

“การเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย” เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามปกติ นับตั้งแต่ยุโรปเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) และแพร่ขยายองค์ความรู้สมัยใหม่ไปทั่วทั้งโลก นำมาสู่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม จนมาถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร แต่สิ่งที่ยังคงยืนหยัดและสะท้อนถึงธรรมชาติของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือ การปรับตัวผ่านกระบวนการเรียนรู้
ท่ามกลางพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังก่อตัวโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้สนทนากับ 3 คนรุ่นใหม่ ผู้เชื่อมั่นในศักยภาพการเรียนรู้ของมนุษย์โดยไม่มีที่สิ้นสุด
สาวอักษรเยอรมันกับบทบาท Data Engineer
พิชญา จรูญพงษ์ศักดิ์ หรือ อนิก ผู้เติบโตในครอบครัวที่พ่อและแม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ทำให้เธอมีความฝัน ตั้งเป้า และมุ่งมั่นเดินไปข้างหน้าสู่เส้นทางแม่พิมพ์ของชาติตั้งแต่เด็ก โดยเธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท สาขาวิชาภาษาเยอรมัน จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนวันหนึ่งเธอพิชิตฝันได้สำเร็จ รับหน้าที่ครูในโรงเรียนมัธยมและอาจารย์สอนคอร์สภาษาเยอรมันสำหรับบุคคลทั่วไป ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ
การคลุกคลีกับ “ดนตรีคลาสสิก” ของเธอในช่วงปฐมวัย เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พิชญาสนใจศึกษาภาษาเยอรมัน แต่แล้วความสนใจนั้นก็ขยายวงสู่ความก้าวหน้าในวิทยาการ จนพบว่าเยอรมนีเป็นชนชาติที่มีระบบการจัดการองค์ความรู้ที่เป็นเลิศผ่านระเบียบวิธีคิดเชิง “โครงสร้าง” ทำให้คนรุ่นหลังสามารถสืบค้นองค์ความรู้ย้อนหลังได้นับร้อยปีผ่านห้องสมุด ทั้งยังเห็นลักษณะทางสังคมแต่ละยุคผ่านความนิยมของการใช้คำอีกด้ว แต่แล้ววันหนึ่ง พิชญารู้สึกว่าโลกของเธอเริ่ม “แคบลง” ทุกวันๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการคลุกคลีกับสิ่ใดสิ่งหนึ่งเป็นระยะเวลานาน ในทางกลับกัน เพื่อนในวัยเรียนที่เติบโตมาด้วยกันมีโอกาสไปเผชิญโลกที่แตกต่างหลากหลาย บ้างก็บริหารทรัพยากรบุคคล บ้างก็ทำสายการตลาด บ้างก็ไปเป็นทูต ถึงแม้พวกเธอจะไม่ได้ศึกษาสาขานั้นๆ โดยตรงก็ตาม
ทันใดนั้น เธอจึงตัดสินใจหยุดเครื่องจักรในสายอาชีพครูชั่วครู่ เพื่อขอไปเปิดประสบการณ์ ขยายขอบเขตการเรียนรู้ เพื่อพิสูจน์ศักยภาพของตัวเธอเอง และที่นั่นก็คือ โครงการ True Next Gen ปี 2564 ที่เปิดกว้างให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองค์กรโดยไม่จำกัดสาขาที่เรียน พร้อมให้โอกาสในการสับเปลี่ยนหมุนเวียนภาระหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
หน่วยงานแรกที่พิชญาเข้าไปดูแลคือ งานของสภาดิจิทัล ทำให้ได้เรียนรู้การจัดการเชิงนโยบาย ทั้งยังกระตุ้นความสนใจด้านดาต้าแก่เธออีกด้วย และงานที่ 2 ก็คือ งานพัฒนา VLEARN Platform มีโอกาสได้ผลิตคลาสเรียนออนไลน์ งานการตลาด รวมถึงการทำแอปอีกด้วย และหน่วยสุดท้ายคือ Digitalization Center ที่ทำให้เธอได้สัมผัสกับเรื่องดาต้าอย่างจัง

ในเวลาเดียวกัน ทรูก็ได้เปิดรับสมัครโครงการ Data Science Immersive ซึ่งพิชญารีบร่อนใบสมัครคว้าโอกาสไว้ เพราะเธอมองว่า การมีทักษะเทคนิคเฉพาะด้านแบบนี้จะช่วยผลักดันศักยภาพตัวเองได้ไกลยิ่งขึ้นในวันแรกที่เข้าเรียน พิชญาสารภาพว่า เธอฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็พยายามจับหลักให้ทัน เพราะเวลาไหลไปเร็วมาก การเรียนการสอนในทุกๆ วันเป็นเรื่องใหม่ทั้งหมด เมื่อจบวัน ก็ต้องกลับไปทำการบ้านที่เป็นโค้ดดิ้ง
พิชญาบอกว่า พื้นฐานทางภาษาศาสตร์อักษรศาสตร์ที่ติดตัวมา ช่วยให้เธอมีทักษะการจับแพทเทิร์นเพื่อเห็นโครงสร้างของฐานข้อมูล คล้ายคลึงกับตอนทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของเธอ ในหัวข้อ “ภาษาเยอรมันอย่างง่าย” ซึ่งเป็นการศึกษาหารูปแบบ/โครงสร้างทางภาษา เพื่อให้ผู้มีความบกพร่องทางการเรียนรู้สามารถอ่านและเข้าใจได้ โดยเฉพาะกับเอกสารทางราชการ
อย่างไรก็ตาม แม้ภาษามนุษย์และภาษาคอมจะมีสิ่งที่คล้ายคลึงกันในแง่โครงสร้าง ขณะเดียวกันก็มีจุดที่แตกต่างกันอย่างมหาศาล โดยเฉพาะความรู้พื้นฐานด้านฮาร์ดแวร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมรรถนะและการใช้พลังงานในการรับ-ส่งข้อมูล
“ภาษาคอมคนละเรื่องกับภาษามนุษย์ ภาษาคอมก็คือภาษาที่ใช้สื่อสารกับฮาร์ดแวร์ แต่ในความต่างก็มีความเหมือน นั่นคือ การจัดเรียงภาษาที่ซับซ้อนให้เป็นโครงสร้าง เห็นภาพที่เข้าใจง่ายขึ้น” พิชญา อธิบาย พร้อมเสริมว่า data practitioner ที่ดีควรมีทักษะ abstract thinking มองส่วนประกอบแบบองค์รวม ภายหลังการเข้าคอร์สอย่างเข้มข้น พิชญามีโอกาสลงสนามจริงกับทีมพัฒนาซอฟแวร์ของแอป MorDee ตั้งแต่การพัฒนาซอฟแวร์ จนปัจจุบัน ทำหน้าที่เป็น data engineer วางระบบการเดินทางของดาต้าเพื่อให้ยูสเซอร์นำไปใช้ประโยชน์ได้สะดวกขึ้น
หนุ่มเศรษฐศาสตร์ผู้กระโจนสู่เส้นทางศาสตร์แห่งดาต้า
เส้นทางชีวิตเปรียบได้กับการเล่นรถไฟเหาะ มีสมหวังมีผิดหวัง พร้อมเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ตลอด เช่นเดียวกับ เรื่องราวของ เฉลิมชนม์ วงศ์โสภา หรือ อิม เด็กหนุ่มผู้ถือใบปริญญาด้านเศรษฐศาสตร์ถึง 2 ใบ แต่แล้วก็ตกหลุมและหลงใหลให้กับความน่าสนใจของดาต้า
เฉลิมชนม์ร่ำเรียนเรื่อย ๆ ไปตามระบบ แต่ก็ยังหาอาชีพในฝันไม่ได้ จนเมื่อเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องตัดสินใจ เขาจึงเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ โดยหวังว่าจะเข้าทำงานในหน่วยงานราชการอย่างกระทรวงการคลัง หรือสภาพัฒน์ แต่เมื่อเรียนจบปริญญาตรี ความรู้สึก “ไม่มั่นใจ” กับการเข้าสู่สนามแห่งมืออาชีพของเขากลับดังขึ้น เกรงว่าตนเองจะไม่สามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีกับการทำงานจริงได้ เฉลิมชนม์จึงตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาโทในสาขาเดียวกันทันที

“เศรษฐศาสตร์ถือเป็นสหวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับหลายศาสตร์ทั้ง คณิต สถิต สังคมศาตร์ ซึ่งผู้เรียนต้องรู้จักการประยุกต์พลิกแพลง และนี่คือสเน่ห์ของเศรษฐศาสตร์” เฉลิมชนม์ อธิบาย ระหว่างนั้้น เขาก็เริ่มร้อนวิชา ต้องการหาวิธีใช้ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ในสนามจริง จึงได้ไปสมัครงานที่บริษัทวิจัยในตำแหน่ง data analyst และนั่นจึงนำพาให้เขาเข้าใจการทำงานของดาต้าและหลักสถิติมากขึ้น
“เมื่อต้องทำงานจริง การวิเคราะห์ข้อมูลก็เปรียบได้กับการต่อจิ๊กซอว์ เราต้องค่อยๆ ปะติดปะต่อ ภายหลังที่ต่อจนได้ภาพที่สมบูรณ์ เมื่อนั้นเราก็จะเห็นคำตอบที่อยู่ในข้อมูลเหล่านั้นเอง” เฉลิมชนม์ กล่าวพร้อมเล่าต่อว่า ที่เดียวกันนี้เอง ทำให้เขารู้จักกับอาชีพ data scientist พลันเมื่อเห็นวิธีคิดและการทำงานเพื่อพยากรณ์แนวโน้มแล้ว ยิ่งกระตุ้นต่อมความสนใจของเขา จนหาคอร์สสั้นๆ ลงเรียนเอง
หลังจากตรากตรำกับการเรียนและงานวิจัยเป็นเวลา 2 ปีเต็ม เฉลิมชนม์ก็คว้าดีกรีปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์มาได้ พร้อมกับบทบาทและองค์กรเป็น Business Intelligence Analyst รับผิดชอบงานพัฒนา dashboard เพื่อแสดงผลข้อมูล ที่ธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง แม้จะพอคลุกคลีกับงานดาต้ามาบ้าง แต่เมื่อระบบโปรแกรมที่ใช้ต่างกัน เฉลิมชนม์จึงต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ความพยายามอยู่ที่ใด ความสำเร็จอยู่ที่นั่นฉันนั้น เขาใช้เวลาช่วงเช้าก่อนเข้างาน เพื่อเรียนลงลึกเกี่ยวกับโปรแกรมนั้น โดยเขารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ด้วยเหตุผลว่าตรงจุดและสนุก จนสามารถใช้โปรแกรมได้อย่างชำนาญการ แต่กระนั้น เฉลิมชนม์ยังคงมีความรู้สึก “ค้างคา” เพราะความใคร่รู้ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง อย่างการเข้าใจถึงที่มาข้อมูลที่ต้องอาศัยทักษะเทคนิคอื่นๆ
ในเวลาเดียวกัน เฉลิมชนม์เห็นข้อความประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงการ Digital Science Immersive โดย ทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อให้โอกาสกับผู้ที่สนใจด้านดาต้าได้มีโอกาสฝึกฝนและพัฒนาตัวเอง พร้อมเข้าสู่สนามดาต้าอย่างมืออาชีพ แน่นอนว่าเขารีบยื่นใบสมัครทันที พร้อมกับเป็น 1 ใน 6 คนที่ได้รับทุนเรียนฟรี
สำหรับคอร์ส Data Science Immersive ดำเนินการสอนโดย General Assembly สถาบันการศึกษา ผู้บุกเบิกแนวทางการเปลี่ยนสายอาชีพสู่สายเทคและดิจิทัล จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งคอร์สเรียนดังกล่าวกินเวลาทั้งสิ้น 3 เดือนเต็ม ตั้งแต่เช้าถึงเย็น เหมือนกลับไปเรียนมัธยมฯ ใหม่
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ความค้างคาในใจเริ่มจางลง พร้อมกับความฝันที่ชัดขึ้นกับเป้าหมายการทำหน้าที่ data scientist ด้วยเวลาเพียง 3 เดือน เฉลิมชนม์ประเมินความสามารถด้านดาต้าของตัวเองพัฒนาขึ้นถึง 80-90% ซึ่งนอกจากความรักดาต้าเป็นทุนเดิมแล้ว วิธีการสอนและความใส่ใจของอาจารย์จาก General Assembly ก็มีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียน
การเรียนการสอนของ General Assembly มีความต่างจากระบบการสอนแบบไทยอย่างมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดคึอ ความรักในงานของอาจารย์ที่เราสัมผัสได้ ทุกเช้าจะมีการรีวิวเนื้อหา ปรับคอร์สตามสภาวะการเรียนรู้ และยังะคอยเช็คอุณหภูมิของห้องตลอดเวลา อันไหนง่ายไป ยากไป ถ้าเครียดก็จะใส่มุกตลก ให้บรรยากาศการเรียนสนุกขึ้น
“ที่สำคัญ ยังมีเซสชั่นที่เปิดพื้นที่ให้ทุกคนในคอร์สได้ถกเถียงและอภิปรายถึงประเด็นที่เกิดขึ้นนอกตำราอย่างสร้างสรรค์ การมองข้อมูลที่ต่างมุม รวมถึงจริยธรรมด้านดาต้าที่ต้องคำนึงถึงอย่างแรก”
ปัจจุบัน เฉลิมชนม์ทำงานในตำแหน่ง data scientist สายงาน People & Organization Strategy, and Analytics ของทรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งถือเป็นตำแหน่งใหม่และเป็นกำลังสำคัญของกลุ่มงานทรัพยากรบุคคล กับภารกิจเปลี่ยนองค์กรสู่ AI-First Organization ที่ตั้งเป้าไว้

จากเส้นทางดนตรี สู่นักสื่อสารด้วยดาต้า
หากใครได้ดูรายการประกวดร้องเพลงยุคบุกเบิก The Star ค้นฟ้าคว้าดาว อาจคุ้นๆ เห็นเธอคนนี้ผ่านตามาบ้าง ภัควลัญชณ์ โชติพิชชานันช์ หรือ ดิ๊ง เพราะเธอเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดรอบ 20 คนสุดท้ายของรุ่น 4 สะพานอีกเส้นที่สานฝันอาชีพนักร้อง นักแต่งเพลงในวัยเด็ก เธอมุ่งมั่นกับมันอย่างมาก ถึงขั้นศึกษาเต็มเวลาในระดับปริญญาตรี คณะดุริยางคศาสตร์ สาขาดนตรีเชิงพาณิชย์ ม.ศิลปากร
ความฝันย่อมเป็นเพียงความฝันหากไม่ลงมือทำ แต่นั่นไม่ใช่ภัควลัญชณ์ เพราะเธอมุ่งมั่นคว้าฝันด้วยการฝึกฝนทั้งร้องเพลงทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งการฝึกตัวเองอย่างนี้ตั้งแต่เด็กช่วยบ่มเพาะให้เธอกลายเป็นคนมีวินัย จนกระทั่งอายุ 18 ปี เธอได้เป็นครูสอนร้องเพลงตามที่ฝันไว้ที่สถาบันดนตรีมีฟ้า ซึ่งเป็นโรงเรียนดนตรีในเครือ GMM Grammy และเป็นผู้สอนระดับขั้นสูง (KCI Advance Instructor) ของสถาบัน KPN Music Academy
แต่เมื่อทำงานสอนครบ 8 ปี ภัควลัญชณ์รู้สึกถึงจุด “อิ่มตัว” เธอจึงมองหาความท้าทายใหม่ๆ ขณะนั้นเธอพึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาการตลาด จาก NIDA และนั่นจึงเป็นจุดหักเห เบนเข็มพาเธอเข้าสู่การทำงานในองค์กรเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยเริ่มจากงานที่ศูนย์บริการลูกค้า จากนั้นจึงย้ายสู่สายงานสื่อสารองค์กร ทำหน้าดูแลงานสื่อสารภายในองค์กร ช่วงปี 2560 เป็นยุคที่โซเชียลมีเดียเริ่มบูม คอนเทนท์บนฟีดมีความหลากหลายมากขึ้น แต่ที่เตะตาภัควลัญชณ์อย่างมากเลยคือ “อินโฟกราฟิก” และ “วิดีโอสั้น (short-form video)” เพราะเนื้อหาที่ย่อยมาแล้ว ดูปราดเดียวก็เข้าใจ เธอในบทบาทนักสื่อสารจึงอยากสร้างสรรค์ให้ได้บ้าง และนั่นถือเป็นจุดสตาร์ท เพื่อพัฒนา hard skill โดยหาคอร์สเรียนโปรแกรมออกแบบและตัดต่อวิดีโอด้วยตัวเอง จนสามารถทำกราฟิก-ตัดต่อวิดีโอเล่าเรื่องเองได้ เรียกได้ว่า “กระหายใคร่รู้กับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ภัควลัญชณ์เดินทางเข้าสู่โลกดาต้าก็คือ การที่หัวหน้างาน (อรอุมา วัฒนะสุข ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าสายงานสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ที่ทรู) ได้จัดอบรม Data Storytelling ให้สมาชิกในทีมได้อัปสกิลให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้งานสื่อสารด้วยดาต้าเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การสร้างคุณค่าและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมได้อย่างแท้จริง และนั่นจึงไปกระตุกความสนใจการเล่าเรื่องด้วยดาต้าที่มุ่งเน้นให้คนมีปฏิสัมพันธ์กับเรื่องที่เล่าได้ด้วยเทคนิค Scrollytelling ผ่านเว็บไซต์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในสื่อชั้นนำของโลก เธอจึงหาคอร์สเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาสื่อรูปแบบดังกล่าวเพิ่มเติม และพบว่าต้องอาศัยความเข้าใจภาษาโค้ดดิ้ง เช่น SQL, R ที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและทำ data visualization และอีกกลุ่มที่ช่วยทำให้เว็บไซต์ Interactive ได้อย่างภาษา HTML, CSS และ Java script
ระหว่างทาง เธอได้รับความไว้วางใจให้เป็น project manager ดูแลรับผิดชอบโครงการต่างๆ ซึ่งล้วนนำมาซึ่งการรีสกิลและอัพสกิลใหม่ๆ เช่น ความเข้าใจใน UX/UI การทำ prototype เว็บไซต์และแอป จากการดูแล corporate website การทำงานเชิงวิชาการจากฐานข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนที่ (Mobility Data) เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนและออกแบบนโยบายสาธารณะเพื่อการพัฒนาเมืองรอง เช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของ Generative AI ที่เธอเริ่มศึกษาและทำความเข้าใจถึงพื้นฐานแนวคิดการพัฒนา และการนำไปใช้
“ถ้าจะเป็น ‘มนุษย์เป็ด’ ในที่ทำงาน ก็ต้องเป็นเป็ดพรีเมียม (Multipotentialite) เรียนรู้ให้กว้าง ไว และไม่หยุดยั้งตลอดชีวิต (Life-Long Learning) เพราะทักษะที่หลากหลายนั้น จะทำให้เราเห็นภาพรวมของงาน และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง” ภัควลัญชณ์ กล่าว
ปัจจุบัน ภัควลัญชณ์ รับหน้าที่ดูแลงานสื่อสารผ่านดาต้าและช่องทางดิจิทัล ภายใต้หน่วยงานสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ ที่ทรู คอร์ปอเรชั่น
เธอเปรียบการพัฒนาตัวเองกับการฝึกของนักดนตรีว่า “เป้าหมายของนักดนตรีคือ ขยายขีดความสามารถตัวเอง เช่นเดียวกับการอัปสกิลที่ต่างต้องเริ่มที่การมี growth mindset แล้วตามด้วยการฝึกฝน เตรียมตัวเองให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ในขณะเดียวกัน การมีบุคคลต้นแบบหรือโค้ชที่ดีก็จะช่วยให้นักดนตรีพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับการอัปสกิลที่เราควรมี mentor ที่ดี เพื่อชี้แนะแนวทางและให้การสนับสนุน เราก็จะพิชิตเป้าหมายได้อย่างแน่นอน”
เคทีซีตอกย้ำผู้นำด้านคะแนนสะสมเพื่อแลกไมล์สำหรับนักเดินทาง หลังสมาชิกสามารถโอนคะแนน KTC FOREVER แลกตั๋วเดินทางทั่วโลกกับพันธมิตรสายการบินชั้นนำ 11 สาย จาก 3 ค่ายหลักรวมกว่า 150 เส้นทาง ล่าสุดจับมือคาเธ่ย์ แบรนด์ด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ชั้นนำ มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกนักเดินทางสามารถโอนคะแนน KTC FOREVER เป็นเอเชีย ไมล์ (Asia Miles) ในอัตรา 4:1 (4 คะแนน KTC FOREVER เท่ากับ 1 เอเชีย ไมล์) ผ่านแอป KTC Mobile ได้ทันที โดยสมาชิกสามารถนำเอเชีย ไมล์ไปใช้แลกบัตรโดยสารสายการบิน สินค้าและบริการกับพันธมิตรได้มากกว่า 800 รายทั่วโลก
ความร่วมมือในครั้งนี้ระหว่าง “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และคาเธ่ย์ เกิดขึ้นหลังศึกษาพฤติกรรมนักเดินทางให้ความสำคัญกับการใช้คะแนนเพื่อแลกรับสิทธิพิเศษให้ ทริปการท่องเที่ยวคุ้มค่าที่สุด เคทีซีและคาเธ่ย์จึงได้เปิดโอกาสให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถใช้คะแนน KTC FOREVER แลกเป็นเอเชีย ไมล์ (Asia Miles) ในอัตรา 4:1 กล่าวคือ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถใช้คะแนน KTC FOREVER จำนวน 4 คะแนน แลกเป็นเอเชีย ไมล์ได้ 1 ไมล์ ผ่านช่องทางแอป KTC Mobile ได้ทันที จากนั้นสมาชิกสามารถนำเอเชีย ไมล์ไปใช้แลกบัตรโดยสารสายการบิน สินค้าและบริการกับพันธมิตรของคาเธ่ย์ ได้มากกว่า 800 รายทั่วโลก ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสมัครสมาชิกคาเธ่ย์ได้ที่ bit.ly/SignUptoCathay
ปัจจุบัน เคทีซีได้มีแคมเปญชื่อ “Travel with Points” สมาชิกสามารถแลกคะแนน KTC FOREVER ท่องเที่ยวได้ตามใจทุกเส้นทางทั่วโลกกับพันธมิตรท่องเที่ยวชั้นนำ 11 สายการบินจาก 3 ค่ายหลัก ได้แก่ Oneworld / Star Alliance และ SkyTeam รวมถึง 5 เครือข่ายโรงแรม รวม 150 เส้นทางและมากกว่า 20,000 โรงแรมทั่วโลก
ผู้สนใจสิทธิพิเศษด้านการเดินทางท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทรศัพท์ 02 123 5050 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ https://www.ktc.co.th/ktcworld สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
GreenNode หนึ่งในธุรกิจของ VNG ผู้เชี่ยวชาญบริการ AI Cloud และเป็นพันธมิตร NVIDIA Cloud Partner (NCP) เปิดตัวคลัสเตอร์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ หรือ large-scale AI Data cluster ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย อย่างเป็นทางการ โดย GreenNode ตั้งเป้าเป็นผู้นำบริการ AI Cloud ในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการเพิ่มทรัพยากร AI ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลขั้นสูงเพื่อเพิ่มศักยภาพแก่ธุรกิจ AI ในภูมิภาค
ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้เป็นหนึ่งในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลที่รองรับ AI เป็นแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งดำเนินการโดยทีม Cloud Operation Excellence ของ GreenNode
มร.เดนนิส แอง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจองค์กร ประจำภูมิภาคอาเซียนและออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ของ NVIDIA ย้ำถึงองค์ประกอบสำคัญสองประการที่ทำให้องค์กรก้าวนำหน้าท่ามกลางกระแส GenAI ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ AI และ โรงงาน AI ซึ่งเป็นสิ่งที่ NVIDIA ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทั้งทีม VNG GreenNode และ ST Telemedia Global Data Centres (STT GDC) "จากความร่วมมือนี้ เราได้ร่วมกันสร้างและส่งมอบองค์ประกอบสำคัญทั้งสองด้านนี้ให้แก่ลูกค้า ผมขอแสดงความยินดีกับ VNG GreenNode กับความสำเร็จนี้ และ NVIDIA พร้อมให้ความร่วมมือเพิ่มเติมในอนาคต"
คลัสเตอร์ AI Cloud ของ GreenNode ในดาต้าเซ็นเตอร์ STT Bangkok 1 ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก โดยได้รับการรับรองมากมาย อาทิ LEED ระดับ Gold, TIA 942 Rating-3 DCDV และมาตรฐาน Uptime Tier III ซึ่ง GreenNode มีเป้าหมายสำคัญในการส่งมอบโซลูชันครบวงจรให้กับทุกธุรกิจที่เดินหน้าสู่เส้นทางของ AI โดยปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน AI ที่มีขนาดกำลังไฟสูงถึง 20 เมกะวัตต์ และติดตั้งเครือข่าย InfiniBand ล่าสุด ซึ่งให้แบนด์วิดท์สูงถึง 3.2 เทระไบต์ต่อวินาที สำหรับรันการทำงานเซิร์ฟเวอร์ของ GreenNode รวมถึงมีแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลแบบไฮเปอร์สเกลสำหรับผู้เช่าหลายรายที่แตกต่างกัน พร้อมมอบบริการ AI Cloud ที่แข็งแกร่งและโครงสร้างพื้นฐาน GPU แก่ทุกลูกค้า
ระหว่างการกล่าวบรรยายในช่วงพิธีการของ มร.ลิโอเนล เยียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้า เซ็นเตอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "อีก 4 ปีข้างหน้านี้ การลงทุน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประมาณ 30% ซึ่งในภูมิภาคนี้มีความเคลื่อนไหวไดนามิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ความร่วมมือในวันนี้มีความสำคัญยิ่งขึ้น ผมขอแสดงความยินดีกับ VNG GreenNode กับความสำเร็จที่สามารถนำ AI Cloud มาใช้เชิงพาณิชย์ได้ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน และเชื่อว่าหากเราร่วมมือกัน ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้จะสามารถผลักดันให้ภูมิภาคเอเชียก้าวขึ้นเป็นผู้นำในกระแสเทคโนโลยีระดับโลก
ผลิตภัณฑ์พอร์ตโฟลิโอของ GreenNode ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กราฟิกการ์ด แบบ Bare Metal ที่มีชิปประมวลผล H100 Tensor Core นับพันตัว, แพลตฟอร์มแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning หรือ ML) และสิทธิ์การเข้าถึงทรัพยากร บริการ หรือ เทคโนโลยีใน NVIDIA AI Factory โดย GreenNode เป็นบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกอบรมโมเดลและแพลตฟอร์ม AI ขั้นสูง โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพผ่านรูปแบบของตนเอง วิธีการนี้ถือเป็นจุดขายที่ย้ำถึงพันธกิจของ GreenNode ที่มุ่งมั่นสร้างความเป็นเลิศในด้านการดำเนินงาน
GreenNode ยังเป็นผู้บุกเบิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สร้างและนำเสนอแพลตฟอร์มการจัดการพารามิเตอร์ระยะไกล ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มธุรกิจในทุกขนาดทั่วโลกสามารถเข้าถึงและปรับขนาดพารามิเตอร์การฝึกอบรมได้อย่างยืดหยุ่น ประหยัดทั้งเวลาและกำลังคน
“การเปิดตัวคลัสเตอร์ข้อมูล AI ครั้งนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่ให้สัญญาณเชิงบวกทั้งในด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและผลการดำเนินงานทางธุรกิจ เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้จริงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น นี่เป็นเพียงก้าวแรกและเรามุ่งมั่นที่จะลงทุนในระยะยาวเพื่อเป็นผู้ให้บริการ AI Cloud ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” มร. เล ฮอง มิน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ VNG กล่าว
เมื่อเร็ว ๆ นี้ GreenNode ได้บรรลุข้อตกลงมูลค่าหลายล้านดอลลาร์เพื่อมอบโครงสร้างพื้นฐาน AI และโซลูชัน AI ขั้นสูงให้กับลูกค้าทั่วโลก
"GreenNode ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ให้บริการโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับลูกค้าทั่วโลกด้วยพลังจากชิป GPU อันนับพันในดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสากลของ Nvidia และ STT GDC อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายสิ่งที่เราต้องทำ รวมถึงการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนาเพื่อเป็นผู้บุกเบิกด้าน AI ในภูมิภาคนี้" มร. เหงียน ลี ทัน ซีอีโอของ GreenNode และ VNG Digital Business กล่าว
ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี VNG 2024 ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ VNG มร. เล ฮอง มิน ได้เน้นย้ำถึงปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตเชิงกลยุทธ์ของบริษัทในปีต่อ ๆ ไป 3 ประการ ได้แก่ AI, “Go Global” และแพลตฟอร์ม VNG มีความโดดเด่นในฐานะหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีไม่กี่แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดรับการใช้งาน AI อย่างรวดเร็วและเต็มรูปแบบ ด้วยการลงทุนจำนวนมากในโครงสร้างพื้นฐาน แพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชัน VNG ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ให้บริการ AI ชั้นนำในเวียดนามและภูมิภาค
ความคาดหวังในอาชีพและการทำงานของคนรุ่นใหม่กำลังเปลี่ยนไป การสำรวจของ Deloitte ระบุว่า คน Gen Z (61%) และมิลเลนเนียล (58%) เชื่อว่าพวกเขามีพลังในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในองค์กรของตนได้
ปารมิตา ประพฤติธรรม จากสายงาน Channel Strategy & Transformation ตัวแทนพนักงานรุ่นใหม่วัย Gen Z ของทรู ที่ผ่านโปรแกรม True Next Gen สร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้ามาช่วยเร่งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น Telco-Tech Company เธอได้แบ่งปันมุมมอง ความมุ่งมั่น และการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้จริง
นอกจากนี้เธอได้ชวน Sandip Shivaji Landge จากสายงาน S&D Strategy and Performance Management เพื่อนร่วมงานต่างเจเนอเรชั่นที่ผ่านประสบการณ์ทำงานท่ามกลางความหลากหลายมาถึง 15 ปี ใน 3 ประเทศที่มีความแตกต่างอย่างอินเดีย เมียนมา และไทย โดยร่วมแบ่งปันเคล็ดลับการทำงานในสภาพแวดล้อมและผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย พร้อมกับการสร้างมิตรภาพและการเรียนรู้ที่มีคุณค่าในชีวิตการทำงานอีกด้วย
จากการทำกิจกรรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ สู่ความฝันทางการเมือง
![]()
“เรามีความฝันชัดเจนว่า อยากทำงานด้านการเมือง โดยได้แรงบันดาลใจจากการเลือกประธานนักเรียนตอนประถมปลาย ได้เห็นว่าการเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนได้แม้ในเวลานั้นจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ก็ตาม ประกอบกับเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยมีโอกาสได้ทำกิจกรรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำชุมนุมบัญชีที่มีกิจกรรมส่งเสริมให้เพื่อนๆ เข้าใจทางเลือกอาชีพนอกสาขาวิชาเรียน หรือการไปสร้าง Business Model ให้หมู่บ้านใน จ.สุรินทร์ ทำให้ชาวบ้านมีช่องทางหารายได้มากขึ้นจริงและยั่งยืน จากกิจกรรมเหล่านี้ทำให้เราอยากสร้าง Impact ที่ใหญ่ขึ้น และตอกย้ำแรงบันดาลใจที่อยากเข้าสู่การเมืองมากขึ้นไปอีกด้วย นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้ว่า ทักษะการสื่อสารกับคนที่หลากหลายเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งเราต้องสะสมทักษะนี้ไว้ให้มากที่สุด”
จุดเปลี่ยนสู่การค้นหาตัวเอง และกล้าเสี่ยงกับทางที่เลือก
“ตอนอยู่ปี 2 เราเริ่มรู้สึกว่าไม่ได้อยากทำงานตรงสายการบัญชี (Accounting) ที่กำลังเรียนอยู่ แต่เรามีความสนใจด้านธุรกิจที่กว้างกว่านั้น และยังอยากสำรวจความชอบของตัวเองให้แน่ใจ เราได้ปรึกษากับรุ่นพี่ รวมถึงผู้ใหญ่หลายท่านว่าเราควรเลือกทำงานอะไรดี รวมถึงถามเรื่องแนวคิดในการดำเนินชีวิตด้วย เราเก็บข้อมูลจากมุมมองที่หลากหลาย พร้อมกับพาตัวเองไปฝึกงานในหลายตำแหน่งงานและหลายแวดวง ทั้ง สตาร์ทอัพ HR Consultant ไปจนถึงการบัญชี และทำกิจกรรมแข่งขันเคสธุรกิจต่างๆ ด้วย”
“เราเข้าใจดีว่า ถ้าทำงานในสายการบัญชี จะมีงานที่มั่นคงไปตลอดชีวิต แต่เราไม่อยากเสียเวลากับงานที่รู้ว่าไม่ใช่ และอยากใช้ช่วงชีวิตที่ยังตื่นตัวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ และมี Passion เต็มเปี่ยมไปค้นหาสิ่งที่ชอบ แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงเยอะกว่า หรือสุดท้ายอาจหาตัวเองไม่เจอเลยก็ได้ แต่เมื่อได้ไตร่ตรองจนตกตะกอนแล้ว สุดท้ายเราขอลองเสี่ยงดูดีกว่า”
ประสบการณ์ทำงานที่หลากหลายในโปรแกรม True Next Gen
“พอเรียนจบเราได้ผ่านการทดสอบเข้ามาในโปรแกรม True Next Gen ซึ่งตอบโจทย์เรามาก เพราะเปิดโอกาสให้ได้ทำงานหลายตำแหน่งหลายสาขา ได้เรียนรู้หลายอย่าง ประกอบกับทรู ที่กำลังมุ่งสู่การเป็น Telco-Tech Company น่าจะมีการสร้างนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งเราอยากเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงนั้น ในเวลา 1 ปีครึ่ง เราได้ทำงานถึง 3 สายงาน ตั้งแต่งาน Retail Operations ของ True Shop สาขาต่างๆ งาน Financial Strategy ที่ MorDee และงาน Channel Profitability Analysis กับทีม Finance ทุกงานเราได้ลงมือทำจริง ทำให้ Learning Curve สูงมาก ทั้งการทำงานกับผู้คนและตัวเนื้องานต่างๆ เอง”
“พอจบโปรแกรมก็ได้ทำงานในสาย Channel Strategy & Transformation โดยสานต่องานโปรเจกต์ Channel Profitability ที่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงการบริหารจัดการ ที่นำ Performance ของแต่ละ Channel การขายของบริษัทมาวิเคราะห์แยกย่อยให้เห็นความสามารถในการทำกำไรแท้จริงของแต่ละช่องทางการขาย ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมข้อมูลยิบย่อยของภาพเล็ก มาสู่การวิเคราะห์เป็นภาพใหญ่ ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้แต่ละช่องทางการขายนำไปสร้างกลยุทธ์ที่แก้ไขปัญหาหรือริเริ่มสิ่งใหม่ในการทำกำไรมากขึ้น งานนี้ได้ทั้งความรู้และได้ทำงานร่วมกับคนเยอะมากจากหลากหลายฝ่าย ตอนนี้ก็ใกล้สำเร็จแล้ว”
การทำงานท่ามกลางความหลากหลายไม่มีสูตรสำเร็จ
“การที่เราอายุน้อย เราพยายามหาโอกาสสร้างสัมพันธ์กับพี่ๆ ทุกคน โดยไม่ใช่แค่เรื่องงานเท่านั้น เราลองหาว่าจะคุยเรื่องไหนที่มีความสนใจร่วมกันบ้าง และพยายามหาโอกาสมานั่งทำงานและใช้เวลาร่วมกันแบบ Face to Face เสมอ ที่ผ่านมาเราเคยใช้การสื่อสารหรือวิธีการทำงานแบบเดียวกันที่คิดว่าใช้ได้กับทุกคน แต่สุดท้ายได้เรียนรู้ว่า แต่ละคนมุมมองแตกต่าง มี Mindset หรือการมองโลกคนละแบบ ดังนั้นการสื่อสารหรือทำงานกับแต่ละคนจึงไม่มีสูตรสำเร็จในแบบเดียว เราต้องเข้าใจแต่ละคน ไปพร้อมกับการหาวิธีที่เราก็ไม่เสียความเป็นตัวเองด้วย”
“ข้อดีของการที่เราเป็นเจเนอเรชั่นใหม่คือ เรามีมุมมองที่แปลกใหม่ มีความกระตือรือร้น และมาพร้อมรอยยิ้มเสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งต่อไปยังคนรอบข้าง พี่ๆ เคยบอกว่าการที่เราเข้ามาในทีมทำให้ทุกคนสดใสขึ้น ลดความเครียดได้ และเสริมความสัมพันธ์ในทีมได้ สำหรับเราที่เป็นเด็ก ก็ไม่มีอีโก้อะไร ไม่มีอะไรจะเสียที่เราจะเสนอสิ่งใหม่ หรือแม้แต่ถามหรือขอเรียนรู้งานจากทุกคนได้”
มีความสบายใจในทุกด้าน เพื่อทำงานในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง
“ชีวิตคนเราทุกวันนี้มีความวุ่นวายในหลายด้านมากๆ การที่เราจะมีสมาธิในการทำงาน ทุ่มเทงานได้เต็มที่เต็มความสามารถ มาจากการที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นๆ ในชีวิตมากนัก ยิ่งวัยทำงานก็จะมีทั้งเรื่องลูก พ่อแม่ที่อายุมากขึ้น หรือแม้แต่ความเจ็บป่วยของตัวเอง สวัสดิการต่างๆ ที่บริษัทจัดให้จึงมีความสำคัญอย่างมาก ถ้าบริษัทมีสวัสดิการที่รองรับปัญหาชีวิตนอกการทำงานของพนักงานได้ มองกว้างไปกว่าเรื่องงาน คิดว่าตรงนี้ก็ช่วยให้ทุกคนทำงานได้เต็มที่ เต็มศักยภาพมากที่สุดได้”
พูดคุยเรื่องการทำงานกับเพื่อนร่วมงานต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม และต่างเจเนอเรชั่น
ปารมิตา: “ในทีมที่เราทำงาน มีความหลากหลายในแทบทุกด้าน อย่างคุณ Sandip ก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่มีความแตกต่างจากเรา เขาให้คำแนะนำดีๆ หลายอย่างจากความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีประสบการณ์ทำงานในหลายประเทศมาก่อน”
Sandip: “ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ผมทำงาน 3 ประเทศในสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมาก เริ่มจากการทำงานกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ใน 5 รัฐของอินเดีย ที่แต่ละรัฐก็มีความแตกต่างทั้งภาษาและวัฒนธรรมอยู่แล้ว ต้องปรับตัวใหม่ทุกอย่าง ต่อมาก็ย้ายไปทำงานที่เมียนมาซึ่งมีวัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างมากเช่นกัน ผมเริ่มต้นบุกเบิกกับคนที่ไม่มีพื้นฐานงานด้านโทรคมนาคมมาก่อน ความท้าทายที่เพิ่มมาคือสอนให้พวกเขาเข้าใจธุรกิจไปด้วย และปัจจุบันผมทำงานประเทศไทยได้ 2 ปีครึ่งแล้ว ที่ผ่านมามีเดินทางไปทำงานที่นอร์เวย์บ้าง ทั้งหมดนี้เป็นการเดินทางที่ท้าทาย ได้พบเจอผู้คนที่แตกต่าง เรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งสนุกและตื่นเต้น”
ปารมิตา: “สำหรับเราช่วงแรกที่ทำงานกับคนต่างชาติ ก็รู้สึกว่ามีอุปสรรคเรื่องภาษาบ้าง แต่ก็สัมผัสได้ว่า เขาไม่เคยโฟกัสเรื่องแกรมมาร์ถูกหรือผิด เขากลับพยายามที่จะเข้าใจเรา ช่วยเรา ทั้งที่พวกเขาก็มีตำแหน่งที่สูงมาก หรือมีประสบการณ์ทำงานเยอะกว่าเรามาก เขายังอยากเรียนรู้และเข้าใจเรา อย่างคุณ Sandip ก็ให้คำแนะนำที่ดีมาก ดังนั้นเราก็กล้าที่จะพูดคุย ส่วนเรื่องวิธีการทำงาน เรารู้สึกว่าถ้ามีอะไรก็บอกตรงๆ เขาก็ช่วยจัดให้เลย”
![]()
Sandip: “ผมคิดว่าช่วงแรกๆ เพื่อนร่วมงานคนไทยหลายคนก็คล้ายกับปารมิตา คือยังไม่เปิดใจพูดคุยกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอุปสรรคด้านภาษาและความแตกต่าง แต่ผมพยายามสร้างมิตรภาพ ให้ทุกคนมองว่าผมเป็นเพื่อน ไม่สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมว่าผมเป็นชาวต่างชาติ ที่จะกลายเป็นข้อจำกัดและระยะห่างได้ สิ่งสำคัญคือการทำตัวผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทย ทำเหมือนกับที่ทุกคนทำ พร้อมไปกับทำความรู้จักกัน ให้ทุกคนมั่นใจว่าทุกอย่างไม่ใช่อุปสรรค ถึงพูดภาษาอังกฤษสื่อสารไม่คล่อง เราก็เรียนรู้ภาษาท่าทางได้ และแสดงว่าผมเปิดใจกว้างให้กับทุกคนสามารถเข้ามาคุยกันได้ทุกเมื่อ”
“และเคล็ดลับหนึ่งของผมคือ การมีช่วงเวลาพักและดื่มกาแฟด้วยกัน เพื่อให้มีโอกาสที่จะพูดคุยเรื่องต่างๆ นอกเหนือจากงาน ผมเชื่อว่า ถ้าให้เวลาพักสักนิด จะทำให้คุณใกล้ชิด เข้าใจกันและกันมากขึ้น และแสดงออกได้ดีขึ้น ส่งผลให้งานดีขึ้นเช่นกัน”
ปารมิตา: “เคล็ดลับนี้ของคุณ Sandip เราได้นำไปใช้กับเพื่อนร่วมงานไทย และพบว่ามันได้ผลดีมากด้วยเหมือนกัน การที่เขามีมิตรภาพที่ดี ทำให้เราไม่ปิดกั้นตัวเองที่จะพูดคุย ที่ผ่านมาเราได้ขอคำแนะนำ ความคิดเห็นเกี่ยวกับงาน มุมมองการใช้ชีวิต และทักษะความรู้ทางธุรกิจจากคุณ Sandip เสมอ รวมถึงเรียนรู้วิธีการทำงานกับความหลากหลายต่างๆ ด้วย”
Sandip: “ปารมิตาเป็นเพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยที่สุดในทีม แต่เธอสามารถเข้าใจความต้องการของธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และปรับตัวให้เข้ากับทีมได้ดี ผมยกย่องคนที่แสดงความสนใจและทำความเข้าใจกับงานอย่างลึกซึ้ง ผมรู้สึกว่าคนรุ่นใหม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำความเข้าใจและทำสิ่งที่แปลกใหม่ พวกเขาไม่ยึดติดกับแนวทางเดิมๆ พยายามเป้าหมายและวิธีที่แตกต่างออกไป ผมก็เชื่อเช่นกันว่า ถ้าไม่คิดต่างก็ยังคงได้ผลลัพธ์เดิมๆ ดังนั้นแม้จะมีความแตกต่างของวัย แต่เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุดต่อกัน”
Lesson Learned: การทำงานท่ามกลางความหลากหลายด้านวัย เชื้อชาติ และวัฒนธรรม
· Building Relationships: สร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน หาโอกาสพูดคุย แลกเปลี่ยน เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน นอกเหนือจากเรื่องการทำงาน
· Adaptability and Learning: การเปิดใจเรียนรู้รับฟังความที่หลากหลาย และปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ ช่วยให้ทำงานได้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง
· Effective Communication: รับฟังและเข้าใจมุมมองของผู้อื่น พร้อมสื่อสารเข้าใจง่าย ชัดเจน รวมถึงพยายามสื่อสารแบบ Face to Face เพื่อเพิ่มความเข้าใจจากบริบทและท่าทาง จะช่วยให้ทำงานร่วมกันได้ราบรื่น
ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดประสบการณ์ใหม่ สมาร์ทยิ่งขึ้นกับแอปทรูไอเซอร์วิส (True iService) ให้ลูกค้าทรูสัมผัสชีวิตดิจิทัล ง่าย สะดวก ยิ่งกว่า กับทุกบริการธุรกรรมทางดิจิทัล ผสานเทคโนโลยี AI รู้ใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็น จ่ายบิล เช็คยอด เติมเงิน เติมเน็ต ช้อปปิ้ง แจ้งปัญหาการใช้งาน และ All-in-all service แจ้งปัญหาการใช้งาน รับบริการหลังการขาย ติดตามงานซ่อมบำรุง หรือแม้กระทั่งการแนะนำบริการใหม่ๆ รวมทั้งตรวจสอบแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยตนเองแบบ Self-service ชูคอนเซ็ปต์ “Gateway to Infinite Digital Lifestyle” เสมือนเป็นประตูสู่ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่ไร้ขีดจำกัด ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบาย ด้วย 4 จุดเด่นหลักทั้ง 1. Easy and Convenience ทำธุรกรรมต่างๆได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านสมาร์ทโฟนง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว 2. Access all Digital Services ครอบคลุมธุรกรรมที่ลูกค้าต้องการตั้งแต่การเติมเงิน จ่ายบิล ซื้อแพ็กเกจ ตรวจสอบการใช้งาน และอื่นๆรวมมากกว่า 50 ฟังก์ชัน 3. Always find Better Deals ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะในแอป ทั้งแพ็กเกจเน็ต โทร หรือไลฟ์สไตล์ต่างๆ เพลิดเพลินกับ Flash Deal และ แคมเปญพิเศษในทุกๆเดือน และ 4. Enjoy Thousands of Privileges รับทรูพอยท์จากการชำ-ระบิล แลกสิทธิพิเศษต่างๆ จากแบรนด์ชั้นนำ และร่วมกิจกรรมลุ้นรับรางวัลได้ทุกวัน
![]()
นายนิติธรรม โกวิทกูลไกร หัวหน้าสายงานด้านผลิตภัณฑ์และบริการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของทรู ผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยี มุ่งนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเพิ่มศักยภาพการให้บริการ ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าระดับเวิลด์คลาส เราจึงเดินหน้าพัฒนาทรูไอเซอร์วิส (True iService) ให้เป็นแอปศูนย์รวมทุกบริการบนโลกดิจิทัลสำหรับลูกค้าทรู พร้อมนำเทคโนโลยี AI ที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานตลอดจนช่วยเหลือ และแนะนำบริการได้อย่างแม่นยำตรงความต้องการ ผ่านการยกระดับ Mari AI ด้วย Mari Chat (คุยกับมะลิ) ที่พร้อมดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ผสานนวัตกรรมเทคโนโลยี Generative AI ร่วมกับ Chat GPT มาใช้ให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้บริการกับลูกค้าอย่างเข้าใจมากขึ้นและตรงความต้องการ ให้บริการลูกค้าครอบคลุม ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ให้มะลิช่วยเปรียบเทียบรุ่น ค้นหามือถือที่ต้องการตามงบที่กำหนด จากนั้นจะพาลูกค้าไปสั่งซื้อต่อได้เลย หรือบริการที่สามารถตรวจเช็กสัญญาณเน็ตบ้าน ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ และจะสรุปพร้อมช่วยแก้ไขให้กับลูกค้า หากพบว่าปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องให้ช่างเข้าไปซ่อม มะลิจะแนะนำและพาลูกค้าทำการนัดช่างได้ทันที เป็นตัน อีกทั้งยังได้เตรียมพัฒนาให้เป็น "Everyday Chatbot" สำหรับลูกค้าทุกเจ็นเนอเรชันอีกด้วย มาพร้อมแนวคิด Gateway to Infinite Digital Lifestyle เปรียบเสมือนเป็นประตูสู่ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่ไร้ขีดจำกัด ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบาย ตอบโจทย์ตรงใจ
![]()
“ปัจจุบัน บน Digital Channel ของทรู มีผู้ใช้กว่า 12 ล้านคนต่อเดือน และยังได้ช่วยบริการลูกค้า และลดจำนวน การติดต่อสอบถามจากสาขาและ Call Center ไปมากกว่า 80% (Digital Offload) ด้วยฟังก์ชันของแอปทรูไอเซอร์วิส (True iService) ที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าอย่างครบครัน และ มีการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ปัญหาของลูกค้า ทั้งการตรวจสอบแพ็กเกจปัจจุบัน ตรวจสอบสัญญาการใช้งาน การใช้งาน Data, Voice ตรวจสอบรายเอียดบิลทั้งย้อนหลังและปัจจุบัน ชำระบิลให้ตนเอง/ผู้อื่น รวมถึงยังเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสัญญาณมือถือเบื้องต้น ตั้งค่าการใช้งาน Data ปรับเปลี่ยนแพ็กเกจ สมัคร/เปิด/ปิด Roaming ยกเลิกหรือบล็อก SMS Spam ยืนยันตัวตน เปิดการใช้งานซิม เปลี่ยนหรือย้าย eSIM สำหรับ และทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาเน็ตบ้าน ปรับเปลี่ยนความเร็วเน็ตบ้าน เปลี่ยนชื่อ WiFI และรหัส ติดตามสถานะช่างติดตั้ง/เข้าซ่อม สมัครบริการเสริม IOT ต่างๆ (กล้อง CCTV, กล่อง TrueID) หรือสมัครบริการเสริมความเร็วเน็ตได้อีกด้วย” นายนิติธรรม กล่าวสรุป
ทรูไอเซอร์วิส (True iService) พร้อมแล้วที่จะนำคุณเข้าสู่โลกดิจิทัลที่สะดวกสบายได้มากกว่า มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ได้แล้ว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ App Store และ Google Play รองรับระบบปฏิบัติการ iOS, Android พร้อมมอบเน็ต 3GB 1วัน สำหรับผู้ดาวน์โหลดและเข้าใช้งานครั้งแรก รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://iservice.true.th/
SCB CIO พร้อมสนับสนุนมาตรการรัฐ กระตุ้นตลาดทุนไทย ปรับเกณฑ์เพิ่มวงเงินลงทุนกองทุน ThaiESG ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 300,000 บาท ลดระยะเวลาลงทุนเหลือเพียง 5ปี นับจากวันที่ลงทุน พร้อมดึง 6 กองทุน 3 รูปแบบ 2 ทางเลือก ได้แก่ SCBTM(ThaiESG) SCBTM(ThaiESGA) SCBTA(ThaiESG) SCBTA(ThaiESGA) SCBTP(ThaiESG) และ SCBTP(ThaiESGA) เป็นทางเลือกการออม
ที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดีให้กับผู้ลงทุน เพื่อตอบโจทย์ตามเป้าหมายความต้องการของลูกค้า แนะสะสมหุ้นไทยไว้ใน Core port จาก 5 ปัจจัยหลัก ที่หนุนดัชนีหุ้นไทยปีนี้ ได้แก่ 1) การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในปี 2567 ที่เร่งตัวขึ้น และมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2) Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง 3) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 14% 4) ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หาก Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และ 5) การประกาศใช้มาตรการ Uptick Rule หรือ ให้ Short Sales หุ้นได้เฉพาะราคาที่สูงกว่าราคาตลาด
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO พร้อมสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการออมการลงทุน ภายหลังจากที่ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้สรุปแนวทางและพร้อมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน2 สัปดาห์นี้ ในการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : ThaiESG) โดย SCB CIO มองว่า การขยายวงเงินลงทุนจากไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน ที่ซื้อได้ไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็น ไม่เกิน300,000 บาท และลดระยะเวลาการถือครองจาก 8 ปี เป็น 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้มากขึ้น จากกลุ่มผู้ลงทุนที่ต้องการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และลงทุนเพื่อการออมระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่มีรายได้ประจำ รวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ต้องการสร้างวินัยในการออม เพื่อเป้าหมายในอนาคต โดยเลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้
นอกจากนี้ การขยายนโยบายการลงทุนให้ครอบคลุมด้านธรรมาภิบาล (Governance) ส่งเสริมความโปร่งใส จากเดิมเน้นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งจะทำให้ครอบคลุมจำนวนบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai เพิ่มขึ้น จาก 128 บริษัท เป็น 200 บริษัทนั้น SCB CIO มองว่า จะทำให้การลงทุนในหุ้นไทยผ่าน ThaiESG มีความครอบคลุมครบทุกมิติของ ESG และมีความหลากหลายในการเลือกลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นที่ดีให้กับนักลงทุนเพราะเงื่อนไขการลงทุนของบริษัทต่างๆ จะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่ก.ล.ต. กำหนด
ทั้งนี้ SCB CIO แนะนำให้ผู้ลงทุน พิจารณาลงทุนในตลาดหุ้นไทยบนพอร์ตลงทุนหลัก (Core port) ที่เป็นพอร์ตการลงทุนระยะยาว โดยเรามองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยสนับสนุนระยะยาว 5 ประเด็นหลักที่หนุนดัชนีหุ้นไทย ได้แก่ 1) การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในปี 2567 ที่เร่งตัวขึ้นประมาณ 39% ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2567 และยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป 2) Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง ใกล้เคียงกับช่วงโควิด-19 3) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 4) ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จะช่วยสนับสนุนเงินทุนไหลกลับเข้าไทยมากขึ้น และ 5) การประกาศเริ่มใช้มาตรการ Uptick Rule หรือ ให้ Short Sales หุ้นได้เฉพาะราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ล่าสุด (uptick) ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความผันผวนของตลาดลงได้ จากการที่ทำธุรกรรม Short Sales ได้ยากขึ้นในช่วงตลาดขาลง
สำหรับ ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนระยะยาว พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ผ่านกองทุนรวม ThaiESG นั้น ปัจจุบัน SCB มีกองทุน ThaiESG ให้เลือก 3 รูปแบบที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้า โดยในแต่ละรูปแบบมี 2 ทางเลือก คือ แบบปันผล และสะสมมูลค่า ได้แก่ กองทุน SCBTM(ThaiESG) และ SCBTM(ThaiESGA) ที่ลงทุนแบบผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ ESG กองทุน SCBTA(ThaiESG) และ SCBTA(ThaiESGA) ที่ลงทุนหุ้นไทย ESG ด้วยกลยุทธ์บริหารเชิงรุก และกองทุน SCBTP(ThaiESG) และ SCBTP(ThaiESGA) ลงทุนหุ้นไทย ESG ที่ผลตอบแทนอิงตามดัชนี SET ESG รวมทางเลือกมากที่สุดในตลาดทั้งหมด 6 กองทุน โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกตามความเหมาะสม และเป้าหมายของแต่ละท่านที่ตั้งไว้ รวมทั้งความเสี่ยงที่สามารถรับได้
Investic หนึ่งในผู้ให้บริการด้านการลงทุนด้วย Quant ที่ใช้หลักคณิตศาสตร์และสถิติ ชูโรงใช้ General AI เสริมแกร่งข้อมูลด้านการลงทุนในให้นักลงทุนไทย ด้วยเทคโนโลยีขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์พร้อมติดอาวุธนักลงทุนไทย เปิดโลกการลงทุนให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและล้ำลึกกว่าเดิม มุ่งเป็น AI Application ด้านการลงทุนเบอร์หนึ่งของไทยทั้งในตลาด ทอง หุ้น และสินทรัพย์ดิจิทัล
ในโลกของการลงทุนวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทที่ทำให้การเข้าถึงข้อมูลด้านการลงทุนมีความหลากหลาย รวดเร็ว และกระชับมากขึ้น Investic ในฐานะผู้นำด้านการลงทุนที่มุ่งใช้ General AI เกิดจากการความตั้งใจในการผสมผสานระหว่างคำว่า Investment (การลงทุน) กับ Data Analytics (การวิเคราะห์ข้อมูล) ซึ่งทั้งสองส่วน ถือเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการลงทุน ภายใต้การนำทัพของ “วิธาน มีนาภินันท์” ผู้ก่อตั้ง Investic ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Quant และ AI ที่มุ่งนำประสบการณ์ด้านการลงทุนมาผสานกับความแข็งแกร่งของทีมงานทั้งด้าน Quant และ AI เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ง่ายต่อการใช้งาน เพิ่มโอกาสการทำกำไรและลดความเสี่ยงให้นักลงทุนรายย่อย ด้วยข้อมูลในระดับเดียวกับนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ
![]()
นายวิธาน มีนาภินันท์ ผู้ก่อตั้ง Investic เปิดเผยว่า "ปัจจุบัน Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ด้วยความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้จากการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้การใช้ AI ในการลงทุนช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ง่ายขึ้นจากประสิทธิภาพในหลายๆ ด้าน เช่น การวิเคราะห์ผลกระทบของปัจจัยตลาด การคัดเลือกสินทรัพย์ และการให้น้ำหนักการลงทุน โดยเฉพาะ General AI ที่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สามารถสร้าง Framework การลงทุนที่แม่นยำขึ้น ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
Investic มุ่งเป็น AI Application ด้านการลงทุนเบอร์หนึ่งของไทย แพลตฟอร์มของเราจะทำให้นักลงทุนรายย่อยมีแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงคอมมูนิตี้นักลงทุน ลดเวลาในการศึกษา และใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการลงทุน ทำให้ไม่เสียเปรียบรายใหญ่และสถาบันการเงิน ด้วยการนำ General AI มาช่วยหาข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการตัดสินใจ ที่สำคัญยังสามารถประยุกต์ใช้ตามหน้างานได้เพราะไม่เป็นสูตรตายตัว"
นอกจากนี้ Investic ยังได้ผสานความเป็น Tech Company และ Investment Company มาเป็นโซลูชันที่ง่ายต่อการเข้าถึงของเทรดเดอร์รายย่อย แต่ได้คุณภาพระดับเดียวกับสถาบันใช้ โดยมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนและเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนเชิง Quant และ AI ทำให้สามารถสร้าง AI ที่มีความแม่นยำและมีกระบวนการวิเคราะห์เพื่อลงทุนแบบมืออาชีพได้
นายวิธาน กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในโลกของการลงทุน ข้อมูลคือสิ่งสำคัญ คนที่มีข้อมูลมากกว่าจะได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์และใช้ข้อมูลเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราได้จัดตั้ง Investic Academy เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้าน Quant Programming และการใช้ AI ด้านการลงทุนให้กับนักลงทุนไทย ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ บริษัท Gogolook (โกโกลุก) จำกัด ผู้ให้บริการทางด้านเทคโนโลยีเพื่อความเชื่อมั่น (TrustTech) และผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Whoscall ร่วมยกระดับการสื่อสาร พัฒนาสัมพันธ์กับลูกค้า และสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ด้วยบริการยืนยันหมายเลข Whoscall Verified Business Number ลงทะเบียนและยืนยันเบอร์โทรศัพท์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าในการรับสาย
การลงทะเบียนและยืนยันหมายเลขโทรศัพท์กับบริการ Whoscall Verified Business Number ช่วยให้ธุรกิจปกป้อง ภาพลักษณ์ ของแบรนด์ เนื่องจากผู้รับสายจะรู้ข้อมูลสายโทรเข้าได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ใช้ Android ฟีเจอร์ Whoscall Verified Business Number สามารถระบุชื่อสายโทรเข้า แสดงรูปภาพหรือโลโก้องค์กร สโลแกน และวัตถุประสงค์ ของการโทรเข้า นอกจากการสร้าง ภาพลักษณ์ทางธุรกิจที่ดี บริการนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจในการสร้างภาพลักษณ์ และลูกค้าที่ได้รับความโปร่งใส และน่าเชื่อถือ ลดอัตราปฏิเสธการรับสายของลูกค้า
นายอมรเทพ ทวีพานิชย์ ผู้อำนวยการบริหาร หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันที่โทรศัพท์หลอกลวงจากมิจฉาชีพเกิดขึ้นทุกวัน การรับสายโทรเข้าที่ไม่รู้จักกลายเป็นความเสี่ยง มากขึ้น ลูกค้าจึงเลือกไม่รับสายเบอร์แปลก ธุรกิจที่อาศัยการติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์ อาจสูญเสียโอกาสในการติดต่อ กับลูกค้าและอาจส่งผลกระทบต่อยอดขาย การโทรด้วยหมายเลขที่ได้รับการยืนยันตัวตนจะช่วยสร้างความไว้วางใจ ระหว่างนักธุรกิจและลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและความพึงพอใจของลูกค้า”
แมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท Gogolook จำกัด ผู้ให้บริการแอป Whoscall กล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากหอการค้า และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย การจับมือร่วมกันครั้งนี้ มุ่งหวังที่จะสร้าง บรรยากาศทางธุรกิจที่ปลอดภัย ลดความเสี่ยงถูกมิจฉาชีพหลอกลวงและสร้างระบบดิจิทัลที่ปลอดภัย ยิ่งขึ้นสำหรับทั้งกลุ่มธุรกิจและลูกค้า เรายินดีที่จะมอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิก ของหอการค้า และสภาหอการค้าแห่ง ประเทศไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และยินดี ที่จะร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจ และองค์กรอื่นๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากบริการนี้ มากขึ้นด้วยเช่นกัน”
ผู้ใช้โทรศัพท์กว่า 60% เลือกไม่รับสายเบอร์แปลก ทำให้ธุรกิจต่างๆ พลาดโอกาสในการพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง การช่วยให้ผู้รับรู้วัตถุประสงค์ของสายโทรเข้าที่หลอกลวง เพื่อติดต่อธุรกิจ หรือเรื่องส่วนตัว อย่างบริการ Whoscall Verified Business Number ช่วยส่งเสริมการเติบโต และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของธุรกิจไทย ด้วยเทคโนโลยีที่สร้างความน่าเชื่อถือและ ช่วยให้องค์กรมีความโดดเด่น ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ปัจจุบัน มีองค์กรธุรกิจชั้นนำเริ่มใช้บริการของ Whoscall Verified Business Number ทั้ง ธนาคาร ประกันภัย โลจิสติกส์ และอีกมากมาย
การเปิดตัวบริการ Whoscall Verified Business Number อยู่ในช่วงเวลาที่ประชาชนสนใจเรื่องความปลอดภัย ทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น และให้ความสำคัญต่อการสร้างความเข้าใจประเด็นดังกล่าวต่อเนื่อง ถือเป็นการทำงานเชิงรุก ในการให้ความรู้กลุ่มธุรกิจ และประชาชนเพื่อสร้างการสื่อสารที่ปลอดภัย
![]()
สมาชิกหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่สมัครใช้บริการ Whoscall Verified Business Number จะได้รับส่วนลดค่าบริการพิเศษจาก 280 บาท เหลือ 250 บาท ต่อเดือน ถือเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของ Gogolook ในการสนับสนุนธุรกิจไทย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Whoscall Verified Business Number สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://whoscall.com/th/number
![]()
เคทีซีเผยพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ใช้บริการแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่มากขึ้น โดย 3 รูปแบบบริการที่สมาชิกเลือกใช้มากที่สุดคือ สั่งอาหาร / เรียกรถรับจ้างสาธารณะ และ สั่งซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ต ส่งผลเดือนพฤษภาคม 2567 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่โต 15% มีสมาชิกบัตรฯ ใช้บริการเพิ่มขึ้น 10% ล่าสุดเดินหน้าจับมือพันธมิตร Grab และ LINE MAN จัดโปรโมชันมอบโค้ดส่วนลดบริการสั่งอาหารสำหรับสมาชิกตลอดปี 2567
นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันพฤติกรรมสมาชิกนิยมใช้บริการแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายด้วยบริการที่หลากหลาย สอดรับกับทุกความต้องการของสมาชิก โดยการใช้บริการเดลิเวอรี่ที่สมาชิกฯ นิยมมากที่สุด ได้แก่ บริการสั่งอาหาร / บริการรถรับจ้างสาธารณะ และบริการสั่งสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านสะดวกซื้อ ตามลำดับ โดยในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 มียอดการใช้จ่ายในหมวดเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้น 15% และมีจำนวนสมาชิกบัตรฯ ใช้บริการเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เคทีซีพร้อมขยายฐานการให้บริการแก่สมาชิกเดินหน้าจับมือพันธมิตรแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่รายใหญ่ Grab และ LINE MAN มอบความสะดวกสบายด้วยสิทธิประโยชน์ในด้านบริการสั่งอาหาร โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. GrabFood: รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ
ต่อที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 80 บาท สำหรับการสั่งอาหารขั้นต่ำ 300 บาท (ไม่รวมค่าส่ง)
ลูกค้าใหม่รับส่วนลด 80 บาท รหัส KTCNEW และ ลูกค้าปัจจุบันรับส่วนลด 50 บาท รหัส KTCFOOD โดยสมาชิกสามารถกรอกรหัสส่วนลดก่อนการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเคทีซีเมื่อสั่งอาหารผ่าน GrabFood เท่านั้น
ต่อที่ 2 e-Coupon ส่วนลดเพิ่ม 50 บาท เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER 399 คะแนนแลกรับ โดยสามารถใช้เป็นส่วนลดเพิ่มร่วมกับโค้ดส่วนลดอื่นๆ หรือส่วนลดปกติ เมื่อมียอดสั่งอาหารขั้นต่ำ 200บาท (ไม่รวมค่าส่ง) โดยสมาชิกสามารถใส่รหัส e-Coupon ส่วนลดที่แลกมาจากแอป KTC Mobile และเลือกจ่ายผ่าน GrabPay ด้วยบัตรเครดิตเคทีซีก่อนสั่งซื้อเท่านั้น สิทธิพิเศษนี้ ตั้งแต่ 1 เมษายน 2567- 31 มีนาคม 2568
2. LINE MAN: รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ
ต่อที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 80 บาท สำหรับการสั่งอาหารผ่าน LINE MAN ลูกค้าใหม่รับส่วนลด 80 บาท รหัส KTCNEW80 เมื่อมียอดสั่งอาหารขั้นต่ำ 250 บาท
ลูกค้าปัจจุบัน รับส่วนลด 30 บาท รหัส KTC30 เมื่อมียอดสั่งอาหารขั้นต่ำ 180 บาท (เฉพาะค่าอาหารเท่านั้น) สมาชิกสามารถกรอกรหัสส่วนลดก่อนการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเคทีซีบนแอพพลิเคชั่น LINE MAN เท่านั้น
พิเศษ! สำหรับลูกค้าใหม่ในต่างจังหวัด รับส่วนลด 80 บาท รหัส KTCUPC80 เมื่อมียอดสั่งอาหารขั้นต่ำเพียง 200 บาท (เฉพาะค่าอาหารเท่านั้น)
สิทธิพิเศษเฉพาะร้านอาหารในต่างจังหวัด ยกเว้น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ในเขตอำเภอศาลายา สามพราน และ นครชัยศรี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568
ต่อที่ 2 ส่วนลด 50 บาท เมื่อใช้ KTC FOREVER 399 คะแนนแลกรับ สำหรับยอดสั่งอาหารขั้นต่ำ 200 บาท โดยสมาชิกสามารถใส่รหัส e-Coupon ส่วนลดที่แลกมาจากแอป KTC Mobile และเลือกจ่ายด้วยบัตรเครดิตเคทีซีก่อนสั่งซื้อเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2567 – 31 สิงหาคม 2567
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ ้ https://www.ktc.co.th/promotion/dining/food-delivery
สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
จากความมุ่งมั่นของบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Gulf Binance) จำกัด ในการผลักดันแพลตฟอร์ม ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH by Gulf Binance) แพลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำในประเทศไทย ให้เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านการลงทุนของลูกค้าชาวไทยได้อย่างรอบด้าน
ล่าสุด Binance TH by Gulf Binance ได้เปิดตัวเหรียญใหม่ ประกอบไปด้วยเหรียญยอดนิยมอย่าง BNB XRP RNDR PEPE LTC และเหรียญอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้แพลต์ฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance กลายมาเป็นแพลตฟอร์มที่มีเหรียญให้บริการมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 180 เหรียญ ครอบคลุมกว่า 13 หมวดหมู่ โดยผู้ที่สนใจสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญดังกล่าวบนแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
![]()
นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ กล่าวว่า “จากเสียงเรียกร้องของผู้ใช้งาน และความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ กัลฟ์ ไบแนนซ์ พยายามเฟ้นหาเหรียญใหม่ที่สามารถรองรับความต้องการที่หลากหลายของทุกคนได้อย่างดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา เราได้สังเกตเห็นว่านอกจากที่ผู้ใช้งานจะสนใจเหรียญหลัก อย่าง Bitcoin Ethereum หรือ Solana แล้ว พวกเขายังคงมองหาตัวเลือกเหรียญใหม่ในโครงการบล็อกเชนอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในกระแสด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในวันนี้ เราจึงได้คัดสรรคู่เหรียญใหม่เพิ่มเติมลงบนแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance มาตลอด ซึ่งจะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับผู้ใช้ได้อีกขั้น โดยจากการเปิดตัวเหรียญใหม่ในวันนี้ จะทำให้แพลตฟอร์ม Binance TH ยังคงครองตำแหน่งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่มีบริการคู่เหรียญมากที่สุดถึง 180 คู่เหรียญ
![]()
โดยปัจจุบัน เหรียญที่เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์ม Binance TH By Gulf Binance สามารถแบ่งออกเป็น 13 หมวดหมู่ ได้แก่ Layer 1 / Layer 2, Stablecoin, Storage, Metaverse, DeFi, Fan Token, Oracle, Meme, AI+DePin, Name Service, Launchpool, GameFi, และ POW (Proof-of-Work) ซึ่งครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกความต้องการให้กับเหล่านักลงทุนทุกคนได้อย่างครบครัน
สำหรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ได้มีการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งในด้านเทคโนโลยี ไปจนถึงด้านกรอบการกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) โดยตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยมีความโดดเด่นชัดเจนเมื่อเทียบกับตลาดคริปโตทั่วโลก ด้วยดัชนีการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลจาก Chainalysis ที่เผยว่า ประเทศไทยมีอัตราการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก
“กัลฟ์ ไบแนนซ์ ตั้งใจที่จะเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ในการผลักดันให้เกิดการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ผ่านการใช้นวัตกรรม พร้อมมุ่งมั่นยกระดับประสบการณ์การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ใช้ชาวไทย ด้วยการนำเสนอคู่เหรียญที่หลากหลาย และฟีเจอร์การใช้งานที่ล้ำสมัย ร่วมไปกับการส่งเสริมความรู้ และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน ผ่านโครงการริเริ่มด้านการศึกษาที่เน้นผู้ใช้เป็นสำคัญบน Binance Academy รวมถึงการสร้างความปลอดภัยและความไว้วางใจเพื่อให้อุตสาหกรรมคริปโตเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ กล่าว