

ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยและเครือข่าย ได้ประกาศเปิดตัวโซลูชั่นคลัสเตอร์ AI ที่ก้าวล้ำ พร้อมด้วยเทคโนโลยีจาก NVIDIA สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ที่จะพลิกโฉมการสร้าง การจัดการ และการปรับแต่งโครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์
ภายใต้วิสัยทัศน์ Cisco Networking Cloud ซึ่งมุ่งที่จะลดความซับซ้อนของเครือข่าย ซิสโก้ได้นำเสนอโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจรที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร เพื่อรองรับเวิร์กโหลด Generative AI โดยโซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI ผสานรวมเครือข่ายแบบ AI-native ของซิสโก้ เข้ากับระบบประมวลผลที่มีการเร่งความเร็วและซอฟต์แวร์ AI ของ NVIDIA และที่เก็บข้อมูล VAST ที่แข็งแกร่ง โซลูชั่นดังกล่าวได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถโฟกัสไปที่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้ โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการจัดการระบบไอที
รายงานแนวโน้มด้านระบบเครือข่ายทั่วโลก (Global Networking Trends Report) ฉบับล่าสุดของซิสโก้ ระบุว่า ในช่วงสองปีข้างหน้า 60% ของผู้บริหารและบุคลากรด้านไอทีคาดว่าจะมีการปรับใช้ระบบเครือข่ายอัตโนมัติเชิงคาดการณ์ที่รองรับ AI ในทุกโดเมน เพื่อให้สามารถจัดการ NetOps ได้ดียิ่งขึ้น1 นอกจากนี้ 75% มีแผนที่จะปรับใช้เครื่องมือที่รองรับการตรวจสอบแบบครบวงจรผ่านคอนโซลหนึ่งเดียว ครอบคลุมโดเมนเครือข่ายที่แตกต่างกัน เช่น เครือข่ายแคมปัสและสาขา, WAN, ดาต้าเซ็นเตอร์, อินเทอร์เน็ต, ระบบ คลาวด์สาธารณะ และเครือข่ายอุตสาหกรรม

โจนาธาน เดวิดสัน รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปของ Cisco Networking กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าอนาคตของ AI จะมีความชัดเจน แต่หนทางข้างหน้าสำหรับหลายๆ องค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นการปรับใช้เทคโนโลยีกลับไม่เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายทางด้านการเงินและการดำเนินงานสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน AI Stack ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการติดตั้งใช้งานและการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้สะดวกง่ายดายมากขึ้น โดยเราได้ร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อนำเสนอโซลูชั่น AI Stack ที่ปรับใช้ได้อย่างง่ายดายและควบคุมผ่านระบบคลาวด์ โซลูชั่นที่ว่านี้สร้างขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์แพลตฟอร์ม Cisco Networking Cloud ของเรา ซึ่งมุ่งเน้นการทำงานแบบอัตโนมัติและเรียบง่าย”
เควิน ไดเออร์ลิง รองประธานอาวุโสฝ่ายระบบเครือข่ายของ NVIDIA กล่าวว่า “Generative AI จำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์ที่ออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการพลิกโฉมธุรกิจได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ NVIDIA และซิสโก้ร่วมมือกันเพื่อส่งมอบแพลตฟอร์ม AI และระบบควบคุมที่พร้อมใช้งานสำหรับองค์กร เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดตั้งใช้งานระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็ว ระบบเครือข่าย และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับเวิร์กโหลด Generative AI”
ซิสโก้ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน AI ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ซิสโก้ยังส่งมอบเครื่องมือที่เหมาะสมให้กับลูกค้าเพื่อสร้างเครือข่าย AI-native ที่ใช้งานง่าย สามารถคาดการณ์ความล้มเหลวในการทำงาน ตลอดจนวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาได้อย่างฉับไว
วิธีการทำงานของ Cisco Nexus HyperFabric AI Cluster
โซลูชั่นนี้รองรับการออกแบบ ปรับใช้ ตรวจสอบ และรับรองพ็อด AI และเวิร์กโหลดของดาต้าเซ็นเตอร์อย่างครบวงจร โดยจะแนะนำผู้ใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไปจนถึงการติดตั้งใช้งานที่ผ่านการตรวจสอบยืนยัน ไปจนถึงการตรวจสอบดูแลและรับรองโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่พร้อมใช้งานระดับองค์กร ด้วยความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ ลูกค้าจะสามารถติดตั้งและจัดการแฟบริคขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั่วทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโคโลเคชั่น (Colocation) และไซต์ Edge ได้อย่างง่ายดาย
![]()
โซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI นำเสนอการทำงานแบบอัตโนมัติที่ควบคุมจัดการผ่านระบบคลาวด์ ครอบคลุมระบบประมวลผลและเครือข่ายแบบครบวงจรที่ผสานรวมความเชี่ยวชาญด้านสวิตช์อีเธอร์เน็ตของซิสโก้บน Cisco Silicon One โดยบูรณาการเข้ากับระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็วของ NVIDIA และซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise รวมไปถึงแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลของ VAST โซลูชั่นดังกล่าวประกอบด้วย:
· ความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ของซิสโก้ ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากซับซ้อนของการดำเนินงานด้านไอทีในทุกขั้นตอนของเวิร์กโฟลว์
· สวิตช์ Cisco Nexus 6000 series สำหรับ Spine และ Leaf ซึ่งให้ประสิทธิภาพของแฟบริคอีเธอร์เน็ต 400G และ 800G
· โมดูล QSFP-DD ในตระกูล Cisco Optics ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าและให้ความหนาแน่นสูงมาก
· ซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise ซึ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและปรับใช้เวิร์กโหลด Generative AI ในระดับเทียบเท่าการใช้งานจริง
· ไมโครเซอร์วิสการอนุมาน NVIDIA NIM ที่เพิ่มความรวดเร็วในการปรับใช้โมเดลพื้นฐาน พร้อมทั้งรับประกันความปลอดภัยของข้อมูล และสามารถใช้งานร่วมกับ NVIDIA AI Enterprise · NVIDIA Tensor Core GPU ที่เริ่มต้นด้วย NVIDIA H200 NVL ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มพลังให้กับเวิร์กโหลด Generative AI ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและความสามารถของหน่วยความจำที่เหนือกว่า
· หน่วยประมวลผลข้อมูล NVIDIA BlueField-3 DPU และ BlueField-3 SuperNIC สำหรับการเร่งความเร็วของเวิร์กโหลดด้านเครือข่ายประมวลผล AI การเข้าถึงข้อมูล และการรักษาความปลอดภัย
· ดีไซน์ต้นแบบระดับองค์กรสำหรับ AI ที่สร้างขึ้นบน NVIDIA MGX ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเซิร์ฟเวอร์แบบแยกส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูง
· VAST Data Platform ซึ่งให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบครบวงจร ฐานข้อมูล และเอนจิ้นฟังก์ชั่นที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ AI
ล่าสุดงาน Global Sustainable Development Congress ยิ่งใหญ่ ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นการผนึกกำลังในการจัดงานระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสถาบันจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก Times Higher Education (THE) เพื่อผลักดันและส่งเสริมผ่านการอภิปรายและความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพเพื่อจัดการกับความท้าทายด้านความยั่งยืนระดับโลก
งานครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และได้จบไปอย่างยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งได้มีการประกาศผลอันดับ THE Impact Rankings ของปี 2567 ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ทั้ง 17 ประการขององค์การสหประชาชาติ โดยได้มีมหาวิทยาลัยจากไทยถึงสองแห่งที่ได้ติดท็อป 50 ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยมหิดล (ลำดับที่ 19) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ลำดับที่ 43)
THE เป็นเจ้าภาพการประชุมระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการจากทั่วโลกและหน่วยงานอุดมศึกษาเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางที่สำคัญในการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรมของมหาวิทยาลัยในการช่วยบรรลุเป้าหมาย SDGs ซึ่งการประชุมยังได้มีการแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกจากที่ปรึกษาข้อมูลของ THE เกี่ยวกับโครงการสำคัญที่กำลังจะริเริ่มร่วมกันกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อผนวกข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยต่อวาระการพัฒนาเศรษฐกิจระดับภูมิภาคของประเทศไทย โดยมีการกำหนดเป้าหมายการสนับสนุนสำหรับมหาวิทยาลัย และตรวจสอบทักษะด้านความยั่งยืนของนิสิตและนักศึกษาผ่านการจัดทำสำรวจแบบเฉพาะ
คุณ Phil Baty, Chief Global Affairs Officer ของ THE กล่าวเกี่ยวกับงานประชุมครั้งนี้ว่า “มหาวิทยาลัยไทยยังคงพัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านลำดับการจัดอันดับ Impact Rankings ของ THE ด้วยจำนวนมหาวิทยาลัยไทยที่เข้าร่วมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ เรียกได้ว่าสถาบันอุดมศึกษาแสดงผลงานได้ดีกว่าที่ผ่านมา ไต่อันดับเข้าไปอยู่ในท็อป 20 ของหมวดหมู่โดยรวม ซึ่งเป็นน่าประทับใจอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการแข่งขันที่เข้มข้นอย่างมาก” พร้อมเสริมว่า “พันธกิจที่สำคัญของ Times Higher Education คือการเชื่อมโยงผู้คน และข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ เพื่อที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ระดับโลก เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ และเชื่อว่าเราจะร่วมสร้างอนาคตที่ดีกว่าและยั่งยืนมากขึ้นด้วยกัน”
ศ.ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยไทยมีรากฐานที่แข็งแกร่งในการทำงานด้านความยั่งยืนอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนและการแก้ไขปัญหาในท้องถิ่น” พร้อมปิดท้ายว่า “มหาวิทยาลัยไทยพร้อมก้าวสู่เวทีระดับโลก โดยเฉพาะงานวิจัยระดับชุมชนซึ่งเป็นจุดแข็งของเรา แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องพัฒนาคุณภาพงานวิจัยและการนำเสนออย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทัดเทียมกับงานของระดับนานาชาติ”
งานครั้งนี้ได้มีผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน ประกอบด้วยวิทยากรมากถึง 360 ท่าน จากมหาวิทยาลัย บริษัท รัฐบาล และองค์การนอกภาครัฐกว่า 1,000 แห่งจาก 85 ประเทศ โดยมีการประชุม เวิร์คช็อป เน็ตเวิร์คกิ้งต่าง ๆ รวมถึงการแชร์ข้อมูลเชิงลึกมากมาย ที่ขับเคลื่อนความพยายามร่วมกันในอนาคตสู่ความยั่งยืนระดับโลก
ท้ายนี้ที่งานยังได้มีการเปิดตัว The International Green Learning and Skills Accelerator (IGLSA) ที่ริเริ่มโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และ Times Higher Education ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของสถาบันการศึกษาไปสู่อนาคตแบบ Net Zero และเอื้อต่อธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมสร้างการเรียนรู้และทักษะสีเขียว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ ที่นี่ จากความสำเร็จในปีนี้ THE ได้ประกาศว่าอิสตันบูลเป็นเมืองถัดไปที่จะจัดงาน GSDC 2025 โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อจองบัตรเข้าร่วมงานปีหน้าได้
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำความภาคภูมิใจให้สถาบันอุดมศึกษาไทยในเวทีโลกอีกครั้ง ครองอันดับ Top 50 ของโลกจาก Times Higher Education Impact Rankings 2024 ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างผลกระทบสูงต่อสังคม
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย THE Impact Rankings 2024 ประเมินจากบทบาทของมหาวิทยาลัยทั้งในด้านงานวิจัย การบริหารหน่วยงาน งานบริการวิชาการ และการเรียนการสอนที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) มีสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลกเข้าร่วมการจัดอันดับทั้งสิ้น 2,152 แห่ง จาก 125 ประเทศ และจุฬาฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของไทยใน SDG 9 Industry, Innovation and infrastructure (การพัฒนานวัตกรรม อุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน)
ความสำเร็จของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งติด Top 50 “มหาวิทยาลัยด้านความยั่งยืน” โดย THE Impact Rankings 2024 สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญในด้าน SDGs Impact โดยได้มีการดำเนินงานในเรื่องนวัตกรรมเพื่อสังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ติดตามผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยได้ที่ https://www.timeshighereducation.com/impactrankings
บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก เปิดตัว Philips Zenition Series (ฟิลิปส์ เซนนิชั่น ซีรี่ย์) เครื่องเอกซเรย์ฟลูโอโรสโคปเคลื่อนที่แบบ ซีอาร์ม (Mobile C-arm) 5 รุ่นล่าสุด ได้แก่ Philips Zenition 90 Motorized, Philips Zenition 70, Philips Zenition 50, Philips Zenition 30 และ Philips Zenition 10 เสริมทัพพอร์ทโฟลิโอในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Philips Image Guided Therapy ชูจุดเด่นให้ภาพคมชัด ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทางการแพทย์ด้านศัลยกรรมที่หลากหลาย
นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟิลิปส์ เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรมอันทรงคุณค่า เพื่อมาช่วยสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยในครั้งนี้ เราได้นำเสนอเครื่อง Mobile C-arm ในตระกูล Zenition ถึง 5 รุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายด้านการศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดทางหัวใจ, หลอดเลือด, ระบบประสาท, กระดูกและข้อ และการผ่าตัดอื่นๆ โดยเฉพาะรุ่น Philips Zenition 90 Motorized ที่เป็นตัวชูโรง ถูกออกแบบมาสำหรับการตรวจวินิจฉัยด้านหลอดเลือดที่ซับซ้อนได้ดี ในขณะที่ Philips Zenition 10 หรือ 30 จะมาพร้อมจุดเด่นด้านความทนทาน ความคุ้มค่า และความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเครื่อง ซึ่งการนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ได้หลากหลายของตระกูล Zenition นี้จะช่วยให้ฟิลิปส์สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มเครื่อง Mobile C-arm ไว้ได้”
Philips Zenition 90 Motorized เป็นเครื่องเอกซเรย์ฟลูโอโรสโคปเคลื่อนที่แบบซีอาร์มที่ขับเคลื่อนด้วยพลังมอเตอร์ โดดเด่นด้านการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ถูกออกแบบมาใหม่ล่าสุดให้สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของซีอาร์มผ่านปุ่มกดข้างเตียงได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและอิสระในใช้งานให้กับศัลยแพทย์ การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ 4 แกนอย่างรวดเร็วช่วยป้องกันภาวะการติดเชื้อ และการควบคุมโดยใช้ปุ่มบังคับไร้ทิศทางเพียงตัวเดียว สามารถช่วยควบคุมการเคลื่อนไหว หมุน เอียง ได้ตามต้องการ และมีความเร็วในการหมุนสูงสุดถึง 15 องศาต่อวินาที ซึ่ง 90% ของผู้ใช้งานเชื่อว่าการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์นี้สามารถช่วยประหยัดเวลาในระหว่างกระบวนการทำงานได้1 นอกจากนี้ Philips Zenition 90 Motorized ยังมาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำในการสร้างภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางคลินิกได้มากขึ้นด้วยการทำงานอัตโนมัติ การควบคุมภาพผ่านโมดูลจอสัมผัสและซอฟต์แวร์ขั้นสูง
สำหรับนวัตกรรมในกลุ่ม Philips Zenition Series นี้ ได้รับการออกแบบที่เน้นด้านความละเอียดของภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานง่ายขึ้น หน้าจอแสดงผลที่มาพร้อมคำแนะนำในแต่ละขั้นตอน การกำหนดจุดถ่ายภาพที่แม่นยำ และมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ Philips Zenition ยังถูกออกแบบให้สามารถรองรับการใช้งานในอนาคต และรองรับการทำหัตถการที่หลากหลายได้ นอกจากนี้ Philips Zenition ยังมาพร้อมเทคโนโลยี Philips BodySmart ซึ่งสามารถกำหนดการปล่อยรังสีในปริมาณที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน ทั้งผู้ป่วยที่มีดัชนีมวลกายสูง ผู้ป่วยสูงอายุ หรือจะเป็นโหมดการทำงานรังสีต่ำ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเด็ก และยังสามารถให้คำแนะนำที่แม่นยำแก่ผู้ใช้งาน เพื่อลดขั้นตอนของการสื่อสารและเวลาในการจัดตำแหน่งผู้ป่วยได้
“นวัตกรรมในกลุ่ม Mobile C-arm เป็นส่วนหนึ่งของในพอร์ทโฟลิโอกลุ่มผลิตภัณฑ์ Philips Image Guided Therapy โดยในปี 2023 ภาพรวมตลาดกลุ่ม Mobile C-arm มีมูลค่ากว่า 390 ล้านบาท และเติบโตกว่า 11% ในขณะที่ฟิลิปส์มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 และเติบโต 2.5% และเราเชื่อว่าหลังจากการผลักดันนวัตกรรมใหม่ในตระกูล Zenition Series พร้อมกลยุทธ์ทางการตลาดและการบริการหลังการขายที่มี
ประสิทธิภาพ เราจะสามารถผลักดันยอดขายในกลุ่ม Mobile C-arm นี้ให้เติบโตได้กว่า 5%” นายวิโรจน์กล่าวทิ้งท้าย
SCAP กระแสตอบรับหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2567 รวม 3 ชุดดีเยี่ยม ขายครบเต็มวงเงิน 1,500 ลบ. พร้อมดึงกรีนชู ออกขายเพิ่มรองรับดีมานด์นักลงทุน ปิดยอดขายสุทธิ 2,277 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นหุ้นกู้ของบริษัทหลังขายเต็มจำนวนและดึงกรีนชูมาใช้เกือบหมดอีกครั้ง เตรียมนำเงินปล่อยสินเชื่ออย่างมีคุณภาพในช่วงครึ่งปีหลัง สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจตามเป้าหมาย
บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 จำกัด (มหาชน) หรือ SCAP เปิดเผยถึง การเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ภายใต้ชื่อ ‘หุ้นกู้ของบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2567’ เมื่อวันที่ 10-12 มิถุนายนที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 3 ชุด โดยมีอายุตั้งแต่ 2-4 ปี ดอกเบี้ยคงที่ 4.50% ต่อปี, 4.90% ต่อปี และ 5.05% ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากนักลงทุนทั่วไป ปิดยอดขายเต็มวงเงินจัดสรร 1,500 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทได้ดำเนินการนำหุ้นกู้ส่วนสำรองออกเสนอขายเพิ่มเติมในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ตามความต้องการของนักลงทุน ผลปรากฏมียอดจองซื้อเพิ่ม รวมยอดขายสุทธิราว 2,277 ล้านบาท
สำหรับการเปิดเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 2 ของบริษัทในปี 2567 ยังคงได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี จากระยะเวลาการลงทุนที่พอเหมาะ ผลตอบแทนที่อยู่ในระดับดี สนับสนุนให้เกิดการจองซื้อเต็มวงเงินจัดสรรและนำหุ้นสำรองเสนอขายเพิ่มเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนักลงทุนที่มองเห็นความสามารถในการชำระหนี้คืนของบริษัทและศักยภาพของธุรกิจในอุตสาหกรรมการเงิน โดยเฉพาะธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ใหม่ที่บริษัทสามารถดำเนินงานจนก้าวสู่เบอร์ 1 ของประเทศไทย
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นในการนำเงินที่ระดมทุนได้กว่า 2.2 พันล้านบาท ขยายกิจการด้วยการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความต้องการสูงขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวและเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกิจการ โดยบริษัทมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพมากขึ้นตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหาการก่อหนี้เรื้อรังในภาคประชาชน อีกทั้งบริษัทสามารถควบคุม NPLs ให้อยู่ในระดับเหมาะสมในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสินเชื่อรถจักรยานยนต์ต่อไป
คณะแพทย์ฯ จุฬา ร่วมกับ 10 องค์กรการแพทย์ชั้นนำของประเทศไทยและลาว ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์ม MedUMORE โดยมีภาคีเครือข่าย ดังนี้
● แพทยสภา
● สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
● สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย
● สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย
● สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย
● ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย
● สมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย
● สภาเทคนิคการแพทย์
● Faculty of Medicine, University of Health Sciences, Lao People's Democratic Republic.
● สมาคมนักสังคมสงเคราะห์ทางการเเพทย์ไทย
![]()
การเรียนแพทย์แบบก้าวกระโดด 1-2-10 Med Ed Exponential
คณะแพทย์ฯ พัฒนา Online Learning Platform ภายใต้ชื่อ “MedUMORE” โดยในการจัดงานครั้งนี้ นำเสนอภายใต้แนวคิด 1-2-10 (1 to 10) Med Ed Exponential ซึ่ง 1 หมายถึงวิสัยทัศน์ของ ในการเป็นผู้นำด้านคลังความรู้ออนไลน์ด้าน สุขภาพการแพทย์และสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 2 หมายถึงการดำเนินงาน มาเป็นปีที่ 2 และมีการเข้าชมกว่า 2 ล้านครั้ง สามารถรองรับการใช้งานทุกรูปแบบ ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่และการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดเพียงแค่ในตำรา โดยรวบรวมเนื้อหา จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ตลอดจนการประชุมวิชาการ และ 10 หมายถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการศึกษาทางด้านการแพทย์ หรือแบบ Exponential โดยการมีภาคีเครือข่ายเข้าร่วมให้ความรู้ทางการแพทย์และประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของบุคลากรจาก 10 องค์กรแพทย์ ส่งเสริมให้ MedUMORE เป็น นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ สู่การเผยแพร่องค์ความรู้ทุกมิติบน Digital Platform ที่มีมาตรฐานเชื่อมต่อผู้ใช้งานทั่วโลก ให้สามารถเข้าถึงได้สะดวกรวดเร็ว ต่อเนื่องและปลอดภัย
รศ. นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นถึงความ สำคัญของนวัตกรรมทางการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง และพร้อมที่จะผลักดันให้แพลตฟอร์ม MedUMORE เป็นโมเดลการเรียนการสอน ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาแพทย์ แบบดั้งเดิมไปสู่รูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์การพัฒนาบัณฑิตแพทย์ยุคใหม่ได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นการผสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา และองค์กรทางการแพทย์ ชั้นนำในระดับประเทศและต่างประเทศ มีส่วนช่วยให้แพลตฟอร์มการเรียนรู้อย่าง MedUMORE แข็งแกร่งและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและโลกอย่างมาก
ศ. พญ.นิจศรี ชาญณรงค์ รองคณบดี ฝ่ายบริการวิชาการคณะ แพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า นับจากเริ่มเปิดตัวเมื่อเดือน มิถุนายน ปี พ.ศ. 2565 จวบจนถึงปัจจุบัน “MedUMORE” มีผู้เข้าชมครบ มากกว่า 2 ล้านครั้ง ซึ่งเห็นได้ว่าแพลตฟอร์ม MedUMORE นี้ สามารถตอบโจทย์เรื่องความรู้ทาง การแพทย์ให้แก่ผู้ที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นนิสิตแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงประชาชน ทั่วไป สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้แบบไร้ขีดจำกัด สะดวกดูได้ทุกพื้นที่และเข้าใจง่าย ซึ่งองค์ ความรู้ที่ให้บริการมีหลากหลายรูปแบบ อาทิ E-Book คลิปวิดีโอ และเทคโนโลยี เสมือนจริง AR/VR ซึ่งเร็ว ๆ นี้ จะมีการนำเทคโนโลยี AI GPT Integration และ Multi Visual Learning เข้ามาเป็นตัวช่วยการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนด้วย

ซึ่งทิศทางการดำเนินงานในอนาคตอันใกล้ “MedUMORE” จะขยายความร่วมมือ กับกลุ่มพันธมิตรไปในองค์กรต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีข้อมูล ที่หลากหลาย เหมาะกับนิสิตนักศึกษาแพทย์ยุคใหม่ที่ต้องการข้อมูล ความรู้ที่รวดเร็ว ทันสมัย จนในที่สุด จะสามารถพัฒนาให้ “MedUMORE” เป็นศูนย์กลางความรู้ออนไลน์ ด้านการแพทย์ที่ครอบคลุมที่สุด พร้อมทั้งจัดระบบองค์ความรู้ด้านการแพทย์ที่มีอยู่ใน หลาย Platform ให้อยู่ในที่เดียวกัน เพื่อเชื่อมต่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการจัดประชุมวิชาการในรูปแบบใหม่ โดยที่จะบูรณา การองค์ความรู้ทางการแพทย์ สู่ความเป็นเลิศลดความเหลื่อมล้ำ ในการเข้าถึงระบบการ ศึกษา และสร้างความเท่าเทียมด้านสาธารณสุข รวมทั้งเป็นผู้นำและศูนย์กลางการเรียนรู้ ระดับนานาชาติ
ผศ.(พิเศษ) นพ.สุรินทร์ อัศววิทูรทิพย์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสริมว่า “MedUMORE” ได้รวบรวม คอนเทนต์ด้านการแพทย์ไว้มากกว่า 2,000 คอนเทนต์ และคอร์สเรียนออนไลน์เนื้อหา ด้านการแพทย์มากกว่า 900 คอร์สเรียน และยังมีนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยให้ ความรู้เรื่องโรคภัยต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนในสังคมผ่านคลิปวิดีโอสั้น ในช่วง “หมอขอเล่า” โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านต่างๆ ถ่ายทอดความรู้อย่างถูกต้อง โดยมุ่งเป้าหมายให้เกิดพฤติกรรมการแชร์ข้อมูลสุขภาพบนมาตรฐานความรู้ทางวิชาการ
ที่ถูกต้องในสื่อโซเชียล ซึ่งหลายครั้งสังคมส่งต่อข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่หากเข้ามาสืบค้นใน MedUMORE ก็จะได้รับรู้ข้อมูลถูกต้องที่มาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ โดยตรง พร้อมกล่าวถึงความพิเศษของแอปพลิเคชัน “MedUMORE” จะมีระบบจดจำ ประวัติการเข้าเรียน สามารถแนะนำเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนตามความสนใจ ในแต่ ละบุคคล เหมาะสำหรับนักเรียน นิสิตและนักศึกษาแพทย์ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ และคอร์สชมฟรี สำหรับประชาชนแบบไม่ต้อง Login เมื่อเรียนแล้วยังสามารถทำแบบ ทดสอบวัดความเข้าใจ และได้รับ Certificate เมื่อเรียนจบอีกด้วย

Future Education, Future Learners, and Future Healthcare
นอกจากนี้ภายในงานมีการเสวนาเรื่อง “Future Education, Future Learners, and Future Healthcare อนาคตการศึกษาเพื่อการแพทย์ และสาธารณสุขยุคใหม่ของไทย” โดย ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร ผู้รักษาการแทน อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการศึกษาและความสำคัญของการสร้างบัณฑิตยุคใหม่ที่มี ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะบทบาทของมหาวิทยาลัยนั้น นอกจากจะเป็นแหล่งรวม ความรู้แล้วยังต้องเป็นแหล่งช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อตอบโจทย์ประชาชนชาวไทย ขยายขอบเขตกว้างถึง Global citizen หรือประชากรโลกนั่นเอง “วันนี้ผมภูมิใจกับคณะ แพทยศาสตร์ที่มีแพลตฟอร์ม MedUMORE และภูมิใจที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีส่วน ช่วยสนับสนุนให้ MedUMORE เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีการรวบรวมเนื้อหาที่ครอบคลุม ในหลายด้านและองค์ความรู้จากความร่วมมือของหลายองค์กรชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ด้าน สุขภาพกาย สุขภาพใจ สุขภาพเงินและการลงทุน ทักษะด้านบริหารและการจัดการ จากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่จะช่วยให้ท่านได้เติบโตขึ้นได้ ดังนั้นปัจจุบันเราไม่ได้ก้าว ตามโลกอีกต่อไป แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะก้าวล้ำโลก เราเป็นผู้ที่ชี้นำในระดับโลก ความเป็น Pioneer หมายความว่าเรามีนวัตกรรมทางการแพทย์ที่เป็นผู้นำ (Leading) กล่าวโดยสรุปคือ เรานำองค์ความรู้มาชี้นำสังคม ชี้นำประชากรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และนี่คือบทบาทที่ยิ่งใหญ่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
รศ. ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความสำคัญ ของการพัฒนาการทำงานในรูปแบบแพลตฟอร์ม (Platform) เพราะสามารถเพิ่มประสิทธิ ภาพในการทำงานลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นลงได้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างการที่กรุงเทพมหานคร ได้นำแพลตฟอร์มมาใช้ในการจัดการเรื่องร้องเรียน “คนมักจะร้องเรียน นอกเวลาราชการ ซึ่งมีมากถึง 60% ดังนั้นเป็นการดีที่คณะแพทย์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา เพราะเป็น การรองรับการเรียนตามอัธยาศัย” ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาระบบสาธารณสุข และการ ให้บริการทางการแพทย์ ที่ทันสมัยต่อประชาชนในเมืองหลวง และการมีส่วนช่วย สนับสนุนน วัตกรรมใหม่ๆ ได้อีกด้วย
![]()
พล.อ.ท. นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวถึงบทบาท ของแพทยสภา ในการกำกับมาตรฐานการศึกษาแพทย์ให้ได้คุณภาพ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี
ว่าแพทยสภา มีส่วนช่วยในการสร้างมาตรฐานการผลิตบัณฑิตแพทย์ ซึ่งมีแพทย์ที่จบ การศึกษาประมาณปีละ 3,000 คน จาก 25 มหาวิทยาลัย ดูแลประชาชนทั่วประเทศ ขณะเดียวกันแพทย์เองจะต้องเรียนรู้ทักษะด้านการรักษาเพิ่มเติมจาก 14 ราชวิทยาลัย 95 สาขาความเชี่ยวชาญ ซึ่งการฝึกฝนและการเรียนรู้ทางการแพทย์นั้นจะหยุดนิ่งไม่ได้ และเสริมว่า “วันนี้ MedUMORE ตอบโจทย์หลายอย่างมากๆ ให้คุณหมอหลายท่าน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ที่ไม่มีเวลาเดินทางมาเข้าประชุมวิชาการ สามารถอัพเดทความรู้ ที่ ทันสมัยอยู่เสมอ ปัจจุบันแพทยสภาได้นำองค์ความรู้หลายชุดใส่เข้าไป และให้แพทย์ เข้ามาทดลองเรียนรู้ ซึ่งเกิดประโยชน์อย่างมาก ตอบโจทย์การรักษาเป็นอย่างมาก แพทย์ สามารถศึกษาหาความรู้ได้จากที่ใดก็ได้ และสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ได้ทันที ให้กับคนไข้ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกลให้ได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เท่าเทียมกับการรักษาในเมืองหลวง”
รศ. นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวสรุปและเน้นย้ำแนวทางการดำเนินการของ MedUMORE ในฐานะผู้ขับเคลื่อน องค์ความรู้ทางการแพทย์ยุคใหม่ เพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มของคนไทย ที่คนต่างชาติเข้ามา เรียนรู้ เป็นศูนย์กลางแหล่งสืบค้นข้อมูลทางการแพทย์ที่ดีที่สุด ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้สอดรับกับ Future Healthcare และอนาคตการศึกษาเพื่อการแพทย์ และสาธารณสุข ของไทย ที่ทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยและสังคมโลกดีขึ้น
นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (คนกลาง) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงาน ProPak Asia 2024 งานแสดงเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต การแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย ร่วมด้วย Mrs. Luciana Pellegrino President of World Packaging Organization (WPO) (คนแรกซ้าย) Mr. Ali Badarneh Division Chief (Food Systems) United Nations Industrial Development Organization (UNIDO) (ที่สองจากซ้าย) Ma. Cristina A. Roque, Undersecretary, Micro, Small and Medium Enterprise Development Group the Department of Trade and Industry, Philippines (คนแรกขวา) และนายมนู เลียวไพโรจน์ ประธาน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย (ที่สองจากขวา) ผู้จัดงานโปรแพ็ค เอเชีย 2024 (ProPak Asia 2024) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เมื่อเร็วๆ นี้
หลังจากที่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ได้รับการจัดอันดับความยั่งยืนดัชนี DJSI (Dow Jones Sustainability Indices) หรือดัชนีชี้วัดความยั่งยืนของดาวโจนส์ ประจำปี 2566 ให้เป็นที่ 1 ด้านความยั่งยืนของโลก (DJSI WORLD) และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets) เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นเลิศ ผ่านแนวคิด ESG ได้แก่ มิติสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติสังคม (Social) และมิติเศรษฐกิจ (Governance)
ในครึ่งปีแรก BDMS ได้พัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมทุกด้าน ทั้ง มิติสิ่งแวดล้อม (Environment) ที่ดำเนินธุรกิจทางการแพทย์คาร์บอนต่ำอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม BDMS Green Healthcare ส่วนมิติสังคม (Social) ได้มีการส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียในสังคม ได้แก่ การจัดอบรมกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษา และมิติเศรษฐกิจ (Governance) ที่มุ่งสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ (BDMS Innovative Healthcare) ผ่านโครงการอบรมเทคนิคนวัตกรรมการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก ด้วยเทคนิคใหม่ที่ไม่ตัดกล้ามเนื้อ และการบริการแพทย์ทางไกล เพื่อสุขภาพใจ (BeDee Tele Mental Health) โดยร่วมกับ มูลนิธิเวชดุสิต ฯ ขยายโอกาสในการดูแลสุขภาพ
BDMS ตั้งเป้าครึ่งปีหลัง ในการมุ่งพัฒนาสู่ความยั่งยืนทางการแพทย์ต่อเนื่อง โดยยึด 6 กลยุทธ์หลัก เพื่อส่งมอบการบริการด้านสุขภาพที่ดีต่อประเทศ สังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อเดินหน้าสู่การเป็น Healthcare Sustainability ได้แก่ การมุ่งสู่การบริการที่เป็นเลิศ ยกระดับนวัตกรรมทางการแพทย์ มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Net Zero) คืนคุณค่าสู่สังคม ส่งเสริมและสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาทุกระดับชั้น และดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล
แพทย์หญิง ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหารอาวุโส บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) เปิดเผยถึงกลยุทธ์ทั้ง 6 ด้าน และเป้าหมายสู่การพัฒนาทางการแพทย์อย่างยั่งยืนว่า ต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และแนวโน้มของโลก
![]()
“ที่ผ่านมาเราได้พิสูจน์แล้วว่า BDMS สามารถขับเคลื่อนองค์กรได้ตามกลยุทธ์แห่งความยั่งยืนที่ได้วางไว้ร่วมกันเป็นพันธกิจขององค์กร ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เราก็เดินหน้าธุรกิจอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานสากล และสร้างการมีส่วนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ และผู้มีส่วนได้เสีย โดยมีเป้าหมายลดปริมาณคาร์บอนลงมากกว่า 1,800 ตัน ติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้ครอบคลุม 50% ในปี 2024 และ 100% ในปี 2027 ลดปริมาณของเสียลง 25% อบรมการกู้ชีพขั้นพื้นฐานให้มากกว่า 66,000 ราย ส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาผ่านแอปพลิเคชัน BeDee สร้างนวัตกรรมใหม่ร่วมกับบริษัทสตาร์ทอัพในเครือข่าย โดยมีโครงการนวัตกรรมมากกว่า 400 โครงการ และพัฒนาเครือข่ายโรงพยาบาลสู่ความเป็น Smart Hospital เป็นต้น” พญ. ปรมาภรณ์ กล่าว
ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 50 ของโรงพยาบาล และธุรกิจในเครือ BDMS สามารถลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มากกว่า 10,000 ตันต่อปี ด้วยการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และการลดปริมาณของเสีย เช่น Upcycling ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียว โครงการอบรมกู้ชีพขั้นพื้นฐานที่บรรลุไปแล้ว 931 คอร์ส มีผู้เข้าร่วมกว่า 61,172 ราย และยังมีการมอบการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพในด้านต่าง ๆ โดยไม่เลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ โดยมีแพทย์ที่ผ่านการอบรมแล้วกว่า 180 ราย ใน 170 โรงพยาบาล
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL บริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ "A" ต่อประชาชนในระหว่างวันที่ 1-4 กรกฎาคม 2567 ประกาศอัตราดอกเบี้ยสำหรับช่วง 5 ปีแรกไว้ที่ 6.10% ต่อปี และจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ชุดเดิมของ อินโดรามา เวนเจอร์ส ที่จะมีอายุครบ 5 ปีในเดือนพฤศจิกายน 2567
สถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ เปิดเผยว่า หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ นี้ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี ด้วยปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญอย่างอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ระดับ “A” และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ที่ “AA-” แนวโน้ม “คงที่” จัดอันดับโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 ซึ่งสะท้อนสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ อัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจก็เอื้อต่อการลงทุนในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ประวัติการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ผ่านมาของ อินโดรามา เวนเจอร์ส ซึ่งมีการไถ่ถอนทุกห้าปีและจ่ายดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ ยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งนี้ด้วย
![]()
หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ อินโดรามา เวนเจอร์ส จัดจำหน่ายผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส และ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต
“เรามั่นใจว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ อินโดรามา เวนเจอร์ส จะตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนระยะยาว ด้วยผลตอบแทนที่เอื้อกับสถานการณ์ที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง” สถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าว
ทั้งนี้ อินโดรามา เวนเจอร์ส เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก โดยมีโรงงานกว่า 140 แห่งในกว่า 30 ประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งเอเชียแปซิฟิก อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และแอฟริกา ภายใต้วิสัยทัศน์ของอินโดรามา เวนเจอร์ส ที่มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ผลิตเคมีภัณฑ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิตของผู้คนนับหลายพันล้านในทุกๆ วัน ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สุขอนามัย การดูแลส่วนบุคคล อุตสาหกรรมยานยนต์ และอื่นๆ อีกมากมาย ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ขั้นต้น ซึ่งรวมถึงสารเคมีที่จำเป็นในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ไปจนถึง
ผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย อาทิ เส้นใย เส้นด้าย และเม็ดพลาสติก PET ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% ซึ่งใช้ในหลากหลายสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน
![]()
ในไตรมาสแรกของปี 2567 อินโดรามา เวนเจอร์ส มี EBITDA เท่ากับ 366 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีสินทรัพย์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 รวมมูลค่ากว่า 627,000 ล้านบาท โดยทริสเรทติ้งให้มุมมองว่า ผลการดำเนินงานและการเงินของ อินโดรามา เวนเจอร์ส น่าจะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2567 เป็นต้นไป
นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ อินโดรามา เวนเจอร์ส สามารถติดต่อผ่านสถาบันการเงินที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Money Connect by Krungthai บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) * โทร. 02-888-8888 กด 869
- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ** โทร. 02-777-6784
- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-626-7777
- บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) )*** โทร. 02-165-5555
- บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร.02-695-5000
- บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
- บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-59
- บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร 02-680-4004
- บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร 02-779-9000
* ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
** ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
***ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจ Deloitte Global 2024 Gen Z and Millennial Survey – Thailand Perspective ซึ่งเป็นผลการศึกษาสะท้อนมุมมองของเจนซี และมิลเลนเนียลชาวไทย ที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม
ผลสำรวจ Global 2024 Gen Z and Millennial Survey จัดทำขึ้นโดยดีลอยท์ ต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 13 ทำการสำรวจมุมมองแนวคิดเชิงลึกของคนในเจนซี และมิลเลนเนียล จำนวน 22,841 คนจาก 44 ประเทศทั่วโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะติดตามความเปลี่ยนแปลงด้านแนวคิดและมุมมองต่าง ๆ ของกลุ่มเจนซีและมิลเลนเนียล ที่เป็นกำลังสำคัญในตลาดแรงงานทั่วโลก โดยมีคนไทยที่เข้าร่วมการตอบแบบสอบถามทั้งหมด 301 คน แบ่งเป็น เจนซี 201 คน และ มิลเลนเนียลชาวไทย จำนวน 100 คน ผลการสำรวจสะท้อนมุมมองเชิงลึกของคนไทยในทั้งสองเจเนอเรชั่นดังกล่าวที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในปีเดียวกันของคนในเจเนอเรชั่นเดียวกันทั่วโลก ดังต่อไปนี้
![]()
ด้านสุขภาพจิต และ ความกังวลหลัก
จากผลการสำรวจในปีนี้พบว่า เรื่องที่เจนซีมีกังวลมากที่สุดคือ ค่าครองชีพ (ร้อยละ 37) การว่างงาน (ร้อยละ 36) และ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่ง (ร้อยละ 21) สำหรับปัจจัยที่มิลเลนเนียลมีความกังวล 3 อันดับแรกได้แก่ ค่าครองชีพ (ร้อยละ 37) การความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่ง (ร้อยละ 26) และ ความไม่มั่นคงทางการเมือง/ความขัดแย้งระดับโลก (ร้อยละ 24) นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเจนซีในประเทศไทย ร้อยละ 42 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 60 รู้สึกดีถึงดีมากกับสภาพจิตใจโดยรวมของตนเองในปัจจุบัน เทียบกับปี 2566 โดยคนทั้งสองกลุ่ม ระบุว่ามีความเครียดน้อยลง ผู้ตอบแบบสอบถามเจนซีที่บอกว่ารู้สึกวิตกกังวลหรือเครียดตลอดเวลาหรือเกือบตลอดเวลา ลดลงจากร้อยละ 51 เหลือร้อยละ 40 และ มิลเลนเนียล ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 39 เหลือร้อยละ 38 เหตุผลที่สร้างความเครียดได้แก่ การเงินในอนาคต การเงินในชีวิตประจำวัน และ งาน
ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลกับสุขภาพจิตของคนไทย
ความคาดหวังของเจนซีและมิลเลนเนียลไทยต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินว่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้าลดลง เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยความคาดหวังต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ของเจนซี ลดลงจากร้อยละ 27 เหลือร้อยละ 15 และ มิลเลนเนียล ลดลงจากร้อยละ 26 เหลือร้อยละ 22 ความคาดหวังต่อสถานการณ์การเงินของตัวเอง ของเจนซี ลดลงจากร้อยละ 37 เหลือ ร้อยละ 19 และ มิลเลนเนียล ลดลงจากร้อยละ 38 เหลือร้อยละ 33 และ ความคาดหวังต่อสถานการณ์โดยรวมของเศรษฐกิจ/การเมืองของเจนซี ลดลงจากร้อยละ 27 เหลือร้อยละ 15 และมิลเลนเนียล ลดลงจากร้อยละ 24 เหลือร้อยละ 23
ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 42 ของ เจนซี และ ร้อยละ 45 ของมิลเลนเนียล เชื่อว่าองค์กรภาคธุรกิจสร้างผลกระทบเชิงบวกกับสังคม ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 49 และ 47 ตามลำดับ คนไทยรุ่นใหม่มีความคาดหวังว่าภาคธุรกิจควรมีบทบาทในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยมองภาคธุรกิจควรสร้างโอกาสการมีส่วนร่วมของพนักงาน ให้ผลตอบแทนที่เท่าเทียมและโปร่งใส สนับสนุนด้านทุนการศึกษา และ สร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะไม่มาซ้ำเติมให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เจนซีและมิลเลนเนียลในประเทศไทย ร้อยละ 81 และ 92 ตามลำดับ ตอบว่ามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนกลุ่มเดียวกันทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ที่ร้อยละ 62 และ 59 ตามลำดับ เจนซี ร้อยละ 90 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 91 มองว่าภาครัฐและภาคธุรกิจควรมีบทบาทในด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากขึ้น ทั้งนี้ ร้อยละ 92 ของเจนซี และ ร้อยละ 93 ของมิลเลนเนียล ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยแนวปฏิบัติยอดนิยม ได้แก่ หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าแฟชั่นด่วน (Fast Fashion) ลดการเดินทาง ศึกษาข้อมูลด้านการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทก่อนการอุดหนุนสินค้าของบริษัทนั้นๆ ทานมังสะวิรัติ หรือ วีแกน (Vegan) และ เลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ปัจจัยด้านการทำงาน
คนรุ่นใหม่ไทยมีเป้าหมายในการทำงานที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกพนักงาน โดยร้อยละ 96 ของ เจนซีในประเทศไทย และ ร้อยละ 99 ของมิลเลนเนียล ตอบว่าการมีเป้าหมายในการทำงานค่อนข้างสำคัญหรือสำคัญมากต่อความพึงพอใจในงานและ ความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเจนซีและมิลเลนเนียลทั่วโลกที่ร้อยละ 86 และ ร้อยละ 89 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ร้อยละ 91 ของ เจนซีในประเทศไทย และ ร้อยละ 93 ของ มิลเลนเนียลในประเทศไทย บอกว่างานปัจจุบันทำให้ตนเองรู้สึกถึงความมุ่งหมาย (Purpose) ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ร้อยละ 55 ของ เจนซี และ ร้อยละ 60 ของ มิลเลนเนียลในประเทศไทย ปฏิเสธงานที่ได้รับมอบหมายที่ขัดต่อจริยธรรมและความเชื่อของตนเอง ร้อยละ 55 ของเจนซี และ ร้อยละ 57 ของมิลเลนเนียล ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับองค์กรที่ขัดต่อจริยธรรมและความเชื่อของตนเอง โดยจะเลือกทำงานกับองค์กรที่ตอบโจทย์ในการสร้างสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน (Work/life Balance) มีโอกาสในการเรียนรู้ และ เป็นงานที่มีความหมาย
ในภาพรวม เจนซีและมิลเลนเนียลในประเทศไทยเห็นว่านายจ้างมีความใส่ใจต่อพนักงาน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยเจนซี ร้อยละ 70 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 74 ตอบว่านายจ้างให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงาน เจนซี ร้อยละ 77 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 76 ตอบว่ารู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยกับผู้จัดการอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือปัญหาด้านสุขภาพจิตอื่น ๆ และ เจนซี ร้อยละ 73 และ มิลเลนเนียล ร้อยละ 68 บอกว่าหัวหน้างานรู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อมีการพูดคุยสื่อสารเมื่อเกิดความเครียด ซึ่งคำตอบของเจนซีและมิลเลนเนียลคนไทยทั้งสองกลุ่ม สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ ร้อยละ 52 และร้อยละ 59 ตามลำดับ
“ดีลอยท์ติดตามความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองเจนเนอเรชั่นทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเราอยากทราบพัฒนาการทางความคิดและมุมมองของคนรุ่นใหม่ ที่จะช่วยให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ และ ความเข้าใจกันระหว่างคนในวัยต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น” อริยะ ฝึกฝน กรรมการบริหาร ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง กล่าว
มานิตา ลิ่มสกุล ผู้จัดการอาวุโส ฝ่าย Human Capital ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง กล่าวว่า “อยากจะขอเน้นย้ำว่าเรื่องการมีสุขภาวะทางจิตที่ดี หรือ Mental Well-being เป็นเรื่องสำคัญมาก กลุ่มเจนซีและมิลเลนเนียล คือ แรงงานหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกในวันนี้ องค์กรที่มีความเข้าใจ ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และ สามารถปรับเปลี่ยนวิธีในการดูแลคนรุ่นใหม่ได้อย่างถูกต้อง จะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กรได้อย่างมีนัยสำคัญ”
ดร. โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการฝ่าย Clients & Market ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ผลการสำรวจมีความน่าสนใจและสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของคนไทยที่มีความแตกต่างจากค่าเฉลี่ยโลกในในหลายแง่มุม ถ้ามองให้ละเอียดกว่านั้น จะเห็นถึงความแตกต่างกันของคนในแต่ละเจนอีกด้วย”