December 16, 2025

ในช่วง หลายปีที่ผ่านมา (มี.ค. 65 – พ.ค. 68) มีผู้แจ้งความคดีออนไลน์ผ่านศูนย์รับเรื่อง ThaiPoliceOnline กว่า 900,000 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสะสมสูงถึง 9 หมื่นกว่าล้านบาท หรือเฉลี่ยถึง 77 ล้านบาทต่อวัน โดยคดีที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ การหลอกซื้อสินค้าโดยไม่ได้รับของ การหลอกให้โอนเงินผ่านแอป และการหลอกให้กู้เงิน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ภัยไซเบอร์ได้กลายเป็นอาชญากรรมใกล้ตัว ที่ทุกคนอาจตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย

ในช่วงที่อาชญากรรมเคลื่อนย้ายเข้าสู่โลกออนไลน์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) หรือ “ตำรวจไซเบอร์” จึงมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับภัยไซเบอร์อย่างรอบด้าน ทั้งการปราบปรามอาชญากรรมและการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อสร้างการ “รู้เท่าทัน” ซึ่งถือเป็นแนวป้องกันชั้นแรก

หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่มีบทบาทโดดเด่นด้านการสื่อสารกับสังคมคือ พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สารวัตรเติร์ก” ซึ่งมีผลงานด้านการให้ความรู้และเตือนภัยไซเบอร์ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้จริง และต่อไปนี้คือ มุมมองจากประสบการณ์ทำงานของเขาที่เคยผ่านงานด้านสืบสวนสอบสวน และองค์ความรู้ทางด้านอาชญาวิทยา พร้อมข้อแนะนำในการป้องกันตัวเองจากภัยไซเบอร์ในชีวิตประจำวัน และบทบาทของ True CyberSafe ในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ช่วย “ปิดโอกาส” การเกิดอาชญากรรมไซเบอร์

จากอาชญากรรมบนท้องถนน (Street Crime) สู่อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime)

“อาชญากรรมในเวลานี้ไม่ได้อยู่จำกัดอยู่แค่บนท้องถนนอีกต่อไป แต่ย้ายเข้าสู่โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของทุกคน” พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ เกริ่นถึงการเปลี่ยนผ่านของโลกอาชญากรรมจากการ “ลัก วิ่ง ชิง ปล้น” แบบดั้งเดิม สู่การเข้าถึงในโลกออนไลน์ที่ทั้งแนบเนียน รวดเร็ว และสร้างความเสียหายมหาศาลยิ่งกว่าเดิม

ในอดีต อาชญากรรมบนท้องถนน (Street Crime) มักเกิดจากการเผชิญหน้ากับเหยื่อโดยตรง เช่น ชิงทรัพย์หรือปล้น ซึ่งต้องใช้กำลังและมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกจับหรือไล่ล่า แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime) ได้กลายเป็นภัยที่แฝงตัวอยู่ในช่องแชต ลิงก์ปลอม หรือการโทรหลอกลวง ผู้ก่อเหตุสามารถซ่อนตัวได้จากทุกมุมโลก และเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากได้พร้อมกัน

“อาชญากรรมแบบดั้งเดิมทำให้เหยื่อเสียทรัพย์สินเพียงที่มีอยู่ติดตัว แต่อาชญากรรมไซเบอร์กลับหลอกลวงได้แนบเนียนกว่า และสร้างความเสียหายได้มากกว่า บางรายไม่เพียงแค่โอนเงินจนหมดบัญชี แต่ยังถูกหลอกให้กู้เงินเพิ่มมาโอนให้อีกด้วย ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเล่นกับจิตวิทยา มากกว่าการใช้กำลัง” พ.ต.ต.พากฤต อธิบาย

Cybercrime แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม

แม้อาชญากรรมทางไซเบอร์จะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพไม่ได้อิงแค่เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังออกแบบตามจิตวิทยาที่สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละประเทศ พ.ต.ต.พากฤต อธิบายว่า ในยุโรปมักพบ Romance Scam หรือการหลอกลวงเชิงความสัมพันธ์ เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปิดกว้างและความเชื่อเรื่องความรัก ขณะที่ในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย กลับมีเหยื่อจำนวนมากตกเป็นเป้าของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

“ความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อถือในเจ้าหน้าที่รัฐ หรือแม้แต่ความกลัวเกรงอำนาจของเจ้าหน้าที่ ก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเชื่อและทำตามเมื่อมีคนมาอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ โดยโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กดดันหรือต้องตัดสินใจอย่างเร่งด่วน”

จากทฤษฎี Crime Triangle สู่การป้องกันที่เป็นรูปธรรมผ่าน True CyberSafe

เมื่ออ้างอิงตามทฤษฎีสามเหลี่ยมอาชญากรรม (Crime Triangle) การเกิดอาชญากรรมแต่ละครั้งจำเป็นต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ อาชญากร โอกาส เหยื่อ ซึ่งอาชญากรรมแบบดั้งเดิมอาจป้องกันได้ด้วยการแสดงตัวของตำรวจในพื้นที่จริง เช่น จุดตรวจหรือสายตรวจ สำหรับในโลกออนไลน์มี "สายตรวจไซเบอร์" ที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่ออนไลน์ที่มีความเสี่ยง เช่น เพจหลอกลวง เว็บพนัน หรือบัญชีม้า แต่การทำงานของตำรวจเพียงฝ่ายเดียวอาจไม่เพียงพอ ภาคเอกชนจึงเข้ามาเสริมกำลังในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น บริการอย่าง True CyberSafe ที่ทำการบล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อผู้ใช้เผลอกดลิงก์อันตรายจากมิจฉาชีพ ที่ส่งผ่าน SMS หรือ Web Browser สำหรับลูกค้าทรู ดีแทคทุกคน นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ปิดโอกาส” ไม่ให้อาชญากรรมไซเบอร์เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น

“แน่นอนว่า มิจฉาชีพต้องพยายามหาช่องทางต่างๆ แต่การที่มีบริการ True CyberSafe ถือว่าช่วยปิดช่องโหว่ เพื่อไม่ให้ผู้คนกับอาชญากรเชื่อมต่อกันได้ในเบื้องต้น” พ.ต.ต.พากฤต อธิบาย เพราะความรู้คือเกราะที่ดีที่สุด ตำรวจยุคใหม่ต้องสื่อสารให้ประชาชนรู้เท่าทัน

เมื่อถามถึงภัยไซเบอร์ที่ประชาชนควรต้องระวังต่อไป พ.ต.ต.พากฤตชี้ว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของมิจฉาชีพ “มิจฉาชีพเริ่มใช้ AI หรือ Deep Fake ที่เป็นการสร้างใบหน้าปลอมของคนรู้จักหรือคนใกล้ชิดมาหลอกลวง รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยี Voice Cloning เลียนเสียงให้เหมือน เพื่อสร้างความเชื่อถือให้เหยื่อหลงเชื่อ แล้วหลอกให้โอนเงินหรือทำตามคำสั่ง”

อย่างไรก็ดี พ.ต.ต.พากฤต ย้ำว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเพียงเครื่องมือที่มิจฉาชีพใช้ “เล่นกับจิตใจคน” ดังนั้น การป้องกันที่ได้ผลที่สุดจึงไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีตอบโต้ แต่คือ “การรู้เท่าทัน” ซึ่งต้องเริ่มจากการสื่อสารและให้ความรู้แก่ประชาชน และนับเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของตำรวจไซเบอร์ในยุคนี้

“มิจฉาชีพเปลี่ยนแปลงวิธีการตลอดเวลา ดังนั้นการสื่อสารให้ความรู้กับประชาชนเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ โดยมีตำรวจเป็นกระบอกเสียง หรือแม้แต่การที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ช่วย เป็นการส่งแรงกระเพื่อมให้กับประชาชนในวงกว้างได้รับทราบข้อมูล ซึ่งในเวลานี้คนก็เริ่มมีความตระหนักรู้เรื่องภัยไซเบอร์มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”

“กลัว โลภ หลง” จุดอ่อนที่เปิดช่องให้กับภัยไซเบอร์

แม้กลโกงของภัยไซเบอร์จะมีมากมาย และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ พ.ต.ต.พากฤต ยืนยันว่า อาชญากรไซเบอร์มักใช้ 3 สิ่งที่เล่นกับจิตใจของคนและได้ผลอยู่เสมอคือ

1. ความกลัว โดยสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินให้ตกใจ แล้วหลอกให้ทำตามโดยไม่ทันคิด เช่น อ้างว่าลูกประสบอุบัติเหตุ หรือเจ้าหน้าที่รัฐเรียกสอบสวน

2. ความโลภ หลอกเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนจำนวนมากอย่างง่ายดาย เช่น หลอกลงทุน กดไลค์แล้วได้เงิน

3. ความหลง สร้างตัวละครหรือสถานการณ์ที่น่าเชื่อถือ ทำให้คล้อยตาม เช่น ทำตัวเป็นคนรู้จัก หรือผู้เชี่ยวชาญ

“กลลวงอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ พรุ่งนี้อาจจะมีกลลวงใหม่ขึ้นมา แต่สามสิ่งนี้เป็นจุดร่วมที่มิจฉาชีพใช้เสมอ เราจึงต้องมีความสงสัยให้มาก ตั้งคำถามกับทุกสิ่งโดยเฉพาะในโลกออนไลน์”

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ได้ ผ่านการเป็นอาสาสมัครในโครงการ “Cyber Eye” เพื่อแจ้งเบาะแสเพจปลอม เว็บไซต์หลอกลวง และภัยออนไลน์อื่น ๆ ได้ที่ www.thaipoliceonline.go.th

สุดท้ายนี้ เขายังเชื่อมั่นว่า “ตำรวจต้องปรับตัวและการทำงานให้เข้าวิถีชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไป” โดยเฉพาะในยุคที่ภัยคุกคามเกิดขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ และการรู้เท่าทัน คือเกราะป้องกันชั้นแรกที่ทุกคนควรมี “และอยากให้ทุกคนคิดเสมอว่า ‘รีบโอน = โจรยิ้ม’ ” พ.ต.ต. พากฤต ทิ้งท้าย

ร่วมต้านภัยไซเบอร์ ... ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับ ตำรวจไซเบอร์ เปิดตัวแคมเปญ “รีบโอน โจรยิ้ม” ภายใต้โครงการ Thai Cyber Ranger ไทยรู้ ทันหลอก จัดโดย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดย พลตำรวจโท ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการฯ ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน รวมถึง ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร พร้อมด้วย นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมงาน ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในโอกาสนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ร่วมเสวนาพิเศษหัวข้อ “เตรียมอย่างไรให้พร้อม ก่อนภัยไซเบอร์คลื่นใหม่เข้าสู่สังคมไทย” แบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ โดย นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล กล่าวถึงแคมเปญ “รีบโอน โจรยิ้ม” ของ ตำรวจไซเบอร์ ที่ทรูพร้อมเต็มที่ในการสนับสนุนทุกภารกิจ เพื่อร่วมจัดการภัยคุกคามจากมิจฉาชีพในยุคไซเบอร์ ทั้งการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แคมเปญนี้ ในสื่อของเครือ ไม่ว่าจะเป็น TrueID, TrueVisions TNN โดยผ่านหลากหลายช่องทางดิจิทัล ทั้ง เว็บไซต์ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ต่างๆ ทั้งนี้ ยังร่วมป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้คนไทยด้วย True CyberSafe บริการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้ใช้งานมือถือและเน็ตบ้านจากภัยไซเบอร์ทุกรูปแบบ โดย มี AI ช่วยวิเคราะห์และตรวจสอบอยู่ข้างหลัง จุดเด่น คือไม่ต้องโหลดแอป ไม่ต้องลงทะเบียน และไม่มีค่าบริการ โดยมี 3 ฟีเจอร์การทำงาน คือ 1. URL Protection on SMS and Browser บล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจจะเป็นอันตราย โดยที่ผ่านมาได้ช่วยปกป้องลูกค้าไม่ให้ตกเป็นเหยื่อแล้ว 1,400 ล้านครั้ง และได้เชื่อมข้อมูลรวบรวมลิงก์อันตรายที่มีความเสี่ยงจากตำรวจไซเบอร์ได้ราว 180,000 ลิงก์ 2. CALL AI FILTER บริการกรองและแจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่เสี่ยงจะเป็นมิจฉาชีพ โดยใช้ AI ประมวลผลข้อมูลที่รวบรวมจากพฤติกรรมการใช้งานมือถือของมิจฉาชีพ และข้อมูลหมายเลขต้องสงสัยที่ได้จากตำรวจไซเบอร์รวมกว่า 300,000 หมายเลข 3. SMS AI FILTER บริการแจ้งเตือน SMS อันตราย โดยจะเปิดให้บริการในปี 2568 นี้”

เตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ของเกมเมอร์ไทยอย่างเต็มตัว! … ทรู คอร์ปอเรชั่น บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของไทย แท็กทีมกับ bro.game ผู้ให้บริการ GeForce NOW อย่างเป็นทางการในไทย ภายใต้ลิขสิทธิ์จาก NVIDIA แบรนด์ระดับโลกด้าน Cloud Gaming ร่วมปฏิวัติประสบการณ์การเล่นเกมให้ “ลื่น–เร็ว–แรง” ยิ่งกว่าเดิม ไม่ต้องใช้คอมสเป็กแรง ไม่ต้องลงทุนการ์ดจอราคาแพง ก็สามารถเล่นเกมกราฟิกระดับ AAA ได้ง่าย ๆ บนอุปกรณ์ทั่วไป ทั้งโน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต แค่มีอินเทอร์เน็ตแรง ๆ จาก True dtac5G และ True Online ก็พร้อมลุยเกมใหญ่ได้ทุกที่ทุกเวลา มาพร้อมจุดเด่น “True Super Lane” เทคโนโลยีเฉพาะของทรูที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นเกมแบบ Interactive และ Game Streaming โดยเฉพาะจัดสรรเลนพิเศษ ให้ได้เล่นเกมแบบไม่ต้องแย่งทราฟฟิกกับใคร บอกลาปัญหาแล็ก และลดปิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ!เล่นเกมได้ลื่นในทุกแมตช์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคนใช้งานหนาแน่น เสมือนมีคอมแรง ๆ ติดตัวตลอดเวลา ลูกค้า True dtac5G และ True Online ยังได้รับสิทธิพิเศษแบบจัดเต็มให้เข้าถึง GeForce NOW ได้ง่ายกว่า คุ้มกว่า พร้อมสัมผัสเกมระดับโลกได้แบบไม่สะดุด

True x GeForce NOW คือคำตอบที่เกมเมอร์ชาวไทยรอคอย! จัดเต็มด้วยแพ็กเกจสุดพิเศษ สำหรับลูกค้า True dtac5G และ True Online เท่านั้น!

แพ็กเกจเสริมสำหรับลูกค้า True dtac5G

• GFN Lite Package – 269 บาท/เดือน

- GeForce Now Lite และ เน็ต 5GB

- ส่วนลดเติมเกม 10% บน Gaming Nation

• GFN Premium Package – 449 บาท/เดือน

- GeForce Now Premium และ เน็ต 10GB

- ส่วนลดเติมเกม 10% บน Gaming Nation

• GFN Ultimate Package – 699 บาท/เดือน

- GeForce Now Ultimate และ เน็ต 15GB

- ส่วนลดเติมเกม 15% บน Gaming Nation

• GFN Ultimate Package Unlimited – 999 บาท/เดือน

- GeForce Now Ultimate และ อินเทอร์เน็ตไม่จำกัด ทุกการใช้งาน

- อินเทอร์เน็ตเลนพิเศษ Super Lane สำหรับการเล่น GeForce NOW โดยเฉพาะ

- ส่วนลดเติมเกม 15% บน Gaming Nation

- แพ็กเกจไฮไลต์สำหรับเกมเมอร์สายจริงจัง ครบทั้งสปีดและสิทธิประโยชน์

• GeForce NOW Stand Alone Pack

- GFN Lite Package – 219 บาท/เดือน

- GFN Premium Package – 399 บาท/เดือน

- GFN Ultimate Package – 649 บาท/เดือน

 

สำหรับลูกค้า True Online มาพร้อม VIP Priority Service จัดลำดับความสำคัญการใช้งานเน็ตบ้านสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะเล่นเกมลื่นไหล ปิงต่ำ ไม่แลค เร็วที่สุด! แรงที่สุดในโหมดเกม

แพ็กเกจGeForce NOW x True Online Pro AI ที่รวมความเร็วสูงกับสิทธิ์ใช้งาน GeForce NOW ฟรีนานถึง 24 เดือน

• ความเร็ว 1000/1000 Mbps ราคาเริ่มต้น 999 บาท/เดือน (รวมแพ็กเสริม)

• เลือกสิทธิ์ใช้งาน GFN Lite / Performance / Ultimate ได้ตามแพ็กเกจ

• รับสิทธิ์เสริมเพิ่มเติม เช่น

- NOW POP 6 เดือน

- Viu 24 เดือน

- โปรแกรมความปลอดภัย F-Secure

- ส่วนลด 15% สำหรับซื้อไอเทมบน Gaming Nation

- อุปกรณ์ Mesh Wi-Fi หรือกล่อง trueID TV (ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจ)

 

แพ็กเกจเสริม GeForce NOW Internet Speed Boost เพิ่มสปีดเฉพาะสำหรับการเล่นเกม

• Lite + Speed 1000/500 Mbps – 339 บาท/เดือน

• Premium + Speed 1000/500 Mbps – 499 บาท/เดือน

• Ultimate + Speed 1000/500 Mbps – 729 บาท/เดือน

GeForce NOW x True-dtac 5G พร้อมพาเกมเมอร์ไทยก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเกมแบบไร้ข้อจำกัด เริ่มต้นโลกใบใหม่ของคุณได้แล้ววันนี้! รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.true.th/lifestyle/gamer/geforce-now

จากภาพ

นายอารันดร์ อาชาพิลาส (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บราเธอร์ พิคเจอร์ จำกัด ผู้ให้บริการ GeForce NOW อย่างเป็นทางการในไทย ร่วมกับ นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ (ซ้าย) หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศ และบริการดิจิทัล พร้อมนายพชร แหวนทองคำ (ซ้าย) หัวหน้าฝ่ายงานพัฒนา บริการด้านคอนเทนต์ดิจิทัลและการเงิน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพลิกโฉมวงการเกมในไทย ในงานเปิดตัว GeForce NOW powered by bro.game พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ครั้งแรกที่ผู้เล่นไทย ไม่ต้องเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศอีกต่อไป

โรงไฟฟ้า BLCP เดินหน้าพันธกิจหลักพัฒนานวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนต่อทุกภาคส่วน ล่าสุดประกาศความสำเร็จโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำเป็นเชื้อเพลิงร่วมถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) ถือเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งแรกของอาเซียนและลำดับ 3 ของเอเชีย พร้อมจับมือ ปตท. ในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำเพื่อผลิตไฟ 5 แสน–1 ล้านตันต่อปี เพื่อช่วยลดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์

นายยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด กล่าวถึง ภาพรวมของธุรกิจโรงไฟฟ้าและทิศทางการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า BLCP ว่า โรงไฟฟ้า BLCP เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ (IPP) มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 1,434 เมกะวัตต์ จากหน่วยผลิต 2 หน่วย โดยไฟฟ้าที่ผลิตจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งพันธกิจหลักขององค์กรครอบคลุมทั้งด้านการสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า (System Stability) รักษาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งดูแลสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

เป้าหมายดังกล่าวถูกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การเลือกถ่านหินทูมินัสคุณภาพสูงมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยนำเข้าจากออสเตรเลียปีละประมาณ 3.6 ล้านตัน ร่วมกับระบบเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ไม่ว่าจะเป็นระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ระบบดักจับฝุ่นไฟฟ้าสถิต (ESP) พร้อมการดูแลและการพัฒนาประสิทธิภาพในการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยนวัตกรรมเทคโนยีสมัยใหม่ ช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เช่น การลดการใช้น้ำจืดในกระบวนการผลิต การจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียและนำน้ำที่บำบัดแล้วหมุนเวียนมาใช้ใหม่ การควบคุมการปล่อยมลพิษที่ได้มาตรฐานตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด ฯลฯ ส่งผลให้การใช้เชื้อเพลิงลดลง ของเสียจากการผลิตลดลง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนมากขึ้น

ส่วนความสำคัญและบทบาทของการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนั้น ถือว่ายังคงมีความจำเป็นต่อบริบททางสังคมและเศรษฐกิจของไทย ก่อนจะเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานอื่นที่ปัจจุบันยังมีต้นทุนการผลิตและการลงทุนที่สูงอยู่มาก ซึ่งต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า BLCP นั้น เฉลี่ยไม่ถึง 2 บาท เพราะถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น หาได้ง่ายและมีปริมาณมาก ทำให้เมื่อนำต้นทุนการผลิตไปคำนวณเป็นค่าเอฟทีแล้ว สามารถรักษาเสถียรภาพของค่าไฟฟ้าไม่ให้สูงจนเกินไปจนเกิดผลกระทบต่อประชาชน หรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

นอกจากหน้าที่สำคัญในการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าให้ดีที่สุดแล้ว โรงไฟฟ้า BLCP ยังมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชนและบริษัทชั้นนำของไทย

และต่างประเทศ อาทิ เจร่า (JERA) หนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของโลกจากประเทศญี่ปุ่น, Mitsubishi Corporation และ Mitsubishi Heavy Industries, Chiyoda Corporation, Algae Bio, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฯลฯ ซึ่งโครงการความร่วมมือนั้น ครอบคลุมในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า การลดมลพิษ การลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและโครงการที่สนับสนุนการสร้างความยั่งยืนตามแนวทาง ESG Model

ล่าสุดโรงไฟฟ้า BLCP ได้มีการจับมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ สำหรับเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าของ BLCP โดยเป็นผลต่อเนื่องจากการศึกษาถึงโอกาสในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ สำหรับเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าถ่านหินของ BLCP เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา โดยได้ร่วมกันเพื่อศึกษาตลาดแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ เจรจากับผู้ผลิตและผลักดันกับทางภาครัฐให้แอมโมเนียใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ ซึ่งบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่ ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมการร่วมกันศึกษาและประเมินศักยภาพของโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการสาธิต (Demonstration) จนถึงการพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์ (Commercialization) ถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมดุล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนในระดับสากล ซึ่งการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาเป็นเชื้อเพลิงร่วมในการผลิตไฟฟ้านั้น โรงไฟฟ้า BLCP นับเป็นแห่งแรกของอาเซียนและเป็นลำดับที่ 3 ของเอเชีย ต่อจากญี่ปุ่นและเกาหลี

โดยผลดีของการนำแอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมนั้น ทำให้การผลิตไฟฟ้าสะอาดขึ้น ช่วยลดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) โดยชนิดของแอมโมเนียคาร์บอนต่ำที่นำมาใช้นั้นเป็นแอมโมเนียสีน้ำเงิน (Blue Ammonia) ที่ดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปกักเก็บเพื่อใช้ประโยชน์อื่น โดยไม่ปล่อยออกสู่อากาศ ซึ่งการศึกษาเบื้องต้นโรงไฟฟ้า BLCP จะใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำร่วมในการผลิตที่ 5 แสน – 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถ่านหินลงได้ประมาณ 5-20%

สำหรับโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้า BLCP นั้น เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2566 โดยเป็นการศึกษาวิจัยและพัฒนาร่วมกันหลายฝ่าย ทั้งโรงไฟฟ้า BLCP, บ้านปู, เอ็กโก, เจร่า (JERA), Mitsubishi Corporation, Mitsubishi Heavy Industries ภายใต้ทุนสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) ที่นอกจากจะสนับสนุนโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำแล้ว ยังให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ของโรงไฟฟ้า BLCP อาทิ โครงการนำคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ โครงการใช้จุลสาหร่ายในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดำเนินการร่วมกับ Algal Bio ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลสาหร่ายระดับโลก จากประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายโครงการในอนาคตอีกด้วย

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี - BLCP Power Limited

‘อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์’ แสดงศักยภาพจัด 5 งานใหญ่ใน 2 ประเทศ เริ่มด้วย ‘International Healthcare Week 2025’ รวม 3 งานใหญ่ในที่เดียว ‘CPHI South East Asia – WHX Kuala Lumpur – WHX Labs Kuala Lumpur 2025’ จัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 16 – 18 กรกฎาคม 2568 พร้อมลุยจัดต่อเนื่อง ‘Vitafoods Asia 2025’ และ ‘Food ingredients Asia Thailand 2025’ จัดระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2568 เต็มทุกพื้นที่ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Health & Wellness ชูเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ สร้างโอกาสทางการค้า การลงทุน ผลักดันเศรษฐกิจโต รับเทรนด์การดูแลสุขภาพทั่วโลกที่กำลังขยายตัว

สุขภาพเป็นเรื่องที่คนในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนยุคนี้ต้องการมีอายุยืนอย่างสุขภาพดี หลายคนหันมาโฟกัสที่สุขภาพจากภายในสู่ภายนอก ความต้องการเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ธุรกิจในกลุ่มนี้มีการขยายตัว

ข้อมูลจากสถาบันด้านสุขภาพสากล หรือ Global Wellness Institute (GWI) ประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจด้านการดูแลสุขภาพทั่วโลก มีแนวโน้มขยายตัวอย่างสูงถึง 8.6% ต่อปี จนถึงปี 2570 โดยมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 306 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 และสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ขณะที่ตัวเลขจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568) ประเทศไทยมีนิติบุคคลธุรกิจ Healthcare & Wellness จำนวน 28,536 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 359,321 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 1.13 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจ ดังนี้ 1. บริการสปาและนวดเพื่อสุขภาพ 1,806 ราย ทุน 10,315 ล้านบาท 2. บริการความงาม 2,421 ราย ทุน 6,574 ล้านบาท 3. บริการทางการแพทย์ 9,570 ราย ทุน 218,202 ล้านบาท 4. บริการดูแลผู้สูงอายุ 765 ราย ทุน 4,216 ล้านบาท และ 5. ค้าส่ง – ปลีก เภสัชภัณฑ์ทางการแพทย์ 13,974 ราย ทุน 120,014 ล้านบาท

นอกจากนี้ ภาครัฐตั้งเป้าหมายที่จะเป็นฮับสุขภาพนานาชาติ คาดว่าปี 2570 จะสร้างรายได้จากธุรกิจ Wellness & Healthcare ไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท แนวโน้มการเติบโตของเทรนด์ และตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจ สอดรับกับการดำเนินธุรกิจของ ‘อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์’ ที่เป็นผู้นำในการจัดงานแสดงสินค้า Trade Exhibition ที่มองว่าธุรกิจ Health & Wellness ยังมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมจัดงาน International Healthcare Week 2025 ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งประกอบไปด้วยสามงานใหญ่ คือ CPHI South East Asia (การผลิตยา) WHX Kuala Lumpur (อุปกรณ์ในโรงพยาบาล) WHX Labs Kuala Lumpur (อุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์) และ Vitafoods Asia 2025 (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัด) Food ingredients Asia Thailand 2025 (นวัตกรรมส่วนผสมอาหาร) ที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นแพลตฟอร์มขยายโอกาสของผู้ประกอบการไทยและนักลงทุนหน้าใหม่

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวถึงการเติบโตของธุรกิจ Health & Wellness ว่า ปัจจุบันคนให้ความสำคัญด้านสุขภาพเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งทุกธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มการขยายตัว รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ได้เห็นอุตสาหกรรมนี้ถูกยกระดับขึ้น

“การเติบโตเกิดขึ้นทั้งในมิติของผู้คนและธุรกิจ ในฐานะผู้จัดงาน International Healthcare Week 2025 (CPHI South East Asia, WHX Kuala Lumpur, WHX Labs Kuala Lumpur) Food ingredients Asia Thailand 2025 และ Vitafoods Asia 2025 มองว่านี่เป็นโอกาสธุรกิจที่สำคัญสำหรับผู้คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ เภสัชกรรม เทคนิคการแพทย์ นวัตกรรมอาหารผู้ผลิตและผู้ประกอบการด้านสารสกัดและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” นางสาวรุ้งเพชร กล่าว

“โดยในปีนี้งาน International Healthcare Week 2025 จะเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่ได้ไปร่วมจัดแสดงงานที่ประเทศมาเลเซีย ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำในเอเชียสำหรับการดูแลสุขภาพ อีกทั้งตลาดเภสัชกรรมของมาเลเซียมีข้อได้เปรียบจากการสนับสนุนของรัฐบาล เปิดโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้ามาต่อยอดธุรกิจ” นางสาวรุ้งเพชร กล่าว

ทั้งนี้ International Healthcare Week 2025 ประกอบไปด้วยงาน ‘CPHI South East Asia 2025’ งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และการประชุมด้านอุตสาหกรรมการผลิตยา ครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ‘WHX Kuala Lumpur 2025’ งานแสดงสินค้าด้านเครื่องมือแพทย์ ‘WHX Labs Kuala Lumpur 2025’ งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี นวัตกรรมทางด้านอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงมาก เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาเลเซีย จัดระหว่างวันที่ 16 – 18 กรกฎาคม 2568 ที่ Malaysia International Trade and Exhibition Centre (MITEC) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ด้าน “ไวต้าฟู้ดส์ เอเชีย” (Vitafoods Asia 2025) งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมส่วนผสมสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ “ฟู้ด อินกรีเดียนท์ส เอเชีย 2025” (Food ingredients Asia Thailand 2025) งานแสดงสินค้าเทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านส่วนผสมอาหาร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2568 เต็มทุกพื้นที่ทุกฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพฯ

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแส “กล่องสุ่มฟีเวอร์” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ขยับจากความชื่นชอบเฉพาะกลุ่มของนักสะสม สู่เทรนด์กระแสหลักที่มาแรงแบบฉุดไม่อยู่ และผู้อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก POP MART แบรนด์อาร์ตทอยระดับโลก ผู้จุดกระแสนิยมผ่านคาแรกเตอร์เอ็กซ์คลูซีฟ แรร์ไอเทมที่ใคร ๆ ก็อยากได้ ไปจนถึงกิจกรรมออฟไลน์ที่เชื่อมโลกแห่งจินตนาการสู่ประสบการณ์จริง ปัจจุบัน Pop Mart ได้นำโลกของตัวละครขวัญใจอย่าง MOLLY, DIMOO และ SKULLPANDA เข้ามาใกล้ชิดบรรดาแฟนมากยิ่งขึ้น ผ่าน LazMall บนลาซาด้า ไม่ว่าจะเป็นเซอร์ไพรส์ดร็อปสุดตื่นเต้น ประสบการณ์แกะกล่องที่หลายคนรอคอย ตลอดจนกิจกรรมกับคอมมูนิตี้ของกลุ่มแฟนพันธุ์แท้

การเปิดร้านบน LazMall ช่วยให้ POP MART เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น นับตั้งแต่เปิดตัวบนแพลตฟอร์มในปี 2566 แบรนด์สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 5 เท่า กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ของเล่นที่เติบโตเร็วที่สุดบน LazMall สะท้อนถึงความหลงใหลของผู้บริโภคในภูมิภาคที่มีต่อของสะสมและการเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครที่น่าสนใจ ตั้งแต่การแกะกล่องผ่านไลฟ์สตรีม ไปจนถึงการเปิดตัวสินค้าใหม่ด้วยอินไซต์ที่แม่นยำ ความสำเร็จของ POP MART สะท้อนถึงพลังของการผสานโลกดิจิทัลเข้ากับวัฒนธรรมแฟนด้อมได้อย่างไร้รอบต่อ ขณะเดียวกัน ตลาดกล่องสุ่มอาร์ตทอยทั่วโลกก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 3.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2574 โดย

แรงขับเคลื่อนหลักมาจากนักสะสมรุ่นใหม่อย่างเจนซีและมิลเลนเนียล ที่หลงใหลในความหายาก ความผูกพันทางอารมณ์ และกลิ่นอายของความทรงจำในวัยเด็ก

POP MART เผยว่า ไม่ว่าจะเป็นความตื่นเต้นจากความลุ้นระทึก หรือความสุขที่ได้เจอคาแรกเตอร์โปรด นักสะสมกำลังมองหาอะไรที่มากกว่าของเล่น นั่นคือเรื่องราวเบื้องหลังตัวละครเหล่านั้น การร่วมมือกับลาซาด้าช่วยให้ POP MART สามารถถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร้รอยต่อและเข้าถึงผู้คนได้มากยิ่งขึ้น

พบกับคอลเลคชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟในเดือนมิถุนายนนี้

POP MART เตรียมปล่อย 2 คอลเลคชันสุดลิมิเต็ด ได้แก่ MOLLY และ Zsiga และเปิดตัว SKULLPANDA คอลเลคชันที่สองในรูปแบบตุ๊กตาพลัชสุดนุ่มนิ่มน่ากอด เพิ่มสีสันใหม่ให้กับไลน์อัปคาแรกเตอร์ยอดฮิตที่ครองใจแฟน ๆ มาอย่างยาวนาน

คอลเลคชันพิเศษทั้งหมดนี้จะวางจำหน่ายบน LazMall ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 เป็นต้นไป โดย POP MART เตรียมขยายสต็อกสินค้าและเพิ่มการมองเห็นหน้าร้านออนไลน์บนลาซาด้า เพื่อรองรับความต้องการที่ของแฟน ๆ ทั่วภูมิภาค

 

เจาะอินไซต์คอมมูนิตี้ สู่ตะกร้าในโลกคอมเมิร์ซ

แฟน ๆ POP MART ไม่เพียงแค่สามารถช้อปสินค้าได้สะดวกสบายผ่านลาซาด้าเท่านั้น แต่ยังได้สัมผัสกับประสบการณ์ช้อปปิงที่เหนือระดับ ด้วยระบบแนะนำสินค้าที่ขับเคลื่อนโดย AI พร้อมผสานข้อมูลเชิงลึกเฉพาะตลาด ทำให้แบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าที่ตรงใจนักสะสมในแต่ละประเทศได้อย่างแม่นยำ เช่น SKULLPANDA ที่กลายเป็นคาแรกเตอร์ขวัญใจชาวไทย และ DIMOO ที่ได้รับความรักอย่างล้นหลามในมาเลเซีย

นอกจากนี้ ฟิกเกอร์ตัวโปรดยังรับการจัดส่งที่รวดเร็ว โดย 85% ของคำสั่งซื้อในเมืองหลักทั่วภูมิภาค เช่น กรุงเทพฯ และมะนิลา จะส่งถึงมือภายใน 48 ชั่วโมงหลังยืนยันคำสั่งซื้อ พร้อมบรรจุในแพ็กเกจกันกระแทกพิเศษเพื่อรักษาสภาพให้สมบูรณ์ และลูกค้าสามารถติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์ผ่านแอปลาซาด้าได้อย่างสะดวกสบาย

อาร์ตทอยจาก POP MART ไม่ใช่เพียงแค่ของเล่นทั่วไป แต่คือไลฟ์สไตล์และสัญลักษณ์ของความหรูหราและความเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของแฟนคลับและเหล่าครีเอเตอร์ โดยปัจจุบันกว่า 34% ของยอดขาย POP MART บนลาซาด้า มาจากพาร์ทเนอร์ในเครือข่าย Lazada Affiliate ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สตรีมเมอร์ นักสะสมอาร์ตทอย และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่ถ่ายทอดเสน่ห์ของ POP MART ผ่านมุมมองเฉพาะตัว ทั้งการเล่าเรื่องราว การเจาะลึกคาแรกเตอร์ และคอนเทนต์แกะกล่อง กลุ่มครีเอเตอร์เหล่านี้ไม่เพียงแค่โปรโมตสินค้า แต่ยังช่วยสร้างคอมมูนิตี้ และยกระดับการสะสมให้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่แชร์ร่วมกันได้อย่างแท้จริง

บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าเติมเต็มความสนุกในการถ่ายภาพอย่างต่อเนื่อง คราวนี้จัดเต็มความเอ็กซ์คลูซีฟกับอีเวนต์ Half the Size, Twice the Story ครั้งแรกที่คนรักการถ่ายภาพจะได้มาทดลองเล่นกล้องดิจิทัลคอมแพคสไตล์ฟิล์มแห่งปีอย่าง “X half” เพื่อเปิดประสบการณ์การถ่ายภาพที่ง่าย สนุก และได้ภาพมีสไตล์ไม่ซ้ำใคร โดย X half ได้มีการเปิดตัวและเรียกเสียงฮือฮาไปทั่ววงการเมื่อเร็ว ๆ นี้ กล้องมาพร้อมฟีเจอร์เอฟเฟกต์วินเทจแบบจัดเต็ม และลูกเล่นเพิ่มความสนุกในการสร้างสตอรี่ด้วยโหมด 2 in 1 ไฮไลต์ในงาน Touch & Try คือ 4 โซนที่อัดแน่นไปด้วยประสบการณ์สุด เอ็กซ์คลูซีฟที่ทุกคนจะได้ลองสัมผัสกล้อง X half อย่างจุใจเป็นครั้งแรก พร้อมครีเอตคอนเทนต์เก๋ ๆ ในกลิ่นอายกล้องฟิล์ม ซึ่งงานนี้จัดขึ้นที่ The Corner House Bangkok เฉพาะวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00-20.00 น. รีบไปด่วน!

อีเวนต์ Half the Size, Twice the Story เปิด 4 โซนสุดปังที่ออกแบบมาให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสเสน่ห์และลูกเล่นของ X half อย่างรอบด้าน ออกสตาร์ตที่โซนแรก “Get to Know X half” พื้นที่โชว์เคสที่ทุกคนจะได้ลองเล่นฟังก์ชันของกล้อง X half ทั้งฟีเจอร์ที่ครองใจหลาย ๆ คน อย่าง Film Simulation และเอฟเฟกต์ X filter ที่หลากหลาย ทำให้กล้องไซซ์เล็กตัวนี้สามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างไม่มีขีดจำกัด พร้อมชมผลงานสุดครีเอตจากผู้ชนะรางวัลในแคมเปญ “Fujifilm X-Creator” ที่ใช้กล้องฟูจิฟิล์มใน การสร้างสรรค์ผลงานที่เปี่ยมด้วยสไตล์ของตัวเอง

ถัดมาคือโซน “Experience Half Frame” เปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้ลองโหมด "2-in-1" ซึ่งเป็นไฮไลต์ของ X half ภาพที่ได้ไม่ใช่แค่เท่ แต่ยังเป็นการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์แบบที่ภาพเดี่ยว ๆ ให้ไม่ได้ นอกจากนี้ ถ้าลองเอาไปตกแต่งผ่านแอป “X half” ไม่ว่าจะเปลี่ยนสี ปรับขนาด หรือสลับภาพซ้าย-ขวา ก็ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่

ด้วยความที่ X half มีกลิ่นอายของกล้องอนาล็อกอยู่เต็มเปี่ยม โซนที่สาม “Analog to Digital” จึงชวนคนมาเปิดประสบการณ์การถ่ายภาพแบบกล้องฟิล์มคลาสสิกผ่านโหมด Film Camera ที่จำลองการถ่ายภาพฟิล์มโดยต้องรอจนกว่าจะถ่ายครบแล้วจึงส่งไปล้างฟิล์มแบบดิจิทัลในแอป X half ที่จัดหน้าออกมาเป็น Contact Sheet เหมือนนั่งรอล้างรูปอยู่หน้าร้านฟิล์มในยุคก่อน

ปิดท้ายความสนุกด้วยโซน “Give & Share” ชวนทุกคนมาถ่ายภาพ ดาวน์โหลดลงสมาร์ตโฟน และส่งไปปรินต์เป็นภาพฟิล์ม instax เพื่อเก็บโมเมนต์ความสนุกสนานไว้ในความทรงจำ

ตลอดทั้งงาน ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสเสน่ห์ของกล้องดิจิทัลคอมแพคสไตล์ฟิล์มอย่าง X half ที่ยกระดับความสามารถด้วยฟังก์ชันทันสมัยอย่างลงตัว พร้อมสนุกกับทุกโซนในบรรยากาศเป็นกันเอง และรับของที่ระลึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟกลับบ้าน มาร่วมเปิดมุมมองใหม่ ๆ กับอีเวนต์ “Half the Size, Twice the Story” ได้ตั้งแต่วันที่ 25–29 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00–20.00 น. ที่ The Corner House Bangkok ถนนเจริญกรุง (เข้าร่วมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)

ในยุคที่เครื่องมือดิจิทัลกลายเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ “โฆษณา” จึงกลายเป็นกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพแต่มีข้อจำกัดด้านเวลาและทีมดีไซน์ เทคโนโลยี AI จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญที่เพิ่มศักยภาพในการทำโฆษณา ด้วยความสามารถในการสร้างและปรับแต่งชิ้นงานได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย พร้อมช่วยลดต้นทุนในการผลิตโฆษณา LINE Creative Lab จึงพัฒนาเครื่องมือที่ผสานพลัง AI ช่วยให้ผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์สามารถสร้างโฆษณาที่โดดเด่นได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านดีไซน์หรือจ้างทีมงานภายนอก ช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการทำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

LINE Creative Lab เป็นเครื่องมือช่วยสร้างชิ้นงานโฆษณาจาก LINE สามารถสร้างได้ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ มีจุดเด่นคือใช้งานง่าย สะดวก ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านดีไซน์ก็สามารถเลือกใช้เทมเพลตสำเร็จรูป ปรับแต่งสี ตัวอักษร โลโก้ และรูปภาพได้อย่างอิสระ พร้อมเชื่อมต่อกับโซลูชันยอดนิยมอย่าง LINE Ads และ LINE OA ช่วยให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจสามารถนำผลงานไปใช้งานจริงได้ทันที โดยไม่ต้องโอนย้ายไฟล์ไปมาให้ยุ่งยาก

ข้อควรรู้ในการเริ่มต้นใช้งาน LINE Creative Lab

สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยใช้ LINE Creative Lab สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ง่าย ๆ ผ่าน https://creativelab.line.biz/th (แนะนำให้ใช้งานผ่าน Chrome) เลือกผูกบัญชี LINE OA หรือ LINE Ads กับ LINE Creative Lab ให้เรียบร้อยก่อนเริ่มใช้งาน โดยบัญชี LINE OA หรือ LINE Ads ดังกล่าวต้องเป็นบัญชีที่ล็อกอินด้วย LINE Business ID เท่านั้น จากนั้นสามารถเริ่มสร้างผลงานโฆษณาได้ทันที โดยมีเครื่องมือ ฟังก์ชันหลากหลายให้เลือกใช้ พร้อมไซส์พื้นฐานของชิ้นงานในแต่ละช่องทาง เทมเพลตอย่างง่ายแนะนำให้พร้อมก่อนเริ่มสร้างชิ้นงาน

การใช้งาน 3 ฟีเจอร์ AI จะมีเงื่อนไขในการใช้งานด้วยการใช้ 1 เครดิตต่อการสร้างชิ้นงาน 1 ครั้ง* โดยผู้ใช้งานจะได้รับเครดิตเริ่มต้นจำนวน 30 เครดิตต่อเดือนโดยอัตโนมัติ (เครดิตจะถูกใช้งานสำหรับการสร้างชิ้นงานผ่านฟีเจอร์ AI เท่านั้น ฟีเจอร์ ฟังก์ชันอื่นๆ ทั่วไปใน LINE Creative Lab สามารถใช้งานได้ฟรี ไม่มีเงื่อนไขเครดิตในการใช้งาน) นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้ Adobe ยังสามารถสร้างชิ้นงานบน LINE Creative Lab ได้เช่นกันผ่านฟังก์ชัน ‘สร้างโดยใช้ Adobe Express’ โดยผู้ใช้ต้องมีบัญชี Adobe อยู่ก่อนแล้วจึงสามารถใช้งานได้ อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ประกอบการไทย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย จะสร้างชิ้นงานรูปแบบไหน สะดวกสร้างด้วยวิธีใด และลงช่องทางใดบน LINE ก็สามารถสร้างเองได้ง่ายๆ บน LINE Creative Lab

LINE Creative Lab ช่วยปลดล็อกศักยภาพด้านครีเอทีฟให้กับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ ให้สามารถสร้างผลงานโฆษณาได้ด้วยตัวเองอย่างสะดวก รวดเร็ว และมีคุณภาพ พร้อมต่อยอดสู่การตลาดในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถศึกษาการใช้งานเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์ https://creativelab.line.biz/th (แนะนำให้ใช้งานผ่าน Chrome) หรือศึกษาวิธีการเริ่มใช้งานได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=tjJAJbqXu5w

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) มั่นใจต่อการลงทุนธุรกิจ CCUS ในสหรัฐอเมริกาซึ่งถือเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญ ด้วยการดำเนินงานที่ครอบคลุมธุรกิจก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

บ้านปูมุ่งตอบโจทย์ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยธุรกิจ CCUS จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างกระแสเงินสดและความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัทฯ เพื่อขับเคลื่อนสู่การเติบโตระยะยาวและบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยกว่า 20%

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วย DNA ของบ้านปูที่เป็นผู้บุกเบิก (Pioneer) และกลยุทธ์ Energy Symphonics ของเราที่มาจากการตีโจทย์ความต้องการพลังงานของโลกว่าต้องมีสมดุลของทั้งความเสถียร เข้าถึงได้ และเป็นมิตรกับโลก บ้านปูจึงแสวงหา โซลูชันพลังงานที่ตอบโจทย์ดังกล่าว จนเป็นบริษัทไทยรายแรกที่บุกเบิกธุรกิจ CCUS ในสหรัฐอเมริกา ผ่านการดำเนินงานของ BKV Corporation หรือ BKV บริษัทย่อยซึ่งมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ โดยนับตั้งแต่ปี 2022 ที่เราเริ่มลงทุนในโครงการ CCUS ปัจจุบัน พอร์ต CCUS ในสหรัฐฯ เติบโตต่อเนื่องถึง 3 โครงการ โดยมีบาร์เนตต์ ซีโร่ (Barnett Zero) ที่ดำเนินการเชิงพานิชย์และรับรู้รายได้แล้ว รวมถึงโครงการคอตตอน โคฟ (Cotton Cove) และ อีเกิล ฟอร์ด (Eagle Ford) ที่จะเริ่มดำเนินการภายในปี 2026 เรามองว่า CCUS จะเป็นธุรกิจสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมพลังงานอย่างก๊าซธรรมชาติ การผลิตไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยบ้านปูตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2030 จะต้องกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากธุรกิจ CCUS ให้ได้ 16 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี”

ความคืบหน้าที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา คือการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ (JV) ร่วมกันระหว่าง BKV dCarbon Ventures ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BKV และกองทุน CI Energy Transition Fund ภายใต้การบริหารของ Copenhagen Infrastructure Partners (CIP) ผู้นำด้านการลงทุนสาธารณูปโภคด้านพลังงานระดับโลกจากเดนมาร์ก เพื่อการออกแบบ พัฒนา และดำเนินธุรกิจ CCUS ในสหรัฐฯ โดย นายสินนท์ ได้กล่าวย้ำว่า “การขยายพอร์ตธุรกิจ CCUS อย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ด้วยความร่วมมือกับบริษัทใหญ่จากยุโรปเช่นในครั้งนี้ รวมถึงนโยบายและกฎระเบียบที่เอื้อจากภาครัฐ จะเป็นแรงผลักสำคัญที่สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้ธุรกิจ CCUS สะท้อนถึงความพร้อมของกลุ่มบ้านปูในการตอบสนองด้านความต้องการพลังงาน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศทางด้านพลังงานในอนาคต”

*CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Sequestration) คือเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากแหล่งกำเนิดในภาคอุตสาหกรรม โดยไม่ปล่อย CO2 กลับสู่ชั้นบรรยากาศ

รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA)  องค์กรชั้นนำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก เผยผลสำรวจด้านเฮลท์แคร์ Future Health Index (FHI) 2025 ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน โดยรายงานผลสำรวจนี้ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากบุคลากรทางการแพทย์กว่า 1,900 คน และผู้ป่วยกว่า 16,000 คน จาก16 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ เป็นต้น โดยชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ผลตอบรับการใช้เทคโนโลยี AI ในระบบสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะค่อนข้างไปในเชิงบวก แต่ยังมีความกังวลในแง่ความมั่นใจและการนำไปใช้

 

นายแจสเปอร์ เวสเตอร์ริงค์ รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ ฟิลิปส์ ประเทศญี่ปุ่น และรักษาการประธานและกรรมการผู้จัดการ ฟิลิปส์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ความจำเป็นของการใช้เทคโนโลยี AI สูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน เมื่อผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยต้องรอพบแพทย์เฉพาะทางนานกว่า หนึ่งเดือน ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์บางส่วนต้องเสียเวลาทำงานทางคลินิกไปราว 4 สัปดาห์ต่อปี เนื่องจากข้อมูลผู้ป่วยไม่ครบถ้วน ดังนั้น AI จึงมีบทบาทสำคัญที่เข้ามาช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถรักษาผู้ป่วย ได้เร็วขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น และตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยได้รวดเร็วขึ้น เพื่อยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีประสิทธิมากขึ้นแก่ผู้คนจำนวนมากขึ้นเช่นกัน”

ผลลัพธ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพจากการรักษาผู้ป่วยล่าช้า ตัวเร่งให้เกิดการใช้เทคโนโลยี AI

จากผลสำรวจพบว่า ผู้ป่วยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 2 ใน 3 (66%) ใช้เวลาในการรอพบแพทย์เฉพาะทางถึงเดือนครึ่ง ซึ่งระยะเวลารอคอยเฉลี่ยสูงถึง 47 วัน โดยผู้ป่วยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 1 ใน 3 (33%) ระบุว่าอาการของพวกเขาแย่ลงจากความล่าช้าในการพบแพทย์ และผู้ป่วย 1 ใน 4 (25%) ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากรอพบแพทย์นานเกินไป

เทคโนโลยี AI มีศักยภาพในการยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ และช่วยปรับปรุงผลลัพธ์การรักษาผู้ป่วยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

· 81% ของบุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเชื่อว่า เทคโนโลยีดิจิทัลเฮลท์อย่าง AI และระบบวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ น่าจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในอนาคตได้

· 86% ของบุคลากรทางการแพทย์ คาดว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยลดอัตราการทำหัตถการแบบเร่งด่วน หรือการรักษาแบบฉุกเฉินได้

· 89% ของบุคคลากรทางการแพทย์ เชื่อว่าเทคโนโลยี AI และระบบวิเคราะห์เชิงคาดการณ์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยจากการเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

ความท้าทายด้านบุคลากร และด้านข้อมูลผู้ป่วย ดันให้เทคโนโลยี AI เป็นตัวช่วยสำคัญ

3 ใน 4 (76%) ของบุคลากรทางการแพทย์ในเอเชียแปซิฟิกระบุว่าพวกเขาเสียเวลาสำคัญทางคลินิก เนื่องจากข้อมูลผู้ป่วยไม่ครบถ้วนหรือไม่สามารถเข้าถึงได้ และเกือบ 1 ใน 3 (31%) ของบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มนี้ยังระบุว่าพวกเขาเสียเวลาทางคลินิกมากกว่า 45 นาทีต่อ 1 กะการทำงาน หรือคิดเป็นเวลารวมถึง 23 วันต่อปีต่อบุคลากรแต่ละคน ขณะเดียวกัน 2 ใน 5 (39%) ของบุคลากรทางการแพทย์กล่าวว่าปัจจุบันพวกเขามีเวลาในการดูแลผู้ป่วยน้อยลง แต่ต้องใช้เวลามากขึ้นในงานด้านเอกสารเมื่อเทียบกับเมื่อ 5 ปีก่อน

ปัจจัยเหล่านี้ซ้ำเติมปัญหาด้านบุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้แย่ลงกว่าเดิม องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าภายในปีพ.ศ. 2573 เฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ถึง 6.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 40% ของปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก1

 

จากผลสำรวจบุคลากรทางการแพทย์กว่า 300 คน พบมีความกังวลหลายประการ หากไม่มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้

· 45% กังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ป่วยตกค้างที่เพิ่มขึ้น

· 42% กังวลถึงการเผชิญภาวะหมดไฟในการทำงานที่เพิ่มขึ้น จากภาระงานด้านเอกสาร

· 40% กังวลว่าจะไม่สามารถให้การรักษาที่ทันต่อยุคสมัย

ขจัดความกังวลของบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย ตัวแปรสำคัญสู่การใช้เทคโนโลยี AI ในวงกว้าง

บุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถึง 81% มีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กรของตัวเอง อย่างไรก็ตาม 39% ของบุคลากรทางการแพทย์ยังเห็นว่าเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมานั้นไม่สามารถตอบโจทย์ ความต้องการของพวกเขาได้ นอกจากนี้ ข้อกังวลในด้านความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยียังเป็นปัจจัยสำคัญ โดย 71% กังวลเกี่ยวกับความรับผิดต่อกฎหมายจากการใช้เทคโนโลยี AI ในขณะที่ 66% กังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่ไม่เป็นกลางในระบบที่ใช้ AI อาจส่งผลให้การรักษาและผลลัพธ์ไม่ถูกต้องได้ ในกลุ่มผู้ป่วยถึง 75% ยอมรับต่อการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้น หากสามารถช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขและเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา แต่กว่าครึ่ง (51%) กังวลเกี่ยวกับการถูกลดเวลาในการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์แบบตัวต่อตัว และอีก 54% กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลหากมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในระบบสาธารณสุข

“ความเชื่อมั่น” คือหัวใจสำคัญสู่การปฏิวัติวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ผลสำรวจชี้ 84% ของบุคลากรทางการแพทย์เห็นว่าการสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี AI ต้องมาพร้อมกับกรอบแนวทางปฏิบัติ วิธีรับมือหากเกิดปัญหา และความรับผิดทางกฎหมายที่ชัดเจน มากไปกว่านั้น บุคลากรทางการแพทย์ ยังระบุว่าการพัฒนาโซลูชั่นส์ AI ควรจะต้องมีหลักฐานพิสูจน์แน่ชัด มีความโปร่งใส และสามารถเฝ้าติดตามได้ (72%) ตามด้วยความชัดเจนในด้านความปลอดภัยของข้อมูล (51%) ในกลุ่มผู้ป่วย 3 ใน 4 (74%) มีความยินดีที่จะใช้เทคโนโลยีมากขึ้นในระบบสาธารณสุข หากจะช่วยให้พวกเขาสามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยกับบุคลากรทางการแพทย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น และหากช่วยปรับปรุงการดูแลรักษาให้ดีขึ้น (75%) ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้ป่วยและเทคโนโลยี AI โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ (86%) จะรู้สึกสบายใจเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี AI หากได้รับข้อมูลโดยตรงจากแพทย์ของพวกเขา ซึ่ง ตอกย้ำให้เห็นว่าแพทย์คือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับผู้ป่วยแม้แต่ในเรื่องเทคโนโลยี

“สิ่งสำคัญ คือ การสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้มีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในวงกว้างและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความร่วมมือของทุกฝ่ายในวงการเฮลท์แคร์เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นและลดความกังวลในการใช้เทคโนโลยี AI และขับเคลื่อนการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับระบบสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างรับผิดชอบและครอบคลุม” นายแจสเปอร์ กล่าวสรุป

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และผลสำรวจฉบับเต็ม Future Health Index 2025 ได้ที่ Future Health Index | Philips

X

Right Click

No right click