December 19, 2025

หลายปีที่ผ่านมาอาจสังเกตได้ว่า มีพี่น้องแรงงานเมียนมาและกัมพูชาเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในหลากหลายกิจการทั้งเล็กและใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน เผยสถิติล่าสุดในเดือนเมษายน 2567 ว่ามีแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทยจำนวนทั้งสิ้น 3,326,034 คน โดยเป็นแรงงานชาวเมียนมา 2,302,459 คน และแรงงานกัมพูชา 448,967 คน เห็นตัวเลขแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ ที่เราต่างได้เห็นความหลากหลายในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น

จากการดูแลกลุ่มลูกค้าแรงงานเมียนมาและกัมพูชากว่า 88 เปอร์เซ็นต์ในตลาด ทีมทำงานของทรูและดีแทคเดินตลาดสำรวจความต้องการของกลุ่มลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง และมี Insights ที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตไกลบ้านของพี่น้องแรงงานต่างชาติทั้งเมียนมาและกัมพูชา ที่ทำให้เราเข้าใจพวกเขาได้มากกว่าเดิม

ทำงานสู้ชีวิต หาเงินเพื่อครอบครัว และเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

พวกเขามีความเชื่อในเรื่องการสู้ชีวิต เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงให้คุณค่ากับการทำงานหนัก ขยันและอดทน โดยมีเป้าหมายที่จะหาเงินให้ได้มาก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาทำงานอย่างน้อย 6 วันต่อสัปดาห์ จากการเก็บข้อมูลพบว่า แรงงานข้ามชาติมากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับค่าจ้างเป็นแบบรายวัน แต่โดยรวมแล้วมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ประมาณ 12,424 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการทำงานในประเทศของพวกเขาเอง

โอนเงินกลับบ้านให้ครอบครัวเป็นประจำ

รายได้จากการทำงานพวกเขาจะเก็บออมและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่ หรือลูกที่อยู่ในประเทศของตัวเอง เพื่อให้นำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเก็บไว้ซื้อรถ สร้างบ้าน รวมถึงนำไปลงทุนในกิจการส่วนตัว เพราะพวกเขามักเป็นเสาหลักของครอบครัว รายงานจาก UNDP เผยว่า เงินที่ส่งกลับมาจากต่างประเทศเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของครัวเรือนในเมียนมาเสมอมา เนื่องจากโอกาสในการทำอาชีพต่างๆ ลดลง และมีแรงงานออกจากประเทศมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือ การโอนเงินกลับบ้าน พวกเขายังเลือกใช้ช่องทางไม่เป็นทางการที่รู้จักกันในชื่อ “โพยก๊วน” หรือการโอนส่งเงินระหว่างกันโดยอาศัยนายหน้า การศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า แรงงานเมียนมาเลือกใช้ระบบนี้ เพราะคนรับเงินปลายทางสะดวกกว่า จากการที่นายหน้านำเงินส่งให้ถึงบ้าน ไม่เหมือนกับการโอนผ่านธนาคาร ที่ผู้รับเงินต้องเดินทางไปรับเงินเอง รวมถึงระบบนี้ไม่ต้องใช้เอกสารยืนยันใดๆ เช่นเดียวกับการศึกษาของ Regional Center for Social Science and Sustainable Development (RCSD) ที่เผยว่า แรงงานกัมพูชาเลือกส่งเงินจากไทยผ่านช่องทางไม่เป็นทางการ เพื่อให้นายหน้าหรือญาติถอนเงินสดไปให้ครอบครัว ระบบนี้ยังคงได้รับความนิยมเนื่องจากส่วนใหญ่รู้จักนายหน้าจากการแนะนำต่อกัน และจากประสบการณ์ที่ได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ตกลงกันไว้

มีวันหยุด 1 วันต่อสัปดาห์คือ วันอาทิตย์ กิจกรรมยอดฮิตคือ เล่นอินเทอร์เน็ต

วันหยุดประจำสัปดาห์มีเพียงวันเดียวคือ วันอาทิตย์ เนื่องจากพวกเขามักทำงานในกิจการที่เปิดทำการทุกวัน เช่น พนักงานร้านค้า พนักงานร้านอาหาร คนงานก่อสร้าง พนักงานโรงงาน รวมถึงงานรับจ้างต่างๆ

สำหรับกิจกรรมในวันหยุดเป็นไปอย่างเรียบง่าย เน้นการพักผ่อน อยู่กับครอบครัว นัดเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน และเล่นอินเทอร์เน็ต จากการเก็บข้อมูลพบว่า ประเภทของแอปพลิเคชันที่มีการใช้งานสูงสุด 6 อันดับ คือ 1. โซเชียลมีเดีย 2. สตรีมมิง 3. การเงิน 4. ออนไลน์ช้อปปิ้ง 5. เกม 6. การท่องเที่ยว เมื่ออินเทอร์เน็ตมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตและการพักผ่อนของพวกเขา ค่าใช้จ่ายสำหรับการโทรและใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่พวกเขายินดีจ่ายอยู่ที่ประมาณ 200 บาทต่อเดือน โดยเลือกใช้เป็นแพ็กเกจแบบเติมเงิน ทรูและดีแทคจึงได้มอบสิทธิพิเศษในการเล่นโซเชียลมีเดีย และสตรีมมิงแอปได้ฟรีทุกเดือน เพียงมียอดการเติมเงินหรือใช้จ่ายต่อเนื่อง

จุดน่าสังเกตคือ แต่เดิมนั้นลูกค้ากลุ่มนี้จะมีความเชื่อว่า การซื้อซิมใหม่ทุกเดือนจะทำให้ได้เล่นอินเทอร์เน็ตที่มีความแรงมากกว่าการใช้ซิมเดิมต่อในเดือนที่ 2 จึงมียอดการทิ้งซิมเดิม และซื้อซิมใหม่ในอัตราที่สูงมาก อย่างไรก็ตามเมื่อลูกค้ากลุ่มนี้ได้ใช้ชีวิตในประเทศไทยนานขึ้น ก็จะมีเริ่มเข้าใจการใช้งานและมียอดการทิ้งซิมเดือนต่อเดือนลดลง

ชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ

แรงงานชาวเมียนมาและกัมพูชาส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา การไปวัดถือทำบุญจึงถือเป็นประเพณีสำคัญ แม้ย้ายมาทำงานในประเทศไทย พวกเขายังคงนัดกันไปทำบุญตามวัดที่ศรัทธา ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจยามไกลบ้านเกิด โดยอาจเป็นวัดที่มีพระชาวเมียนมาหรือกัมพูชาจำวัดอยู่ หรือวัดที่มีสถาปัตยกรรมหรือสิ่งปลูกสร้างที่พวกเขาคุ้นเคย ชาวเมียนมาหลายคนยังคงการแต่งตัวด้วยชุดประจำชาติไปวัดอีกด้วย

ในเพจเฟซบุ๊ก of dtac Myanmar, True Myanmar, dtac Cambodia, and True Cambodia ที่ถือเป็นคอมมูนิตี้ของพี่น้องแรงงานจะมีปฏิทินบอกวันสำคัญทางศาสนาทั้งในไทย เมียนมา และกัมพูชา ให้กับกลุ่มลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน

 

อยากพูดไทยได้ และเขินอายที่ออกเสียงภาษาไทยได้ไม่ชัด

พี่น้องแรงงานเมียนมาและกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในไทยนานแล้วหรืออยู่ในเขตเมือง จะเข้าใจและสื่อสารภาษาไทยได้คล่องแคล่ว แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังออกเสียงภาษาไทยไม่ชัด ซึ่งก็ทำให้พวกเขารู้สึกเขินอายและไม่มั่นใจที่จะพูดกับคนไทย พวกเขาจึงพยายามที่จะฝึกพูดภาษาไทยกับเพื่อน รวมถึงการเรียนรู้จากคนไทยและสื่อบันเทิงของไทย อย่างไรก็ดี พวกเขาก็อาจยังขาดทักษะในการอ่านหรือเขียนภาษาไทย ซึ่งอาจมีผลทำให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างจำกัด รวมไปถึงความก้าวหน้าทางอาชีพอีกด้วย

มีงานวิจัยพบว่า การรู้ภาษาไทยจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานเมียนมาโดยเฉพาะในเขตเมือง เพราะทำให้พวกเขามีโอกาสได้งานทำมากขึ้นเมื่อเข้าใจสิ่งที่นายจ้างต้องการ รวมถึงการได้ทำงานที่ใช้แรงงานน้อยกว่าเมื่อเทียบกับแรงงานที่พูดภาษาไทยไม่ได้ และหากมีทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยได้ พวกเขาจะได้รับค่าจ้างและสวัสดิการที่ดีกว่า

จากความเข้าใจลูกค้ากลุ่มนี้ ทรูจึงได้ร่วมมือกับ มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Protection Network) หรือ LPN เปิดสอนภาษาไทยพื้นฐานให้กับชาวเมียนมาที่สนใจเรียนรู้ ผ่านช่องทาง Live online ที่เพจเฟซบุ๊ก dtac Myanmar ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวน 3 ล้านบัญชี และ True Myanmar ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 แสนบัญชี ถือได้ว่าเป็น Community ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตและทำงานในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น

 

รักพวกพ้อง ไว้ใจเพื่อน และชอบความคุ้นเคย

พวกเขาชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย มีใจรักบ้านเกิดและพวกพ้อง การที่ต้องมาทำงานไกลบ้านทำให้รวมตัวติดต่อสื่อสารกันในกลุ่ม คำแนะนำจากเพื่อนที่มาอยู่ไทยก่อนเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ เรียกได้ว่า เพื่อนหรือคนใกล้ชิด เป็นผู้มีอิทธิพลต่อพวกเขาอย่างมาก เช่น การเลือกแพ็กเกจใช้งาน พวกเขาจะไม่ได้เปรียบเทียบข้อเสนอเป็นหลัก แต่มักเลือกใช้ตามกัน และเลือกตามงบที่จ่ายได้ต่อเดือน

นอกจากนี้ กลุ่มแรงงานต่างชาติชอบที่จะเลือกใช้สินค้าต่างๆ ที่เคยมีในประเทศของตัวเอง เพราะมีความคุ้นเคย และไว้วางใจในสิ่งที่เคยใช้มาแล้ว Insight ที่น่าสนใจในประเด็นนี้ คือ กลุ่มลูกค้าแรงงานเมียนมาคุ้นเคยและวางใจแบรนด์ Telenor ตั้งแต่อยู่ในเมียนมา เมื่อย้ายมาทำงานในไทยจึงเลือกค่ายที่คุ้นเคยก่อนเป็นอันดับแรก

ด้วยความเข้าใจ ใส่ใจ และให้ความสำคัญของพี่น้องแรงงานชาวเมียนมาและกัมพูชา ที่มาทำงานต่างบ้านต่างเมือง ทรู และดีแทค จึงให้บริการพร้อมดูแลเคียงข้างอย่างรู้ใจ ผ่านการพูดภาษาเดียวกันกับคอลเซ็นเตอร์ภาษาเมียนมาและกัมพูชา สร้างคอมมูนิตี้ในเพจ Facebook และ TikTok ในภาษาเมียนมาและกัมพูชา เพื่อเป็นสื่อกลางการติดต่อสื่อสาร สร้างแรงบันดาลใจ และมีคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง

พร้อมไปกับการมอบประสบการณ์การใช้งานที่คุ้มและตรงใจที่สุดกับแพ็กเกจที่คัดสรรให้ตรงความต้องการ โดยตั้งใจมอบให้ลูกค้าชาวเมียนมาและกัมพูชาได้มีความสุขในทุกวันที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย

พฤษภาคม 2567 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ร่วมงาน “THAIFEX-ANUGA ASIA 2024” งานแสดงสินค้านานาชาติที่ยิ่งใหญ่สุดของภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2567 จัดเต็มยกทัพสินค้าอาหารทะเลคุณภาพกว่า 200 รายการ ภายใต้แบรนด์ คิวเฟรช ซีเล็ค คิงออสการ์ ทีไทม์ และโมโนริ พร้อมด้วยสินค้านวัตกรรมแบรนด์ โอเอ็มจี มีท ซีวิต้า และแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมายจากบริษัทในเครือที่พร้อมพาขุมทรัพย์ความอร่อยแบบสุขภาพดีจากท้องทะเล มาจัดแสดงและจำหน่ายในราคาสุดพิเศษที่บูธไทยยูเนี่ยน

พลาดไม่ได้ไฮไลท์เด็ดของบูธไทยยูเนี่ยน ในกิจกรรม Cooking Show จากแบรนด์คิวเฟรช ที่รวบตึงดึง 4 เชฟมือโปร โชว์จัดเต็มหลากเมนูพิเศษจากวัตถุดิบพรีเมี่ยม ประเดิมคิวแรกวันที่ 28 พฤษภาคม กับเชฟปิง สุรกิจ เข็มแก้ว ต่อด้วยทีม Top Chef Thailand 2023 ที่พร้อมถ่ายทอดเคล็ดลับการทำอาหารมัดใจลูกค้า กับ เชฟบิ๊ก อรรถสิทธิ์ พัฒนเสถียรกุล วันที่ 29 พฤษภาคม เชฟเทียน เทียนชัย พีรพงศธร วันที่ 31 พฤษภาคม และปิดท้ายกันแบบอลังการในวันที่ 1 มิถุนายน กับดาราหนุ่มแบงก์ ธิติ มหาโยธารักษ์ พรีเซนเตอร์กลุ่มของทอดแบรนด์คิวเฟรชและเชฟ พลอย ณัฐณิชา Top Chep Thailand ที่จะมารังสรรค์เมนูอร่อยให้ผู้เข้าร่วมงานได้ ชม ชิม แชะ ช่วยต่อยอดไอเดียใหม่ให้ลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ

“THAIFEX-ANUGA ASIA 2024” เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน นำโดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) หอการค้าไทย โดยมี Koelnmesse บริษัทจัดงานมหกรรมยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมันเข้ามาดูแลขับเคลื่อนเพื่อแสดงศักยภาพธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งด้านคุณภาพและความหลากหลาย”

พบกับโภชนาการดีคู่ความอร่อยจากอาหารทะเลของไทยยูเนี่ยน ภายใต้แนวคิด “Healthy Living, Healthy Oceans” ที่ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดี พร้อมดูแลสิ่งแวดล้อมของทะเลอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ได้ที่งาน THAIFEX – Anuga Asia 2024 ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2567 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 บูธเลขที่ 3-J01 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 รายได้รวม 6,456 ล้านบาท เติบโต 6.38% และมีกำไรสุทธิ 529 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.09% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักที่หนุนความสำเร็จของรายได้ในไตรมาสนี้ มาจากการขยายตัวของตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดใหญ่ที่มีความต้องการซื้อสูง อย่างออสเตรเลียและอินเดีย ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ การรุกตลาดที่เข้มแข็ง และศักยภาพของแบรนด์ ดั๊บเบิ้ล เอ ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก

นอกจากนี้ ดั๊บเบิ้ล เอ ยังประสบความสำเร็จจากความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ตรงตามความต้องการของลูกค้า กลยุทธ์ทางการตลาดที่ผสมผสาน ช่วยสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ในกลุ่มเป้าหมาย และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย

สำหรับไตรมาสที่เหลือในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนลงทุนพัฒนากระบวนการผลิต ที่จะลดการใช้พลังงานและสารเคมี เพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเพิ่มทักษะให้กับบุคคลากรโดยนำระบบ Digital และ Automation เข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน และจัดโครงการต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนชุมชน ให้เกิดเป็นสังคมที่เข้มแข็ง พร้อมปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ดั๊บเบิ้ล เอ สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการตามแนว ESG

 กาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก ร่วมมือกับ องค์กรไม่แสวงหาผลกกำไร แอนิมอล ดีเฟนเดอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (Animal Defenders International) อีกครั้ง ในการขนส่งสิงโตเพศผู้ 6 ตัว ที่ได้รับการช่วยเหลือจากการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ADI ในโจฮันเนสเบิร์ก

รู้จักกันในชื่อ "คูเวต 6" สิงโตหนุ่ม 5 ตัว ได้แก่ มุฮีบ, ซาฮัม, ชูจา, ไซฟ และสิงโตสาว 2 ตัว ได้แก่ ธูบียา และ อาซิซา ได้รับการดูแลที่สวนสัตว์คูเวต แอนิมอล ดีเฟนเดอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ADI) ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลคูเวตให้ช่วยเหลือพวกเขา โดยต่อมา ADI ได้นำสิงโตทั้ง 6 ตัวไปยังบ้านใหม่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าขนาด 455 เอเคอร์ในแอฟริกาใต้

Mark Drusch ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการขนส่งสินค้าของกาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก กล่าวว่า "เราภูมิใจที่ได้สนับสนุน ADI อีกครั้ง ในการนําสิงโตแสนงามทั้ง 6 ตัวกลับบ้านในแอฟริกา โครงการ WeQare Rewild the Planet ของเราสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนําสัตว์ป่าและสัตว์ใกล้สูญพันธุ์กลับสู่ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ”

"ทีมของเราต้องใช้ความพยายามและการจัดการโลจิสติกส์อย่างมากในการจัดการการเคลื่อนย้ายสัตว์ขนาดใหญ่เช่นนี้ ตั้งแต่การขนส่งที่สนามบิน การขนถ่ายสัตว์ออกจากเครื่องบิน ไปจนถึงการดูแลกรงที่ถูกต้องและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ แต่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจและมีความหลงใหลร่วมกันอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง"

Jan Creamer ประธานแอนิมอล ดีเฟนเดอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเสริมว่า "สิงโตคูเวต 6 ตัวนี้มีชีวิตใหม่ที่รออยู่ข้างหน้าและจะได้อาศัยในพื้นที่กว้างขวางที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ADI เราขอขอบคุณกาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก และโครงการ WeQare ที่ให้การสนับสนุนเราอีกครั้ง โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางอากาศกลับไปยังแอฟริกา นอกจากนี้ เราขอขอบคุณผู้สนับสนุน ADI ที่ช่วยหาทุนในการดูแลพวกเขาด้วย"

Alzahra Aljanabi นักแปลอาวุโส แผนกสวัสดิภาพสัตว์ หน่วยงานสาธารณะด้านการเกษตรและทรัพยากรปลาในคูเวต กล่าวว่า "เราขอขอบคุณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ADI สําหรับการสนับสนุนและความพยายามในการจัดหาที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าสําหรับสิงโตหกตัวจากคูเวต และขอขอบคุณกาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก ที่มอบบริการขนส่งทางอากาศอย่างไม่เห็นแก่ตัว ผู้คนมักประเมินความเสี่ยงของการมีสัตว์ป่าเป็นสัตว์เลี้ยงต่ำเกินไป แม้ว่าพวกมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงาม แต่ก็เป็นนักล่าเช่นกัน เราต้องการความตระหนักมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการลักลอบค้าสัตว์ป่า"

กาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก ยังคงยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสวัสดิภาพสัตว์อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่งเปิดศูนย์สัตว์ที่ทันสมัยแห่งใหม่และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Live อีกครั้ง ซึ่งกําหนดมาตรฐานใหม่ในการขนส่งสัตว์มีชีวิต ในฐานะผู้ขนส่งชั้นนํา สายการบินได้ขนส่งสัตว์มากกว่า 550,000 ตัวในปี 2566 และยังได้สนับสนุนสวัสดิภาพสัตว์ทั่วโลก ด้วยการดําเนินงานที่ใส่ใจและมุ่งมั่นในการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์อย่างแท้จริง

โครงการด้านความยั่งยืนของ WeQare ของกาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก ประกอบด้วยสี่เสาหลัก ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นความพยายามอย่างมีสติในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมและโลก บทที่ 2 – Rewild the Planet มุ่งเน้นการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ โดยเสนอการขนส่งฟรีให้แก่องค์กรที่นําสัตว์ป่ากลับสู่ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมัน

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 28 พฤษภาคม 2567 – กาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก ร่วมมือกับ องค์กรไม่แสวงหาผลกกำไร แอนิมอล ดีเฟนเดอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (Animal Defenders International) อีกครั้ง ในการขนส่งสิงโตเพศผู้ 6 ตัว ที่ได้รับการช่วยเหลือจากการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ADI ในโจฮันเนสเบิร์ก

รู้จักกันในชื่อ "คูเวต 6" สิงโตหนุ่ม 5 ตัว ได้แก่ มุฮีบ, ซาฮัม, ชูจา, ไซฟ และสิงโตสาว 2 ตัว ได้แก่ ธูบียา และ อาซิซา ได้รับการดูแลที่สวนสัตว์คูเวต แอนิมอล ดีเฟนเดอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ADI) ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลคูเวตให้ช่วยเหลือพวกเขา โดยต่อมา ADI ได้นำสิงโตทั้ง 6 ตัวไปยังบ้านใหม่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าขนาด 455 เอเคอร์ในแอฟริกาใต้

Mark Drusch ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการขนส่งสินค้าของกาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก กล่าวว่า "เราภูมิใจที่ได้สนับสนุน ADI อีกครั้ง ในการนําสิงโตแสนงามทั้ง 6 ตัวกลับบ้านในแอฟริกา โครงการ WeQare Rewild the Planet ของเราสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนําสัตว์ป่าและสัตว์ใกล้สูญพันธุ์กลับสู่ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ”

"ทีมของเราต้องใช้ความพยายามและการจัดการโลจิสติกส์อย่างมากในการจัดการการเคลื่อนย้ายสัตว์ขนาดใหญ่เช่นนี้ ตั้งแต่การขนส่งที่สนามบิน การขนถ่ายสัตว์ออกจากเครื่องบิน ไปจนถึงการดูแลกรงที่ถูกต้องและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ แต่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจและมีความหลงใหลร่วมกันอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง"

Jan Creamer ประธานแอนิมอล ดีเฟนเดอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเสริมว่า "สิงโตคูเวต 6 ตัวนี้มีชีวิตใหม่ที่รออยู่ข้างหน้าและจะได้อาศัยในพื้นที่กว้างขวางที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ADI เราขอขอบคุณกาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก และโครงการ WeQare ที่ให้การสนับสนุนเราอีกครั้ง โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางอากาศกลับไปยังแอฟริกา นอกจากนี้ เราขอขอบคุณผู้สนับสนุน ADI ที่ช่วยหาทุนในการดูแลพวกเขาด้วย"

Alzahra Aljanabi นักแปลอาวุโส แผนกสวัสดิภาพสัตว์ หน่วยงานสาธารณะด้านการเกษตรและทรัพยากรปลาในคูเวต กล่าวว่า "เราขอขอบคุณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ADI สําหรับการสนับสนุนและความพยายามในการจัดหาที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าสําหรับสิงโตหกตัวจากคูเวต และขอขอบคุณกาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก ที่มอบบริการขนส่งทางอากาศอย่างไม่เห็นแก่ตัว ผู้คนมักประเมินความเสี่ยงของการมีสัตว์ป่าเป็นสัตว์เลี้ยงต่ำเกินไป แม้ว่าพวกมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงาม แต่ก็เป็นนักล่าเช่นกัน เราต้องการความตระหนักมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการลักลอบค้าสัตว์ป่า"

กาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก ยังคงยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสวัสดิภาพสัตว์อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่งเปิดศูนย์สัตว์ที่ทันสมัยแห่งใหม่และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Live อีกครั้ง ซึ่งกําหนดมาตรฐานใหม่ในการขนส่งสัตว์มีชีวิต ในฐานะผู้ขนส่งชั้นนํา สายการบินได้ขนส่งสัตว์มากกว่า 550,000 ตัวในปี 2566 และยังได้สนับสนุนสวัสดิภาพสัตว์ทั่วโลก ด้วยการดําเนินงานที่ใส่ใจและมุ่งมั่นในการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์อย่างแท้จริง

โครงการด้านความยั่งยืนของ WeQare ของกาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก ประกอบด้วยสี่เสาหลัก ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นความพยายามอย่างมีสติในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมและโลก บทที่ 2 – Rewild the Planet มุ่งเน้นการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ โดยเสนอการขนส่งฟรีให้แก่องค์กรที่นําสัตว์ป่ากลับสู่ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมัน

หลักจากงาน Beijing International Automotive Exhibition ปิดฉากไปอย่างยิ่งใหญ่ โอโมดา แอนด์ เจคู หรือ OMODA & JAECOO ภายใต้ Chery Automobile บริษัทด้านเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลกสัญชาติจีน ได้เผยโฉมเทคโนโลยียนตรกรรมใหม่ ๆ สุดทึ่ง ในคอนเซ็ปต์ “ผลิตภัณฑ์ใหม่ + เทคโนโลยีใหม่ + ระบบนิเวศใหม่” ที่ถือเป็นการกำหนดจุดยืนที่ชัดเจนในยุคแห่งพลังงานใหม่ ขณะเดียวกัน OMODA & JAECOO ยังได้เปิดตัวหุ่นยนต์ “Mornine” หุ่นยนต์ไบโอนิคครั้งแรกของโลกอย่างเป็นทางการ ซึ่ง “Mornine” เป็นหุ่นยนต์ไบโอนิคเดินได้ที่พัฒนาโดย Chery Automobile บริษัทแม่ของ OMODA & JAECOO ที่ร่วมมือกับพันธมิตร AiMOGA

เปิดตัวหุ่นยนต์ “Mornine” หุ่นยนต์ไบโอนิคเดินได้ครั้งแรกของโลก

เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ OMODA & JAECOO คือการสร้างความเชื่อมโยงของผู้ขับขี่ในระบบนิเวศ ตอกย้ำการเป็น “มากกว่ารถยนต์” หรือ “More than cars” โดยได้พัฒนาระบบนิเวศต่าง ๆ ในการขับขี่ มุ่งเน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง และสถานการณ์การใช้ชีวิตในอนาคต รวมถึงการผสมผสานระหว่าง “Tech Life” “Fashion Life” และ “Off-Road Life” เข้าด้วยกัน พร้อมเป็นตัวช่วยในการตั้งแคมป์ การแต่งรถ และคอมมูนิตี้ออนไลน์ (Geek Communities) ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลายและเข้ากับตัวตน รวมถึงการเสริมระบบนิเวศการขับขี่ให้แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย

โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา แบรนด์ OMODA & JAECOO ได้จัดงานแถลงข่าวระบบนิเวศการขับขี่ขึ้นที่เมืองอู๋หู ประเทศจีน และได้เปิดตัวหุ่นยนต์ “Mornine” หุ่นยนต์ไบโอนิคครั้งแรกของโลกอย่างเป็นทางการ ซึ่ง “Mornine” เป็นหุ่นยนต์ไบโอนิคเดินได้ที่พัฒนาโดย Chery Automobile บริษัทแม่ของ OMODA & JAECOO ที่ร่วมมือกับพันธมิตร AiMOGA

 

“Mornine” เป็นหุ่นยนต์สองเท้าอัจฉริยะเสมือนมนุษย์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ผลิตจากวัสดุเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimetic) นวัตกรรมใหม่ เพื่อให้มีความใกล้เคียงมนุษย์ดิจิทัล โดยแบรนด์ OMODA & JAECOO ได้กำหนดเป้าหมายการนำ “Mornine” มาใช้ ผ่านกลยุทธ์ “Three-Step” ในการเพิ่มศักยภาพทางเทคโนโลยี เพิ่มฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย และเปลี่ยนผ่านไปสู่การขายและบริการอัจฉริยะ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาเชิงลึกและเพิ่มประสิทธิภาพในสถานการณ์เฉพาะให้กับ “Mornine” ในระหว่างงานเปิดตัวแขกผู้มีเกียรติในงานได้มีส่วนร่วมโต้ตอบกับ “Mornine” พร้อมสัมผัสกับประสิทธิภาพของ AI ในการโต้ตอบในสถานการณ์ที่หลากหลาย และสร้างประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วมได้ดื่มด่ำกับเสน่ห์ของ “Mornine” ที่ชาญฉลาดอย่างเต็มที่

ด้วยวิสัยทัศน์และเอกลักษณ์ของแบรนด์ในด้านเทคโนโลยี OMODA & JAECOO มุ่งมั่นเดินหน้าทำตามแผนกลยุทธ์ของแบรนด์ในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและระบบนิเวศของพลังงานใหม่ เพื่อเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์โลกให้ยั่งยืน

และเมื่อปีที่ผ่านมาแบรนด์ OMODA & JAECOO ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นต่าง ๆ และมีการส่งออกมากกว่า 160,000 คัน ครองใจผู้ขับขี่กว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยรถยนต์ JAECOO ที่เปิดตัวในเดือนเมษายนปีที่แล้ว ด้วยแนวคิด “From Classic, Beyond Classic” ได้ปลดล็อคประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ออฟโรด SUV สุดพรีเมียม พร้อมที่จะไปท่องโลกกับผู้ขับขี่ในทุกท้องถนน

“ผลิตภัณฑ์ใหม่ เทคโนโลยีใหม่” กับไดเรกชั่นกลยุทธ์การใช้พลังงานใหม่

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานทั่วโลกที่รวดเร็วขึ้น OMODA & JAECOO มุ่งเดินหน้าพัฒนาจุดแข็งจากผลิตภัณฑ์และศักยภาพทางเทคโนโลยีของเราอย่างเต็มที่ ซึ่งในงาน Beijing International Automotive Exhibition เราได้นำเสนอยนตกรรมพลังงาน “ใหม่” ด้วยรถยนต์ JAECOO 7 PHEV และ JAECOO 8 PHEV

จากความสำเร็จของ JAECOO 7 PHEV ในตลาดโลก ถือเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของ JAECOO ในการพลิกโฉมวงการรถยนต์ออฟโรดแบบเดิม ๆ ด้วยรถยนต์พลังงานใหม่ โดย JAECOO ได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำให้แบรนด์สามารถชิงความได้เปรียบในตลาดรถยนต์ออฟโรดพลังงานใหม่ ผ่านโมเดลรุ่น JAECOO 7 PHEV และ JAECOO 8 PHEV

สำหรับรถยนต์ JAECOO 7 PHEV ได้พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ออฟโรดพลังงานใหม่ ด้วยระบบอัจฉริยะขับเคลื่อนสี่ล้อ (ARDIS) โดยเฉพาะนวัตกรรมที่เหนือชั้น ได้แก่ Power Mode, Energy Conservation, Ultimate Safety, Four-wheel Drive Off-road, Smart Technology และ Outdoor Living ในขณะที่ JAECOO 8 PHEV รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อออฟโรดประสิทธิภาพสูง ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ออฟโรดหรูหราเหนือระดับ โดย

JAECOO 8 PHEV ถือเป็นจุดสูงสุดของตลาดรถยนต์ออฟโรดพลังงานใหม่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์มออฟโรดไฮบริดเจนเนอเรชัน 3 ของ JAECOO ทั้งหมดนี้ ถือเป็นการสร้างสรรค์คุณค่าในตลาดออฟโรดพลังงานใหม่

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ได้เปลี่ยนไปสู่การแข่งขันด้านเทคโนโลยี ซึ่ง OMODA & JAECOO ตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวอย่างยิ่ง ภายใต้ Chery Automobile บริษัทแม่ของ OMODA & JAECOO ได้ฝากมรดกการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ผ่าน “เทคโนโลยี” ในระดับสากลอย่างเต็มรูปแบบมาโดยตลอด ในยุคแห่งพลังงานใหม่นี้ OMODA & JAECOO เดินหน้าให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี โดยยึดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหัวใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และได้โชว์เทคโนโลยี “PHEV ไฮบริดเจนเนอเรชัน 3” ในงานแถลงข่าวผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งหมดนี้ ถือเป็นความท้าทายที่จะพัฒนาเพื่อผู้ขับขี่ทุกคน และพร้อมสำหรับการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 - วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก เผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจจากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study)1 ที่ชึ้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดโดยเฉลี่ยนานถึงเก้าวัน

การศึกษาของวีซ่ายังชี้ให้เห็นถึงเทรนด์การใช้จ่ายแบบไร้เงินสดที่ยังคงเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย โดยพบว่ามากถึงแปดในสิบของผู้บริโภค (81%) พยายามจะใช้จ่ายโดยไม่พึ่งพาเงินสด โดยผู้นำเทรนด์เป็นผู้บริโภคจากกลุ่มเจน Z (85%) [อายุระหว่าง 18 ถึง 23 ปี] และเจน Y (85%) [อายุระหว่าง 24 ถึง 39 ปี] นอกจากนี้ และเมื่อพูดถึงความสำเร็จในการใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดก็พบว่าเกือบสี่ในห้าของชาวไทยสามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน

 

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เทรนด์การใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดในประเทศไทยถือว่ามาแรงมาก และแนวโน้มเชิงบวกนี้ ยังสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกและการเพิ่มขึ้นของอีคอมเมิร์ซ ที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองต่างให้ความสำคัญกับความสะดวก ปลอดภัย และการรับชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสอันดีของผู้ประกอบการที่จะปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”

การศึกษายังแสดงให้เห็นด้วยว่าผู้บริโภคชาวไทยมีความมั่นใจมากขึ้นในการที่จะใช้ชีวิตนอกบ้านโดยถือเงินสดในมือลดลง โดยเกือบครึ่ง (47%) เลือกที่จะถือเงินสดในกระเป๋าสตางค์น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

เทรนด์นี้เกิดขึ้นจากช่องทางการรับชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลควบคู่ไปกับการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดของผู้บริโภค (อาทิ คิวอาร์โค้ด บัตรชำระเงิน อีวอลเล็ต ฯลฯ) นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุว่าได้สังเกตเห็นช่องทางการรับชำระเงินแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นในหลายหมวดหมู่ โดยเฉพาะ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม (79%) การค้าปลีก (67%) การจับจ่ายที่ร้านสะดวกซื้อ (67%) ซูเปอร์มาร์เก็ต (64%) และบริการขนส่ง อาทิ แท็กซี่และบริการใช้รถเดินทางร่วมกัน เป็นต้น (60%)

ขณะที่ภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทยมีแผนที่จะนำเวอร์ชวลแบงก์ออกมาตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค การศึกษายังได้วิเคราะห์ถึงความความสนใจและบริการที่ผู้บริโภคต้องการ โดยจากข้อมูลพบว่า เกินกว่าครึ่งของผู้บริโภคชาวไทย (54%) สนใจบริการของเวอร์ชวลแบงก์ โดยกลุ่มที่ให้ความสนใจมากที่สุดคือกลุ่มเจน Y (68%) และเจน X (53%) และบริการของเวอร์ชวลแบงก์ที่ผู้ตอบแบบสอบถามกระตือรือร้นที่จะใช้มากที่สุด คือ การบริการตนเองเต็มรูปแบบ (81%) บริการแบบไลฟ์ผ่านแอปพลิเคชันดิจิทัล (80%) และการใช้ข้อมูลทางการเงินทางเลือกสำหรับประเมินสินเชื่อ (78%)

ส่วนปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคชาวไทยพิจารณาในการใช้งานเวอร์ชวลแบงก์นั้น ความปลอดภัยยังฟีเจอร์ที่ได้รับการจัดลำดับให้มีความสำคัญสูงสุด โดย 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่าต้องการชำระเงินและทำธุรกรรมที่ปลอดภัย ตามด้วยความเร็วในการทำธุรกรรม (55%) และการใช้งานสะดวก ง่ายดาย ไม่ซับซ้อนและสำเร็จได้ภายในไม่กี่คลิก (46%)

“วีซ่ามุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ และตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทย และความต้องการที่จะเดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสดที่ไม่หยุดนิ่งของอุตสาหกรรมการชำระเงินในประเทศไทย เราหวังว่าข้อมูลเชิงลึกที่เรานำเสนอในทุกปีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพันธมิตรและร้านค้าต่าง ๆ ที่จะใช้เพื่อปรับตัวรองรับความต้องการของลูกค้า และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของประเทศไทยในการพัฒนาสู่สังคมไร้เงินสด”

บริษัท เว็ทซินโนว่า จำกัด ผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยง เจ้าของผลิตภัณฑ์ VFcore (วีเอฟคอร์) ที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของอาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง จากการสำรวจในคลินิกโรงพยาบาลสัตว์ และร้าน PET SHOP ทั่วประเทศ และจากก้าวที่ประสบความสำเร็จนี้ บริษัท เว็ทซินโนว่า ก็เปิดบูธอย่างยิ่งใหญ่ ที่งาน “PET EXPO THAILAND 2024” ณ ฮอลล์ 5-8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 9-12 พ.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกับไฮไลท์สำคัญกับการเปิดตัว VFcore สูตรใหม่ สูตร AA : Amino Acids ซองสีแดง เบอร์กันดี เสริมกรดอะมิโน เพื่อบำรุงร่างกายและเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ทั้งน้องหมาและน้องแมว ซึ่งหลังจากเปิดตัวในงานได้ไม่นาน ก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นสูตรที่คนรักสัตว์หลายคนต้องการ เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ

ในงาน “PET EXPO THAILAND 2024” มีกิจกรรมค้นหา 10 ผู้โชคดีที่จะได้มา Meet and Greet สุดเอ็กคลูชีพ พรีเซนเตอร์อย่าง “นนกุล - ชานน สันตินธรกุล” โดยได้รับสิทธิ์ ถ่ายรูปคู่ “นนกุล” และได้รับ “หมอนอิง” พร้อมลายเซนต์กับมือ งานนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ที่พรีเซนเตอร์คนดังได้มอบให้กับผู้ร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ได้ร่วมสนุกกันในงาน ร่วมลุ้นรับรางวัลใหญ่ “ทองคำ” และยังมีของที่ระลึกสุดพรีเมียมแจกในงาน เพียงแค่ซื้อสินค้าครบตามจำนวน ตั้งแต่ สมุดโน๊ต และสติ๊กเกอร์ลายน้องโนวี่โนว่าแสนน่ารัก, แก้วและเหยือกน้ำเว็ทซินโนว่า, พัดลมพกพา, และตุ๊กตาไข่แมว

 

น.สพ. มนัยธร เสริบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เว็ทซินโนว่า จำกัด เผยว่า “VFcore เป็นอาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง “สุขภาพดีที่แสนอร่อย” ที่ “ทำถึง ทำถูกต้อง ทำถูกใจ” เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมครองส่วนแบ่งการตลาดในฐานะที่ 1 ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเดินกลยุทธ์ที่เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ “ทำถึง” กับผลิตภัณฑ์ที่ถึงมือผู้บริโภคด้วยคุณภาพ ตรงตามความต้องการ และเข้าใจปัญหาของสัตว์เลี้ยง “ทำถูกต้อง” กับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยจากสัตวแพทย์ ส่งผลดีต่อสัตว์เลี้ยงของผู้บริโภค เพราะผลิตภัณฑ์ของ VFcore ผ่านกระบวนการทางห้องปฏิบัติการ พร้อมพัฒนานวัตกรรมอาหาร

เสริมที่ตรงใจทั้งคนเลี้ยงและสัตว์เลี้ยง “ทำถูกใจ” และผลจากการพัฒนาสูตรที่หลากหลาย สะท้อนถึงความชื่นชอบของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของที่เป็นผู้บริโภค ทำให้ครองใจเป็นที่หนึ่งในตลาดและในใจคนรักสัตว์”

“VFcore (วีเอฟคอร์) ของเราเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับคนรักสัตว์ โดยถือเป็นเจ้าแรกที่คิดค้นพัฒนาสูตรอาหารเสริมเพื่อสัตว์เลี้ยง ที่อยู่ในรูปแบบแมวเลีย โดยทำการค้นคว้าวิจัยมากกว่า 1 ปี จากทีมสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงมีการทำงานวิจัยร่วมกับทางคณะสัตวแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพื่อได้สูตรที่ดีต่อสุขภาพ

และล่าสุดทาง “เว็ทซินโนว่า” ได้ทำการศึกษาวิจัย VFCore KC (สูตรสีส้ม) ร่วมกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ เกี่ยวกับโรคไตในสัตว์เลี้ยงครั้งแรกในไทย และถือว่าเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งมีผลวิจัยออกมาว่ามีความปลอดภัยต่อแมวที่เป็นไตวายเรื้อรัง

น.สพ. มนัยธร เสริบุตร เสริมต่อว่า “ที่ผ่านมาเราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดนิ่ง ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสัตว์เลี้ยง มากว่า 10 สูตร เพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก ด้วยวัตถุดิบพรีเมียม ที่ถูกออกแบบและคิดค้นด้วยทีมสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงสูตรใหม่ที่ภูมิใจนำเสนออย่าง สูตร AA : Amino Acids ซองสีแดง เบอร์กันดี ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในสัตว์เลี้ยงที่ขาดสารอาหารและซูบผอม โดยสูตรนี้ มีส่วนประกอบของ Branched Amino Acids (BCAA) กรดอะมิโน ช่วยคงมวลกล้ามเนื้อ ตัวแน่น ป้องกันกล้ามเนื้อฝ่อลีบ และยังมีกรดไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ ช่วยบำรุงร่างกายทั่วไปให้กับสัตว์เลี้ยงของคุณ โดยคาดหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งสูตรที่มาช่วยเสริมสร้างสุขภาพดีให้กับสัตว์เลี้ยง หลังจากที่ผ่านมามีสัตว์เลี้ยงที่ขาดสารอาหารหรือได้รับไม่ครบถ้วน จนมีอาการเจ็บป่วยจนต้องมาเข้ารับการรักษาจากสัตวแพทย์ในหลายๆราย”

สำหรับ VFcore ปัจจุบัน มีทั้งหมด 10 สูตร เพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง คือ

1.) สีเหลือง LS (Lysine) ไลซีน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัดแมว ช่วยน้องคลายความเครียด

2.) สีแดง RB (Iron & Copper Multi-Vitamins) ช่วยบำรุงเลือด

3.) สีเขียว JC (Joint Care Complex) ช่วยบำรุงข้อต่อกระดูก

4.) สีส้ม KC (Kidney Care) ช่วยบำรุงไต

5.) สีทอง Vitality ช่วยบำรุงทั่วไปมีวิตามินรวมกว่า 20 ชนิด

6.) สีเขียว มรกต BIO ช่วยลดอาหารท้องเสีย ปรับภูมิคุ้มกัน

7.) สีครีม ลาเต้ FIBER ช่วยขับก้อนขน ลดภาวะท้องผูก

8.) สีชมพู SK (Skin) ช่วยบำรุงผิวหนังให้แข็งแรง และบำรุงให้ขนสวยเงางาม

9.) สีน้ำเงิน UC ช่วยผ่อนคลายความเครียด และป้องกันการเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

10.) สีแดงเบอร์กันดี AA ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในสัตว์เลี้ยงที่ขาดสารอาหารและซูบผอม

VFCore ทุกสูตรมั่นใจได้ เพราะ ถูกออกแบบและคิดค้นด้วย ทีมสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้สารประกอบที่มีงานวิจัยรับรองพร้อมใส่ปริมาณมาอย่างเหมาะสม มีงานวิจัย และ เอกสารทางการสัตวแพทย์ จึงเป็น อาหารเสริมที่น้องหมาและน้องแมวรัก ได้สุขภาพอย่างสโลแกน สุขภาพดีที่แสนอร่อย

พบกับอาหารเสริมแมวเลีย “VFcore (วีเอฟคอร์)” ได้แล้ววันนี้ ที่โรงพยาบางสัตว์ คลินิก และร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยงชั้นนำทั่วประเทศ ที่หนึ่งใจในต้อง "วีเอฟคอร์" และที่สำคัญทานได้ทั้งน้อง “สุนัข” และน้อง “แมว”

SCB CIO จับตา 3 ปัจจัยเสี่ยง ที่อาจกระทบการลงทุนหากเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทั้งสงครามจริง และสงครามทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ราคาพลังงาน ห่วงโซ่อุปทานของโลก และความเชื่อมั่นต่อการลงทุน โดย ณ ปัจจุบันความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน คาดว่าความรุนแรงจะอยู่ในวงจำกัด แม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้น อยู่ในช่วง 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ประเทศต่างๆ ยังพอจะรับมือกับความเสี่ยงของเงินเฟ้อได้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช้าลงกว่าเดิม ด้านตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระยะสั้นเท่านั้น จึงแนะนำให้ทยอยลงทุนในตลาดหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นเวียดนาม และกองทุนผสม (multi asset) ที่มีความยืดหยุ่น ผู้จัดการกองทุนปรับตามสถานการณ์ของตลาดได้ดี แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ จับจังหวะช่วงราคาปรับตัวลง แนะนำมีในพอร์ต 5-10% ตามความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวนของพอร์ตลงทุน หากเกิดภาวะไม่ปกติขึ้นอีกในอนาคต

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเหตุการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความถี่ของเหตุการณ์สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยมีทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ -จีน และ สงครามที่เกิดความรุนแรง ได้แก่ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ,อิสราเอล-ฮามาส (ปาเลสไตน์) และล่าสุดอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เป็นหนึ่งในปัจจัยลบ ที่ทำให้นักลงทุนมีความกังวลเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ SCB CIO แนะนำให้ผู้ลงทุนจับตาว่า ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk ) จะมีผลกระทบต่อการลงทุนมากน้อยเพียงใด ผ่านปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา 3 ด้าน ได้แก่ 1) ผลกระทบจากราคาพลังงาน โดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซหลักของโลก 2) ผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานของโลกหยุดชะงัก ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจ และ 3) ผลกระทบต่อ Sentiment การลงทุนในตลาด โดยอาจพิจารณาได้จาก ความขัดแย้งจะรุนแรงและขยายวงหรือไม่ เนื่องจากสงครามทำให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจ หากมีความรุนแรง และยืดเยื้อ ก็จะสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจประเทศต่างๆ รวมถึงเศรษฐกิจโลกได้ แต่ในกรณีที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ 3 ด้านนี้ ผลกระทบต่อตลาดการลงทุนก็อาจจะมีไม่มาก

ตัวอย่างเช่น กรณีศึกษาในอดีตจาก สงครามคูเวต ที่อิรักมีการบุกเข้ายึดครองคูเวตที่มีน้ำมันมหาศาล และมีการต่อสู้กับกองกำลังประเทศพันธมิตรตะวันตก ซึ่งอิรักตอบโต้กลับด้วยการระเบิดบ่อน้ำมันในคูเวต พร้อมเทน้ำมันจำนวนมหาศาลลงในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ราคาน้ำมันมีการปรับขึ้นไปถึง 50%

ส่งผลต่อ Sentiment ของตลาด จึงทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 3 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์ ปรับตัวลดลงถ้วนหน้า โดยดัชนี MSCI World ตัวแทนดัชนีตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะตลาดพัฒนาแล้ว ปรับลดลง 9.69% ส่วนดัชนี MSCI EM ตัวแทนดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่ ปรับลดลง 26.27% หรือกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบราคาอาหาร เมล็ดพันธุ์พืช และพลังงานอย่างมาก เนื่องจากชาติตะวันตกคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย ขณะที่ รัสเซียตอบโต้กลับโดยการปิดท่อส่งก๊าซ นอร์ต สตรีม 1 ไปยังสหภาพยุโรป โดยราคาน้ำมันปรับขึ้นไป 15% ซึ่งเหตุการณ์นี้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกค่อนข้างสูง โดยพบว่า ดัชนี MSCI World ปรับลดลง 7.08% ส่วนดัชนี MSCI EM ปรับลดลง 11.71%

ขณะที่ สงครามรัสเซีย-ไครเมีย ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ตลาดหุ้นก็ยังทำผลงานได้ตามปกติ หรือช่วงอิสราเอลโจมตีปาเลสไตน์ในเขตกาซา และไม่ขยายวงไปยังประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันมากนัก ตลาดหุ้นยังสามารถเป็นบวกได้

สำหรับ สถานการณ์สงครามอิสราเอล-อิหร่าน ที่เกิดขึ้นล่าสุด ช่วงกลางเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา เรามองว่า ความขัดแย้ง ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมานับตั้งแต่ปี 2522 แล้ว เพียงแต่ในอดีตเป็นการทำสงครามตัวแทน (Proxy war) ผ่านกลุ่มต่างๆ ที่อิหร่านสนับสนุน เช่น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (เลบานอน) กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ฮามาส (ฉนวนกาซา) และกลุ่มฮูตี (เยเมน) แต่ขณะนี้เริ่มกลายเป็นสงครามระหว่างกันโดยตรง (Direct war) ที่ความรุนแรงเริ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่า ความเสียหายยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้เล็งเป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก เพราะทราบดีว่า หากลุกลามบานปลายจะทำให้เกิดผลเสียทั้งคู่ อีกทั้งสหรัฐฯ ก็ไม่ได้สนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามกับอิหร่าน

ทั้งนี้ เราประเมินผลกระทบจากสงครามอิสราเอล-อิหร่าน เป็น 3 กรณี คือ 1) Baseline กรณีสงครามอยู่ในวงจำกัด ซึ่งปัจจุบันเรามองว่ายังอยู่ในกรณีนี้ จะทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นบ้าง แต่ไม่ทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่อาจยืนอยู่ในระดับ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ประเทศต่างๆ ยังรับมือกับเงินเฟ้อได้และทำให้ยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช้าลงกว่าเดิม ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจได้รับผลกระทบเชิง Sentiment ระยะสั้น ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อตลาดเริ่มคลายกังวล ปรับตัวได้ ก็จะกลับมาพิจารณาปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก จึงแนะนำให้ทยอยลงทุนในตลาดหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นเวียดนาม และกองทุนผสม (multi asset) ที่มีความยืดหยุ่น ผู้จัดการกองทุนปรับตามสถานการณ์ของตลาดได้ดี

2) Challenging กรณีสงครามยืดเยื้อ การสู้รบเป็นแบบเอาจริงเอาจังมากขึ้น มีการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานการผลิตพลังงานของแต่ละประเทศ โจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีประชากรอาศัยอยู่มาก จะส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 100-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางอื่นๆ อาจจะยังไม่ปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งกรณีนี้จะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่สามารถยืนอยู่ในระดับปัจจุบันได้ อาจปรับฐานมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนยังรับรู้ผลกระทบเป็นเพียงแค่กรณี Baseline จึงแนะนำให้หยุดลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม พร้อมเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ แต่เรามองว่า โอกาสเกิดกรณีนี้ยังมีไม่มากนัก

3) Extreme กรณีสงครามเกิดขึ้นจริง และ ขยายวงเป็นสงครามภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่มีความรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันอย่างมาก เนื่องจากในภูมิภาคตะวันออกกลางมีผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกรวมตัวกันอยู่ หากห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักมากยิ่งขึ้นก็จะยิ่งน่ากังวล โดยเฉพาะ หากอิหร่านปิดช่องแคบเฮอร์มุซ ซึ่งมีปริมาณน้ำมันไหลเวียนถึง 20% ของตลาดน้ำมันโลก ทำให้ผู้ผลิตน้ำมันที่อยู่รอบช่องแคบนี้ ส่งออกน้ำมันไม่ได้ หรือการผลิตทำได้น้อยลง ราคาน้ำมันอาจปรับขึ้นไปไกลมากกว่า 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมธนาคารกลางหลักๆ ของโลกอาจจะมีนโยบายลดดอกเบี้ย ก็อาจต้องเปลี่ยนมาเป็นปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ เนื่องจากเกิดผลกระทบต้นทุนราคาน้ำมันที่ส่งผลผ่านไปยังเงินเฟ้อนานกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งสถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบการลงทุนมาก หากนักลงทุนมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น แนะนำให้ขายเพื่อทำกำไร แล้วซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ และทองคำ เนื่องจาก เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลเงินที่อยู่ในทุนสำรองทั่วโลก ดังนั้นค่าเงินก็อาจจะแข็งค่าขึ้นได้

ขณะที่ ทองคำ มีความน่าสนใจ เนื่องจาก เป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมองว่าปลอดภัย (Safe Haven) เพราะสู้เงินเฟ้อได้ และสู้กับความเสี่ยงภาวะสงครามได้ ในช่วงที่สงครามรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับ คนเริ่มมีความกังวลประเด็นหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูงเป็นประวัติการณ์ อีกทั้ง ประเทศหลักๆ ที่มีความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ได้กระจายความเสี่ยง ลดการถือเงินดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรอง แล้วหันไปถือทองคำมากขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น ดังนั้น ราคาทองคำจึงยังมีโอกาสปรับตัวได้อีกมาก ในระยะกลาง 1-2 ปีขึ้นไป เพียงแต่ในระยะสั้นราคาอาจปรับฐานได้ เพราะปรับขึ้นมารวดเร็ว จากความกังวลของสงคราม

นายศรชัย กล่าวว่า นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น มากกว่าการเน้นลงทุนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว โดยอาจจะลงทุนผ่านกองทุนรวมผสม ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลปรับพอร์ตลงทุนตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน หากยังมีสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ ในพอร์ตลงทุนอยู่น้อย อาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ ในช่วงที่ราคาทองคำปรับลดลง โดยควรมีประมาณ 5-10% ของพอร์ตโดยรวม ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคนที่ยอมรับได้ การมีทองคำในพอร์ตลงทุน จะช่วยผ่อนคลายความผันผวนของพอร์ตลงทุนในช่วงที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติได้ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเรื่องการลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) สำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว มากกว่าการถือเงินสดเพื่อรอจับจังหวะเวลาเข้าลงทุนในตลาด (Market Timing) ซึ่งมีโอกาสพลาดได้มาก และการถือเงินสด ไม่สามารถสู้เงินเฟ้อได้

KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2567 ยังเผชิญกับความ ไม่แน่นอนต่อเนื่อง ตลาดลงทุนยังอยู่กับความผันผวน ในขณะเดียวกันสินทรัพย์การลงทุนดั้งเดิมไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่นักลงทุนคาดหวัง

จึงเปิดกลยุทธ์สำคัญผ่านการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดที่ช่วยกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวน สร้างเสถียรภาพ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน และโอกาสการลงทุนในธุรกิจชั้นนำแห่งอนาคต จากสถิติผลตอบแทนย้อนหลัง 3-10 ปี พบว่าหุ้นนอกตลาด (Private Equity) ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าหุ้นในตลาด (Public Market) ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา KBank Private Banking ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์สินทรัพย์นอกตลาดไปแล้ว 10 กองทุน จากการจับมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก และในปีนี้ได้วาง 3 กลยุทธ์หลักสำหรับพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าสินทรัพย์สูงของธนาคาร

ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดการลงทุนทั่วโลกในปี 2567 ยังคงผันผวน จากความไม่แน่นอนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก การเลือกตั้งในหลายประเทศทั่วโลก เช่น รัสเซีย อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ต่างๆ ไปจนถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในฝั่งยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิมต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้น เห็นได้จากในปี 2566 ที่ผ่านมา ผลตอบแทนในเกือบทุกสินทรัพย์หลักลดลงแรง เช่น ดัชนี MSCI World ที่ปรับตัวลดลงกว่า 20% แม้หลายฝ่ายมองแนวโน้มว่าตลาดทุนมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในปีนี้ แต่ KBank Private Banking มองว่าความผันผวนยังคงอยู่จากปัจจัยความเสี่ยงที่กล่าวข้างต้น ดังนั้นในฐานะผู้ให้บริการบริหารความมั่งคั่งและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมองว่านักลงทุนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนโดยรวม สร้างเสถียรภาพและเพิ่มความมั่นคงให้กับพอร์ต เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และโอกาสลงทุนในบริษัทที่อาจพลิกโฉมธุรกิจและเป็น เมกะเทรนด์ในอนาคต ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด”

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา KBank Private Banking ได้พัฒนาและนำเสนอโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่แตกต่างของลูกค้า ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้และระยะเวลาการลงทุนเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด โดยได้นำเสนอไปแล้ว 10 กองทุน ประกอบด้วย 6 กองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity Fund) ทั่วโลก จีน และไทย 3 กองทุนอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด (Private Real Estate Fund) ทั่วโลก และไทย และ 1 กองทุนหนี้นอกตลาด (Private Credit Fund) ซึ่งผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วโลก (K-GPE19A-UI) ให้ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 58.67%1 ในขณะที่ กองทุนหุ้นนอกตลาดไทย (LH-THAIPE1UI) ที่ลงทุนกับนารา ไทย คูซีน (NARA Thai Cuisine) เครือร้านอาหารไทยชั้นนำก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนได้ถึงกว่า 20% 2(ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน) ซึ่งเมื่อเทียบกับเครือร้านอาหารไทยที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่ขาดทุนกว่า 25% 3 ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ จากสถิติ ย้อนหลัง 10 ปี 5 ปี และ 3 ปี พบว่าการลงทุนในหุ้นนอกตลาดสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นในตลาดได้ถึง +5% +7% และ +9% ตามลำดับ4 

ในปี 2567 KBank Private Banking วางแผนนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอ 3 กลยุทธ์สำคัญในการบริหารจัดการพอร์ตลงทุนในส่วนที่เป็นสินทรัพย์นอกตลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนให้ดีขึ้น มีตัวเลือกดีขึ้น และยังช่วยลดข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องจากการลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดแบบดั้งเดิม ได้แก่

1) กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ที่จะจัดแบ่งส่วนหลักและส่วนเสริมเพื่อกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนผ่านการลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันยังสามารถเพิ่มโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากการจับจังหวะลงทุนตามธีมและเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโตขึ้น โดยสัดส่วนหลักหรือ Core จะคิดเป็น 60-80% ของพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาดจะเป็นกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง ที่ลงทุนเพิ่มได้ทุกเดือน ขายหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาส และมีล็อกเงินลงทุนเพียง 12-18 เดือน ซึ่งการได้พาร์ทเนอร์กับผู้จัดการกองทุนระดับโลก อย่าง EQT และ Apollo5 เป็นอีกพัฒนาการสำคัญที่เราได้นำเสนอให้กับลูกค้าส่วนบุคคลลงทุนได้ และผลิตภัณฑ์อย่างกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องก็ถือเป็นวิวัฒนาการสำคัญที่ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่สัดส่วนเสริมหรือ Satellite คิดเป็น 20-40% ของพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาด จะเป็นกองทุนหุ้นนอกตลาดตามธีมต่างๆ เช่น หุ้นนอกตลาดทั่วโลก หุ้นนอกตลาดจีน หุ้นนอกตลาดไทย หุ้นเทคนอกตลาด หุ้นอสังหาฯ นอกตลาดทั่วโลก หุ้นอสังหานอกตลาดไทย รวมถึงหนี้นอกตลาด เป็นต้น

2) ออกแบบพอร์ตการลงทุนที่สร้างให้เฉพาะคุณ (Tailor-made Portfolio Management) โดยสามารถบริหารสัดส่วนพอร์ตลงทุนตามเป้าหมายของแต่ละบุคคลได้อย่างยืดหยุ่น เช่น เมื่อนักลงทุนต้องการสภาพคล่องสูง สามารถเลือกลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องได้ทั้ง 100%

3) การเดินหน้าผนึกกำลังกับพันธมิตรระดับโลกที่ดีที่สุดอย่างไม่หยุดยั้ง (Partner with the Best) เพื่อพัฒนาการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการมาตรฐานระดับโลกให้แก่นักลงทุนไทย ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัทบริหารสินทรัพย์นอกตลาด ชั้นนำอย่าง EQT ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สามารถระดมทุนการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ได้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก จากยอดระดมทุนมูลค่าหนึ่งแสนสองพันล้านเหรียญสหรัฐฯ6 ในขณะที่ Apollo ที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านการจัดการสินทรัพย์ทางเลือกที่มียอดการปล่อยสินเชื่อนอกตลาดเป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งมีมูลค่ารวมสี่แสนหกหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ7 นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะร่วมมือกับ Goldman Sachs เพื่อร่วมสร้าง Ecosystem การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

“ท่ามกลางความผันผวนสูงที่เกิดขึ้นในตลาดทุนทั่วโลก ทำให้โอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง สินทรัพย์นอกตลาดน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะไม่ว่าจะกองทุนหุ้นนอกตลาด กองทุนอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด และกองทุนอื่นๆ KBank Private Banking ได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการคัดสรรบริษัทที่มีศักยภาพ และธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน และช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตการลงทุนที่เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ในทุกภาวะเศรษฐกิจ” ดร.ตรีพล กล่าวปิดท้าย

X

Right Click

No right click