

นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นางบุษกร กอดำรงค์ (ขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทางการเงิน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) พร้อมด้วย นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม นายจิตวิสุทธิ์ พู่มนตรี (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ตราสารหนี้ และ นายเฉลิมพล เทพกมล (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ร่วมนำเสนอข้อมูลเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ครั้งที่ 1/2567 โดยครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.75 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้แก่ผู้แนะนำการลงทุน และ นักลงทุนที่สนใจ ณ สำนักงานบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เมื่อเร็วๆนี้
กระแสความนิยม “อาร์ตทอย” (Art Toy) เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในไทยซึ่ง “อาร์ตทอย” ไม่ได้เป็นเพียงแค่ของเล่นสำหรับเด็กเท่านั้น แต่กลายเป็นของเล่นและของสะสมที่มีการออกแบบสะท้อนถึงตัวตนและความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินผู้สร้างสรรค์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีดีไซน์คาแรกเตอร์หลากหลาย ผลิตออกมาจำกัด และด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้ “อาร์ตทอย” เป็นที่ชื่นชอบของคนทุกช่วงวัย หลายคาแรกเตอร์กลายเป็นของหายากที่หลายคนตามหา แม้ราคาซื้อขายในตลาดจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม
จากกระแสความนิยม “อาร์ตทอย” บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด จึงได้นำเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสังคมออนไลน์ (Social Listening) ระหว่างวันที่ 29 เมษายน - 30 พฤษภาคม 2567 เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ พบว่าบนโซเชียลมีเดียมีการพูดถึง (Mention) “อาร์ตทอย” 4,964 ครั้ง และได้รับการมีส่วนร่วม หรือเอนเกจเมนต์ (Engagement) รวม 2,207,642 ครั้ง โดยแพลตฟอร์ม Facebook เป็นช่องทางที่ได้รับการพูดถึงและมีเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) สูงที่สุด
ส่วน Art Toy คาแรกเตอร์ยอดนิยม 5 อันดับแรกที่คนในโซเชียลฯ มีส่วนร่วม (Engagement) และให้ความสนใจมากที่สุดในช่วงเวลาสำรวจ ได้แก่ Labubu (ลาบูบู้) 51.7%, Crybaby (ครายเบบี้) 30.4%, Molly (มอลลี่) 12.8%, POP MART x Jackson Wang 1.6%, SKULLPANDA (สคัลแพนด้า) 1.3% และ อื่นๆ 2.2% ตามลำดับ
Labubu (ลาบูบู้) : เป็นเอลฟ์เพศหญิง มีดวงตาที่ใหญ่โต หูยาวเหมือนกระต่าย ปากกว้าง ฟันหยัก ตัวเล็กแต่สูง ที่มีนิสัยซุกซนเเต่ก็ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นหนึ่งในคาแรกเตอร์จากจักรวาล The Monster ถูกสร้างโดยศิลปินชาวฮ่องกง ชื่อ Kasing Lung
Crybaby (ครายเบบี้): เป็นคาแรกเตอร์ที่ออกแบบโดยศิลปินคนไทย ชื่อ คุณมด นิสา ศรีคำดี หรือที่รู้จักกันในชื่อ “คุณมอลลี่” ทั้งนี้ Crybaby เป็นเด็กน้อยที่ทำหน้าเศร้าพร้อมกับหยดน้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลา
Molly (มอลลี่) : เป็นอาร์ตทอยคาแรกเตอร์แรกที่ POP MART นำมาขาย ซึ่งมีลักษณะเป็นเด็กผู้หญิงที่มีลักษณะเด่นเป็นดวงตาสีเขียวมรกตและปากคว่ำ นิสัยดื้อรั้น มีความมั่นใจในตัวเอง มุมานะ ทะนงตน แต่ก็มีความร่าเริงและฉลาดอีกเช่นเดียวกัน โดยก่อนที่จะเข้ามาเป็นโมเดลแรกของ POP MART นั้น Molly ถูกสร้างโดยศิลปินชาวฮ่องกง ชื่อ Kennys Wong ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเด็กผู้หญิงในงานการกุศลที่เขาได้ไปร่วมงาน POP MART x Jackson Wang : เป็นอาร์ตทอยที่ทาง POP MART ร่วมมือกับ Jackson Wang สร้างอาร์ตทอยทั้งหมด 6 แบบ พร้อมโมเดล Secret 1 ตัว โดยแต่ละโมเดลอ้างอิงจากประสบการณ์ของ Jackson Wang ทั้งในเรื่องงานเพลงและการแสดงคอนเสิร์ต
SKULLPANDA (สคัลแพนด้า) : เป็นคาแรกเตอร์ที่เป็นเด็กผู้หญิงหน้าหวาน มีลักษณะเด่นคือมีลูกกลม ๆ บริเวณหูทั้งสองข้าง (ลูกกลม ๆ เหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมากจากดาวเคราะห์) โดย Skullpanda มีความสามารถในการท่องเวลาไปยังอวกาศและโลกคู่ขนานได้ เพื่อตามหาตัวตนของตัวเอง ซึ่งอ้างอิงมาจากผู้สร้าง (คุณ Xiongmao) ที่กำลังออกตามหาเส้นทางศิลปะของตัวเองอยู่
![]()
Art Toy คืออะไร และทำไมถึงได้รับความนิยม?
อาร์ตทอย (Art Toy) คือของเล่นสะสมที่ถูกสร้างขึ้นโดยแบรนด์ที่ร่วมมือกับศิลปินต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้อาร์ตทอยแต่ละรุ่นแต่ละคาแรกเตอร์มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ โดดเด่น น่าค้นหา และมีเรื่องราวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตามสไตล์ของศิลปินแต่ละคน จุดนี้ทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจเก็บสะสม จนทำให้ในบางช่วงอาร์ตทอยที่เป็นที่นิยมมาก ๆ นั้นขาดตลาดกันเลยทีเดียว อีกทั้งในบางครั้งยังมีศิลปิน ดารา หรือเซเลบริตี้นำของเล่นของสะสมเหล่านั้นออกมาโชว์หรือนำมาใช้เป็นเครื่องประดับในการแต่งกาย จึงยิ่งทำให้กระแสการสะสมอาร์ตทอยน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้บรรดาแฟนคลับพร้อมใจกันกระโดดเข้ามาในวงการการสะสมอย่างไม่ลังเล
แบรนด์ POP MART คือใคร? และส่งผลต่อตลาด Art Toy ในไทยอย่างไร ?
Pop Mart แบรนด์ Art Toy สัญชาติจีนที่มีการร่วมงานกับศิลปินที่หลากหลายซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว และสามารถขยายสาขาไปได้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย นอกจากนี้ ด้วยความที่มีการร่วมมือกับศิลปินหลายคน Art Toy จาก POP MART จึงมีหลากหลายสไตล์เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในไทยได้อย่างกว้างขวาง ประกอบกับวิธีการขายแบบกล่องสุ่มที่ทำให้นักสะสมรู้สึกตื่นเต้นและมีความคาดหวังกับสิ่งที่จะได้ จนทำให้ร่างกายหลั่งสารโดปามีน (Dopamine) หรือสารที่ทำให้เรารู้สึกดีจากประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมของนักสะสมให้มีแรงจูงใจอยากกลับซื้อซ้ำอีก จนทำให้แบรนด์ POP MART กลายเป็นที่นิยมในที่สุด
![]()
วิเคราะห์กลยุทธ์ของ POP MART ที่ทำให้ผู้คนหลงไหล Art Toy ผ่านกรอบความคิด *EVO
· การสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า (Experience) เช่น การจัดวางหน้าร้านที่ดึงดูดสายตาผู้พบเห็นขณะเดินห้าง ไม่ว่าจะเป็นการที่มีลูกค้าต่อแถวยาวออกไปจนถึงนอกร้าน หรือการจัดแสดง Art Toy ให้อยู่ในตำแหน่งที่น่าสนใจ รวมถึงการติดป้าย Soldout สำหรับคาแรกเตอร์ยอดนิยม ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์และการนำกลยุทธ์มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
· การสร้างค่านิยม (Values) ซึ่งเป็นมากกว่าเเค่การเก็บ Art Toy ไว้สะสม แต่คือการ represent ตัวตนของเจ้าของผ่านของเล่นเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บสะสม Art Toy ที่ช่วยสื่อถึงตัวตนความเป็นเด็กที่เราเก็บซ่อนเอาไว้ การแต่งตัวให้กับเหล่าตุ๊กตารุ่นต่าง ๆ ตามสไตล์ของแต่ละคน และความรู้สึกล้ำค่าจากการได้รับตัวที่เราชื่นชอบมาก ๆ หรือตัวที่มีความหายาก
· การมอบสิ่งที่คุ้มค่าให้ผู้บริโภค (Offer) คือ การเสนอช่องทางซื้อที่หลากหลาย เช่น หน้าร้าน ออนไลน์ รวมถึงตู้กดตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อความสะดวกของผู้ซื้อ
[*EVO กรอบความคิด EVO (Experience-Values-Offer) เป็นเครื่องมือเฉพาะของกลุ่มดาต้าเซ็ตที่จะใช้วิเคราะห์การสื่อสารของแบรนด์และเป็นตัวช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ และวัดประสิทธิผลการสื่อสารของแบรนด์ผ่านเกณฑ์ประสบการณ์ของลูกค้า (Experience) คุณค่าของแบรนด์ (Values) และข้อเสนอของแบรนด์ (Offer)]
“ลิซ่า” จุดกระแส “ลาบูบู้ฟีเวอร์” ปั่นราคาในตลาด
หลังจากที่มีภาพ “ลิซ่า” ลลิษา มโนบาล ไอดอลสาวไทย สมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ประดับโลกอย่าง BLACKPINK ที่โพสต์ภาพตัวเองกับลาบูบู้ (Labubu) ยิ่งทำให้ความต้องการเพิ่มมากขึ้นซึ่งอาการนี้สามารถเรียกว่า “Fear of missing out หรือ FOMO” เนื่องจากหลายคนกลัวที่จะตกกระแส ส่งผลให้เกิดความรู้สึกไม่อยากพลาดเทรนด์ และต้องการมี Labubu สักตัวมาไว้ครอบครอง อาการนี้นำไปสู่ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ราคาของ Labubu ถูกอัพสูงขึ้น จากราคาหลักร้อยสู่หลักพันในชั่วพริบตา และยังเกิดการแย่งกันซื้อในสังคมออนไลน์
ทั้งนี้ POP MART ยังใช้กลยุทธ์ FOMO ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการขายแบบกล่องสุ่ม รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น และกิจกรรมที่น่าสนใจ จนทำให้ POP MART สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวเป็นสาขาที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก
ความนิยมของ Art Toy จาก POP MART กับการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
จากกระแสความนิยมของ POP MART ยังมีอีกสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ คือ โอกาสทางธุรกิจที่มีการใช้อาร์ตทอยที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้น ๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบหลักในการทำ Marketing เพื่อส่งเสริมการขาย หรือแม้กระทั่งการใช้โปรโมทผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยวิธีการส่วนใหญ่ที่ภาคธุรกิจมักจะใช้กัน คือ การสร้างกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมซื้อสินค้าของตน โดยมีรางวัลเป็นเหล่าอาร์ตทอยรุ่นต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีโครงการร่วมบริจาคโลหิตกับ POP BLOOD GIVER CAMPAIGN ของสภากาชาดไทยที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เเล้ว ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย
TWZ ประกาศความพร้อม! เตรียมเงินไถ่ถอนหุ้นกู้แปลงสภาพฯ ที่จะครบกำหนดทั้งจำนวน ในวันที่ 21 มิ.ย.2567 วงเงิน 208.88 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว ตอกย้ำความมั่นใจผู้ลงทุน พร้อมเดินหน้าสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ ด้วยการรุกขยายสู่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ รวมถึงธุรกิจคลังสินค้า ขนส่ง และโลจิสติกส์
หลังจากประสบความสำเร็จจากการจัดตั้งและบริหารศูนย์ทดสอบความรู้ ที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้ให้บริการเครือข่ายอันดับหนึ่งอย่าง “เอไอเอส” ที่ให้การสนับสนุนอย่างเหนียวแน่น
นายพุทธชาติ รังคสิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพครั้งที่ 1/2564 โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ทั้งจำนวนตามสัดสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) นั้น บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า หุ้นกู้แปลงสภาพชุดดังกล่าวจะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมเงินสำหรับการไถ่ถอนทั้งจำนวนเป็นวงเงิน 208.88 ล้านบาทไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ผู้ลงทุนหุ้นกู้แปลงสภาพของ TWZ สามารถมั่นใจได้ว่า บริษัทฯ จะดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดทั้งจำนวนอย่างแน่นอน โดยบริษัทฯ ได้เตรียมวงเงินสำหรับการไถ่ถอนไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจและมองหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโต เพื่อความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ พร้อมๆ ไปกับความแข็งแกร่งทางการเงิน แม้ว่า จะมีปัจจัยท้าทายหลายประการ แต่ TWZ ยังคงรักษาความสามารถในการเติบโตทั้งในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เราเชื่อว่า มีศักยภาพในการเติบโตไว้ได้” นายพุทธชาติกล่าว
ก่อนหน้านี้ TWZ ได้ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจจัดตั้งและบริหารจัดการศูนย์เรียนรู้และทดสอบด้วยระบบดิจิทัลและ AI เต็มรูปแบบ โดยร่วมกับ “ดิจิตอล เอ็ดดูเคชั่น” หรือ DE ผู้เชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้ การจัดสอบรูปแบบดิจิทัลและระบบ AI จัดตั้งและบริหาร “ศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบดิจิทัล สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร” หรือ PNRU DLEx Center ซึ่งเป็นศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านการเรียนรู้และการทดสอบที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากหน่วยงานรัฐและเอกชนในการใช้บริการศูนย์สอบ ที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด TWZ กำลังเตรียมขยายสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับการลงทุนพัฒนาโครงการ “เจ็ท วิลล่า เรสซิเด้นซ์” (Jet Villa Residence) ซึ่งเป็นโครงการเจ็ท วิลล่า ส่วนตัว (Private Jet) บนเนื้อที่ 1,000 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับผู้ร่วมทุนเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งกำลังศึกษาการขยายสู่ธุรกิจคลังสินค้า ขนส่ง และโลจิสติกส์ ในอนาคต
ขณะที่ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ TWZ ยังคงสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นธุรกิจที่อยู่ในกระแส โดยที่บริษัทฯ ยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้ให้บริการเครือข่ายอันดับหนึ่งอย่างบริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “เอไอเอส” ที่ให้การสนับสนุนในฐานะพันธมิตรที่สำคัญอย่างเหนียวแน่น
HPE Discover 2024 – บริษัทฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ (Hewlett Packard Enterprise (NYSE: HPE)) และเอ็นวิเดีย (NVIDIA) ได้ประกาศเปิดตัว NVIDIA AI Computing by HPE ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์โซลูชัน AI ที่ได้รับการพัฒนาและออกสู่ตลาดร่วมกัน ซึ่งช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเร่งการนำ Generative AI ไปใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
บริการหลักในชุดผลิตภัณฑ์นี้ ได้แก่ HPE Private Cloud AI ซึ่งเป็นโซลูชันแรกที่รวมเอาการผสานที่ล้ำลึกที่สุดจนถึงปัจจุบันของการประมวลผล AI ของ NVIDIA, การสร้างเครือข่าย และซอฟต์แวร์เข้ากับพื้นที่เก็บข้อมูล AI ของ HPE การประมวลผลและระบบคลาวด์ HPE GreenLake เพื่อช่วยให้องค์กรทุกขนาดสามารถพัฒนาและปรับใช้แอปพลิเคชัน Generative AI ได้อย่างยั่งยืน ประหยัดพลังงาน รวดเร็ว และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น โดย HPE Private Cloud AI ขับเคลื่อนด้วย OpsRamp AI copilot ใหม่ที่ช่วยให้การปฏิบัติการด้าน IT ปรับปรุงเวิร์กโหลดและประสิทธิภาพด้าน IT นอกจากนี้ ยังมาพร้อมประสบการณ์คลาวด์แบบบริการตนเอง รวมถึงการจัดการตลอดอายุการใช้งาน และยังสามารถกำหนดค่าขนาดที่เหมาะสมให้เลือกถึงสี่แบบเพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI และเคสการใช้งานที่หลากหลาย
ข้อเสนอและบริการ NVIDIA AI Computing by HPE ทั้งหมดจะถูกนำเสนอผ่านกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด (Go-to-market strategy) ร่วมกัน ซึ่งครอบคลุมถึงการจำหน่าย ทีมงาน พันธมิตรในแต่ละช่องทาง การเทรน และเครือข่ายผู้วางระบบทั่วโลก ได้แก่ Deloitte, HCLTech, Infosys, TCS และ Wipro ซึ่งสามารถช่วยให้องค์กรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดำเนินงานเวิร์กโหลด AI ที่ซับซ้อนได้
ในระหว่างการประกาศในงาน HPE Discover นายอันโตนิโอ เนรี ประธานและซีอีโอ บริษัทฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ และนายเจนเซ่น หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ NVIDIA ได้ประกาศว่า NVIDIA AI Computing by HPE ถือเป็นการขยายความร่วมมือที่มีมายาวนานหลายทศวรรษ และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่สำคัญในด้านเวลาและทรัพยากรของทั้งสองบริษัท
![]()
นายอันโตนิโอ เนรี ประธานและซีอีโอ บริษัทฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ เปิดเผยว่า “Generative AI มีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในการปฏิวัติองค์กร แต่ความซับซ้อนของเทคโนโลยี AI ที่ประกอบด้วยหลายส่วนนั้นมีความเสี่ยงและอุปสรรคมากเกินไป ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ และอาจเป็นภัยต่อทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของบริษัทซึ่งก็คือข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา ดังนั้นเพื่อปลดปล่อยศักยภาพอันมหาศาลของ Generative AI ในองค์กร ทาง HPE และ NVIDIA ได้ร่วมกันพัฒนาระบบคลาวด์ส่วนตัวแบบครบวงจรสำหรับ AI โดยจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรของตนเองเพื่อพัฒนาการใช้งาน AI แบบใหม่ๆ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มผลงานและเปิดประตูสู่แหล่งรายได้ใหม่ๆ ได้ด้วย"
นอกจากนี้ นายเจนเซน หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ NVIDIA กล่าวว่า “Generative AI และการประมวลผลแบบเร่งความเร็วเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรากฐาน เนื่องจากทุกอุตสาหกรรมต่างร่วมกันแข่งขันเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ NVIDIA และ HPE ไม่เคยมีการบูรณาการเทคโนโลยีของเราอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน โดยการรวมชุดการประมวลผล AI ของ NVIDIA ทั้งหมดเข้ากับเทคโนโลยีคลาวด์ส่วนตัวของ HPE ในครั้งนี้ เราตั้งใจที่จะให้ลูกค้าองค์กรและผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพด้าน AI มีโครงสร้างพื้นฐานและบริการคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดเพื่อขยายขอบเขตการทำงานของ AI”
HPE และ NVIDIA ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ Private Cloud AI
HPE Private Cloud AI นำเสนอประสบการณ์บนคลาวด์ที่ไม่เหมือนใครเพื่อเร่งความเร็วในการสร้างนวัตกรรม และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน และขณะที่จัดการความเสี่ยงระดับองค์กรจาก AI โดยโซลูชันประกอบด้วย
● รองรับการอนุมาน การปรับแต่งโมเดล และเวิร์กโหลด RAG AI ที่ใช้ข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์
● องค์กรสามารถควบคุมข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย ความโปร่งใส และการกำกับดูแลข้อมูลได้
● เพิ่มผลิตผลในการทำงาน ด้วยประสบการณ์คลาวด์ เช่น ITOps และ ความสามารถของ AIOps
● มาพร้อมเส้นทางที่รวดเร็วในการใช้ทรัพยากรอย่างยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองโอกาสและการเติบโตของ AI ในอนาคต
![]()
AI และชุดเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่ได้รับการคัดสรรใน HPE Private Cloud AI รากฐานของ AI และเครื่องมือซอฟต์แวร์ข้อมูลเริ่มต้นด้วยแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise ซึ่งรวมถึงไมโครเซอร์วิสอนุมาน NVIDIA NIM™
NVIDIA AI Enterprise เร่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้อมูลและปรับปรุงกระบวนการพัฒนาและการปรับใช้ Copilot ในระดับการผลิต รวมถึงแอปพลิเคชัน GenAI อื่น ๆ เมื่อรวมกับ NVIDIA AI Enterprise แล้ว NVIDIA NIM จะให้บริการไมโครเซอร์วิสที่ใช้งานง่าย ซึ่งมอบการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นจากต้นแบบไปจนถึงการปรับใช้โมเดล AI ที่ปลอดภัยในกรณีการใช้งานที่หลากหลาย เสริมด้วย NVIDIA AI Enterprise และ NVIDIA NIM ซอฟต์แวร์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น HPE AI Essentials ได้มอบชุดเครื่องมือ AI และรากฐานข้อมูลที่พร้อมใช้งานซึ่งคัดสรรมาแล้ว พร้อมด้วย Control Plane แบบครบวงจรที่มีโซลูชันที่ปรับเปลี่ยนได้ ให้บริการการสนับสนุนองค์กรอย่างต่อเนื่อง และบริการ AI ที่เชื่อถือได้ เช่น การเป็นไปตามข้อกำหนดและคุณสมบัติที่เพิ่มขยายได้ของข้อมูลและโมเดล ที่ช่วยให้มั่นใจว่าการเคลื่อนที่ของข้อมูล AI เป็นไปตามข้อกำหนด เข้าใจได้ และทำซ้ำได้ทั้งหมดของวงจรชีวิต AI เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพที่ดีที่สุดสำหรับ AI และชุดซอฟต์แวร์ข้อมูล HPE Private Cloud AI เสนอโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบครบวงจร ซึ่งได้แก่เครือข่าย NVIDIA Spectrum-X Ethernet, HPE GreenLake for File Storage และเซิร์ฟเวอร์ HPE ProLiant พร้อมการสนับสนุนสำหรับ NVIDIA L40S, NVIDIA H100 NVL Tensor Core GPUs และ แพลตฟอร์ม NVIDIA GH200 NVL2
ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยคลาวด์ HPE GreenLake
HPE Private Cloud AI นำเสนอประสบการณ์คลาวด์แบบบริการตนเองใช้งานด้วยคลาวด์ HPE GreenLake ซึ่งเป็นบริการคลาวด์ที่มีความสามารถในการจัดการและความสามารถในการตรวจสอบ วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้ เพื่อดำเนินงานแบบอัตโนมัติ จัดระเบียบ และจัดการอุปกรณ์ใช้งานปลายทาง (Endpoint) เวิร์กโหลด และข้อมูลในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดผ่าน Control Plane เดี่ยวบนแพลตฟอร์ม ซึ่งรวมถึงตัวชี้วัดความยั่งยืนสำหรับเวิร์กโหลดและอุปกรณ์ใช้งานปลายทาง
Observability ของโครงสร้างพื้นฐาน AI และผู้ช่วย Copilot สำหรับคลาวด์ HPE GreenLake และ OpsRamp การดำเนินงานด้านไอทีของ OpsRamp ได้รับการผสานเข้ากับคลาวด์ HPE GreenLake เพื่อส่งมอบความสามารถในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหา (Observability) และ AIOps ให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของ HPE ทั้งหมด ขณะนี้ OpsRamp มอบความสามารถในการตรวจสอบสำหรับชุดคอมพิวเตอร์เร่งความเร็ว NVIDIA แบบครบวงจร ซึ่งรวมถึงซอฟต์แวร์ NVIDIA NIM และ AI, GPU NVIDIA Tensor Core และคลัสเตอร์ AI รวมถึงสวิตช์ NVIDIA Quantum InfiniBand และ NVIDIA Spectrum Ethernet ผู้ดูแลระบบไอทีสามารถรับข้อมูลเชิงลึกเพื่อระบุความผิดปกติและตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน AI และปริมาณงานในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์
สำหรับผู้ช่วยปฏิบัติการ OpsRamp รุ่นใหม่ได้ใช้แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์เร่งความเร็วของ NVIDIA เพื่อวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกกับผู้ช่วยสนทนา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการปฏิบัติการ OpsRamp จะผสานรวมกับ CrowdStrike API ด้วยเพื่อให้ลูกค้าสามารถดูมุมมองแผนที่บริการแบบครบถ้วน สำหรับการรักษาความปลอดภัยปลายทาง (Endpoint Security) ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชันทั้งหมด
เร่งระยะคุ้มทุนให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย AI – ขยายความร่วมมือกับผู้วางระบบระดับโลก
เพื่อเร่งระยะคุ้มทุนสำหรับองค์กรในการพัฒนาโซลูชัน AI เฉพาะอุตสาหกรรม และเคสการใช้งานที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างชัดเจน บริษัท Deloitte, HCLTech, Infosys, TCS และ WIPRO ได้ประกาศสนับสนุน NVIDIA AI Computing จากชุดผลิตภัณฑ์ของ HPE และ HPE Private Cloud AI ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันและบริการ AI เชิงกลยุทธ์ของแบรนด์
HPE เพิ่มการสนับสนุนสำหรับ GPU, CPU และ Superchips ล่าสุดของ NVIDIA
● HPE Cray XD670 รองรับ NVIDIA H200 NVL Tensor Core GPU แปดตัว และเหมาะสำหรับผู้พัฒนา LLM
● เซิร์ฟเวอร์ HPE ProLiant DL384 Gen12 มาพร้อม NVIDIA GH200 NVL2 และเหมาะสำหรับผู้ใช้ LLM ที่ใช้โมเดลขนาดใหญ่หรือ RAG
● เซิร์ฟเวอร์ HPE ProLiant DL380a Gen12 รองรับ NVIDIA H200 NVL Tensor Core GPU สูงสุดแปดตัว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ LLM ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับขนาดเวิร์กโหลด GenAI
● HPE จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับ NVIDIA GB200 NVL72 / NVL2 พร้อมทั้งสถาปัตยกรรมNVIDIA Blackwell, NVIDIA Rubin และ NVIDIA Vera ใหม่
พื้นที่จัดเก็บไฟล์ขนาดใหญ่ได้รับการรับรองให้ใช้กับระบบ NVIDIA DGX BasePOD และ OVX HPE GreenLake for File Storage ผ่านการรับรองเพื่อใช้งานกับ NVIDIA DGX BasePOD และการตรวจสอบพื้นที่จัดเก็บข้อมูล NVIDIA OVX™ ช่วยให้ลูกค้าได้รับโซลูชันการจัดเก็บไฟล์ระดับองค์กรที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเร่งความเร็วเวิร์คโหลด AI, GenAI และ GPU ปริมาณมากได้ โดย HPE เตรียมนำโปรแกรมรับรองการจัดเก็บข้อมูลสถาปัตยกรรมอ้างอิงของ NVIDIA ออกสู่ตลาดในเร็ว ๆ นี้
ผลิตภัณฑ์และบริการที่จะมีวางจำหน่ายทั้งหมดในช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2024
● HPE Private Cloud AI
● เซิร์ฟเวอร์ HPE ProLiant DL380a Gen12 พร้อมกับ NVIDIA H200 NVL Tensor Core GPUs
● เซิร์ฟเวอร์ HPE ProLiant DL384 Gen12 พร้อมกับ Dual NVIDIA GH200 NVL2
● เซิร์ฟเวอร์ HPE Cray XD670 พร้อมกับ NVIDIA H200 Tensor Core GPUs NVL2
LINE MAN ผู้นำแพลตฟอร์มออนดีมานด์ เดินหน้าขับเคลื่อนแนวทางการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) จับมือ กรุงเทพมหานคร สนับสนุนโครงการ BKK Food Bank ช่วยค่าบริการจัดส่งอาหารให้กับกลุ่มที่มีความต้องการและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพมหานคร ผ่านบริการ LINE MAN MESSENGER มูลค่ารวม 1 ล้านบาท เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการกระจายอาหารสู่ผู้ที่มีความต้องการ
โครงการ BKK Food Bank จัดตั้งขึ้นจากความตั้งใจของ กทม. ที่เล็งเห็นว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีทั้งกลุ่มร้านอาหารหรือคนที่มีอาหารเกินจำเป็น และมีกลุ่มคนที่ขาดแคลนอาหาร จึงร่วมกับสำนักงานเขต 50 เขต ในการช่วยเขตแก้ไขปัญหาด้านการจัดส่งอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) ส่งต่ออาหารส่วนเกิน (Food Surplus) อย่างเป็นระบบ และสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ให้แก่ประชาชน โดยได้รับการสนับสนุนด้านการจัดส่งอาหารจากบริการ LINE MAN MESSENGER ให้ถึงมือกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ ที่ไม่สามารถเดินทางมารับอาหารได้เองที่สำนักงานเขตในแต่ละพื้นที่ทั่วกทม.
![]()
คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยโครงการ BKK Food Bank ถือเป็นหนึ่งโครงการที่ช่วยแก้ปัญหาอาหารเหลือทิ้ง และอาหารส่วนเกิน ซึ่งการจับมือกับกรุงเทพมหานครในวันนี้เราไม่เพียงแค่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนการส่งมอบอาหารผ่านบริการ LINE MAN MESSENGER เท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยลด Food Waste ปัญหาด้านขยะอาหารอย่างยั่งยืนอีกด้วย โดยเรานำจุดแข็งด้านเทคโนโลยี และการมีไรเดอร์ในระบบทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ที่พร้อมให้บริการส่งอาหารมาช่วยให้โครงการสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่มีความต้องการ แต่ไม่สะดวกเดินทางมารับอาหารด้วยตัวเองได้อีกด้วย”
ด้านคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความมุ่งมั่นของโครงการนี้ว่า "โครงการ BKK Food Bank เป็นการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชุมชนผ่านการแบ่งปันอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้กลุ่มคนที่ต้องการและกลุ่มคนเปราะบาง ไม่เพียงช่วยสร้างรอยยิ้มให้กับผู้รับ แต่ยังสร้างความมั่นคงทางทางอาหาร ลดขยะและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานครอีกด้วย ล่าสุดได้ขยายโครงการครอบคลุมทั้ง 50 เขต โดยการสนับสนุนจาก LINE MAN ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนที่ช่วยผลักดันความมุ่งมั่นของเรา ผ่านการจัดส่งอาหารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลายทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครได้มากขึ้น เพราะเราเชื่อว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่เมืองหลวง แต่เป็นบ้านของพวกเราทุกคน”
ความร่วมมือในครั้งนี้ LINE MAN สนับสนุนส่วนลดค่าบริการจัดส่งอาหารผ่าน LINE MAN MESSENGER มูลค่ารวม 1 ล้านบาท เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ทางกรุงเทพมหานครในการจัดส่งอาหารแก่กลุ่มที่มีความต้องการและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพมหานคร โดยการสนับสนุนนี้นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้ง LINE MAN และกรุงเทพมหานคร ในการแก้ปัญหา และช่วยลด Food Waste ปัญหาด้านขยะอาหารอย่างยั่งยืน
Funding Societies แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจ SME ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองการเติบโตของสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ SME ในประเทศว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เล็ง 1 ปีต่อจากนี้ตั้งเป้าการเติบโตของพอร์ตที่ 30% โดยจะเร่งปล่อยสินเชื่อผ่านรูปแบบสินเชื่อเพื่อการค้าระยะสั้นเพิ่มอีก 2 พันล้านบาท
โดยจะโฟกัสที่คุณภาพของสินเชื่อ และกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตต่อไปได้ อาทิ กลุ่มผู้ผลิต โมเดิร์นเทรด ผู้รับเหมาโครงการภาครัฐฯ และเอกชน เป็นต้น รับดีมานด์ของผู้ประกอบการ SME ที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้คว้าโอกาสในการเติบโต ตอกย้ำการเป็นผู้นำการให้กู้ยืมโดยตรงแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
ผู้ประกอบการ SME ยังคงประสบความท้าทายในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินต่าง ๆ แม้จะมีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก นับเป็นกว่า 99.5% ของวิสาหกิจทั้งประเทศ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดด้านหลักทรัพย์ค้ำประกัน การเดินบัญชีกับธนาคารที่สั้นเกินไป หรือขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้ระยะเวลายาวนาน ทำให้ SME ไม่สามารถเติบโตได้ ซึ่งเป็นช่องว่างทางการเงินถึงมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท ประกอบกับเศรษฐกิจระดับมหภาคที่ยังไม่มีสัญญาณการเติบโตที่แน่ชัด ธุรกิจ SME อาจพบว่าการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินอื่น ๆ มีความยากลำบากมากขึ้น เนื่องด้วยสถาบันการเงินต่าง ๆ อาจมีการขอหลักประกันและเอกสารเพิ่มเติมซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
นางสาว เอื้ออารีย์ อัจฉริยบุญ Country Head ประจำ Funding Societies ประเทศไทย กล่าว “Funding Societies (ภายใต้การให้บริหารของ FS Capital Co., Ltd. เชี่ยวชาญในการให้กู้ยืมโดยตรงแก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก) จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ให้เติบโตต่อไป เพื่อช่วยพวกเขาปิดช่องว่างทางการเงิน ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าด้วยเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม ผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถเติบโตสู่ขนาดกลางได้ และผู้ประกอบการขนาดกลางก็สามารถเติบโตสู่ขนาดใหญ่ได้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ Funding Societies สามารถให้การสนับสนุน SME ได้ถึง 15 ล้านบาทต่อราย ผ่านสินเชื่อเพื่อการค้าระยะสั้นแบบ B2B ที่ได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมสำหรับทุกช่วงวงจรธุรกิจของ SME ไทย”
“จุดเด่นของสินเชื่อเพื่อการค้าแบบระยะสั้นจาก Funding Societies คือการมุ่งตอบโจทย์ความต้องการที่มีความหลากหลายสำหรับลูกค้า SME ที่ต้องการเงินทุนทุกประเภท และนอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญเกี่ยวกับขั้นตอนในการทำเรื่องที่มันง่าย ความรวดเร็วในการให้บริการและการอนุมัติสินเชื่อ และที่สำคัญไม่ต้องมาที่สาขาเลย ลูกค้าสามารถทำผ่าน online ในทุก ๆ ขั้นตอน และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน” นางสาว เอื้ออารีย์ เสริม
สินเชื่อเพื่อการค้าแบบระยะสั้นของ Funding Societies มาในรูปแบบ 5 ผลิตภัณฑ์ ดังนี้
1. สินเชื่อหมุนเวียนจากลูกหนี้การค้า (Invoice Financing) ซึ่ง SME สามารถนำบิลหรือใบแจ้งหนี้มาเปลี่ยนเป็นเงินหมุนเวียนได้
2. สินเชื่อใบสั่งซื้อ (PO Financing) เพื่อจ่ายค่าสินค้าและบริการล่วงหน้าไปยังซัพพลายเออร์
3. สินเชื่อธุรกิจโครงการ (Project Financing) สำหรับผู้รับเหมาจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐฯและเอกชนในการทำโครงการให้แล้วเสร็จ
4. สินเชื่อระยะสั้น (Business Term Loan) หรือสินเชื่ออเนกประสงค์
5. สินเชื่อกลุ่ม Express สำหรับ SME ขนาดเล็ก
โดยที่ผ่านมา Funding Societies ได้สนับสนุน SME ให้เข้าถึงสินเชื่อเพื่อการค้าระยะสั้นในรูปแบบต่าง ๆ ใน 5 ตลาดหลัก ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดย ณ ปัจจุบันได้ให้สินเชื่อไปแล้วกว่า 1.32 แสนล้านบาท (มากกว่า 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) รวมเป็นธุรกรรมมากกว่า 5 ล้านครั้งให้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) ทั่วทั้งภูมิภาค สำหรับ SME ที่มีความสนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.fundingsocieties.co.th
แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล (Ant International) ผู้นำด้านการชำระเงินดิจิทัล และผู้ให้บริการเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำระดับโลก เปิดตัว bettr (“เบทเทอร์”) บริการสินเชื่อดิจิทัลระดับโลกที่เน้นให้สินเชื่อกับธุรกิจขนาดย่อย ขนาดย่อม และขนาดกลาง (MSMEs) ในตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ผ่านความร่วมมือทางการเงินแบบฝังตัว (Embedded Finance)
นาย Yang Peng, CEO, แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า “ผมรู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้แนะนำ bettr ให้กับธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง (SMEs) และพันธมิตรต่าง ๆ ในตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง การเปิดตัว bettr ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของแอนท์ อินเตอร์เนชันแนลในเส้นทางการเพิ่มโอกาสให้กับ SMEs ทั่วโลกด้วยนวัตกรรมโซลูชันฟินเทค ผ่านการร่วมมือแบบเปิดกับพันธมิตรในภูมิภาค พันธกิจของ bettr คือการทำให้การจัดหาเงินทุนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อม ซึ่งปัจจุบันถือเป็นกลุ่มที่ช่วยขับเคลื่อนการค้าระดับภูมิภาค และการค้าข้ามพรมแดน เรากำลังมุ่งมั่นขยายความร่วมมือกับผู้นำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมสำหรับระบบนิเวศทางการค้าในอนาคตที่ทั้งครอบคลุม และยั่งยืน”
บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) ประเมินว่า 65 ล้านบริษัท หรือ 40% ของจำนวน MSMEs ที่ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในประเทศกำลังพัฒนา มีความต้องการทางการเงินที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองคิดเป็นมูลค่ามากถึง 5.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในแต่ละปี bettr รับรู้ถึงความต้องการบริการด้านการเงินที่ครอบคลุม และเข้าถึงได้ที่มีอยู่ทั่วโลก ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงมุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เปิดกว้างสำหรับการร่วมมือ เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และความสะดวกในการสนับสนุนสินเชื่อ ด้วยการนำ AI การคำนวณแบบรักษาความเป็นส่วนตัว และนวัตกรรมดิจิทัลอื่น ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อปิดช่องว่างทางการเงิน พร้อมเพิ่มโอกาสในการเติบโตให้ MSMEs
นอกจากนี้ bettr ยังได้ประกาศความร่วมมือด้านการเงินแบบฝังตัวครั้งแรกกับบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ครบวงจรชั้นนําของไทย และบริษัทในเครือทีซีซี กรุ๊ป (TCC Group)
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC รู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับแอนท์ อินเตอร์เนชันแนลเปิดตัว bettr การร่วมมือนี้จะทำให้ทั้งสองฝ่ายใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยที่ bettr จะให้บริการปล่อยสินเชื่อดิจิทัลที่สะดวก ไร้รอยต่อในระบบนิเวศธุรกิจขนาดย่อย และขนาดย่อมของ AWC ผ่านแพลตฟอร์ม และช่องทางต่าง ๆ ของ AWC ระยะแรกของการร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการเปิดตัว “Phenix” (ฟีนิกซ์) แหล่งรวมสินค้าอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมืองบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านประตูน้ำ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ความร่วมมือนี้คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ขาย ผู้ซื้อ และซัพพลายเออร์ของ AWC ที่ทำธุรกิจบน Phenix ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ และจะขยายความร่วมมือต่อเนื่องไปยังโครงการอื่นๆ ในอนาคต ”
นาย Yang Peng กล่าวเสริมว่า “ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจ SME กำลังเฟื่องฟู ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์สำหรับแอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ตั้งแต่เริ่มต้นการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเราได้เรียนรู้จากการร่วมมือกับหลากหลายธุรกิจในประเทศ รวมถึงให้บริการธุรกิจท้องถิ่นจำนวนมากผ่านการชำระเงินดิจิทัลมาตลอดหลายปี ช่วยเชื่อมโยงธุรกิจเหล่านี้กับนักเดินทางทั่วโลก รวมถึงกลุ่มตลาดส่งออก ด้วย bettr เราจึงสามารถเพิ่มตัวเลือกสำหรับบริการทางการเงินได้ ด้วยการให้แหล่งเงินทุนที่เข้าถึงได้กับธุรกิจขนาดย่อม ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน”
เพราะ “ตับ” เปรียบเสมือนหัวใจที่ 2 ของร่างกาย เป็นศูนย์กลางการทำงานของร่างกายและต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา หากสุขภาพตับไม่ดี สุขภาพของเราก็จะไม่ดีตามไปด้วย
จากกรณีศึกษาขององค์กรด้านการแพทย์และสุขภาพในปัจจุบัน ค้นพบดัชนีด้านสุขภาพและสุขภาวะของคนไทยที่เปลี่ยนไปและอยู่ในเกณฑ์ที่น่ากังวล ข้อมูลจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า “ประชากรไทยกว่า 71 ล้านคน มีผู้ที่ป่วยเป็นไขมันพอกตับโดยไม่รู้ตัว สูงถึง 25-30% หรือราวๆ 1 ใน 3 ของประชากรทั่วประเทศ ส่งผลให้หลายคนต้องเผชิญกับภัยร้ายจากโรคตับ” สอดคล้องกับข้อมูลทางสถิติ โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. พบว่า “มะเร็งตับ กลายเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย และมีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 16,000 คนต่อปี” ซึ่งพบว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่สนใจต่อ “สุขภาพตับ” ปล่อยให้ตับพังขาดการดูแล อันมาจากหลายปัจจัย เช่น การกินอาหารที่มีไขมันสูง การกินอาหารที่มีรสหวานและน้ำตาลสูง การกินอาหารที่มากเกินความต้องการของร่างกายจนเกิดภาวะอ้วน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และได้รับควันบุหรี่มือสองอย่างเป็นประจำ จากลักษณะดังกล่าว คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีข้อสรุปจากงานวิจัยพบว่า “ผู้ที่เป็นมะเร็งตับ ส่วนใหญ่พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงสูงถึง 2-5 เท่า ซึ่งมาจากการขาดวินัยในการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง”
![]()
พญ.ณัฐธิดา ศรีบัวทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ได้แชร์ความรู้เรื่องของสุขภาพตับและระดับอาการของโรคตับที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ “โรคตับเป็นโรคที่พบมากขึ้นกับคนไข้ในปัจจุบัน อาการป่วยที่เกี่ยวกับโรคของตับมีอยู่หลายระดับ ซึ่งผู้ป่วยบางรายแทบไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวช้าในตอนที่ร่างกายทรุดหนักแล้ว ซึ่งบางเคสก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วง โดยคนปกติที่มี ‘สุขภาพตับดี’ ตับจะมีผิวเรียบ สีชมพู และไม่มีแผลเป็น ซึ่งเมื่อมีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับ จุดนี้จะถือว่า เข้าสู่ภาวะ ‘ไขมันพอกตับ’ จากนั้น หากยังไม่ดูแลสุขภาพหรือได้รับการรักษา จนมีการอักเสบและก่อให้เกิดพังผืด ไปสู่เนื้อเยื่อตับสูญเสียหน้าที่ถาวร ถือว่าเข้ามาสู่ภาวะ ‘ตับอักเสบ’ และหนักไปกว่านั้น เมื่อตับมีลักษณะขรุขระเต็มไปด้วยปุ่ม เซลล์ตับได้ถูกทำลาย นี่คืออาการของภาวะ ‘ตับแข็ง’ และเคสที่หนักที่สุดคือ ‘มะเร็งตับ’ เซลล์ตับมีการแบ่งตัวและ เพิ่มจำนวนอย่างผิดปกติ ทำให้การรักษาผู้ป่วยนั้นเป็นไปได้ยาก ยิ่งสุขภาพตับพังมากเท่าไหร่ เมื่อได้รับการฟื้นฟูช้า ก็ทำให้การรักษาเป็นสิ่งที่หมอต้องทำการบ้านอย่างหนักมากขึ้น ทางที่ดีอยากให้ผู้ที่มีร่างกายปกติและผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับหันมาดูแลสุขภาพของตนเอง รวมถึงหมั่นตรวจสุขภาพร่างกายและตับอย่างเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อทราบแนวทางดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงยาวนาน”
“นิวทริไลท์” จาก แอมเวย์ ผู้นำตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดูแลผู้คนทั่วโลกมา 90 ปี ตระหนักและพร้อมผลักดันให้ผู้คนได้มีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี ได้เล็งเห็นถึงปัญหาสุขภาพตับของประชากรไทยที่ต้องเผชิญ จึงขอแนะนำวิธีดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคตับภัยร้ายใกล้ตัว มีทั้งหมด 7 ข้อ ดังนี้
1. เลือกรับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและอาหารปรุงแต่ง
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4. หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง รวมถึงอาหารเสริมที่ไม่มีแหล่งที่น่าเชื่อถือมากพอ
5. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารหวาน การกินอาหารที่มากเกินความต้องการของร่างกาย
6. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี โดยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น
7. เลือกกินอาหารหรือสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการดูแลตับ เช่น ‘สารสกัดจากบรอกโคลี’ ‘สารสกัดจาก ชะเอมเทศ’ และ ‘สารสกัดจากเมล็ดองุ่น’ ที่มีส่วนช่วยกำจัดสารพิษ ช่วยลดการอักเสบและการเกิดพังผืด ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินของเซลล์ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเซลล์ตับจากการถูกทำลาย รวมถึง ‘เลซิติน’ ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในไข่แดง ถั่ว ถั่วเหลือง นม เมล็ดทานตะวัน ตับ เนื้อสัตว์ บริวเวอร์ยีสต์ และอื่นๆ มีส่วนช่วยในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต และมีส่วนช่วยในการลดการอักเสบของตับจากไขมันพอกตับได้
![]()
ทั้งนี้ การดูแลสุขภาพและสุขภาวะให้เกิดบาลานซ์ที่ดี เริ่มตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวัน การเคลื่อนไหวร่างกาย การออกกำลังกาย การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม ควบคู่การทานวิตามินหรือผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารที่มีคุณภาพและจำเป็นต่อร่างกาย จะทำให้ทุกคนมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ห่างไกลจากโรคร้ายอย่างปัญหาไขมันพอกตับและปัญหาที่มาจากโรคของตับได้ไม่ยาก
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมกับ LinkedIn เผยผลงานวิจัย Work Trend Index 2024 เปิดข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานะความคืบหน้าของคนทำงานในประเทศไทยและทั่วโลก ในการนำนวัตกรรม AI มาใช้ในที่ทำงาน
รายงาน Work Trend Index 2024 รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจพนักงานและผู้บริหารกว่า 31,000 คน ใน 31 ประเทศทั่วโลก* รวมถึงประเทศไทย พร้อมด้วยแนวโน้มตลาดแรงงานและเทรนด์การจ้างงานผ่านทาง LinkedIn รวมถึงข้อมูลที่เก็บรวบรวมมานับล้านล้านรายการจากการใช้งาน Microsoft 365 และการศึกษาวิจัยลูกค้าของบริษัทที่อยู่ใน Fortune 500 เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 ปีที่ผ่านมา นวัตกรรม AI ได้มีอิทธิพลต่อรูปแบบการทำงาน การบริหาร และการจ้างงานของผู้คนทั่วโลก
ปี 2024 ถือเป็นปีของ AI เพื่อการทำงานอย่างแท้จริง หลังจากที่มีพนักงานทั่วโลกนำ Generative AI มาใช้ทำงานเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ใช้ LinkedIn จำนวนไม่น้อยได้นำเอาทักษะความสามารถที่เกี่ยวกับ AI มาเพิ่มเติมลงในเรซูเม่ของตนมากขึ้น ทางด้านผู้บริหาร ส่วนใหญ่มีมุมมองว่าจะไม่จ้างผู้สมัครที่ไม่มีทักษะด้าน AI แต่ขณะเดียวกัน ผู้บริหารจำนวนมาก ทั้งในเอเชียและทั่วโลก ยังคงกังวลเกี่ยวกับการขาดวิสัยทัศน์ด้าน AI ของบริษัท และการที่พนักงานนำเครื่องมือ AI ส่วนตัวมาใช้ในสถานที่ทำงาน ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารในหลายองค์กรจึงต้องเผชิญความยากลำบากกับการปรับตัว เมื่อการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ต้องเปลี่ยนผ่านจากช่วงการทดลองใช้งาน ไปสู่การสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปัจจุบัน Generative AI เป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในที่ทำงาน จะเห็นได้ว่าพนักงานส่วนใหญ่เลือกนำ AI มาช่วยสะสางภาระงานในแต่ละวัน โดยที่ไม่ได้รอดูว่าองค์กรจะมีเครื่องมือ บริการ วิสัยทัศน์หรือแนวทางการใช้งานอย่างไร ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารจะต้องเร่งตอบสนองต่อปรากฎการณ์นี้ เพื่อให้องค์กรและพนักงานได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน AI ทั้งในเชิงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น และการพัฒนาขีดความสามารถใหม่ๆ ควบคู่ไปกับความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นจากแนวทางและนโยบายด้านการใช้ AI ที่ชัดเจน”
ทั้งนี้ รายงานการสำรวจ Work Trend Index 2024 ได้สรุปข้อมูลเชิงลึกใน 3 ประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมากต่อทั้งผู้บริหารและพนักงานในประเทศไทย และสะท้อนถึงผลกระทบของ AI ที่มีต่อการทำงานและตลาดแรงงานตลอดทั้งปีนี้
1. พนักงานต้องการนำนวัตกรรม AI มาช่วยในการทำงาน โดยไม่รอให้บริษัทมีความพร้อม
ผลสำรวจ Work Trend Index เผยว่าพนักงานคนไทยกว่า 92% นำนวัตกรรม AI มาใช้ในการทำงานแล้ว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 75% โดยในกลุ่มผู้ใช้งาน AI ยังพบอีกว่า 81% เลือกนำเครื่องมือ AI ของตนเองมาใช้งาน จนเกิดเป็นกระแสที่เรียกได้ว่า Bring Your Own AI (BYOAI) ซึ่งอาจทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการใช้งาน AI อย่างไม่เต็มที่ เนื่องจากยังขาดทิศทางและกลยุทธ์ในระดับองค์กร และยังเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล
แนวโน้มการนำ AI มาใช้ในที่ทำงานนี้ อาจเป็นผลมาจากภาระงานที่พนักงานแต่ละคนต้องแบกรับ โดย 68% ของพนักงานทั่วโลกระบุว่าพวกเขาต้องเจอกับปัญหาในการทำงานจำนวนมากให้เสร็จทันเวลา ดังนั้น AI จึงเป็นตัวช่วยประหยัดเวลา เสริมความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งทำให้มีเวลาจดจ่อกับเนื้องานในส่วนที่สำคัญที่สุดได้มากขึ้น
ทางด้านผู้บริหาร พบว่า 91% ของผู้บริหารในประเทศไทยเชื่อว่าบริษัทของตนจำเป็นต้องนำนวัตกรรม AI มาใช้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับตลาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 79% แต่ยังมีผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 64% ที่มีความกังวลว่าองค์กรของตนยังขาดแผนงานและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านการนำ AI มาใช้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อยที่ 60% นอกจากนี้ ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยยังพบกับอุปสรรคในการประเมินผลลัพธ์ที่ได้รับจากการใช้ AI ออกมาเป็นตัวเลขหรือตัวเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ผู้บริหารและองค์กรยังต้องก้าวผ่านไปให้ได้
2. ผู้ใช้งาน AI ในระดับ Power Users มีเพิ่มมากขึ้น และอาจช่วยปลดล็อกเส้นทางสู่ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ผลสำรวจได้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างในพฤติกรรม AI ของกลุ่มพนักงานที่เป็น AI Power Users หรือผู้ใช้งาน AI ระดับสูง มักจะนำเครื่องมือและบริการ AI ต่างๆ มาปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานในแต่ละวัน และสามารถลดเวลาที่ใช้ทำงานที่มีอยู่เดิมลงได้วันละ 30 นาที หรือเฉลี่ยออกมาเป็น 10 ชั่วโมงต่อเดือน ในประเทศไทย กว่า 86% ของพนักงานกลุ่มนี้เลือกที่จะเริ่มและจบวันทำงานด้วย AI สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของ AI Power Users ทั่วโลกที่ 85% แต่ในทางกลับกัน ผู้ใช้ AI ระดับสูงในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะทดลองใช้ AI ในรูปแบบหรือวิธีการใหม่ๆ เพียง 45% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระดับโลกที่ 68%
นอกจากนี้ โครงสร้างในการสนับสนุนการใช้งาน AI ในองค์กรไทยมีความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากทั่วโลก โดยกลุ่ม AI Power Users ในไทย มีเพียง 28% เท่านั้นที่มีโอกาสได้ฟังเนื้อหาสาระหรือความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับบทบาทของ AI ในการทำงานจากแผนกหรือฝ่ายที่ตนเองทำงานอยู่ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 40% ขณะที่ด้านการเรียนรู้และฝึกอบรมทักษะเพิ่มเติม พบว่ามีผู้ใช้งาน AI ระดับสูงในประเทศไทยเพียง 22% เท่านั้นที่ได้รับโอกาสจากองค์กรให้ฝึกฝนทักษะด้าน AI เพิ่มเติม เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 42%
3. AI กลายเป็นมาตรฐานใหม่ด้านทักษะ และช่วยทำลายขีดจำกัดในสายอาชีพ
ทักษะการใช้งาน AI ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานไปแล้ว ทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก โดยผู้บริหารในไทยกว่า 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะทางด้าน AI ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 66% นอกจากนี้ หากต้องเลือกระหว่างทักษะ AI กับประสบการณ์การทำงาน ผู้บริหารไทยกว่า 90% ก็เลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์น้อย แต่มีทักษะด้านการใช้ AI แทนที่จะเลือกพนักงานที่มีประสบการณ์สูงกว่า แต่ขาดทักษะในด้านนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 71%
ในด้านแนวโน้มการจ้างงาน ผลสำรวจระบุว่าผู้บริหารทั่วโลกราว 55% มีความกังวลว่าจะเผชิญสภาวะการขาดแคลนแรงงานที่มีความสามารถในปีนี้ โดยเฉพาะในสาขาความปลอดภัยทางไซเบอร์ วิศวกรรม และการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นสาขาที่กังวลว่าจะขาดแคลนมากที่สุด
ข้อมูลจากผู้ใช้ LinkedIn ทั้งในระดับองค์กรและคนทำงาน ยังเผยอีกว่า
· ข้อมูลจากช่วงปลายปีที่แล้ว พบว่า จำนวนของสมาชิก LinkedIn ทั่วโลกที่ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับทักษะการใช้งาน AI อย่าง ChatGPT และ Copilot ในโปรไฟล์ของตนเอง มีมากขึ้นถึง 142 เท่าตัว
· ในช่วง 2 ที่ผ่านมา พบว่า ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครทาง LinkedIn หากมีการระบุถึงทักษะการทำงานที่เกี่ยวกับ AI ด้วย จะมีผู้สมัครเพิ่มขึ้นถึง 17%
· ในกลุ่ม 10 ตำแหน่งงานที่เพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับทักษะด้าน AI มากที่สุดนั้น พบว่าเป็นตำแหน่งในสายงานด้านเทคโนโลยีโดยตรงเพียง 2 ตำแหน่ง (นักพัฒนา ระบบ Front-End และนักพัฒนาเว็บ) ขณะที่ 3 อันดับแรกเป็นตำแหน่งงานด้านการเขียนคอนเทนต์ กราฟฟิกดีไซน์ และการตลาด
นายธนวัฒน์ กล่าวเสริมอีกว่า “เราต้องเริ่มที่จะนำ AI เข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำงานและใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลหรือไอเดียต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มผลิตภาพ และความคิดสร้างสรรค์ ให้ AI เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของเรา ดังนั้น องค์กรจึงควรที่จะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการนำ AI มาใช้ช่วยแก้ปัญหาและปลดล็อคอุปสรรคต่างๆ ในการทำงานของพนักงาน ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารจะต้องคิดว่าควรทำอย่างไรที่จะช่วยเพิ่มทักษะด้าน AI ให้กับบุคลากรของเรา และเตรียมความพร้อมในการจัดหาเครื่องมือ AI ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้งาน รวมถึงให้ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับทำงานร่วมกันในการกำหนดนโยบายหรือทิศทางการใช้งาน AI ในองค์กรเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเห็นผลสำเร็จได้จริงในทุกตำแหน่งและสายงาน”
ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ยังได้เผยคุณสมบัติใหม่ๆ ในบริการ Copilot for Microsoft 365 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยสนับสนุนการเริ่มต้นใช้งาน AI ในที่ทำงาน
· Copilot จะโต้ตอบกับผู้ใช้งานมากขึ้น โดยระบบจะแนะนำชุดคำสั่งถัดไปหรือถามคำถามเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถตอบสนองคำสั่งของผู้ใช้งานและสร้างผลงานให้ออกมาดีที่สุด
· หน้าจอแชทแบบใหม่ของ Copilot จะเสนอคำแนะนำตามสถานการณ์ปัจจุบันหรือกิจกรรมล่าสุดของผู้ใช้งาน เช่น อาจมีข้อความแจ้งเตือนว่า “คุณพลาดการประชุมของทีมฝ่ายขายเมื่อวันอังคารนะ อ่านสรุปการประชุมนี้ได้ที่นี่” รวมถึงคัดเลือกอีเมลที่สำคัญมาให้ผู้ใช้งานติดตามอ่าน
· ช่องพิมพ์คำสั่งของ Copilot จะมีระบบเติมคำอัตโนมัติ (auto complete) เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมในการป้อนคำสั่ง นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์สำหรับช่วยเขียนคำสั่งที่พร้อมขยายคำสั่งพื้นฐานทั่วไปให้สมบูรณ์และมีรายละเอียดมากขึ้น โดยเขียนขึ้นใหม่ด้วยข้อมูลจากการประชุม เอกสาร และอีเมลของผู้ใช้แต่ละคน
· อัปเดตใหม่สำหรับ Copilot Lab เปิดให้พนักงานสามารถเขียน แชร์ และจัดการกับคำสั่งสำเร็จรูปที่เขียนขึ้นเพื่อตอบโจทย์เฉพาะทางของแต่ละทีม
ขณะเดียวกัน LinkedIn ก็นำเสนอคอร์สอบรมเกี่ยวกับ AI กว่า 600 รายการ เพื่อให้คนทำงานสามารถก้าวต่อไปบนเส้นทางในสายอาชีพได้อย่างมั่นใจ โดยล่าสุดได้เปิดให้ผู้ใช้ LinkedIn ทุกคนสามารถร่วมเรียนรู้จากคอร์สเกี่ยวกับ AI จำนวน 50 หลักสูตรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย นับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคมนี้
· นอกจากนี้ LinkedIn ยังมีบริการแนะนำหลักสูตรด้วย AI ที่สามารถคัดเลือกและนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจและสายงานของผู้ใช้แต่ละคน พร้อมด้วยการเรียนรู้ผ่านบทสนทนากับ AI
· สำหรับผู้ใช้งาน LinkedIn Premium ยังมีฟีเจอร์ AI สรุปใจความสำคัญใน LinkedIn Feed ที่ช่วยเผยข้อมูล แนะนำไอเดียใหม่ๆ และกิจกรรมที่น่าสนใจ
· เครื่องมือ AI ของ LinkedIn ช่วยให้คุณสามารถประเมินความเหมาะสมของตนเองเมื่อเทียบกับตำแหน่งงานได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยอ้างอิงจากข้อมูลประสบการณ์และทักษะของคุณ นอกจากนี้ คุณยังสามารถขอคำแนะนำในการเขียนโปรไฟล์ให้โดดเด่น และช่องทางในการพัฒนาทักษะที่สำคัญอีกด้วย ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงาน Work Trend Index 2024 ได้ที่บล็อกของไมโครซอฟท์ พร้อมด้วยบทความสรุปรายงานฉบับเต็ม หรือพบกับบทวิเคราะห์เพิ่มเติม จาก LinkedIn โดย คาริน คิมเบรอ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์
“สกาย กรุ๊ป” ผ่านเข้า SET100 เผยผลงานเติบโตโดดเด่น สะท้อนจุดยืนการเป็นผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบิน พร้อมการรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนในดัชนี SET100 ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง 100 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การเข้าสู่ดัชนี SET100 ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและศักยภาพในการเติบโตของบริษัท โดยเกณฑ์การคัดเลือกบริษัทเข้าสู่ดัชนี SET100 นั้นประกอบด้วย มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Trading Value) สภาพคล่องของหุ้น (Free Float) การติดดัชนี SET100 ของ SKY เป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของสกายกรุ๊ป ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันด้านไอซีทีชั้นนำของประเทศ และเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทอย่างมั่นคงในอนาคต
นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) กล่าวว่า การที่ SKY ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนในดัชนี SET100 นับเป็นความสำเร็จที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของบริษัท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้และกำไรของสกาย กรุ๊ป โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว และการเข้าสู่ดัชนี SET100 จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น บริษัทฯ ขอขอบคุณตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่คัดเลือกหลักทรัพย์ SKY เป็น 1 ใน 9 บริษัทที่เข้าคำนวณดัชนี SET 100 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 (1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2567) นับเป็นความภูมิใจและอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ SKY และขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกคนที่เชื่อมั่นในบริษัทฯ
บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการเดินทางเข้า-ออกของผู้โดยสาร โดยสถิติของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยใน 5 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมประมาณ 14.7 ล้านคน โตจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 38% ส่งผลให้รายได้ของ SKY เติบโต นอกจากนี้ บริษัทลูกก็มีแผนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) ที่พร้อมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ และประมูลงานภาครัฐ หรือบริษัท เมทเธียร์ จำกัด ที่เป็นกำลังหลักในการบุกภาคเอกชนด้วยธุรกิจให้บริการการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ พร้อมขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยบุคลากรมืออาชีพและเทคโนโลยีระดับโลก