค้ชจ๊ะเอ๋ ปั้นคุณเข้า บ.TOP, คุณณรงค์ยศ มหิทธิวาณิชชา Co-Founder & Head of Growth จาก TWF Agency, ดร. วิโรจน์ จิรพัฒนกุล Managing Director จาก Skooldio และ CK Cheong, CEO Fastwork กับหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจ อาทิ งาน "งอก" ใหม่ เมื่อ AI มา #งานใหม่ใกล้ฉัน, Self-Awareness = Career Power: เข้าใจตัวเอง เพื่อเลือกเส้นทางที่ใช่ และ GEN Z ใช้ AI มาตั้งแต่ยุคก่อนกาล ตอนทำงานจะได้เปรียบแค่ไหน? เป็นต้น
· ดีไซน์เรซูเม่ให้ดึงดูด HR ที่ Resume LAB
· พบกับบูธให้เลือกบริษัทที่ใช่ กว่า 50 บริษัท พูดคุยตรงกับ HR และ Recruit ตัวจริง เสียงจริง
· ร่วมสนุกกับเกมและของที่ระลึกมากมาย
งาน Job Connect 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 6 กรกฎาคม 2568 เวลา 10:00 - 18:00 น. ที่ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น 3 ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนฟรีได้แล้ววันนี้ ที่ https://evcnx.co/job2505